หน้าสาก, หลังแน่น-กรีนวู้ด ตัวอันตราย : เก็บตกหลังเกม แมนยู 1-0 เวสต์แฮม

การแข่งขัน :ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ2020/21
วันแข่งขัน : วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2021
เวลาแข่งขัน : 02:15 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน :แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด1-0 พบ เวสต์แฮม
สนาม : โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ถ่ายทอดสด :true Premier Football HD1

แม้เกมรุกจะไม่สามารถสร้างความอันตรายได้มากนักแต่ โซลชา ก็ยังเลือกที่จะเพิกเฉยต่อเหล่าแข้งสำรองที่นั่งรอโอกาสของตัวเองอยู่ โดยเฉพาะกับ อาหมัด ดิยัลโล และ โชลา ชอริทิเร

จริงอยู่ที่การเปลี่ยนตัวอาจไม่ได้ผลเสมอไป แต่สิ่งนี้และการเข็น วาน-บิซซาก้า ลงเล่นทุกเกมจนล้าก็แสดงให้เห็นแล้วว่าแม้แต่ผู้จัดการทีมเองก็คงพอจะทราบว่าตัวเลือกในทีมของเขายังมีไม่มากพอ

กรีนวู้ด พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นตัวรุกที่ดีที่สุดของ ยูไนเต็ด ในเกมนี้และอีกหลายเกมในช่วงเดือนมีนาคมแม้จะไม่ได้มีส่วนร่วมกับการทำประตูก็ตาม เขามีความมั่นใจในการดวลกับกองหลัง เวสต์แฮม และไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะพยายามเลี้ยงฝ่าแหวกเข้าไป นอกจากนี้การคอยเชื่อมเกมกับ บรูโน ก็ช่วยให้การทำเกมรุกดูลื่นไหลขึ้นบ้างแม้ท้ายที่สุดแล้วบอลจะมาตายที่ แรชฟอร์ด และ เจมส์ ก็ตามที

สิ่งเดียวที่ขาดหายไปก็คือการเคลื่อนที่หาช่องในกรอบเขตโทษแบบที่ เอดินสัน คาวานี ถนัด แต่ทั้งเขาและ มาร์กซิยาล ไม่สามารถทำได้

แรชฟอร์ด เล่นเต็มเกมกับ เวสต์แฮม แม้จะเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บข้อเท้าและไหล่ที่ต้องฝืนเล่นมาอย่างยาวนาน เขาถูกส่งลงสนามมากเป็นอันดับต้นๆของทีมและบ่อยครั้งที่การตัดสินใจของเขาก็ส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อทีม

เราไม่ควรมองข้ามโอกาสที่พลาดไป 2-3 ครั้งของเขา โดยเฉพาะลูกโหม่งที่ เมสัน กรีนวู้ด ถวายพานมาให้

แม้จะมีกองกลางสไตล์รับอย่าง เฟร็ด และ แม็คโทมิเนย์ ยืนอยู่ในแผงกองกลาง แต่แทคติกของ ยูไนเต็ด ก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทั้งคู่ช่วยทำให้งานของกองหลังง่ายขึ้นเลย อย่างไรก็ดี แม็คไกวร์ และ ลินเดอเลิฟ ก็ทำได้ดีในการต้องรับมือกับลูกเปิดจากด้านข้างและการคอยซ้อน ซูเช็ค และ อันโตนิโอ

อันเชล็อตติ ย้ำต้องการให้ ฮาเมส ฟิตเต็มร้อยก่อนส่งลงสนาม

คาร์โล อันเชล็อตติ นายใหญ่ของสโมสร เอฟเวอร์ตัน กล่าวว่า ฮาเมส โรดริเกวซ เพลย์เมคเกอร์คนสำคัญอาจจะต้องหายหน้าไปจากทีมอีกหลายเกมเนื่องจากเขาต้องการให้แน่ใจว่าเจ้าตัวจะฟิตเต็มร้อยก่อนลงสนาม ตามรายงานจาก เดลีเมล

อันเช ระบุว่านักเตะทีมชาติโคลอมเบียต้องถอนตัวจากการซ้อมเต็มรูปแบบเพื่อไปรักษาอาการบาดเจ็บที่น่อง ซึ่งทำให้เขาไม่ได้ลงสนามมาตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเชื่อว่าเจ้าตัวจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งหลังปิดเบรคทีมชาติ

“มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับ ฮาเมส เขาเล่นได้ดีในเกมที่เจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทำประตูได้ เขาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมที่เจอกับ ลิเวอร์พูล แต่ยังไม่ฟิตเต็มร้อยและมีปัญหาอาการบาดเจ็บเล็กน้อย”

“ข้อเท็จจริงคือเราจะยังมีเกมที่สำคัญไปจนจบฤดูกาล เราตัดสินใจจะให้เขาได้รับการรักษาที่เหมาะสมและไม่อยากจะส่งเขาลงสนามในสภาพที่มีความฟิต 70 หรือ 80 เปอร์เซ็นต์ เขาต้องได้รับการรักษาและเมื่อฟิตเต็มร้อยก็จะได้ลงเล่น”

“เราตัดสินใจเรื่องนี้ร่วมกัน เราไม่ได้มีปัญหากับผู้เล่น นักเตะเองก็เห็นด้วย แน่นอนว่าผู้เล่นต้องการที่จะลงสนามแต่เขาลงเล่นในเกมที่เจอกับ ลิเวอรืพูล ไปได้แค่ 60 นาทีผมก็เปลี่ยนเขาออก และในเกมที่เจอกับ ยูไนเต็ด ก็เหมือนกัน ซึ่งมันดีกว่าสำหรับเขาในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้พร้อมไปจนถึงท้ายซีซัน เขาจะสามารถกลับมาลงเล่นได้ (หลังปิดเบรคทีมชาติ) ซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร” อันเชล็อตติ กล่าว

โอลิมเปียกอส 1-3 อาร์เซนอล : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ยูโรปาลีก ปืนใหญ่ บุกชิงความได้เปรียบไปก่อนในนัดแรก

การแข่งขัน : ยูฟา ยูโรปาลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 1 2020/21
วันแข่งขัน : วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2021
เวลาแข่งขัน : 03:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน : โอลิมเปียกอส 1-3 อาร์เซนอล
สนาม : คาไรส์คากี้ สเตเดี้ยม

แม้ตลอดทั้งเกม อาร์เซนอล ดูจะเป็นฝ่ายครองบอลเหนือกว่า มีโอกาสเข้าทำมากกว่า คุมเกมได้ชัดเจนกว่า แต่ต้องบอกว่าพวกเขาก็มีข้อผิดพลาดให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะการทำเกมขึ้นมาจากหน้าปากประตูตัวเอง ที่มักจะมีจังหวะพลาดหลายครั้งตลอด 90 นาที ทั้งลูกที่ โอเดการ์ด จ่ายเสียช่วงต้นเกม ดาวิด ลุยซ์ เปิดติดในเขตโทษ รวมถึงลูกที่เสียประตูที่ เลโน ออกบอลไม่ได้เปรียบ เซบาญอส จึงเสียบอลหน้ากรอบและถูก เอล อราบี ตัดเข้าไปยิง ซึ่งหากเจ้าบ้านเฉียบขาดจากจังหวะฉวยโอกาสได้ดีกว่านี้ รับรองว่ารูปเกมจะไม่ออกมาในลักษณะนี้อย่างแน่นอน

กองหลังเลือดกรีซที่เมื่อต้นฤดูกาลที่ผ่านมากลายเป็นส่วนเกินของ อาร์เซนอล จนในที่สุดก็ตัดสินใจย้ายออกจากทีมแบบไร้ค่าตัวซบตัก โอลิมเปียกอส ซึ่งก็ดันต้องโคจรมาพบกับสโมสรเก่าใน ยูโรปาลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนี้ โดยตลอด 90 นาทีต้องบอกว่าอายุที่มากขึ้น (32 ปี) รวมถึงความคล่องตัวของแนวรุกทีมเยือนดูจะสร้างปัญหาให้เขาได้ดีพอสมควร จนในที่สุดก็ต้องปราชัยให้กับทีมเก่าชนิดที่เพิ่งจะย้ายออกมายังไม่ถึง 3 เดือนเลยด้วยซ้ำ

ประตูเปิดหัวของของ โอเดการ์ด และ เอลเนนี ในช่วงท้ายเกม ต้องบอกว่าว่าสำคัญกับทีมเป็นอย่างยิ่ง โดยส่วนหนึ่งก็ต้องโทษแนวรับเจ้าบ้านที่เปิดพื้นที่จนมีเวลาให้ทั้งคู่ได้บรรจงกดเต็มข้อชนิดที่ไม่มีใครเข้าไปกดดันเลยแม้แต่นิดเดียว

ลูกยิงของ โอเดการ์ด บอลพุ่งแรงก็จริงแต่ทิศทางค่อนข้างจะตรงตัวผู้รักษาประตู โชเซ ซา แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้นายทวารรายนี้ ปัดบอลไม่ดีปลิ้นเข้าประตูไป ซึ่งลูกนี้นับเป็นประตูแรกของเพลย์เมคเกอร์ชาวนอร์เวย์รายนี้กับ ปืนใหญ่

ส่วนลูกยิงของ “บัลเอล” ต้องบอกว่าเฉียบขาดสุด ๆ กับการกดด้วยขวา บอลส่ายพุ่งหนีมือ ซา ที่พยายามพุ่งปัดปลายมือ แต่บอลก็ยังดิ่งสู่ก้นตาข่ายเข้าไป ชนิดที่เป็นการปลดล็อคความตึงเครียดของเกมและดับความหวังของเจ้าบ้านไปได้โดยสิ้นเชิงในเกมนี้

สตีเวน เจอร์ราร์ด ผู้นำทัพ เรนเจอร์ส ปลดแอกจาก เซลติก- FEATURE

แม้จะเพิ่งสวมบทเป็นกุนซือแบบเต็มตัวได้ไม่ถึง 3 ปี หลังตัดสินใจรับงานคุมทัพ “เดอะไลท์บูลส์” กลาสโกว์ เรนเจอร์ส เป็นทีมแรกในชีวิตเมื่อปี 2018 แต่ตอนนี้ “สตีวีจี” สตีเว่น เจอร์ราร์ด ได้สัมผัสแชมป์แรกในฐานะผู้จัดการทีมแบบที่ไม่ต้องรอจนถึงช่วงจบฤดูกาล 2020/2021 เพราะสามารถนำทีมต้นสังกัดปัจจุบันกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่จากการเข้าป้ายแชมป์สกอตติช พรีเมียร์ชิพ ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีเรียบร้อยแล้ว

ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ต้องพบกับช่วงเวลาแห่งความตกต่ำ เพราะมีปัญหาเรื่องการเงินอย่างรุนแรงในช่วงปี 2012 และถูกตัดสินลงโทษปรับตกชั้นให้ลงไปเริ่มต้นในลีก ทู หรือระดับต่ำสุดของลีกอาชีพแดนวิสกี้ในดิวิชั่น 4 โน้นเลย จึงเปิดทางให้ “ม้าลายเขียวขาว” กลาสโกว์ เซลติก ซึ่งเป็นทีมคู่ปรับร่วมเมืองเดียวกันได้ครองความยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว โดยผูกขาดตำแหน่งแชมป์สกอตติช พรีเมียร์ชิพ ได้ถึง 9 ฤดูกาลติดต่อกันเลยด้วย นับตั้งแต่ปี 2012-2020 หรือจนถึงช่วงซีซั่นก่อนนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ เรนเจอร์ส เป็นเจ้าของสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองวิสกี้ได้มากที่สุดถึง 54 สมัยเลยทีเดียว แต่หลังจากที่ถูกปรับตกชั้นลงไปอยู่ในลีกอาชีพระดับต่ำสุดเมื่อ 9 ปีที่แล้ว จึงต้องใช้เวลานานถึง 4 ปีกว่าจะเลื่อนชั้นหวนกลับคืนสู่ลีกสูงสุดของประเทศได้อีกครั้งในปี 2016 และต้องไล่ตาม เซลติก ทีมคู่อริอยู่หลายก้าวเลยด้วย ทำให้ “เดอะไลท์บูลส์” ตัดสินใจวัดดวงด้วยการเลือก เจอร์ราร์ด ให้เข้ามาคุมทัพในปี 2018 เพราะเชื่อมั่นในฝีมือของตำนานกัปตันทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมลูกหนังมาก่อนเลยก็ตาม

ในช่วงต้นปี 2017 เจอร์ราร์ด ได้มีโอกาสลองคุมทีมลูกหนังเป็นครั้งแรก โดย ลิเวอร์พูล มอบหมายให้ทำหน้าที่คุมทีมเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี หลังจากนั้นอดีตสุดยอดกองกลางวัย 40 ปีอยากที่จะลองสวมบทเป็นกุนซือแบบเต็มตัวดูบ้าง จึงตัดสินใจตอบรับข้อเสนอของ เรนเจอร์ส เมื่อ 3 ปีก่อน และค่อยๆ ลงมือสร้างทีมตามบุคลิกที่มีความเป็นผู้นำสูงมากตั้งแต่ตอนสมัยที่ยังค้าแข้งอยู่จนสามารถแซงหน้า เซลติก กลับคืนสู่บัลลังก์แชมป์ลีกสูงสุดของสกอตแลนด์ได้เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งทศวรรษ นับตั้งแต่หนล่าสุดที่ทำได้ในฤดูกาล 2010/2011

ตอนนี้ ศึกสกอตติช พรีเมียร์ชิพ ยังเหลือเกมการแข่งขันอีก 6 นัด แต่ เจอร์ราร์ด สามารถนำทัพ เรนเจอร์ส ปลดแอกจาก เซลติก แบบไม่ต้องรอจนถึงช่วงจบฤดูกาล 2020/2021 ได้แล้ว เพราะยังคงเป็นจ่าฝูงไร้พ่ายมีคะแนนทิ้งห่าง “ม้าลายเขียวขาว” ทีมอันดับ 2 แบบขาดลอยไปแล้วถึง 20 คะแนนเลยทีเดียว และเป็นการสานต่อสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศได้เป็นสมัยที่ 55 อีกด้วย

วิเคราะห์ 4 ประเด็นร้อนก่อนเกม หงส์แดง หวด แชมเปี้ยนส์ลีก

การแข่งขัน : ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2020/21 รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2
วันแข่งขัน : คืนวันพุธที่ 10 มีนาคม 2021
เวลาแข่งขัน : 03:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน : ลิเวอร์พูล (2) พบ (0) แอร์เบ ไลป์ซิก
สนาม : ปุสกัส อารีนา
ถ่ายทอดสด : UEFA.tv

ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบมาจากเลกแรกที่ลงแข่งขันใน ปุสกัส อารีนา สนามเดียวกันซึ่งจะฟาดแข้งคืนนี้ด้วยสกอร์ 2-0 นับเป็นการได้ 2 ประตูทีมเยือนที่สำคัญของ หงส์แดง

พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากบนเวที พรีเมียร์ลีก ซึ่งหล่นไปอยู่ในอันดับที่ 8 บนตารางคะแนน ตามหลัง เชลซี ในอันดับที่ 4 อยู่ 7 แต้ม ทำให้ หงส์แดง เหลือเพียงความหวังบนเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แล้วเท่านั้นในฤดูกาลนี้

ทัพเร้ดแมชีน เพิ่งปราชัยคาบ้านต่อ ฟูแลม เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้พวกเขาปราชัยเป็นเกมที่ 6 จาก 8 นัดหลังสุดเข้าไปแล้วเมื่อรวมทุกรายการ รวมทั้งยังทำให้ทีมยังไม่สามารถยิงประตูในเกมเหย้าบน พรีเมียร์ลีก จากลูกโอเพนเพลย์ได้เลยตั้งแต่เข้าสู่ปี 2021 เป็นต้นมา

ขณะที่ ไลป์ซิก อยู่ในฟอร์มที่น่าประทับใจใน บุนเดสลีกา โดยกำลังไล่บี้ บาเยิร์น มิวนิค ในตำแหน่งจ่าฝูงเหลือเพียง 2 คะแนนและผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศของศึก เดเอฟเบ โพคาล

มีความเป็นไปได้สูงที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะส่งผู้เล่นคีย์แมนที่ไม่ได้ออกสตาร์ทในเกมพ่าย ฟูแลม ลงเป็นตัวจริงอีกครั้ง ได้แก่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ, ติอาโก้ และ ซาดิโอ มาเน ขณะที่ โอซาน คาบัค ยังคงต้องรอทดสอบความพร้อมจนนาทึสุดท้ายเช่นเดียวกับ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน โดย ดิโอโก้ โชต้า พร้อมสอดแทรก

ดิโอโก้ โชต้า หายจากอาการบาดเจ็บออกสตาร์ทเป็นตัวจริงสร้างจังหวะที่แตกต่างในเกมกับ ฟูแลม ท่ามกลางเพื่อนร่วมทีมในแดนหน้าซึ่งอยู่ระหว่างการสูญเสียความมั่นใจและมีปัญหาในการทำประตู

ขณะที่ความหวังของ ไลป์ซิก อยู่ที่ คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู (7 ประตู 8 แอสซิสต์) ศูนย์หน้าชาว ฝรั่งเศส วัย 23 ปีจะวาดลวดลายที่แดนหน้า

เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก เชลซี เปิดบ้านเชือด เอฟเวอร์ตัน 2-0

การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2020/21
วันแข่งขัน : วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2021
เวลาแข่งขัน : 01:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน : เชลซี 2-0 เอฟเวอร์ตัน
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

จากสกอร์ 2-0 ในเกมนี้ ส่งผลให้ เชลซี เก็บคลีนชีทใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ มาแล้ว 5 นัดติดต่อกัน ซึ่งนั่นทำให้ โทมัส ทูเคิล เป็นผู้จัดการทีมคนแรกในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ไม่เสียเลยแม้แต่ประตูเดียวตลอดการคุมทีมในบ้าน 5 นัดแรกนับตั้งแต่เข้ารับงาน ซึ่งก็ต้องยกเครดิตส่วนหนึ่งให้กับบรรดาเหล่าผู้เล่นเกมรับ ที่นัดกันคืนฟอร์มเก่งจนพาทีมกลับสู่จุดที่ควรจะเป็นได้อีกครั้ง

จาก 90 นาทีในวันนี้ ชัดเจนว่า เชลซี เป็นฝ่ายที่ครองบอลเหนือกว่า โอกาสเข้าทำมากกว่า และสามารถคุมทุกอย่างไว้ได้ในกำมือ ซึ่งตลอดเกม เอฟเวอร์ตัน มีโอกาสยิงตรงกรอบเพียงครั้งเดียว แทบยังหาจังหวะเข้าพื้นที่อันตรายของ สิงห์บลู แทบไม่ได้เลย ซึ่งนี่ไม่ใช่เกมแรกที่รูปเกมออกมาในลักษณะนี้ เพราะหลายนัดก่อนแม้จะเจอกับทีมใหญ่อย่าง ลิเวอร์พูล หรือ แอตเลติโก้ มาดริด พวกเขาก็ยังโชว์ศักยภาพได้ตามมาตรฐานจนทำให้คู่แข่งที่ว่าแข็งแกร่ง กลับดูเป็นรองอย่างชัดเจนได้ทันทีที่ต้องเจอกับแนวทางการเล่นที่ ทูเคิล จัดสรรมา

2 ประตูของ เชลซี ในวันนี้ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ตัวรุกจอมขาอ่อนที่ได้รับโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงในนั้น ล้วนแต่มีส่วนทั้งหมดโดยประตูแรกที่เจ้าตัวยิงไปแฉลบ ก็อดฟรีย์ เข้าประตู และจากนั้นก็เป็นผู้เรียกจุดโทษในประตูที่สอง แถมยังยิงประตูได้แต่ถูก VAR จับ แฮนด์บอลไปก่อน ซึ่งดูจากฟอร์มในวันนี้ต้องบอกว่าเจ้าตัวเริ่มจับหลักอะไรบางอย่างได้แล้ว ซึ่งหากเขาสามารถนำจุดเด่นที่มีทั้ง ความเร็ว การหาพื้นที่ได้ดี รวมถึงความเฉียบคม ไปประยุคใช้กับทีมได้ คาดว่าฟอร์มเก่งของเขาเหมือนสมัยเล่นที่เยอรมันคงจะกลับมาในไม่ช้าอย่างแน่นอน

ส่วน แวร์เนอร์ วันนี้ต้องบอกว่าเพื่อนปั้นไม่รู้จะปั้นยังไงแล้ว ซึ่งเจ้าตัวมีโอกาสได้ส่องจ่อ ๆ ชนิดต้องเข้าร่วม 2-3 ครั้ง และเขาควรจะมีชื่อเป็นผู้ทำสกอร์อย่างน้อยสักประตูในเกมนี้ แต่เห็นได้ชัดเลยว่าความมั่นใจที่หายไปมีผลต่อจังหวะยิงเขาเขาที่ดูขาด ๆ เกิน ๆอย่างมาก อย่างไรก็ตามแฟน สิงห์บลู ในตอนนี้คงทำได้แต่หวังว่า ทูเคิล จะเรียกวิญญานเพชรฆาตของเขากลับเข้าร่างให้ได้ในเร็ววัน

อาร์เซนอล ระวังไว้ ! แมนฯ ยูไนเต็ด ผู้ตามล่าสถิติไร้พ่ายเกมเยือนนานสุดในศึก พรีเมียร์ลีก

ตอนนี้ “ปีศาจแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงรักษาสถิติ “เก่งนอกบ้าน” จากการไร้พ่ายเกมเยือนในศึก พรีเมียร์ลีก ได้เป็นนัดที่ 22 ติดต่อกัน โดยนัดล่าสุดสามารถบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้กับ “เรือใบสีฟ้า” แมนฯ ซิตี้ ในเกมแห่งศักดิ์ศรี “แมนเชสเตอร์ดาร์บี้แมทช์” เหนือทีมคู่ปรับร่วมเมืองด้วยสกอร์ 2-0

นับตั้งแต่บุกไปชนะ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี 2-0 ในศึก พรีเมียร์ลีก เมื่อช่วงฤดูกาลก่อน ซึ่งตรงกับวันที่ 17 ก.พ. 2020 หลังจากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เดินหน้าคว้าชัยจากเกมนอกบ้านได้แบบต่อเนื่องเลย และเป็นไปแบบข้ามซีซั่นเลยด้วย โดยแบ่งออกเป็นผลงานในช่วงท้ายฤดูกาล 2019/2020 ทั้งหมด 7 เกม และอีก 15 เกมในช่วงฤดูกาลนี้ ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเพียงเท่านี้เลยด้วย จึงดูเหมือนว่าจะผลงานในยามเล่นเป็นทีมเยือนได้ดีกว่าเสียด้วยซ้ำ

ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 2 ในฐานะทีมลูกหนังไร้พ่ายเกมเยือนนานที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของศึก พรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวน 22 เกมนั่นเอง โดยเพิ่งแซงหน้า “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ซึ่งต้องร่วงลงไปอยู่อันดับ 3 เพราะเคยฝากผลงานในช่วงระหว่างวันที่ 12 ม.ค. 2019 ถึง 15 ก.พ. 2020 เอาไว้ทั้งหมด 21 เกม

บทความที่เกี่ยวข้อง

เก่งนอกบ้านไม่ช่วย ! แมนฯ ยูไนเต็ด จอมเสมอไร้สกอร์มากสุดใน พรีเมียร์ลีก – FEATURE

“ปีศาจแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงรักษาสถิติไร้พ่ายเกมเยือนในศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้นานถึง 14 เกม แต่กลับเป็นจอมเสมอไร้สกอร์จากผล 0-0 มากที่สุดถึง 6 นัดแล้วด้วย

Chatchawal Chatsuwanvilai

|

Mar 5, 2021

แมนฯ ยูไนเต็ด ชิดซ้าย ! ส่องทีมลีกใหญ่ได้จุดโทษเยอะสุดในหนึ่งฤดูกาล – FEATURE

เปิดสถิติทีมได้จุดโทษมากที่สุดต่อหนึ่งฤดูกาลใน 5 ลีกใหญ่ยุโรป ปรากฎว่า บาร์เซโลน่า เคยได้มากสุดถึง 19 ครั้ง ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ได้มากสุดเมื่อฤดูกาลก่อน 14 ครั้ง

Chatchawal Chatsuwanvilai

|

Mar 7, 2021

ก่อนเจอ แมนยู ! 5 สถิติน่าทึ่งของ แมนฯ ซิตี้ ตลอด 21 เกมที่ชนะติดต่อกันมา – FEATURE

ย้อนดูความมหัศจรรย์ของ แมนฯ ซิตี้ ก่อนเกม ดาร์บี้แมตช์ ในคืนวันอาทิตย์

Chidchanok Sharma

|

Mar 6, 2021

อาร์เซนอล มีหวัง ! ปืนโต รอคว้า กรีลิช หลังเจ้าตัวเผยสาเหตุที่ปฏิเสธ แมนฯ ยูไนเต็ด

อาร์เซนอล ทีมดังใน พรีเมียร์ลีก มีความหวังในการคว้าตัว แจ็ค กรีลิช เพลย์เมคเกอร์คนสำคัญของ แอสตัน วิลลา มาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์นี้

Chayapol Thaneewat

|

Mar 6, 2021

ส่วนอันดับ 1 ยังคงเป็นของ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล จากผลงานไร้พ่ายเกมเยือนนานที่สุดในศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อช่วงระหว่างวันที่ 5 เม.ย. 2003 ถึง 25 ก.ย. 2004 ด้วยจำนวน 27 เกมเลยทีเดียว หรือเป็นตัวเลขที่มากกว่าครึ่งหนึ่งจากเมื่อตอนที่สร้างสถิติไร้พ่ายแบบยาวนานที่สุดในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี 49 นัดนั่นเอง

เท่ากับว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องคว้าชัยจากเกมนอกบ้านอีก 6 นัด เพื่อจะได้ก้าวเท้าแซงขึ้นไปยึดสถิติไร้พ่ายเกมเยือนนานสุดในศึก พรีเมียร์ลีก ไปเลย เพราะตอนนี้ไล่ตามหลังผลงานของ อาร์เซนอล เพียง 5 นัดเท่านั้น แต่มีข้อแม้จะต้องไม่พลาดท่าปราชัยเกมนอกรังในช่วงหลังจากนี้ไปเสียก่อน

อาร์เซนอล บุกเจ๊า เบิร์นลีย์ 1-1 หลังแอนตี้ไคลแม็กซ์ VAR เรียกคืนใบแดง จุดโทษ

การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2020/21
วันแข่งขัน : วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2021
ผลการแข่งขัน : เบิร์นลีย์ 1-1 อาร์เซนอล
สนาม : เทิร์ฟมัวร์

อาร์เซนอล ทำได้เพียงแค่เก็บ 1 คะแนนออกจาก เทิร์ฟ มัวร์ หลังผลเสมอกับ เบิร์นลีย์ 1-1 ในศึก พรีเมียร์ลีก คืนวันเสาร์ชนิดที่มีดรามาในช่วงท้ายเกม

ไอ้ปืนใหญ่ ออกสตาร์ทด้วยการขึ้นนำอย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 6 เมื่อ วิลเลียน ขึ้นเกมรุกพื้นที่กลางสนามเลี้ยงจี้เข้าหากรอบเขตโทษก่อนไหลให้ โอบาเมยอง ตัดเข้าในก่อนจบสกอร์ด้วยเท้าขวา บอลพุ่งเลียดเข้าเสาแรก นิค โป๊บ พยายามล้มตัวปัดแต่ไม่พ้นบอลกลิ้งไปซุกที่ก้นตาข่ายช้าๆ

เกมครึ่งแรกทำท่าจะจบด้วยสกอร์นำ 1-0 ของ เดอะกันเนอร์ส แต่แล้วความผิดพลาดที่หน้าปากประตูโดย กรานิท ชาก้า ที่พยายามจะวางบอลขวางเขตโทษไปติด คริส วูด บอลกระดอนเข้าประตูชนิดที่ แบร์นด์ เลโน หมดสิทธิ์เซฟ กลายเป็นประตู 1-1 ก่อนจบครึ่งแรก

ช่วงท้ายเกมทีมเยือนโหมทำเกมรุกอย่างหนักหวังที่จะได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งกระทั่งลูกยิงของ นิโกลาส์ เปเป้ ไปถูกบ่าของ เอริค พีเตอร์ส สกัดไว้ได้บนเส้นประตู ผู้ตัดสินเป่าให้เป็นลูกจุดโทษของ อาร์เซนอล พร้อมกับใบแดงของ ปีเตอร์ส ทันทีก่อนที่ VAR จะพิจารณาเรียกคืนใบแดงและจุดโทษดังกล่าวเมื่อเห็นว่าบอลไปถูกช่วงบ่าของเจ้าตัวก่อนที่เกมจะจบด้วยสกอร์ดังกล่าว

รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม
เบิร์นลีย์
: โป๊บ; โลว์ตัน, ทาร์คอฟสี้, มี, เทย์เลอร์ (พีเตอร์ส 63′); กุดมุนด์สสัน (เบรดี้ 68′), เวสต์วูด, บราวน์ฮิลล์, แม็คนีล; วิดรา (โรดริเกวซ 86′), เวสต์วูด
ตัวสำรองที่ไม่ได้ใช้งาน: บาร์ดสลีย์, เบนสัน, ดันน์, ลอง, พีค็อก-แฟร์เรลล์, สตีเฟนส์

อาร์เซนอล: เลโน; แชมเบอร์ส, ลุยซ์, ปาโบล มารี, เทียร์นีย์; ปาร์เตย์ (เซบายอส 81′), ชาก้า; ซาก้า, โอเดการ์ด (ลากาเซ็ตต์ 63′), วิลเลียน (เปเป้ 69′); โอบาเมยอง
ตัวสำรองที่ไม่ได้ใช้งาน: เบเยริน, เอลเนเนี, โฮลดิ้ง, กาเบรียล, มาร์ติเนลลี, ไรอัน

เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก ความปราชัยที่ แอนฟิลด์ 5 นัดติดของ หงส์แดง

การแข่งขัน :ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2020/21
วันแข่งขัน : คืนวันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2021
เวลาแข่งขัน : 03.15 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน : ลิเวอร์พูล 0-1 เชลซี
สนาม : แอนฟิลด์

เกมนี้ต้องบอกว่าทั้งสองทีมสู้กันได้ค่อนข้างสูสี เปิดหน้าแลกกันตลอดในช่วงครึ่งเวลาแรกและมักจะมีโอกาสได้ลุ้นหวาดเสียว ๆ ตลอดทั้งเกม แต่ต้องบอกว่า เชลซี เป็นฝ่ายที่ฉกฉวยโอกาสได้ก่อนจากประตูชัยสุดสวยของ เมสัน เมานท์ ช่วงท้ายครึ่งแรก ทำให้ครึ่งหลัง ทูเคิล ปรับแทคติคถอยลงมารับต่ำเพื่อเน้นผลการแข่งกัน ซึ่งก็อย่างที่รู้กันว่าแผงหลังของ สิงห์บลู ในยุคนี้ เรียกได้ว่าแข็งแกร่งสุด ๆ ตั้งแต่นายใหญ่คนใหม่เขามาทำทีม และก็เป็นไปตามคาด หงส์แดง ไม่สามารถเจาะแนวรับของผู้มาเยือนได้เลย แถมยิงตรงกรอบไปเพียง 1 ครั้งถ้วนตลอดทั้งเกม กระทั่งในที่สุดก็ต้องปราชัยในบ้านอย่างต่อเนื่องไปในที่สุด

อย่างที่ได้วิเคราะห์ไปก่อนแข่งที่ว่า ณ เวลานี้ มีเพียง โม ซาลาห์ เพียงคนเดียวที่แบกเกมรุกของ ลิเวอร์พูล เอาไว้บนบ่า และมันก็เป็นเช่นนั้น เพราะคนอื่น ๆ ในทีม ดูจะฝากความหวังเอาไว้ไม่ได้เลยทั้ง ฟิร์มิโน หรือแม้แต่ ซาดิโอ มาเน ซึ่งหลังจากที่ ซาลาห์ ไม่สามารถสลัดตัวประกบอย่าง รือดิเกอร์ ไปได้ จึงทำให้เกมรุกของพวกเขาลดความอันตรายลงไปอย่างเห็นได้ชัด แถมครึ่งหลัง คล็อปป์ เลือกที่จะเปลี่ยน บังโม ออกตั้งแต่นาทีที่ 60 ทำให้แนวรับของ เชลซี ดูจะเล่นง่ายขึ้น และในที่สุดก็ ทัพหงส์แดง ก็แทบหาจังหวะจบที่สร้างปัญหาให้กับ เมนดี้ แทบไม่ได้เลยตลอดช่วงเวลาที่เหลือ

3 คะแนนในวันนี้ทำให้ เชลซี ขยับขึ้นไปอยู่อันดับที่ 4 ชั่วคราว มี 47 คะแนนห่างจากอันดับ 5 เอฟเวอร์ตัน 1 คะแนน แต่แข่งมากกว่า 1 เกม และตามหลังอันดับ 3 เลสเตอร์ ซิตี้ 3 คะแนนด้วยกัน ส่วน ลิเวอร์พูล หล่นมาอยู่ที่ 7 มี 43 คะแนนตามหลังอันดับ 6 เวสต์แฮม 2 คะแนน และมี สเปอร์ส ไล่จี้เข้ามาเหลือเพียงคะแนนเดียว แถม หงส์แดง ยังลงเล่นเยอะกว่าทั้งสองทีมดังกล่าวอยู่อีก 1 เกมด้วยกัน

จากสถานการณ์ปัจจุบันพื้นที่อันดับ 4 คงลุ้กันสนุกและแน่นอน เชลซี กลับมาเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ส่วน ลิเวอร์พูล คงต้องลุ้นเหนื่อยหน่อยหากต้องการจะกลับสู่จุดที่ควรจะเป็น พวกเขาจำเป็นต้องเรียกฟอร์มเก่งกลับมาให้ได้ในอีก 11 นัดที่เหลือ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป…

คริสตัล พาเลซ 0-0 แมนยู : 4 ประเด็นหลังเกม พรีเมียร์ลีก คืนวันพุธ

การแข่งขัน :ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ2020/21
วันแข่งขัน : คืนวันพุธที่ 3 มีนาคม 2021
เวลาแข่งขัน : 03:15 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : คริสตัล พาเลซ 0-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สนาม : เซลเฮิร์สท พาร์ค
ถ่ายทอดสด :true Premier Football HD1

เนมานยา มาติช และ เฟร็ด อไม่สมควรที่จะออกสตาร์ทคู่กันอีกต่อไปเพราะแม้ฝีเท้าของทั้ง 2 คนจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแต่สไตล์ของพวกเขาคล้ายกันเกินไป ทั้งความเชื่องช้าและการมุ่งเน้นไปที่เกมรับอย่างเดียวซึ่งแตกต่างจาก แม็คโทมิเนย์ โดยสิ้นเชิง

การได้ดูคู่มิดฟิลด์นี้คงทำให้แฟน แมนยู คิดถึง พอล ป็อกบา แทบใจจะขาด

ดูเหมือน โซลชา กำลังค่อยแทรก เฮนเดอร์สัน เข้าไปเป็นผู้เล่นตัวจริงของทีมด้วยการให้เขาเผชิญหน้ากับทีมในครึ่งล่างของตารางและลงเล่นในฟุตบอลถ้วยจนกระทั่งวันหนึ่งเขาจะพร้อมก้าวมาแทนที่ของ ดาบิด เด เกอา ที่กำลังอยู่ในช่วงของการถดถอย

เกมเมื่อคืนนี้ก็เปผ็นอีกครั้งที่ เฮนเดอร์สัน พิสูจน์ว่าตัวเองพร้อมแล้วจริงๆซึ่งหากเขาไม่ได้ตำแหน่งมาในเร็ววันนี้ทางออกเดียวที่ดูจะเข้าท่าสำหรับมือกาววัย 23 คือการย้ายออกไปในที่ที่เห็นคุณค่าของเขา

คุณไม่สามารถวิจารณ์เขามากเกินไปเพราะเขายอดเยี่ยมและเป็นเพราะฟอร์มการเล่นอันน่าทึ่งให้ โอเล กุนนาร์ โซลชา โยนเขาลงสนามในทุกสัปดาห์ไม่ว่า ยูไนเต็ด จะเล่นกับใครก็ตาม

สิ่งที่น่ากังวลอาจจะไม่ใช่ตัว แฟร์นันดส์ แต่อาจจะเป็นผู้เล่นรอบๆตัวเขาที่ดูจะถดถอยลงไปเรื่อยๆ
ซึ่งหมายความว่ามีความกดดันอย่างมากเพิ่มขึ้นแก่เพลย์เมคเกอร์คนสำคัญของทีม

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่พวกเขาต้องแก้อีกอย่างคือการหาคนมาคอยสลับสับเปลี่ยนกับเขาบ้างและคนนั้นต้องเป็นผู้เล่นที่ไว้ใจได้ด้วย

โชลา ชอเรติเร และ อาหมัด ดิยัลโล ต่างก็มีชื่ออยู่บนม้านั่งสำรองในเกมเมื่อคืนนี้ แต่จนแล้วจนรอดแม้ ยูไนเต็ด จะต้องการประตูชัยมากเพียงใด ดาวรุ่งทั้ง 2 คนนี้ก็ยังไม่ถูกเรียกใช้งานอยู่ดี จริงอยู่ที่พวกเขาอาจจะยังเด็กเกินไป แต่ถ้า โซลชา คิดเช่นนั้นจริงๆแล้วจะนำพวกเขามา ลอนดอน ด้วยทำไม หรืออีกคำถามที่สำคัญไม่แพ้กันเลย…เขาจะเก็บโควต้าเปลี่ยนตัวอีกที่ไว้เพื่ออะไรกัน