จุดอ่อนที่ถูกปกปิด ข้อด้อยที่ ทูเคิล จำเป็นต้องแก้ไข หากต้องการยกระดับ เชลซี ไปเป็นหัวแถวของยุโรป

ตลอด 14 เกมภายใต้การคุมทีมของนายใหญ่คนใหม่ โธมัส ทูเคิล เชลซี ได้ทุบทำลายสถิติในการออกสตาร์ทได้อย่างสวยหรูชนิดที่ดูดีกว่าผู้จัดการทีมคนไหน ๆ ในประวัติศาสตร์สโมสร ทั้งการไม่แพ้ใครเลยตลอด 14 นัดแรก ชนะไปถึง 10 แถมยังเสียไปเพียง 2 ประตูเท่านั้นรวมทุกรายการ

แน่นอนว่า “เกมรับ” คือสิ่งหนึ่งที่กุนซือชาวเยอรมันรายนี้เข้ามายกเครื่องให้กับ สิงโตน้ำเงินคราม ใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่แทคติค แผนการเล่น ตำแหน่งการยืน ซึ่งมันประสบความสำเร็จอย่างสูงจนพาทีมสามารถกลับไปสู่จุดที่ควรจะเป็นได้อีกครั้ง แต่…

มีดี ก็ต้องมีด้อย !

อย่างไรก็ตามท่ามกลางความปิติยินดีของแฟนบอล สิงห์บลู ต่อผลงานอันยอดเยี่ยมของทีมตนเอง มันกลับมีปัญหาหนึ่งที่ค่อย ๆ ปรากฎขึ้นมาและเริ่มมีความชัดเจนขึ้นในช่วงหลายเกมหลังนั่นก็คือ “เกมรุก” ของพวกเขานั่นเอง…

หลายคนอาจจะสงสัย ว่าเกมรุกของทีมมีปัญหายังไงในเมื่อแทบทุกเกม สิงห์บลู จะเป็นฝ่ายครองบอลเปิดเกมบุกเข้าใส่คู่แข่งอย่างหนักมาตลอด 14 นัดที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าลองสังเกตดี ๆ แม้โอกาสในการเข้าทำเฉลี่ยจะมากว่า 10 ครั้งในแต่ละเกม แต่ก็ไม่มีนัดใดเลยที่พวกเขายิงคู่แข่งได้มากกว่า 2 ประตูนับแต่แต่ ทูเคิล เข้ามาคุมทีม !

มันอาจไม่ใช่เพียงเพราะกองหน้าไม่คม !

ด้วยเหตุที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อมองข้อเท็จจริงดังกล่าวบางคนอาจจะคิดว่าเป็นเพราะกองหน้าจบสกอร์กันไม่คมเองหรือเปล่า ? จึงทำให้จำนวนประตูที่ทำได้ดูไม่สวยหรูเพอร์เฟคเหมือนเกมรับที่เก็บคลีนชีทได้เป็นว่าเล่น คำตอบของคำถามนั้นก็คือ จริง.. แต่แค่บางส่วนเท่านั้น !

ถ้าอย่างนั้นมันจะเป็นเพราะอะไรกันล่ะ ? การจะวิเคราะห์ถึงแนวทางการจบสกอร์ คงต้องย้อนไปกลับดูที่แทคติคการเล่นของ เชลซี ในยุคนี้ การที่ ทูเคิล เน้นการครองบอลบีบพื้นที่กดดันคู่แข่ง นั่นทำให้คู่ต่อสู้โดยเฉพาะทีมเล็กจำใจต้องถอยลงไปแพ็คเกมรับต่ำโดยปริยาย ยิ่งไปกว่านั้นการทีทีมให้บทบาทกับกองกลางในตำแหน่ง บ๊อก ทู บ๊อก เป็นหัวใจสำคัญบริเวณกลางสนามทั้งสองคนค่อนข้างมาก แต่ทั้ง จอร์จินโญ ก็องเต้ และ โควาชิช ที่พลัดกันลงประจำการนั้น พื้นเพของพวกเขาไม่ได้เป็นตัวรุกโดยธรรมชาติ จะมีก็แต่ โควาชิช ที่ดูจะหวือหวาเติมเกมได้ดี แต่ก็ต้องบอกว่าการจบสกอร์และการสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมก็อาจไม่ใช่จุดเด่นของเจ้าตัวเท่าใดนัก จึงทำให้ภาพรวมในหลาย ๆ เกมเห็นได้บ่อยครั้งว่าเกมรับในแดนกลางแทบจะเรียกได้ว่าไร้ที่ติ แต่สำหรับเกมรุกแม้พวกเขาจะมีบทบาทอยู่บ้าง แต่ก็มักจะติดขัดในจังหวะสุดท้ายที่ยังตัดสินใจได้ไม่ได้เฉียบขาดพอว่าจะยิง จะเลี้ยง หรือจะจ่ายต่อให้เพื่อนร่วมทีม ทำให้บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าหากทีมมีกองกลางจอมแอสซิสต์แบบ ฟาเบรกาส อยู่ในทีม อาจจะช่วยยกระดับเกมรุกขึ้นมาจากเดิมก็เป็นได้…

ด้วยเหตุนั้นเองทำให้ภาระของการสร้างสรรค์โอกาสส่วนใหญ่ ไปตกอยู่ที่ตัวรุก 3 คนในแดนหน้าและวิงแบ็คทั้งสองฝั่งที่มักจะได้โอกาสเติมเข้าเขตโทษอยู่บ่อย ๆ แต่.. ดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าการครองบอลบุกอัดเข้าใส่คู่แข่งแบบเต็มสูบ มันส่งผลให้คู่แข่งต้องถอยลงไปกองอยู่ในแดนหลังเกือบหมด นั่นจึงแทบไม่มีพื้นที่ให้กับ 3 แนวรุกได้ทำเกมมากนัก โดยเฉพาะหัวหอกตัวเป้าที่แทบไม่มีโอกาสได้ซัดจ่อ ๆ แบบเหน่ง ๆ เลยถ้าไม่ได้ส้มหล่นมาจากจังหวะสวนกลับหรือจังหวะที่แนวรับของคู่แข่งผิดพลาดมอบโชคแจกทองมาให้ อีกทั้งตัวรุกอย่าง ซิเยค เมานท์ ฮาเวิร์ตซ์ และ พูลิซิช ก็ไม่มีใครที่สามารถจ่ายบอลได้อย่างแม่นยำชนิดคิลเลอร์พาสได้เหมือนที่ปัจจุบัน แมนฯ ซิตี้ มี เดอ บรอยน์ หรือ แมนฯ ยูไนเต็ด มี บรูโน เป็นทางเลือกให้ทีมในยามที่พวกเขาหมดไอเดียในการเจาะทะลวงหลังบ้านของคู่แข่ง

ส่วนวิงแบ็ค แม้จะมีโอกาสได้เติมขึ้นสูง แต่ต้องบอกว่าทั้ง รีซ เจมส์ เบน ชิลเวลล์ หรือแม้แต่ อลอนโซ และ คัลลัม ฮัดสัน โอดอย ที่กลับมาคืนฟอร์มเก่งได้ ก็ไม่มีใครที่สามารถเปิดบอลแม่น ๆ จากริมเส้นได้เลยตลอดหลายเกมที่ผ่านมาทั้งที่มีโอกาสในการครอสบอลหลายต่อหลายครั้ง ดูได้จากสถิติการแอสซิสต์รวมกันของทั้ง 4 คนนับตั้งแต่ ทูเคิล เข้ามาคุมทีมคือ 1 ครั้งถ้วน ๆ เท่านั้น ! ด้วยเหตุนี้เองเมื่อบวกกับความเฉียบขาดที่กำลังเป็นปัญหาในแนวรุก จึงทำให้ผลงานการผลิตสกอร์ที่ออกมาดูจะต่ำกว่ามาตรฐานไป แต่ยังดีที่ผลงานโดยรวมยังเป็นไปในทิศทางที่ดี จึงทำให้ปัญหาที่ว่านี้ถูกซุกเอาไว้ใต้พรมและไม่มีใครพูดถึงมากนักตลอด 14 เกมที่ผ่านมา…

วิเคราะห์แนวทางการแก้ปัญหา

แทคติคของ ทูเคิล ที่เน้นครองบอลบุกไล่บดไล่กดดันคู่แข่ง มันตอบได้ด้วยผลงานอยู่แล้วว่า “เวิร์ค” และได้ผลกับ เชลซี เป็นอย่างดี เพราะฉนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ทีมจะต้องปรับเปลี่ยนหรือแก้ใขที่แนวทางการเล่นเพียงเพื่อให้นักเตะเพียงไม่กี่คนในแดนหน้าทำผลงานได้ดีขึ้น แต่สิ่งที่ต้องทำก็คือต้องหาวิธีที่จะทำอย่างไรให้เกมรุกสามารถสร้างสรรค์โอกาสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลิตสกอร์ได้มากขึ้น แข็งแกร่งครบถ้วนทั้งรุกและรับ เพื่อก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์ต้น ๆ ของยุโรปได้เหมือนที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ บาเยิร์น มิวนิค เป็นอยู่ ณ เวลาปัจจุบัน

ช็อปสิครับ รออะไร..

วิธีแรกที่หลายคนคงนึกถึงก็คือ เข้าตลาดไปสอยนักเตะใหม่เข้ามาซะ มันก็เป็นทางเลือกที่เข้าท่าดี แต่ว่าจะเสริมใครหรือตำแหน่งใดดีล่ะ ถ้าหากวิเคราะห์ตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ตำแหน่งมีผลโดยตรงกับเกมรุกในแนวทางของ ทูเคิล ก็คือ 3 ประสานในแดนหน้าและวิงแบ็คทั้งสองฝั่ง บางท่านอาจจะมองว่าการหากองหน้าหมายเลข 9 เทพ ๆ อย่าง ฮาแลนด์ แฮร์รี เคน หรือ เลาตาโร มาร์ติเนซ ก็น่าจะเพียงพอ แต่ในอีกมุมก็อาจจะต้องมองด้วยว่าคมขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์ถ้าบอลมาไม่ถึง เพราะอันที่จริง ชิรูด์ อับราฮัม แวร์เนอร์ หรือแม้แต่ ไค ฮาเวิร์ตซ์ พวกเขาเหล่านี้ก็จัดเป็นตัวจบสกอร์อันดับต้น ๆ ของวงการอยู่แล้ว หากลองเปลี่ยนไปมองหาตัวป้อนบอลที่สามารถสร้างความแตกต่างให้ทีมได้ทั้งตำแหน่งแบ็คจอมบุกที่วางบอลแม่น ๆ อย่างเช่น โรบิน กูเซนส์ ของ อตาลันต้า อังเคลินโญ ของ ไลป์ซิก หรือแม้แต่ ลูก้า ดีญ ของ เอฟเวอร์ตัน ส่วนในตำแหน่งตัวรุกก็อาจจะเลือกคนที่เป็นเพลย์เมคเกอร์ธรรมชาติเช่น แจ็ค กรีลิช ของ วิลลา เจมส์ แมดดิสัน ของ เลสเตอร์ หรือตัวเลือกราคาถูกอย่าง เอมี บูเอนเดีย ของ นอริช ใน เดอะแชมเปี้ยนชิพ ก็พอจะเป็นทางเลือกที่น่าลุ้นน่าเชียร์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ไม่ใช่ไม่คม แค่ไม่มั่นใจ…

อีกทางเลือกในการแก้ปัญหาที่ไม่ต้องควักเงินเลยแม้แต่แดงเดียวก็คือการ แก้ไขให้ตรงจุดจากภายใน ปรับเปลี่ยนทรัพยากรที่มีอยู่เดิมให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยการ “เพิ่มความมั่นใจ” ให้กลับคืนมา เพราะขุมกำลังที่พวกเขามีอยู่ในแนวรุกทั้งที่จัดซื้อเข้ามาใหม่อย่าง แวร์เนอร์ ฮาเวิร์ตซ์ ซิเยค ล้วนแต่อายุยังไม่มาก และฝีเท้าก็ไม่ธรรมดา เพียงแต่ต้องใช้เวลาปรับจูนให้เข้ากับทั้งสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ใน พรีเมียร์ลีกอังกฤษ รวมถึงต้องทำความเข้าในแนวทางและแผนการเล่นของผู้จัดการทีมคนใหม่ แต่อย่างที่ทราบดีว่าอุปสรรคสำคัญการมาเล่นกับ เชลซี คือพวกเขาต้องแบกรับแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่อย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อผลงานไม่เป็นไปตามเป้า นั่นจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ความมั่นใจ” ในยามที่ลงทำหน้าที่ เห็นได้ชัดเลยคือกรณีของ แวร์เนอร์ ที่ยิ่งทำประตูไม่ได้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลต่อความเฉียบคมที่เคยมีในการจบสกอร์ของเขามากเท่านั้น รวมถึงในรายของหมายเลข 10 อย่าง พูลิซิช ที่ฤดูกาลก่อนหน้า ช่วงก่อนที่จะเจ็บไป เจ้าตัวเรียกได้ว่าเป็นเดอะแบกของทีมเป็น “นิว อาซาร์” เลยก็ว่าได้ ที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งจังหวะลากเลื้อยและจังหวะจบสกอร์ ซึ่งในปีนี้เราแทบไม่เห็นแววเดิมจากปีก่อนเหล่านั้นเลยจากเขาคนนี้

แล้วจะทำอย่างไรถึงจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้กันล่ะ ? คำตอบง่าย ๆ เลยก็คือพวกเขาต้องการ “โอกาส” ที่จะได้ลงไปเรียกฟอร์มเก่ง โอกาสที่จะได้ลงไปสร้างความแตกต่าง ขอแค่โอกาสให้พวกเขาได้อะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเพียงครั้งเดียวแม้ว่าก่อนหน้านี้จะล้มเหลวมาไม่รู้กี่ครั้ง นั่นก็สามารถเพิ่มคุณค่าและความมั่นใจในตนเองขึ้นมาได้อีกมากโข แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน ทีมระดับนี้ โอกาสมักจะตกเป็นของคนที่เหมาะสมเท่านั้น หากคุณไม่สามารถใช้โอกาสอันน้อยนิดที่มี แสดงให้เห็นว่ามีศักยภาพมากพอ ก็อาจจะต้องพบชะตากรรมแบบที่รุ่นพี่หลาย ๆ ในทีมเคยประสบมา นั่นคือ “ถูกโละ” ซึ่งมันก็เป็นวัฏจักรของโลกฟุตบอล ก็เป็นได้….