ช่วยเติมกระสุน ! คาวานี กับอีก 3 สตาฟฟ์ คัมแบ็คเกม แมนยู ดวล คริสตัล พาเลซ

ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้รับข่าวดี 4 ประการก่อนเกมคืนวันพุธกับ คริสตัล พาเลซ

โอเล กุนนาร์ โซลชา ได้อัพเดทอาการบาดเจ็บของ เอดินสัน คาวานี และเหล่าสตาฟฟ์ ที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการกักตัวก่อนเกม พรีเมียร์ลีก คืนนี้

ยูไนเต็ดเดินทางไปเมืองหลวงของ อังกฤษ ในคืนนี้เพื่อเผชิญหน้ากับ คริสตัล พาเลซ หลังจากที่เสมอกับ เชลซี เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาโดยที่มีหัวหอกวัย 34 ปี ร่วมเดินทางกับทีมไปยัง เซลเฮิร์สต์ พาร์ค ด้วยหลังจากที่ก่อนหน้านี้เขามีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อจนพลาดการลงเล่นในสัปดาห์ที่ผ่านมา

“มีการฝึกซ้อมกันเมื่อเช้านี้ แน่นอนว่าเป็นการวอร์มกันแบบเบาๆ” โซลชา กล่าว
“เอดินสัน เข้าร่วมการฝึกด้วยโดยที่ไม่มีอาการใดๆหลังจบเซสชั่นและเราหวังว่าเขาจะเดินทางไปกับทีม”

นอกจากนี้ ยูไนเต็ด จะได้ต้อนรับ ไมค์ ฟีแลน, ไมเคิล แคร์ริค และ ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ สำหรับเกม พาเลซ หลังจากที่
ผู้ช่วยและโค้ชทีมชุดแรก 2 คนพลาดเกม 3 เกมล่าสุดเนื่องจากต้องแยกไปกักตัวเพราะมีความเสี่ยงว่าอาจจะได้สัมผัสผู้ป่วยโควิดขณะเดินทางไปยังเมือง ตูริน เพื่อลงเล่นเกม ยูโรปาลีก กับ เรอัล โซเซียดาด

อดรียูเนี่ยน ! อิบราฮิโมวิช จ่อพลาดลงบู๊ แมนยู ในศึก ยูโรปาลีก ทั้ง 2 เกม

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช อาจต้องพักฟื้นถึง 3 สัปดาห์ด้วยอาการบาดเจ็บที่ต้นขาซ้ายซึ่งหมายความว่าเขาจะพลาดการแข่งขัน ยูโรปาลีก กับอดีตทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด

กองหน้าวัย 39 ปี เจ้าของสถิติ 29 ประตูจาก 53 เกมให้กับ ยูไนเต็ด ถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 56 ของเกม เซเรีย อา ที่ เอซีมิลานเอาชนะ โรมา ไป 2-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

มีรายงานหลังเกมออกมาว่าแข้งชาว สวีเดน มีอาการบาดเจ็บที่อาจทำให้เขาต้องพลาดการลงสนามถึง 4 เกมซึ่งรวมไปถึง ยูโรปาลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายกับ ปีศาจแดง ในวันที่ 11 และ 18 มีนาคม ที่จะถึงนี้ด้วย

อดีตหมายเลข 9 ในยุค โจเซ มูรินโญ ทำประตูได้ 2 ครั้งที่ เวมบลีย์ เพื่อช่วยทีมคว้าแชมป์ อีเอฟแอลคัพ ปี 2017 และมีส่วนสำคัญในการคว้าถ้วย ยูโรปาลีก แม้จะพลาดการลงสนามในรอบลึกๆเพราะมีอาการบาดเจ็บก็ตาม

นอกจากนี้ยังมีการยืนยันแล้วว่า ดิเอโก ดาโลท์ ที่ถูกยืมตัวไปกับ มิลาน จะมีสิทธิ์ลงเล่นได้ในเกมดังกล่าวแม้จะเป็นการพบกับต้นสังกัดของตัวเองก็ตาม

แผลงฤทธิ์ไม่ออก ! เปิดสถิติสุดบู่ของ บรูโน ในเกม พรีเมียร์ลีก : เชลซี

ไม่สามารถการปฏิเสธได้ว่า บรูโน แฟร์นันดส์ เป็นการเซ็นสัญญาที่ยอดเยี่ยมสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยนับตั้งแต่ย้ายมาจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในเดือนมกราคมปี 2020 กองกลางชาว โปรตุเกส มีส่วนร่วมโดยตรงกับ 54 ประตู (34 ประตูและ 20 แอสซิสต์) จาก 61 นัดให้กับสโมสร

แฟร์นันดส์ เป็นรองเพียง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ของ ลิเวอร์พูล เพียงคนเดียวในชาร์ตผู้ทำประตูสูงสุดของ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้และยังเป็นหนึ่งตัวเต็งที่จะได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ

อย่างไรก็ตามแข้งวัย 26 ปีดูจะมีประสิทธิภาพน้อยลงในการแข่งขันกับทีม ‘บิ๊กซิกซ์’ สำหรับซีซั่นนี้ ซึ่งเกมกับ เชลซี เมื่อคืนนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เจ้าตัวเล่นได้ไม่ค่อยเอาเสียเลย

ยูไนเต็ด กับ เชลซี เสมอกัน 0-0 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ และเฟอร์นันเดสอยู่ในสนามตลอด 90 นาทีเต็ม สถิติบางส่วนของเขาจากเกมดังกล่าวเรียกได้ว่าน่าเป็นห่วงไม่น้อย

ตามการรายงานของ Squawka แฟร์นันดส์ เสียการครอบครองมากกว่าผู้เล่นคนอื่น ๆ (20) ถูกเลี้ยงบอลฝ่ามากที่สุด (4 ครั้ง) สร้างโอกาสเพียงครั้งเดียว, ไม่มีการยิงเข้าเป้าและล้มเหลวในการเลี้ยงฝ่าผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม

ตอนนี้ แฟร์นันดส์ ทำได้เพียงประตูเดียวและไม่มีแอสซิสต์เลยใน 7 เกมกับ ‘บิ๊กซิกซ์’ ของ พรีเมียร์ลีก นอกจากนี้เขายังมีโอกาสสับไกอีก 70 ครั้งนับตั้งแต่ลูกโทษกับ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่มีหนใดที่ลูกบอลถูกส่งเข้าไปซุกก้นตาข่าย

สถิติของ ยูไนเต็ด ทั้งทีมในการเผชิญหน้ากับ “บิ๊กซิกซ์” เองก็เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังไม่น้อยไปกว่ากัน : หลังจากแพ้ท็อตแนม 6-1, ยูไนเต็ด เสมอกับ เชลซี 0-0 ในบ้านจากนั้นแพ้ อาร์เซน่อล 1-0 และตั้งแต่นั้นมาก็เสมอแบบไร้สกอร์ 4 เกมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล และล่าสุด เชลซี

[FEATURE] ใครจะกุมชัย ! เปิดสถิติ โอเล ปะทะ ทูเคิล ก่อนเกม พรีเมียร์ลีก เชลซี เจอ แมนยู วันอาทิตย์นี้

เกม พรีเมียร์ลีก คืนวันอาทิตย์นี้จะเป็นการพบกันระหว่าง โทมัส ทูเคิล และ โอเล กุนนาร์ โซลชา เป็นครั้งแรกในฐานะคู่แข่งร่วมลีก โดยผลงานของเจ้าบ้าน เชลซี นับว่าไม่เลวเลยเพราะตั้งแต่ได้ ทูเคิล มาคุมทีมพวกเขาก็ยังไม่แพ้ใครเลยในทุกรายการในขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เองก็ไม่แพ้ใครมาแล้ว 8 เกมติดกัน

อย่างไรก็ดีทั้งคู่เคยพบกันมาแล้ว 4 หนด้วยกันสมัยที่กุนซือชาว เยอรมัน ยังทำงานอยู่กับ เปแอสเช ที่ ลีก เอิง แต่ผลลัพธ์ของทั้ง 4 เกมดังกล่าวจะเป็นอย่างไรบ้างมาย้อนรำลึกไปพร้อมๆกันเลย

1. แมนฯ ยูไนเต็ด 0-2 เปแอสเช (13/2/2019)

บทความที่เกี่ยวข้อง

เชลซี พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด: พรีวิวพรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, คาดการณ์ 11 ผู้เล่นตัวจริง และช่องถ่ายทอดสด

สำรวจความพร้อมล่าสุดก่อนเกม เชลซี พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึก พรีเมียร์ลีก คืนวันอาทิตย์

Tomorn Nuanprasert

|

Feb 27, 2021

โคตรบิ๊กแมตช์ ! โอเวน ทายผล+ใส่สกอร์เกมคู่ เชลซี vs แมนฯ ยูไนเต็ด

ไมเคิล โอเวน อดีตกองหน้าหมายเลข 7 ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำนายผลการแข่งเกมคู่บิ๊กแมตช์ที่ทีมเก่าตนต้องบุกไปเยือน เชลซี ในคืนวันอาทิตย์นี้ พร้อมมีสกอร์ใส่ไว้ให

Kanokthep Kampliw

|

Feb 27, 2021

[FEATURE] 4 นัดวัดฝีมือ ! พรีเมียร์ลีก เกมสำคัญที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์อนาคต ทูเคิล กับ เชลซี

โธมัส ทูเคิ่ล กุนซือ เชลซี เตรียมได้พิสูจน์ฝีมือตัวเองในศึก พรีเมียร์ลีก ช่วง 4 เกมหลังจากนี้ เพราะจะเตรียมเผชิญหน้าทีมดังระดับหัวแถวถึง 4 เกมติดต่อกัน

Chatchawal Chatsuwanvilai

|

Feb 24, 2021

ยังต้องลุ้น ! โซลชา หวังได้ 3 แข้งหลักกลับมาช่วย แมนฯ ยูไนเต็ด บู๊ เชลซี

โอเล กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวว่าเขาหวังจะได้ 3 นักเตะสำคัญกลับมาช่วยทีมได้ทันเวลาในการเจอกับ เชลซี

Chayapol Thaneewat

|

Feb 27, 2021

การเจอกันครั้งแรกของทั้งคู่ลงเอยด้วยการปราชัยของ โอเล ที่ในตอนนั้นเพิ่งถูกจ้างมาแทนที่ของ โจเซ มูรินโญ แบบหมาดๆ โดยก่อนจะจบเกม พอล ป็อกบา กองกลางคนสำคัญของทีมยังมาโดนใบเหลืองที่ 2 จนต้องชวดลงเล่นในเลกที่ 2 อีกต่างหาก

2. เปแอสเช 1-3 แมนฯ ยูไนเต็ด (ุ6/3/2019)

ประตูตั้งแต่ต้นเกมของ ลูกากู ช่วยจุดประกายความหวังของแฟน ปีศาจแดง ทั่วโลก และแม้ ฆวน แบร์นาต จะซัดตีเสมอได้แต่ ยูไนเต็ด ก็มาได้อีกประตูจาก ลูกากู คนเดิมที่เข้าไปซ้ำลูกยิงไกลของ แรชฟอร์ด เกมเหมือนจะจบลงแล้วโดย เปแอสเช กำลังจะเป็นฝ่ายเข้ารอบต่อไป จนกระทั่ง ดิเอโก้ ดาโลท์ ลองเสี่ยงหวดลูกจากนอกกรอบเขตโทษ บอลไปชนแขนของ คิมเพมเบ้ กรรมการตัดสินใจมอบจุดโทษให้ทีมเยือนและตัวรุกใจกุศลของทีมก็ไม่พลาด ส่งให้พวกเขาพลิกเข้ารอบไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อเพราะกฏอเวย์โกลด้วยสกอร์รวม 3-3

3. เปแอสเช 1-2 แมนฯ ยูไนเต็ด (21/10/2020)

จุดโทษจาก บรูโน และลูกยิงสุดสวยของ แรชฟอร์ด ช่วยให้พวกเขาเก็บ 3 แต้มมาได้สำเร็จถึงถิ่น ปาร์ค เดอ แปรงซ์

4. แมนฯ ยูไนเต็ด 1-3 เปแอสเช (3/12/2020)

แรชฟอร์ด ตามตีเสมอประตูของ เนย์มาร์ ได้ ก่อนที่ มาร์ควินญอส จะยิงแซงได้ในนาทีที่ 70 ลูกทีมของ โอเล พยายามบุกอย่างหนักเพื่อหวังตีเสมอแต่ใบแดงของ เฟร็ด กลายเป็นจุดเปลี่ยนโมเมนตั้มของเกมซึ่งลงเอยด้วยการซัดปิดท้ายเกมในช่วงทดเจ็บของ เนย์มาร์

ผลสรุปจากการเจอกัน 4 หน โอเล ชนะ 2 ทูเคิล ชนะ 2

[FEATURE] โอลิเวิยร์ ชิรูด์ หัวหอก เชลซี ผู้ถนัดยิงเกมเยือน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

เพิ่งจัดการยิงประตูชัยให้ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ทีมยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาหมาดๆ สำหรับ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ กองหน้าจอมเก๋าทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 หลังสอยตาข่ายด้วยท่าตีลังกาให้ต้นสังกัดเฉือนชนะ “ตราหมี” แอต.มาดริด ทีมจ่าฝูงลาลีกา สเปน 1-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก เมื่อคืนวันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา

ทำให้ ชิรูด์ ได้ครองสถิติเป็นนักเตะอายุมากสุดที่ยิงประตูให้ เชลซี ในรอบน็อกเอาท์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ด้วยวัย 34 ปี 146 วันไปเลย และกลายเป็นนักเตะคนแรกของ “สิงโตน้ำเงินคราม” ในรอบ 9 ปีที่สอยตาข่ายในถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรปได้มากถึง 6 ลูก เท่ากับ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ตำนานกองหน้าทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ซึ่งเคยฝากผลงานเอาไว้ในช่วงฤดูกาล 2011/2012

ตอนนี้ ชิรูด์ ยิงประตูในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลนี้ไปแล้วทั้งหมด 6 ประตูจากการลงเล่นไปเพียงแค่ 5 นัดเท่านั้น และเป็นการสอยตาข่ายได้จากเกมนัดเยือนทั้งหมดเลยด้วย ทำให้กองหน้าวัย 34 ปีกลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูนอกบ้านได้มากที่สุดในซีซั่นนี้ไปด้วยเลยเช่นกัน โดยถือว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดในถ้วยใบใหญ่ของยุโรปอีกต่างหาก เพราะเคยฝากผลงานที่ดีที่สุดจากการยิง 5 ประตูเมื่อตอนสมัยที่ค้าแข้งกับ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ในช่วงฤดูกาล 2015/2016

ก่อนหน้านี้ ชิรูด์ ได้จารึกชื่อลงในหน้าประวัติศาสตร์ของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยการครองสถิติเป็นนักเตะอายุมากสุดที่เหมายิงคนเดียวถึง 4 ประตูในหนึ่งเกมได้ด้วยวัย 34 ปี 63 วัน โดยทำได้ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดที่บุกไปชนะ เซบีญ่า ถึงสเปน 4-0 เมื่อช่วงปลายปีก่อนนั่นเอง

แม้ว่าตอนนี้จะมีอายุมากถึง 34 ปีแล้ว แต่ ชิรูด์ ยังคงความเป็น “ขิงแก่” จากการยิงประตูได้แบบต่อเนื่อง โดยสอยตาข่ายให้ เชลซี จากการลงเล่นทุกรายการในฤดูกาล 2020/2021 ไปแล้วทั้งหมด 11 ลูก และยังคงพร้อมเดินหน้าซัลโวในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เพื่อนำทีมต้นสังกัดลุ้นยึดบัลลังก์ “เจ้าสโมสรยุโรป” ในซีซั่นนี้กันต่อไป

[RANKING] ยอดกุนซือหนุ่ม ! ย้อนรอย 5 ผู้จัดการทีมอายุน้อยที่สุดที่เคยพาทีมเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

5. หลุย ฟาน กัล – 43 ปี 10 เดือน 21 วัน

อดีตนายใหญ่ที่แฟน ๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงรู้จักกันดีถึงสไตล์จอมปรัชญาที่ต้องบอกว่าครั้งหนึ่งเขาเคยได้สัมผัสกับถ้วยใบนี้มาแล้วกับ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในปี 1994/95 ในยุคที่มีสตาร์ล้นทีมอย่าง ฟาน เดอ ซาร์, ไรจ์การ์ด, เอ็ดการ์ ดาวิดส์, เซดอร์ฟ และ สองพี่น้อง เดอ บัวร์ ด้วยการเอาชนะ เอซี มิลาน 1-0 จากประตูชัยของ แพทริค ไคลเวิร์ต ในช่วงท้ายเกม

4. แฟรงค์ ไรจ์การ์ด – 43 ปี 8 เดือน 30 วัน

ผู้จัดการทีมชาวฮอลแลนด์ที่เป็นผู้บุกเบิก บาร์เซโลนา ชุดต่างดาวในยุคเริ่มแรก เคยพาทีมเจ้าบุญทุ่มคว้าแชมป์รายการใหญ่ของยุโรปมาครองได้ 1 สมัยในปี 2005/06 ด้วยการเอาชนะ อาร์เซนอล ไปได้อย่างหวุดหวิด 2-1 ซึ่งยุคนั้น บาร์ซ่า มีสตาร์ดังอย่าง ซามูเอล เอโต้, เดโก้ และ ยอดแข้งแซมบ้าอย่าง โรนัลดินโญ เป็นตัวชูโรงนั่นเอง

3. โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ – 42 ปี 1 เดือน

กุนซือชาวอิตาเลียนเริ่มฤดูกาล 2011/12 กับ เชลซี ด้วยการเป็นมือขวาของ อังเดร วิลลาส โบอาส แต่หลังจากนายใหญ่ชาวโปรตุเกสถูกปลดออกจากตำแหน่ง เขาก็ถูกดันขึ้นมาแทนที และทำผลงานได้ค่อนข้างดีจนทีมให้โอกาสคุมทัพต่อไป ซึ่งอดีตกองกลาง สิงโตน้ำเงินคราม สามารถพา สิงห์บลู ทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาได้แบบไม่มีใครคาดคิด ก่อนเอาชนะจุดโทษ บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์บิ๊กเอียร์มาครองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรได้สำเร็จ

2. โชเซ มูรินโญ – 41 ปี 5 เดือน 3 วัน

ก่อนที่ยอดกุนซือ “เดอะ สเปเชียลวัน” จะย้ายมาสร้างชื่อเสียงใน พรีเมียร์ลีก เจ้าต้นเริ่มต้นจากการคุมทีมในบ้านเกิดประเทศโปรตุเกสมาก่อน ซึ่งในปี 2003/04 เขาสร้างปรากฎการด้วยการพา เอฟซี ปอร์โต้ คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครอง โดยเอาชนะ โมนาโก ไปขาดลอยถึง 3-0 ซึ่งนักเตะ ปอร์โต ในยุคนั้นหลายคนก็ถูกคว้าตัวมาร่วมทีม เชลซี ในเวลาต่อมาทั้ง ริคาร์โด คาวัลโญ เปาโล เฟอร์เรรา มานิช และ โบซิงวา นั่นเอง

1. เป๊ป กวาร์ดิโอลา – 38 ปี 5 เดือน 11 วัน

ยอดกุนซือชาวสเปนที่เพิ่งจะถูกดันขึ้นมาคุมทีม บาร์เซโลนา ต่อจาก แฟรงค์ ไรจ์การ์ด เป็นปีแรก ใครจะเชื่อว่าผู้จัดการทีมหนุ่มไฟแรงคนนี้จะสามารถสร้าง บาร์ซ่า ให้กลายเป็นทีมที่ไร้เทียมทานในยุคนั้นได้ ซึ่งด้วยวัยเพียง 38 ปี เขากลับสามารถพา เจ้าบุญทุ่ม เถลิงบัลลังแชมป์ถ้วยบิ๊กเอียร์ ด้วยการเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์เก่าที่ที่เข้าชิงรายการนี้มาแล้ว 2 ปีติดต่อกันได้สำเร็จ ก่อนจะทำให้ บาร์เซโลนา กลายเป็นทีมฟุตบอลที่ถูกขนานนามว่ามาจากต่างดาวได้ในที่สุด

เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สิงห์บลู บุกคว้าชัยกุมความได้เปรียบ

การแข่งขัน : ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2020/21 รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรก
วันแข่งขัน : คืนวันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2021
เวลาแข่งขัน : 03:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน : แอตเลติโก มาดริด 0-1 เชลซี
สนาม : อารีนา เนชันนัลลา (โรมาเนีย)

0 ครั้ง คือจำนวนตัวเลขสถิติที่ แอตเลติโก มาดริด ยิงเข้ากรอบในเกมวันนี้ แถมตลอดทั้งเกมพวกเขายังปล่อยให้ เชลซี ครองบอลบุกอย่างสบายใจและตั้งรับรอความผิดพลาดจากคู่แข่งในการเล่นเกมสวนกลับ ซึ่งนั่นทำให้รูปเกม สิงห์บลู ดูเหนือกว่าค่อนข้างชัดเจน แน่นอนว่าบอลสไตล์ ซิเมโอเน เน้นตั้งรับเป็นหลักอยู่แล้ว แต่สำหรับนัดนี้เกมรุกของพวกเขากลับเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานจนไม่สามารถสร้างความหนักใจให้กับแผงหลัง เชลซี ได้เลยตลอด 90 นาที จึงกลายเป็นว่าพวกเขาตั้งรับเพื่อรอเสียประตูเท่านั้น

หลายคนคงไม่คิดว่า เชลซี จะสามารถบุกมาเอาชนะจ่าฝูง ลาลีกา อย่าง แอตเลติโก มาดริด ได้ เพราะไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ฟอร์มของพวกเขายังตกต่ำสุดกู่หล่นไปอยู่กลางตารางใน พรีเมียร์ลีกอังกฤษ จนแฟน ๆ แทบจะหมดหวังในการลุ้นพื้นที่ยุโรปไปแล้ว ซึ่งก็ต้องยกเครดิตให้กับ โธมัส ทูเคิล ที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงจนพาทีมขึ้นมาสู่จุดที่ควรจะเป็นได้อีกครั้ง และไม่ใช่แค่ในลีก แม้แต่ในรายการนี้ที่ก่อนเกมหลายคนยกให้ สิงห์บลู เป็นแชมป์กลุ่มที่โชคร้ายที่สุดเพราะดันจับฉลากมาพบกับของแข็งอย่าง ทีมตราหมี แต่พวกเขาก็พิสูจน์ให้เห็นตลอด 90 นาทีนี้แล้วว่ามีดีขนาดไหน ต้องมาลุ้นกันว่าผลงานไร้พ่ายติดลมบนของ ทูเคิล จะต่อเนื่องได้ไกลเพียงใด และที่สุดแล้วจะพาทีมไปอยู่จุดใดหลังจบฤดูกาล…

ข่าวร้ายจากชัยชนะในวันนี้คือการที่ สิงห์บลู จะหมดสิทธิใช้งาน 2 แข้งตัวเก่งในยุค โธมัส ทูเคิล อย่าง จอร์จินโญ กองกลางห้องเครื่องชาวอิลาเลียน และ เมสัน เมานท์ ตัวรุกดาวรุ่งชาวอังกฤษ จากการที่ทั้งคู่ได้รับใบเหลืองครบโควต้า ทำให้ถูกแบนห้ามลงเล่นทันที 1 นัดในเกมถัดไป คงต้องติดตามว่านายใหญ่ชาวเยอรมันจับปรับทัพอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ อาจลุ้นให้ตัวแทนอย่าง ก็องเต้ ฮาเวิร์ตซ์ พูลิซิช หรือแม้แต่ ซิเยค ที่มีโอกาสลงสนามแทนที่ ต่างรีบคืนฟอร์มเก่งให้ทันก่อนวันที่ 18 มีนาคมที่จะถึงนี้คงจะอุ่นใจมิใช่น้อย..

[OPINION] สเปอร์ส ไม่ปลื้มสิ่งนี้ ! หรือนี่จะถึงเวลาขาลงของ “สเปเชียล วัน” โชเซ มูรินโญ ?

แม้จะเคยสร้างความยิ่งใหญ่ในวงการลูกหนังโลกเอาไว้มากมายเลย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ โจเช่ มูรินโญ่ กุนซือ “ไก่เดือยทอง” สเปอร์ส อาจจะกำลังประสบพบเจอกับช่วงเวลาแห่งความถดถอยไปตามกาลเวลาเสียแล้ว หลังทำผลงานในศึก พรีเมียร์ลีก ได้ย่ำแย่แบบต่อเนื่อง เพราะพบกับความปราชัยถึง 5 เกมจาก 6 นัดหลังสุด ซึ่งรวมถึงเกมล่าสุดที่บุกไปพลาดท่าแพ้ เวสต์แฮม 1-2 ด้วย

ย้อนหลังกลับไปเมื่อช่วงปลายปีก่อน บอร์ดบริหารของ สเปอร์ส ได้ตัดสินใจปลด เมาริซิโอ โปเซตติโน่ โค้ชชาวอาร์เจนไตน์ออกจากตำแหน่งกุนซือ เพื่อเปิดทางให้ยอดโค้ชชาวโปรตุกีสเข้ามารับงานคุมทัพแทน เพราะเชื่อมั่นในความขลังจากผลงานเมื่อครั้งวันวานที่สามารถนำอดีตทีมต้นสังกัดพบกับความสำเร็จได้แบบต่อเนื่องเลย ซึ่งตรงกับความต้องการของ “ไก่เดือยทอง” ที่อยากจะได้กลับมาสัมผัสถ้วยแชมป์บ้าง หลังห่างหายมานานถึง 13 ปีแล้ว นับตั้งแต่หนสุดท้ายที่ได้ชูถ้วยแชมป์ลีก คัพ เมื่อปี 2008

ตอนนี้ มูรินโญ่ ได้คุมทัพ สเปอร์ส ลงเล่นในศึก พรีเมียร์ลีก ครบ 50 เกมเรียบร้อยแล้ว ปรากฎว่า มีสถิติชนะ 23 นัด เสมอ 12 นัด และแพ้ 15 นัด ซึ่งคิดเป็นการเก็บคะแนนเฉลี่ยต่อเกมได้เพียง 1.62 แต้ม หรือคิดเป็นการคว้าชัยชนะได้ 46% จึงกลายเป็นผู้นำทัพ “ไก่เดือยทอง” ที่ทำผลงานช่วง 50 เกมแรกในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีได้ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 13 ปีเลยด้วย หากเทียบกับฝีมือของผู้จัดการทีม 5 คนหลังสุด นับตั้งแต่ตอนที่ปลด ฆวนเด้ รามอส โค้ชชาวสเปนออกจากตำแหน่งในปี 2008

สำหรับผลงานของ 4 อดีตกุนซือ “ไก่เดือยทอง” ตามสถิติเมื่อตอนที่คุมทีมครบ 50 เกมในศึก พรีเมียร์ลีก หรือตอนก่อนที่ มูรินโญ่ จะเข้ามารับงานคุมทีมมีดังนี้เลย เริ่มจาก ทิม เชอร์วู้ด โค้ชชาวอังกฤษ ซึ่งมีสถิติดีที่สุดเลย แม้จะคุมทีมในช่วงระหว่างปี 2013-2014 ไปเพียงแค่ 22 เกม เพราะโดนไล่ออกในช่วงกลางปี 2014 แต่คว้าชัยได้ถึง 13 เกม เสมอ 3 นัด แพ้ 6 นัด จึงคิดเป็นการเก็บคะแนนเฉลี่ยต่อเกมได้มากถึง 1.91 แต้ม หรือคิดเป็นการคว้าชัยชนะได้ 59%

ตามมาด้วย เมาริซิโอ โปเซตติโน่ ซึงเคยคุมทีมระหว่างปี 2014-2019 ในอันดับ 2 จากการคุมทีม 202 นัด ชนะ 113 นัด เสมอ 43 นัด แพ้ 46 นัด เก็บคะแนนเฉลี่ยต่อเกมได้ 1.89 แต้ม และคิดเป็นการคว้าชัยได้ 56% ส่วนอันดับ 3 เป็นของ อังเดร บียาส โบอาส โค้ชชาวโปรตุกีสคุมทีมระหว่างปี 2012-2013 ไปทั้งหมด 54 เกม ชนะ 29 นัด เสมอ 12 นัด แพ้ 13 นัด เก็บคะแนนเฉลี่ยต่อเกมได้ 1.83 แต้ม และคิดเป็นการคว้าชัยได้ 54% ปิดท้ายด้วย แฮร์รี่ เรดเนปป์ อดีตกุนซือระหว่างปี 2008-2012 ในอันดับ 4 จากการคุมทีม 144 เกม ชนะ 71 นัด เสมอ 37 นัด แพ้ 36 นัด เก็บคะแนนเฉลี่ยต่อเกมได้ 1.74 แต้ม และคิดเป็นการคว้าชัยได้ 49%

นอกจากนี้ มูรินโญ่ ยังได้สร้างอีกหนึ่งสถิติส่วนตัวที่ย่ำแย่จากการเก็บคะแนนช่วง 50 เกมแรกในลีกได้น้อยที่สุดในอาชีพผู้จัดการทีมอีกด้วย โดยก่อนหน้านี้เคยนำทัพ “ปีศาจแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บคะแนนจาก 50 นัดแรกในศึก พรีเมียร์ลีก ได้น้อยที่สุดคือ 95 แต้ม แต่ปัจจุบันนำทัพ สเปอร์ส เก็บได้เพียง 81 แต้มในช่วงหลังคุมทีมครบ 50 เกม และตอนนี้ “ไก่เดือยทอง” อยู่อันดับ 9 แข่ง 24 นัด มี 36 แต้ม จึงเริ่มห่างไกลจากพื้นที่ใน 4 อันดับแรกที่จะได้โควตากลับไปโชว์ฝีเท้าในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเป็นหนึ่งเป้าหมายหลักออกไปเรื่อยๆ แล้วด้วย

ทำให้ มูรินโญ่ กลายเป็นกุนซือที่มีโอกาสโดน สเปอร์ส ปลดจากตำแหน่งเป็นรายต่อไปในศึก พรีเมียร์ลีก ตามสายตาของบรรดาบริษัทรับพนันแบบถูกกฎหมายของอังกฤษที่ได้ออกอัตราต่อรองด้วยการยกให้เป็น “เต็งหนึ่ง” กันเป็นแถวเลย เพราะว่าผีมือเริ่มไม่ขลังเหมือนเมื่อก่อนเสียแล้วนั่นเอง

[FEATURE] ทุกยุคทุกสมัย ! คาร์โล อันเชลอตติ : เรียกเขาว่า “มือปราบ ลิเวอร์พูล”

หากจะว่าไปแล้วชื่อของ คาร์โล อันเชลอตติ ได้กลายเป็นอีกหนึ่ง “ของแสลง” สำหรับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก มานานแล้ว เพราะสามารถนำต้นสังกัดกำชัยเหนือแชมป์ยุโรป 6 สมัยได้ตลอดเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ย้ายไปคุมสโมสรไหนบนโลกใบนี้ก็ตาม ถ้านับจากสถิติที่เคยเผชิญหน้ากันมาก่อนทั้งหมดเลย

ย้อนหลังกลับไปตอนสมัยคุมทัพ “ปีศาจแดงดำ” เอซี มิลาน เมื่อ 16 ปีก่อน ตอนนั้น อันเชลอตติ ได้เผชิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ เมื่อปี 2005 ปรากฎว่า “หงส์แดง” เป็นฝ่ายพลิกกลับมาชนะในช่วงดวลจุดโทษตัดสิน ทั้งๆ ที่ตามหลังในช่วงครึ่งแรกถึง 0-3 แต่กลับฮึดสู้จนไล่ตีเสมอ 3-3 และยึดบัลลังก์เจ้ายุโรปได้แบบเหลือเชื่อ ซึ่งได้สร้างความเจ็บปวดให้กับโค้ชชาวอิตาเลียนเป็นอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นยอดโค้ชชาวอิตาเลียนสามารถหาวิธีปราบพยศ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ จึงถอนแค้นได้จากการพบกันครั้งที่ 2 ในนัดชิงเจ้ายุโรปเมื่อปี 2007 โดยนำทัพ เอซี มิลาน เฉือนชัยด้วยสกอร์ 2-1 แม้จะตัดสินใจอำลา “ปีศาจแดงดำ” ในปี 2009 เพื่อย้ายไปคุมทีมในต่างแดนดูบ้าง แต่ยังคงได้เผชิญหน้ากับ “หงส์แดง” อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นั่นเอง

ไล่ตั้งแต่ตอนสมัยที่ประเดิมงานคุมทีมลูกหนังบนเกาะอังกฤษกับ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ระหว่างปี 2009-2011 ซึ่งเคยเผชิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล ในศึก พรีเมียร์ลีก ทั้งหมด 4 นัด ปรากฎว่า เป็นฝ่ายชนะ 2 เกม และแพ้อีก 2 เกม แต่ต่อมาได้ย้ายไปคุมทัพ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ทีมยักษ์ใหญ่แห่งศึกลาลีกา สเปน ระหว่างปี 2013-2015 และได้ดวลแข้งกับ “หงส์แดง” ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ในปี 2014 ทั้งหมด 2 เกม ปรากฎว่า เป็นฝ่ายคว้าชัยได้ทั้งหมดเลย

หลังจากนั้น อันเชลอตติ ได้ย้ายกลับบ้านเกิดเพื่อรับงานคุมทัพ นาโปลี ระหว่างปี 2018-2019 และได้เชผิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ถึง 2 ฤดูกาลติดต่อกัน รวมถึง 4 เกมเลยด้วย ปรากฎว่า ยังคงมีสถิติเหนือกว่าจากการคว้าชัย 2 นัด เสมอ 1 นัด แพ้เพียงนัดเดียว

ปัจจุบัน อันเชลอตติ ได้ย้ายมารับงานคุมทัพ “ทอฟฟีสีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน ซึ่งเป็นทีมคู่ปรับร่วมเมืองของ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่เมื่อช่วงปลายปี 2019 และเจอกันมาแล้วทั้งหมด 4 เกม แม้ว่าการพบกันนัดแรกจะพลาดท่าบุกไปแพ้ให้ก่อน 0-1 ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 3 เมื่อช่วงต้นปี 2020 แต่หลังจากนั้นโค้ชชาวอิตาเลียนไม่เคยปราชัยให้กับ “หงส์แดง” อีกเลย โดยก่อนหน้านี้ลงเอยด้วยผลเสมอ 2 เกมในศึก พรีเมียร์ลีก ส่วนนัดล่าสุดได้เฮในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดีด้วยสกอร์ 2-0 และเป็นการนำทีมบุกไปคว้าชัยเหนือทีมอริตลอดกาลได้ถึงแอนฟิลด์เป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปีอีกด้วย เพราะหนสุดท้ายที่ทำได้คือเกมที่บุกไปชนะ 1-0 เมื่อปี 1999 โน้นเลย

เท่ากับ อันเชลอตติ เคยคุมทีมลูกหนังเผชิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล ในทุกรายการมาแล้วทั้งหมด 16 เกม ปรากฎว่า เป็นฝ่ายชนะถึง 8 นัด เสมอ 3 นัด และพลาดท่าแพ้ 5 นัด จึงถือว่าโค้ชชาวอิตาเลียนเป็นมือปราบ “หงส์แดง” ได้เลยเหมือนกัน

หนักแค่ไหน ! คล๊อปป์ อัพเดตอาการบาดเจ็บ เฮนเดอร์สัน

เยอร์เก้น คล๊อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ออกมายอมรับว่าเขายังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมได้แต่ก็ยอมรับว่ามันน่าจะหนักกว่าที่คาดการณ์กันเอาไว้

แข้งชาว อังกฤษ จำต้องถูกถอดออกจากสนามในนาทีที่ 29 เพราะมีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อจนเล่นต่อไม่ได้ระหว่างเกมที่พวกเขาเปิดบ้านแพ้ เอฟเวอร์ตัน ไป 0-2 เมื่อคืนนี้

“มันเป็นอาการที่โคนขาหนีบและไม่มีใครในทีมแพทย์พูดถึงมันในแง่บวกเลย” กุนซือชาว เยอรมัน เผยกับสื่อหลังเกม

“ต้องยอมรับว่าดูไม่ค่อยดีเลยแต่เราคงต้องรอกันไปก่อนเพื่อดูผลสแกนในวันพรุ่งนี้ ผมหวังว่ามันจะออกมาดีนะ”