5 ซุปตาร์ แมนยู ที่โดน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เขี่ยทิ้งแบบไร้เยื่อใย

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นที่เลื่องลือในความเฮี้ยบที่ไม่เคยยอมลดราวาศอกให้ใคร ไม่แม้แต่กับผู้เล่นที่เป็นถึงระดับซูเปอร์สตาร์หรือตัวหลักของทีม หากเขาผู้นั้นมีอีโก้จนอาจสร้างปัญหาให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้

ผู้จัดการทีมระดับตำนานยุติยุคแห่งการคว้าน้ำเหลวของ ปีศาจแดง พร้อมพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาล 1992/93 และเดินหน้ากวาดแชมป์ พรีเมียร์ลีก ไปอีก 12 สมัยอย่างไม่น่าเชื่อ

หนทางสู่การประสบความสำเร็จของกุนซือชาว สก็อตแลนด์ ทิ้งคราบน้ำตาไว้ให้กับผู้เล่นในทีมจำนวนมาก ผู้เล่นที่เขารู้สึกว่าไม่เหมาะกับทีมอีกต่อไปแล้ว

เฟอร์กูสัน ยอมรับในภายหลังว่าการต้องบอกกับผู้เล่นสักคนว่าพวกเขาไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไปแล้วนั้นเป็นสิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดเกี่ยวกับการเป็นบอสของ ยูไนเต็ด ไม่ว่าผู้เล่นเหล่านั้นจะเป็นดาวรุ่งที่จะได้โลดแล่น ณ โรงละครแห่งความฝันหรือมือโปรผู้ช่ำชองที่สร้างประโยชน์ให้กับทีมมาอย่างยาวนาน

เบ็คแฮม เป็นหนึ่งในสตาร์ของทีมซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อลัน แฮนเซน คิดผิดหลังจากที่อดีตกองหลัง ลิเวอร์พูล กล่าวว่า เฟอร์กูสัน จะไม่สามารถ “ชนะอะไรได้ด้วยเด็กๆ”

เขาถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในปีกขวาที่ดีที่สุดใน ยุโรป จากการช่วยทีมโกยถ้วยแชมป์เป็นว่าเล่นและรวมไปถึงเทรเบิ้ลแชมป์ในฤดูกาล 1998/99 ด้วย

แต่ เฟอร์กูสัน เริ่มเบื่อหน่ายกับชื่อเสียงที่รายล้อม เบ็คแฮม หลังจากการแต่งงานกับ วิกตอเรีย อดัมส์ นักร้องสาวจาก สไปซ์ เกิลส์

ก่อนจะตามมาด้วยเหตุการ สตั๊ดบิน อันลือลั่นที่นำไปสู่การถูกขายให้กับ เรอัล มาดริด ในปีถัดมา

คีน เป็นกัปตันทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของสโมสร โดยเขาช่วยทีมคว้าแชมป์ 7 รายการแม้จะพลาดการลงเล่นในนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยอาการบาดเจ็บ ก็ตาม

มิดฟิลด์ปากกล้าลงเอยด้วยการฟาดปากกับ เฟอร์กูสัน หลังจากการให้สัมภาษณ์วิพากษ์วิจารณ์เพื่อนร่วมทีมก่อนหน้านั้น

แข้งชาว ไอริช ยืนยันว่าผู้บริหารของ ยูไนเต็ด ต้องการผลักเขาออกจากสโมสรเนื่องจากอายุที่มากขึ้น แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ตามการย้ายทีมของ คีน เกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่มีปากเสียงกันนั่นแหละ

กองหน้าชาว ดัตช์ ย้ายเข้ามาในปี 2001 และทำประตูใน พรีเมียร์ลีก ได้ถึง 23 ประตูในฤดูกาลแรก

เขาเจอความเฮี้ยบของ เฟอร์กูสัน เล่นงานด้วยการถูกดร็อปในเกมสุดท้ายของฤดูกาลทั้งๆที่กำลังทำประตูแข่งกับ เธียร์รี อองรี เพื่อแย่งรางวัลรองเท้าทองคำมาครองเพราะสโมสรพลาดแชมป์ลีกไปในปีนั้น

ฟาน นิสเตลรอย และความเฉียบคมส่งให้ ยูไนเต็ด คว้าตำแหน่งแชมป์ไปครองได้ฤดูกาลถัดไปโดยยิงประตูในลีกไปถึง 25 ลูกพร้อมคว้ารางวัลดางซัลโวมาจนได้

แม้จะยังมีฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอดังเดิมแต่ เฟอร์กูสัน ก็ไม่ลังเลที่จะปล่อยตัวเขาไปให้ เรอัล หลังจากเขามีปากเสียงกับ คริสเตียโน โรนัลโด้ ที่ยังคงเป็นเพียงดาวรุ่งอยู่ในตอนนั้น

ความสำเร็จส่วนใหญ่ของ ยูไนเต็ด ถูกสร้างขึ้นจากการป้องกันที่มั่นคงพอๆกับการเล่นเกมรุกที่น่าตื่นตาและ สตัม ก็เป็นเสมือนศูนย์กลางของแนวรับในยุคของเขา

สตัม ถูกขายในปี 2007 หลังจากที่ เฟอร์กูสัน อ้างว่าฟอร์มการเล่นของเขาถดถอยลงทั้งๆที่เพิ่งฟื้นตัว
กลับมาจากอาการบาดเจ็บที่เอ็นข้อเท้า

แน่นอนเวลานั้นและต่อมา เฟอร์กูสัน ก็ยอมรับว่าการปล่อยเขาออกจากทีมเป็นเรื่องที่ผิดพลาด

แอนดี้ โคล ช่วยผลิตสกอร์มากมายและช่วย ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกไปถึง 5 สมัยในช่วงปี 1990 จนถึงต้นยุค 2000

ในฤดูกาล 2000/01 โคล กลายเป็นดาวซัลโวของสโมสรในเวที ยุโรป ก่อนที่การเข้ามาของ ฟาน นิสเตลรอย ในหน้าร้อนถัดมาจะทำให้เขาต้องถูกผ่องถ่ายออกไปยัง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส

เบล แจงยิบหลังถูกกล่าวหาให้สัมภาษณ์ดูถูก สเปอร์ส

แกเร็ธ เบล ออกมาชี้แจงถึงบทสัมภาษณ์เมื่อสัปดาห์ก่อนที่พูดถึงสาเหตุของการย้ายกลับมาเล่นให้ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ด้วยสัญญายืมตัวในซีซันนี้ว่า เขาไม่ได้ตั้งใจจะไม่ให้เกียรติแก่สโมสรแต่อย่างใด ตามรายงานจาก ฟุตบอลลอนดอน

ก่อนหน้านี้ดาวเตะวัย 31 ปีระบุว่าเขาต้องการกลับมายังลอนดอนอีกครั้งเพื่อที่จะได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ และเตรียมความพร้อมในการเล่นฟุตบอล ยูโร 2020 ในช่วงซัมเมอร์นี้ รวมทั้งยังกล่าวว่าเมื่อหมดสัญญายืมตัวก้พร้อมกลับไป เรอัล มาดริด ตามเดิม

บทสัมภาษณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอลเป็นอย่างมาก ซึ่งหลายคนมองวา่าสิ่งที่เขาพุดคือการไม่ให้เกียรติทีมเก่า ทำให้ เบล ต้องออกมาชี้แจงว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเหตุผลของเรื่องฟุตบอล ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด

“สำหรับผมแล้วก่อนอื่นเลย ผมยังคงมีซีซันที่ต้องลงสนามอยู่ ยังเหลือเกมอีกมากมายให้เล่นสำหรับการไปฟุตบอล ยูโร” ปีกทีมชาติเวลส์ให้สัมภาษณ์กับทาง สกายสปอร์ต

“เห็นได้ชัดว่าเมื่อถึงซีซันหน้า ตามกฎแล้วผมต้องกลับไปที่ เรอัล มาดริด ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมพูด ผมไม่ได้ไม่ให้เกียรติใคร มันเป็นกฎที่ผมจะต้องทำ เรอัล มาดริด ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นสโมสรต้นสังกัดจริง ๆ ของผม และเท่าที่มีการตกลงกันคือ ผมจะอยู่กับ สเปอร์ส จนจบฤดูกาล จากนั้นก็ย้ายกลับไป นั่นคือแผนของผมในตอนนี้”

“สำหรับเหตุผลที่ย้ายมาที่นี่ก็เพราะว่าผมต้องการเกมการแข่งขันและมีแม็ตช์เพื่อเรียกความฟิตและมีความสุขกับฟุตบอลของผม พอถึงช่วงซัมเมอร์ผมก็ต้องกลับไป เรอัล มาดริด และเราก็จะไปที่อื่นต่อ ผมคิดว่าแผนก็คือ ผมจะกลับไปที่นั่นแล้วนั่งคุยกับตัวแทนของผมถึงสิ่งที่เราจะทำกันในช่วงซัมเมอร์” เบล กล่าว

12 ดาวรุ่ง ลิเวอร์พูล ที่อาจช่วยกู้วิกฤตของทีมได้ในฤดูกาลหน้า – OPINION

เมื่อ FSG (เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป) เจ้าของทีม ลิเวอร์พูล ทุ่มงบประมาณไปกว่า 50 ล้านปอนด์เพื่อสร้างศูนย์ฝึกซ้อมใหม่สโมสร พวกเขาได้แสดงเจตจำนงไว้อย่างชัดเจนมากในการเบนเป้าหมายไปที่การปลุกปั้นดาวรุ่งแทนการใช้เงินเพื่อล่อใจซูเปอร์สตาร์

เยอร์เก้น คล็อปป์ และทีมชุดใหญ่ ย้ายจาก เมลวู้ด ไปยัง เคิร์กบี ซึ่งพวกเขาจะได้โอกาสลงไปใช้สนามซ้อมแห่งใหม่อย่าง แอกซา เทรนนิง เซ็นเตอร์ ที่อยู่ติดกับอะคาเดมีของสโมสร

แน่นอนว่าตอนนี้ คล็อปป์ และทีมงานของเขาสามารถมองเห็นความสามารถของเหล่าผู้เล่นรุ่นเยาว์ได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น
เพื่อช่วยเซฟค่าใช้จ่ายในตลาดซื้อ-ขายที่กำลังปั่นป่วนอย่างหนักในรอบหลายปีหลังนี้

ฮาวีย์ เอลเลียต เด็กอายุ 17 ปีเป็นหนึ่งในผู้เล่นเยาวชนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในประเทศและสร้างความประทับใจอย่างมากจากการยืมตัวที่ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในฤดูกาลนี้

เซ็ปป์ ฟาน เดน เบิร์ก ย้ายมามาจาก พีอีซี ซโวลล์ ในช่วงฤดูร้อนปี 2019 และกำลังมีความสุขกับการถูกเลือกเป็นตัวหลักอย่างต่อเนื่องกับ เปรสตัน

มาร์เซโล ปิตาลูกา ผู้รักษาประตูดาวรุ่งที่มีชื่อถูกเรียกติดทีมชาติ บราซิล ไปในระดับเยาวชนไปแล้ว และแน่นอน ควิวีน เคลเลเฮอร์ ที่ได้รับโอกาสอยู่บ้างในฐานะตัวสำรองของ อลิสซอน เบ็คเกอร์

หันกลับมามองที่ทีมชุด u-23 ที่เต็มไปด้วยผู้เล่นอนาคตไกลกันบ้าง

มาเตอุสซ์ มูเซียลอฟสกี้ ดาวรุ่งชาว โปแลนด์ กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดหลังจากเพิ่งทำประตูที่ยอดเยี่ยมกับ นิวคาสเซิล เมื่อเร็ว ๆ นี้

เขาและเพื่อนใหม่ที่เซ็นสัญญาเข้ามาพร้อมกันเมื่อปีก่อนอย่าง เมลคามู ฟรอนดอร์ฟ เป็นผู้เล่นที่กำลังได้รับโอกาสลงเล่นอย่างสม่ำเสมอในระดับเยาวชน

เจมส์ บาลาจิซี กองกลางทีมชาติอังกฤษชุดอายุไม่เกิน 17 ปีที่ย้ายมาจาก แมนฯ ซิตี้ เองก็ดูดีมีอนาคตทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ โดยเขาเพิ่งเซ็นสัญญาอาชีพกับ หงส์แดง เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วเพื่อแสดงความแน่วแน่ที่จะเติบโตกลายเป็นตัวหลักของต้นสังกัดต่อไปในอนาคต

ทั้ง เลห์ตัน คลาร์กสัน และ เจค เคน น่าจะเป็นที่รู้จักของแฟนบอลเป็นอย่างดีหลังจากที่รายแรกได้โอกาสประเดิมสนามไปในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบแบ่งกลุ่มกับ มิดทิลแลนด์ ในขณะที่ เคน ก็ถูกเรียกติดทีมชุดลุยฟุตบอล ยุโรป อยู่อย่างสม่ำเสมอ

ในขณะเดียวกัน เลย์ตัน สจ๊วร์ต กองหน้าที่ยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำให้กับทีมชุดอายุต่ำกว่า 18 ปี จนนำไปสู่การเลื่อนชั้นสู่ทีม u-23 ก็เพิ่งเจออาการบาดเจ็บอย่างหนักเล่นงานจนต้องปิดเทอมไปก่อนเพื่อน แต่แน่นอนว่าเมื่อเขากลับมามันคงน่าสนใจไม่น้อยเลยว่าฝีเท้าของเขาจะยังอยู่ในระดับเดิมหรือไม่

บิลลี คูเมติโอ กองหลังวัย 18 ปี ก็ถูก คล็อปป์ เรียกขึ้นมายลฝีเท้าในการร่วมซ้อมกับทีมชุดใหญ่อยู่หลายหน

ท้ายสุดแต่ยังไม่สุดท้ายกับ พอล กลัตเซล กองหน้าดาวรุ่งที่ยิงไป 28 ประตูช่วยพา ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ FA Youth Cup ในปี 2019 เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส 2-3 ครั้ง แต่เหล่าโค้ชก็ดูจะมั่นใจมากว่าเขาจะกลับมาแข็งแกร่งกว่าที่เคย

พวกเขาเหล่านี้และอีกหลากหลายคนที่จะถูกฟูมฟักโดย คล็อปป์ และเหล่าทีมงานมืออาชีพคงช่วยยืนยันได้เลยว่าอนาคตของสโมสรได้ถูกปูทางเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พูลิซิค เปิดใจหลังโดนดองข้างสนามในยุค ทูเคิล

คริสเตียน พูลิซิค ปีกของ เชลซี กล่าวถึงสถานการณ์ในสโมสรว่า เขาต้องการพิสูจน์ตัวเองและเชื่อว่าจะสามารถกลับมายึดตำแหน่งตัวจริงในทีมของ โธมัส ทูเคิล อีกครั้ง ตามรายงานจาก เมโทร

ดาวเตะวัย 22 ปีต้องพบเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากหลังจากที่สโมสรได้ทำการแต่งตั้งอดีตผู้จัดการทีม ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เข้ามารับงานคุมทีมต่อจาก แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่โดนไล่ออกไปเมื่อปลายเดือนมกราคม โดยเขายังไม่ได้รับโอกาสในการลงเล่นเป็นตัวจริงเลยแม้แต่เกมเดียว

“มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายที่สุด เห็นได้ชัดว่าผมคือคนที่ต้องการลงเล่นเสมอแต่ผมก็คิดว่ากำลังอยู่บนเส้นทางที่ดี ผมชอบความท้าทาย ผมชอบมัน ไม่ใช่การพิสูจน์ให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขาคิดผิด แต่เป็นการพิสูจน์ตัวเอง ดังนั้นผมแค่ต้องทำงานหนักต่อไป”

“การได้มาเก็บตัวกับทีมชาติมันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ลงเล่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่สโมสร ผมแค่ตื่นเต้นที่ได้มาที่นี่และได้เป็นตัวแทนของทีมชาติอีกครั้ง”

“ผมคิดว่ามันเป็นสถานการณที่คล้าย ๆ กัน ตอนที่ผมย้ายมาที่ เชลซี ครั้งแรก ผมต้องทำหน้าที่ของตัวเองและพยายามหาตำแหน่งในทีมให้ได้ จากนั้นผมก็ได้ลงเล่นมากขึ้น ผมรู้สึกแบบนั้น และผมก็รู้สึกว่า ผมออกมาจากที่นั่นและกำลังทำในสิ่งที่เหมือนกันอยู่ในเวลานี้”

“ผมรู้สึกมั่นใจในฟอร์มการเล่นของตัวเอง ผมคิดว่ากับความรู้สึกและฟอร์มการเล่นของผมในตอนนี้ผมกำลังมาถูกทางแล้ว” พูลิซิค กล่าว

เบลเยียม ทุบ เวลส์, ฝรั่งเศส เจ๊าเพราะ OG : สรุปผล ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซน ยุโรป

เบลเยียม ได้โอกาสล้างอายจากศึก ยูโร 2016 ด้วยการเอาชนะ เวลส์ ไป 3-1 แม้จะถูกออกนำไปก่อนจากประตูของ แฮร์รี วิลสัน แต่ลูกยิงไกลของ เควิน เดอ บรอยน์ และลูกโหม่งของ ธ​​อร์แกน อาซาร์ ก็ช่วยพลิกสถานการณ์เอาไว้ได้ตั้งแต่ในครึ่งเวลาแรก ทำให้เกมกลับหัวก่อนครึ่งเวลา ก่อนที่ โรเมลู ลูกากู จะสังหารจุดโทษไม่พลาดในนาทีที่ 73 เพื่อปิดเกมไว้แต่เพียงเท่านั้น

ไม่ต่างกันมากนักสำหรับ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ที่ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้เช่นกันหลังจากได้โอกาสออกนำไปก่อนในเกมกับ เซอร์เบีย ที่ต้องยกความดีความชอบให้กับ มิโตรวิช ที่แม้จะไม่ค่อยได้โอกาสมากนักใน พรีเมียร์ลีก แต่เขาสามารถยิงไปได้ 2 ประตูจากการถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรอง

ผลการแข่งขันที่น่าจะช็อคหลายฝ่ายไม่น้อยเลยคือการที่ เนเธอร์แลนด์ ปราชัยต่อ ตุรกี 4-2 กับเกมที่น่าตื่นเต้นใน อิสตันบูล โดยหัวหอกวัยเก๋า บูรัค ยิลมาซ กับแฮตทริคของเขาเป็นดั่งฝันร้ายให้กับการประเดิมโปรแกรมนี้ของเหล่าชาว ดัตช์ ในขณะที่ ดอนนี ฟาน เดอ เบ็ค ก็ยังคงต้องประจำอยู่บนม้านั่งสำรองไปก่อนไม่ต่างจากสถานการณ์ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เลย

อีกเรื่องน่าปวดหัวของ อาร์เซนอล เมื่อ มาร์ติน โอเดการ์ด ได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าในช่วงครึ่งเวลาในเกมที่ นอร์เวย์ ชนะ ยิบรอลตาร์ ไปแบบไม่ยากเย็นอะไรด้วยสกอร์ 3-0

อองตวน กรีซมันน์ ขยับไปทาบสถิติของ ดาวิด เทรเซเกต์ ในฐานะผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลอันดับ 4 ของฝรั่งเศส กับประตูระดับนานาชาติลูกที่ 34 ของเขา ในเกมที่จบลงด้วยความน่าผิดหวังด้วยการเสมอ 1-1 กับ ยูเครน

โทมัส ซูเช็ค จาก เวสต์แฮม ทำเพอร์เฟ็คท์แฮตทริกที่น่าประทับใจช่วยให้ สาธารณรัฐเช็ก เอาชนะ เอสโตเนีย 6-2

กลุ่ม A

โปรตุเกส 1-0 อาเซอร์ไบจาน

เซอร์เบีย 3-2 สาธารณรัฐไอร์แลนด์

กลุ่ม D

ฟินแลนด์ 2-2 บอสเนีย

ฝรั่งเศส 1-1 ยูเครน

กลุ่ม E

เบลเยี่ยม 3-1 เวลส์

เอสโตเนีย 2-6 สาธารณรัฐเช็ก

กลุ่ม G

ตุรกี 4-2 เนเธอร์แลนด์

ยิบรอลตาร์ 0-3 นอร์เวย์

ลัตเวีย 1-2 มอนเตเนโกร


กลุ่ม H

ไซปรัส 0-0 สโลวาเกีย

มอลตา 1-3 รัสเซีย

สโลวีเนีย 1-0 โครเอเชีย

จุดอ่อนที่ถูกปกปิด ข้อด้อยที่ ทูเคิล จำเป็นต้องแก้ไข หากต้องการยกระดับ เชลซี ไปเป็นหัวแถวของยุโรป

ตลอด 14 เกมภายใต้การคุมทีมของนายใหญ่คนใหม่ โธมัส ทูเคิล เชลซี ได้ทุบทำลายสถิติในการออกสตาร์ทได้อย่างสวยหรูชนิดที่ดูดีกว่าผู้จัดการทีมคนไหน ๆ ในประวัติศาสตร์สโมสร ทั้งการไม่แพ้ใครเลยตลอด 14 นัดแรก ชนะไปถึง 10 แถมยังเสียไปเพียง 2 ประตูเท่านั้นรวมทุกรายการ

แน่นอนว่า “เกมรับ” คือสิ่งหนึ่งที่กุนซือชาวเยอรมันรายนี้เข้ามายกเครื่องให้กับ สิงโตน้ำเงินคราม ใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่แทคติค แผนการเล่น ตำแหน่งการยืน ซึ่งมันประสบความสำเร็จอย่างสูงจนพาทีมสามารถกลับไปสู่จุดที่ควรจะเป็นได้อีกครั้ง แต่…

มีดี ก็ต้องมีด้อย !

อย่างไรก็ตามท่ามกลางความปิติยินดีของแฟนบอล สิงห์บลู ต่อผลงานอันยอดเยี่ยมของทีมตนเอง มันกลับมีปัญหาหนึ่งที่ค่อย ๆ ปรากฎขึ้นมาและเริ่มมีความชัดเจนขึ้นในช่วงหลายเกมหลังนั่นก็คือ “เกมรุก” ของพวกเขานั่นเอง…

หลายคนอาจจะสงสัย ว่าเกมรุกของทีมมีปัญหายังไงในเมื่อแทบทุกเกม สิงห์บลู จะเป็นฝ่ายครองบอลเปิดเกมบุกเข้าใส่คู่แข่งอย่างหนักมาตลอด 14 นัดที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าลองสังเกตดี ๆ แม้โอกาสในการเข้าทำเฉลี่ยจะมากว่า 10 ครั้งในแต่ละเกม แต่ก็ไม่มีนัดใดเลยที่พวกเขายิงคู่แข่งได้มากกว่า 2 ประตูนับแต่แต่ ทูเคิล เข้ามาคุมทีม !

มันอาจไม่ใช่เพียงเพราะกองหน้าไม่คม !

ด้วยเหตุที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อมองข้อเท็จจริงดังกล่าวบางคนอาจจะคิดว่าเป็นเพราะกองหน้าจบสกอร์กันไม่คมเองหรือเปล่า ? จึงทำให้จำนวนประตูที่ทำได้ดูไม่สวยหรูเพอร์เฟคเหมือนเกมรับที่เก็บคลีนชีทได้เป็นว่าเล่น คำตอบของคำถามนั้นก็คือ จริง.. แต่แค่บางส่วนเท่านั้น !

ถ้าอย่างนั้นมันจะเป็นเพราะอะไรกันล่ะ ? การจะวิเคราะห์ถึงแนวทางการจบสกอร์ คงต้องย้อนไปกลับดูที่แทคติคการเล่นของ เชลซี ในยุคนี้ การที่ ทูเคิล เน้นการครองบอลบีบพื้นที่กดดันคู่แข่ง นั่นทำให้คู่ต่อสู้โดยเฉพาะทีมเล็กจำใจต้องถอยลงไปแพ็คเกมรับต่ำโดยปริยาย ยิ่งไปกว่านั้นการทีทีมให้บทบาทกับกองกลางในตำแหน่ง บ๊อก ทู บ๊อก เป็นหัวใจสำคัญบริเวณกลางสนามทั้งสองคนค่อนข้างมาก แต่ทั้ง จอร์จินโญ ก็องเต้ และ โควาชิช ที่พลัดกันลงประจำการนั้น พื้นเพของพวกเขาไม่ได้เป็นตัวรุกโดยธรรมชาติ จะมีก็แต่ โควาชิช ที่ดูจะหวือหวาเติมเกมได้ดี แต่ก็ต้องบอกว่าการจบสกอร์และการสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมก็อาจไม่ใช่จุดเด่นของเจ้าตัวเท่าใดนัก จึงทำให้ภาพรวมในหลาย ๆ เกมเห็นได้บ่อยครั้งว่าเกมรับในแดนกลางแทบจะเรียกได้ว่าไร้ที่ติ แต่สำหรับเกมรุกแม้พวกเขาจะมีบทบาทอยู่บ้าง แต่ก็มักจะติดขัดในจังหวะสุดท้ายที่ยังตัดสินใจได้ไม่ได้เฉียบขาดพอว่าจะยิง จะเลี้ยง หรือจะจ่ายต่อให้เพื่อนร่วมทีม ทำให้บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าหากทีมมีกองกลางจอมแอสซิสต์แบบ ฟาเบรกาส อยู่ในทีม อาจจะช่วยยกระดับเกมรุกขึ้นมาจากเดิมก็เป็นได้…

ด้วยเหตุนั้นเองทำให้ภาระของการสร้างสรรค์โอกาสส่วนใหญ่ ไปตกอยู่ที่ตัวรุก 3 คนในแดนหน้าและวิงแบ็คทั้งสองฝั่งที่มักจะได้โอกาสเติมเข้าเขตโทษอยู่บ่อย ๆ แต่.. ดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าการครองบอลบุกอัดเข้าใส่คู่แข่งแบบเต็มสูบ มันส่งผลให้คู่แข่งต้องถอยลงไปกองอยู่ในแดนหลังเกือบหมด นั่นจึงแทบไม่มีพื้นที่ให้กับ 3 แนวรุกได้ทำเกมมากนัก โดยเฉพาะหัวหอกตัวเป้าที่แทบไม่มีโอกาสได้ซัดจ่อ ๆ แบบเหน่ง ๆ เลยถ้าไม่ได้ส้มหล่นมาจากจังหวะสวนกลับหรือจังหวะที่แนวรับของคู่แข่งผิดพลาดมอบโชคแจกทองมาให้ อีกทั้งตัวรุกอย่าง ซิเยค เมานท์ ฮาเวิร์ตซ์ และ พูลิซิช ก็ไม่มีใครที่สามารถจ่ายบอลได้อย่างแม่นยำชนิดคิลเลอร์พาสได้เหมือนที่ปัจจุบัน แมนฯ ซิตี้ มี เดอ บรอยน์ หรือ แมนฯ ยูไนเต็ด มี บรูโน เป็นทางเลือกให้ทีมในยามที่พวกเขาหมดไอเดียในการเจาะทะลวงหลังบ้านของคู่แข่ง

ส่วนวิงแบ็ค แม้จะมีโอกาสได้เติมขึ้นสูง แต่ต้องบอกว่าทั้ง รีซ เจมส์ เบน ชิลเวลล์ หรือแม้แต่ อลอนโซ และ คัลลัม ฮัดสัน โอดอย ที่กลับมาคืนฟอร์มเก่งได้ ก็ไม่มีใครที่สามารถเปิดบอลแม่น ๆ จากริมเส้นได้เลยตลอดหลายเกมที่ผ่านมาทั้งที่มีโอกาสในการครอสบอลหลายต่อหลายครั้ง ดูได้จากสถิติการแอสซิสต์รวมกันของทั้ง 4 คนนับตั้งแต่ ทูเคิล เข้ามาคุมทีมคือ 1 ครั้งถ้วน ๆ เท่านั้น ! ด้วยเหตุนี้เองเมื่อบวกกับความเฉียบขาดที่กำลังเป็นปัญหาในแนวรุก จึงทำให้ผลงานการผลิตสกอร์ที่ออกมาดูจะต่ำกว่ามาตรฐานไป แต่ยังดีที่ผลงานโดยรวมยังเป็นไปในทิศทางที่ดี จึงทำให้ปัญหาที่ว่านี้ถูกซุกเอาไว้ใต้พรมและไม่มีใครพูดถึงมากนักตลอด 14 เกมที่ผ่านมา…

วิเคราะห์แนวทางการแก้ปัญหา

แทคติคของ ทูเคิล ที่เน้นครองบอลบุกไล่บดไล่กดดันคู่แข่ง มันตอบได้ด้วยผลงานอยู่แล้วว่า “เวิร์ค” และได้ผลกับ เชลซี เป็นอย่างดี เพราะฉนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ทีมจะต้องปรับเปลี่ยนหรือแก้ใขที่แนวทางการเล่นเพียงเพื่อให้นักเตะเพียงไม่กี่คนในแดนหน้าทำผลงานได้ดีขึ้น แต่สิ่งที่ต้องทำก็คือต้องหาวิธีที่จะทำอย่างไรให้เกมรุกสามารถสร้างสรรค์โอกาสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลิตสกอร์ได้มากขึ้น แข็งแกร่งครบถ้วนทั้งรุกและรับ เพื่อก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์ต้น ๆ ของยุโรปได้เหมือนที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ บาเยิร์น มิวนิค เป็นอยู่ ณ เวลาปัจจุบัน

ช็อปสิครับ รออะไร..

วิธีแรกที่หลายคนคงนึกถึงก็คือ เข้าตลาดไปสอยนักเตะใหม่เข้ามาซะ มันก็เป็นทางเลือกที่เข้าท่าดี แต่ว่าจะเสริมใครหรือตำแหน่งใดดีล่ะ ถ้าหากวิเคราะห์ตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ตำแหน่งมีผลโดยตรงกับเกมรุกในแนวทางของ ทูเคิล ก็คือ 3 ประสานในแดนหน้าและวิงแบ็คทั้งสองฝั่ง บางท่านอาจจะมองว่าการหากองหน้าหมายเลข 9 เทพ ๆ อย่าง ฮาแลนด์ แฮร์รี เคน หรือ เลาตาโร มาร์ติเนซ ก็น่าจะเพียงพอ แต่ในอีกมุมก็อาจจะต้องมองด้วยว่าคมขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์ถ้าบอลมาไม่ถึง เพราะอันที่จริง ชิรูด์ อับราฮัม แวร์เนอร์ หรือแม้แต่ ไค ฮาเวิร์ตซ์ พวกเขาเหล่านี้ก็จัดเป็นตัวจบสกอร์อันดับต้น ๆ ของวงการอยู่แล้ว หากลองเปลี่ยนไปมองหาตัวป้อนบอลที่สามารถสร้างความแตกต่างให้ทีมได้ทั้งตำแหน่งแบ็คจอมบุกที่วางบอลแม่น ๆ อย่างเช่น โรบิน กูเซนส์ ของ อตาลันต้า อังเคลินโญ ของ ไลป์ซิก หรือแม้แต่ ลูก้า ดีญ ของ เอฟเวอร์ตัน ส่วนในตำแหน่งตัวรุกก็อาจจะเลือกคนที่เป็นเพลย์เมคเกอร์ธรรมชาติเช่น แจ็ค กรีลิช ของ วิลลา เจมส์ แมดดิสัน ของ เลสเตอร์ หรือตัวเลือกราคาถูกอย่าง เอมี บูเอนเดีย ของ นอริช ใน เดอะแชมเปี้ยนชิพ ก็พอจะเป็นทางเลือกที่น่าลุ้นน่าเชียร์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ไม่ใช่ไม่คม แค่ไม่มั่นใจ…

อีกทางเลือกในการแก้ปัญหาที่ไม่ต้องควักเงินเลยแม้แต่แดงเดียวก็คือการ แก้ไขให้ตรงจุดจากภายใน ปรับเปลี่ยนทรัพยากรที่มีอยู่เดิมให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยการ “เพิ่มความมั่นใจ” ให้กลับคืนมา เพราะขุมกำลังที่พวกเขามีอยู่ในแนวรุกทั้งที่จัดซื้อเข้ามาใหม่อย่าง แวร์เนอร์ ฮาเวิร์ตซ์ ซิเยค ล้วนแต่อายุยังไม่มาก และฝีเท้าก็ไม่ธรรมดา เพียงแต่ต้องใช้เวลาปรับจูนให้เข้ากับทั้งสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ใน พรีเมียร์ลีกอังกฤษ รวมถึงต้องทำความเข้าในแนวทางและแผนการเล่นของผู้จัดการทีมคนใหม่ แต่อย่างที่ทราบดีว่าอุปสรรคสำคัญการมาเล่นกับ เชลซี คือพวกเขาต้องแบกรับแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่อย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อผลงานไม่เป็นไปตามเป้า นั่นจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ความมั่นใจ” ในยามที่ลงทำหน้าที่ เห็นได้ชัดเลยคือกรณีของ แวร์เนอร์ ที่ยิ่งทำประตูไม่ได้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลต่อความเฉียบคมที่เคยมีในการจบสกอร์ของเขามากเท่านั้น รวมถึงในรายของหมายเลข 10 อย่าง พูลิซิช ที่ฤดูกาลก่อนหน้า ช่วงก่อนที่จะเจ็บไป เจ้าตัวเรียกได้ว่าเป็นเดอะแบกของทีมเป็น “นิว อาซาร์” เลยก็ว่าได้ ที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งจังหวะลากเลื้อยและจังหวะจบสกอร์ ซึ่งในปีนี้เราแทบไม่เห็นแววเดิมจากปีก่อนเหล่านั้นเลยจากเขาคนนี้

แล้วจะทำอย่างไรถึงจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้กันล่ะ ? คำตอบง่าย ๆ เลยก็คือพวกเขาต้องการ “โอกาส” ที่จะได้ลงไปเรียกฟอร์มเก่ง โอกาสที่จะได้ลงไปสร้างความแตกต่าง ขอแค่โอกาสให้พวกเขาได้อะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเพียงครั้งเดียวแม้ว่าก่อนหน้านี้จะล้มเหลวมาไม่รู้กี่ครั้ง นั่นก็สามารถเพิ่มคุณค่าและความมั่นใจในตนเองขึ้นมาได้อีกมากโข แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน ทีมระดับนี้ โอกาสมักจะตกเป็นของคนที่เหมาะสมเท่านั้น หากคุณไม่สามารถใช้โอกาสอันน้อยนิดที่มี แสดงให้เห็นว่ามีศักยภาพมากพอ ก็อาจจะต้องพบชะตากรรมแบบที่รุ่นพี่หลาย ๆ ในทีมเคยประสบมา นั่นคือ “ถูกโละ” ซึ่งมันก็เป็นวัฏจักรของโลกฟุตบอล ก็เป็นได้….

ซาล่าห์ จอมยิงนอกบ้านฤดูกาลนี้ได้มากสุดใน พรีเมียร์ลีก – FEATURE

แม้จะมีโปรแกรมลงเตะเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ โมฮาเม็ด ซาล่าห์ ดาวเตะทีมชาติอียิปต์ของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ยังคงรั้งตำแหน่งดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวน 17 ประตู เท่ากับ แฮร์รี่ เคน กองหน้าทีมชาติอังกฤษของ “ไก่เดือยทอง” สเปอร์ส พอดีเลย จึงยังคงต้องขับเคี่ยวลุ้นแย่งชิงตำแหน่งดาวซัลโวลีกสูงสุดเมืองผู้ดีฤดูกาลนี้กันต่อไป

แต่ถ้าลองชำแหละผลงานการสอยตาข่ายของ ซาล่าห์ ในศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้จะพบว่า ยิงประตูนอกบ้านจากการเล่นเป็นทีมเยือนได้มากกว่าในยามที่ ลิเวอร์พูล เตะนัดเหย้าในถิ่นของตัวเองเสียอีก โดยมีสถิติซัลโวนอกรังได้มากถึง 10 ลูก จึงยังคงเป็นเจ้าของสถิติซัดประตูจากนัดเยือนได้มากที่สุดในช่วงก่อนพักเบรกเพื่อหลีกทางให้เกมระดับชาติไปด้วยเลย

สำหรับผลงานยิงประตูนอกบ้านในศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ของดาวเตะวัย 28 ปีมีดังต่อไปนี้เลย ไล่ตั้งแต่ 2 ประตูจากเกมบุกไปแพ้ แอสตัน วิลล่า 2-7, ชนะ คริสตัล พาเลซ 7-0, ชนะ เวสต์แฮม 3-1 และหนึ่งประตูจากเกมที่บุกเสมอ เอฟเวอร์ตัน 2-2, เสมอ แมนฯ ซิตี้ 1-1, เสมอ ฟูแล่ม 1-1, แพ้ เลสเตอร์ 1-3

ส่วนอันดับ 2 มีอยู่ 2 คน นั่นก็คือ พาทริค แบมฟอร์ด กองหน้าชาวอังกฤษของ “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด ยิงประตูจากเกมนอกบ้านได้ทั้งหมด 9 ลูก เท่ากับ เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าจอมเก๋าชาวเมืองผู้ดีของ “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ โดยทั้งคู่ไล่ตามหลังผลงานของ ซาล่าห์ เพียงเม็ดเดียวเท่านั้น

ปิดท้ายด้วยอันดับ 3 มีถึง 3 คนที่ยิงนัดเยือนได้ 8 ประตูเท่ากัน ได้แก่ อเล็กซองดร์ ลากาแซตต์ กองหน้าชาวฝรั่งเศสของ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล, โดมินิก คัลเวิร์ต-เลวิน กองหน้าทีมชาติอังกฤษของ “ทอฟฟีสีน้ำเงิน” เอฟเวออร์ตัน และ บรูโน แฟร์นันเดส กองกลางทีมชาติโปรตุเกสของ “ปีศาจแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด

ทำให้ ซาล่าห์ ยังคง “ยืนหนึ่ง” เรื่องการยิงประตูนอกบ้านนศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ไปก่อน

สรุปทุกความเป็นไปหลัง จิ้งจอก เขี่ย ผีแดง ร่วง เอฟเอ คัพ

การแข่งขัน : ฟุตบอลเอฟเอ คัพ 2020/21 รอบ 8 ทีมสุดท้าย
วันแข่งขัน : คืนวันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2021
เวลาแข่งขัน : 00:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : เลสเตอร์ ซิตี้ 3-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สนาม : คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กระเด็นตกรอบ เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อบุกไปปราชัยต่อ เลสเตอร์ ซิตี้ 3-1 ที่ คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม

เกมออกสตาร์ทด้วยประตูเบิกร่องของเจ้าถิ่นตั้งแต่นาทีที่ 24 เมื่อ เฟร็ด ทำลั่นเสียบอลจากการเซ็ตที่หน้าปากประตูของตนเองถูก เคเลชชี อิเฮนาโช ฉกบอลไปเลี้ยงหนี ดีน เฮนเดอร์สัน ส่งบอลสู่ก้นตาข่ายโล่งๆ

เร้ดเดวิลส์ ตามตีเสมอ 1-1 ในนาทีที่ 38 เมื่อ ปอล ป็อกบา หลุดขึ้นไปถึงสุดเส้นหลังที่กราบซ้ายก่อนเปิดเลียดไปที่บริเวณจุดโทษ ดอนนี ฟาน เดอ เบค ข้ามหลอกบอลถึง เมสัน กรีนวูด วิ่งเข้ามาซัดจังหวะแรกเหน่งๆ ตุงตาข่ายและจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ดังกล่าว

เริ่มต้นครึ่งหลังได้ราว 7 นาที เจ้าบ้านขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1 จากจังหวะที่ ยูริ ติเลอมองส์ ทำชิ่งกับ อิเฮนาโช ก่อนยิงเลียดที่บริเวณกรอบเขตโทษ บอลพุ่งหนีมือ เฮนเดอร์สัน ไปซุกที่โคนเสา

ลูกทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ทำประตูตอกฝาโลง 3-1 ในนาทีที่ 78 จากลูกฟรีคิกของ มาร์ค อัลไบรตัน โยนไปที่เสาไกลถึง อิเฮนาโช โขกสวนตัว เฮนเดอร์สัน เสยเพดานตาข่าย

เกมจบลงด้วยชัยชนะของ เลสเตอร์ ด้วยสกอร์ดังกล่าวโดยพวกเขาจะพบกับ เซาแธมป์ตัน ในรอบรองชนะเลิศโดยที่อีกคู่เป็นการพบกันระหว่าง เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

11 ผู้เล่นตัวจริง: เฮนเดอร์สัน (6); วาน-บิสซาก้า (5), ลินเดเลิฟ (6), แม็คไกวร์ (4), เตลเลส (6); มาติช (3), เฟร็ด (1); ฟาน เดอ เบค (6), ป็อกบา (6); กรีนวูด (6), มาร์กซิยาล (5)

ตัวสำรอง: ชอว์ (6), แม็คโทมิเนย์ (4), บรูโน (6), คาวานี (5), อาหมัด (N/A)

โอเล กุนนาร์ โซลชา ตอบแทนฟอร์มที่เข้าฝักของ ปอล ป็อกบา ในเกมที่ ปีศาจแดง เข่นเอาชนะ เอซี มิลาน 1-0 ในศึก ยูฟ่า ยูโรปาลีก เมื่อกลางสัปดาห์โดยการส่งเขาเป็นตัวจริงออกสตาร์ทที่ คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม

เจ้าตัวประจำการในบทบาทมิดฟิลด์ตัวรุกเยื้องมาทางกราบซ้ายคอยสนับสนุน อองโตนี มาร์กซิยาล กองหน้าตัวเป้าโดย ป็อกบา ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าที่จะจับจังหวะของเกมได้

โดยแม้มิดฟิลด์ทีมชาติ ฝรั่งเศส จะยืนต่ำกว่าปกติในช่วงแรกแต่บอลจากเท้าของ ป็อกบา ก็ดูจะได้ลุ้นที่สุดมากกว่าการปั้นเกมโดยเพื่อนร่วมทีมคนใด กระทั่งเขาเป็นคนแอสซิสต์ให้ เมสัน กรีนวูด ตีเสมอได้สำเร็จ น่าเสียดายที่ทีมไม่อาจรักษาโมเมนตัมดังกล่าวต่อเนื่องได้ในครึ่งหลัง

โอเล กุนนาร์ โซลชา จัดทัพแบบโรเตชันเล็กๆ โดย อเล็กซ์ เตลเลส, เนมานยา มาติช, ปอล ป็อกบา, ดอนนี ฟาน เดอ เบค และ อองโตนี มาร์กซิยาล มีชื่อออกสตาร์ทเก็บเอาคีย์แมนฟอร์มเข้าฝักอย่าง ลุค ชอว์, บรูโน แฟร์นันด์ส และ เอดินสัน คาวานี ไว้บนม้านั่งสำรอง

เกมรุกของ ปีศาจแดง เป็นไปไม่ไหลลื่นอย่างเคยเมื่อพวกเขาไร้ บรูโน ในทีม หลายครั้งที่การขึ้นเกมถูกฝากความหวังไว้ที่ ป็อกบา แต่เจ้าตัวไร้การวิ่งสนับสนุนทำทางที่ได้จากบรรดาแนวรุกรายอื่น ขณะที่สไตล์การเล่นของ ฟาน เดอ เบค ยังไม่สามารถสอดประสานกับเพื่อนร่วมทีมได้นอกจากจังหวะข้ามหลอกให้ เมสัน กรีนวูด พังประตูตีเสมอ 1-1

แม้ท้ายที่สุด สถานการณ์จะพาให้ โซลชา ต้องส่ง แม็คโทมิเนย์, คาวานี, ชอว์ และ บรูโน ลงมาพร้อมกันในช่วงราวครึ่งชั่วโมงสุดท้ายเพื่อพยายามเปลี่ยนโมเมนตัมของเกมแต่ก็ไม่อาจจุดประกายความหวังในช่วงเวลาที่เหลือได้

6 เรื่องที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ ฮันนิบาล เมจบรี ดาวรุ่งอนาคตไกลของ แมนยู

ดาวรุ่งอายุ 18 ปีย้ายเข้าร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยเงิน 9 ล้านปอนด์จาก โมนาโก และได้รับโอกาสลงเล่นที่สม่ำเสมอกับทีมชุดอายุต่ำกว่า 23 ปีโดยมีส่วนร่วมในการทำประตูและแอสซิสต์มากมาย

ฟอร์มดังกล่าวทำให้เขาได้รับการเลื่อนชั้นสู่ทีมชุดใหญ่ของ ยูไนเต็ด และเพิ่งเซ็นสัญญาระยะยาวกับสโมสรเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

ลอฟติ พ่อของ เมจบริ เผยกับ เอเอฟพี ว่ามีแมวมองแอบตามดูฟอร์มลูกชายของเขามาหลายปีแล้วโดยที่เขาเองก็ต้องคอยพยายามปกป้องลูกชายมาโดยตลอดเพื่อให้การพัฒนาการเป็นไปอย่างเหมาะสมซึ่งท้ายที่สุดมันก็นำพาเขามาสู่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด จนได้

ฮันนิบาล เข้ากับรูปแบบของมิดฟิลด์ตัวปั้นเกมสมัยใหม่ที่มักจะลงมาต่ำเพื่อรับบอลก่อนที่จะพาบอลขึ้นหน้าไปเองก็จ่ายบอลให้แนวรุกที่รออยู่

นอกจากจะรับเหมาเล่นลูกนิ่งของทีมแล้ว เขายังถูกชื่นชมเรื่องวิสัยทัศน์อันเหลือล้ำที่ทำให้เขาคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าเพื่อนๆรอบตัวจะวิ่งไปที่ไหน

เขาไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งสักเท่าใดนักและมักจะถูกเล่นงานได้อย่างง่ายดายโดยผู้เล่นที่ตัวใหญ่กว่าซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องเจออย่างหนักใน พรีเมียร์ลีก

เพื่อนร่วมทีมสามารถไว้ใจเรื่องการสร้างสวรรค์เกมไว้กับเขาได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสนับสนุนเขาอย่างหนาแน่นเมื่อ ฮันนิบาล ตกเป็นเป้าของการถูกห้อมล้อมโดยแนวรับของคู่แข่ง

เช่นเคยพ่อของ ฮันนิบาล บอกกับ เลอปารีเซียง ว่าพวกเขาได้ปฏิเสธข้อเสนอก้อนโตในการย้ายไป ลิเวอร์พูล แล้วในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ อาร์เซนอล ต่างก็คว้าน้ำเหลวในการพยายามพาเขามาเล่นด้วย

ฮันนิบาล ติดทีมชาติ ฝรั่งเศส ในระดับ อายุต่ำกว่า-16 และ 17 ไปแล้ว 15 เกม แน่นอนว่าคงอีกไม่นานก่อนที่ทีม อายุต่ำกว่า-18 และ 21 จะมาตามเขาไปเล่นด้วย

นีล วู้ด นายใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดุชดอายุไม่เกิน 23 ปีได้เรียกร้องให้มีการปกป้อง ฮันนิบาล มากขึ้นจากผู้ตัดสินโดยเจ้าหนูมักจะตกเป็นเป้าของการเข้าปะทะอยู่เป็นประจำในสนาม

วู้ด เปิดเผยกับ แมนเชสเตอร์อีฟนิงนิวส์ ว่า ฮันนิบาล เคยโดนเล่นงานจนจมูกหักมาแล้วเมื่อต้นฤดูกาลนี้และกลัวว่าในอนาคตมันอาจจะไม่หยุดเพียงเท่านี้

“ผมคิดว่าฮันนิบาลมีคุณภาพมากมายและเรื่องที่น่าหงุดหงิดสำหรับเขาคือการถูกทำฟาวล์ต่อประมาณ 15 ครั้งต่อเกม” เขากล่าว

“และเมื่อถึงจุดหนึ่งถ้ามันไม่หยุดหรือถ้ากรรมการไม่ปกป้องเขาเขาก็จะขาหัก นั่นคือสิ่งที่ผมกลัวสำหรับเขา”

โอเล กุนนาร์ โซลชา เผยถึงเหตุผลที่พาแข้งอายุ 18 ปี มาร่วมซ้อมกับทีมชุดใหญ่ก็เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์, ร่างกาย และป้องกันจากอาการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะการเล่นในทีมชุดเยาวชนที่อาจจะขาดการไตร่ตรองไปบ้าง

โชต้า ซัดโทนพา ลิเวอร์พูล บุกเข่น วูล์ฟส 1-0 พรีเมียร์ลีก คืนวันจันทร์

การแข่งขัน :ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ2020/21
วันแข่งขัน : คืนวันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2021
เวลาแข่งขัน : 03:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 0-1 ลิเวอร์พูล
สนาม : โมลินิวซ์ กราวนด์

ประตูโทนจาก ดิโอโก้ โชต้า ในช่วงท้ายครึ่งแรกทำให้ ลิเวอร์พูล บุกไปคว่ำ วูล์ฟแฮมป์ตัน คาถิ่น โมลินิวส์ กราวนด์ ด้วยสกอร์ 1-0 ขยับขึ้นไปรั้งอันดับที่ 6 บนตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก ตามหลัง เชลซี ในอันดับที่ 4 เพื่อโควต้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 5 แต้ม

จังหวะได้ประตูของ หงส์แดง มาจากบอลจังหวะ 2 ที่ แนท ฟิลลิปส์ ชิงเล่นได้ก่อนที่กลางสนาม บอลไปถึง ซาดิโอ มาเน เลี้ยงจี้เข้าหากรอบเขตโทษ ประสานงานกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดยจังหวะสุดท้ายเป็น โชต้า ที่ซัดเฉือนๆ ด้วยเท้าซ้ายผ่านมือ รุย ปาทริซิโอ ตุงตาข่าย

รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม
วูล์ฟส
: ปาทริซิโอ (รัดดี้ 90+11′); โบลี, โคอาดี้, ไซอิสส์; เซเมโด้ (กิ๊บบ์ส-ไวท์ 84′) , เนเวส (เดนด็องเคอร์ 76′), มูตินโญ, จอนนี; เนโต้, ตราโอเร; วิลเลียน โชเซ (ซิลวา 70′)
ตัวสำรองที่ไม่ได้ใช้งาน: ฮูเวอร์, คิลแมน, วิตินญา, มาร์คส

ลิเวอร์พูล: อลิสซอน; อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟิลลิปส์, คาบัค, โรเบิร์ตสัน; ติอาโก้ (เกอิต้า 67′), ฟาบินโญ, ไวนัลดุม (มิลเนอร์ 67′); ซาลาห์, โชต้า (อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน 82′), มาเน
ตัวสำรองที่ไม่ได้ใช้งาน: โจนส์, อาเดรียน, ชากิรี, ซิมิคาส, น. วิลเลียมส์, ร. วิลเลียมส์