ชำแหละทุกประเด็นร้อนหลัง ปืนใหญ่ กรุยทางสู่รอบ 32 ทีม ยูโรปาลีก

การแข่งขัน : ฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่ม 2020/21

วันแข่งขัน : คืนวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน 2020
ผลการแข่งขัน : โมลด์ 0-3 อาร์เซนอล
สนาม : เอเคอร์ สตาดิโอน

ให้หลังจากฝันร้ายที่ นิโกลาส์ เปเป้ ออกอาการตบะแตกจนได้รับใบแดงไล่ออกจากสนมในเกมพบ ลีดส์ ยูไนเต็ด เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดาวเตะมูลค่า 72 ล้านปอนด์ดูจะแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นที่จะแก้ตัวให้ได้ในแมตช์นี้

เจ้าตัวตัววูบวาบกับการขึ้นเกมที่กราบขวาและพยายามที่จะสร้างจังหวะทีเด็ดตัดเข้าในเพื่อสังหารประตูหลายต่อหลายครั้งก่อนที่จะประสบความสำเร็จในที่สุดครึ่งเวลาหลังเมื่อบอลจากลูกเตะมุมของ โจ วิลล็อค หล่นใส่เท้าของ เปเป้ ที่เสาสอง ก่อนแข้ง ไอวอรี โคสต์ จะตะบันไม่เหลือซาก

มิเคล อาร์เตต้า จัดทัพ กันเนอร์ส ในเกมนี้ด้วยการส่ง โจ วิลล็อค, รีสส์ เนลสัน และ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง โดยมี เอมิล สมิธ โรว์ และ โฟลาริน บาโลกัน ลงมาสัมผัสเกมในฐานะตัวสำรองช่วงท้าย

ดาวรุ่ง ปืนใหญ่ ทั้ง 5 รายตอบแทนความไว้วางใจของนายใหญ่ชาว สเปน ด้วยการพาเหรดประสานงานกับรุ่นพี่อย่างมั่นใจโดยเฉพาะกับ วิลล็อค ที่สร้างสรรค์เกมจนได้ 2 แอสซิสต์ ขณะที่ เนลสัน มีชื่อบนสกอร์บอร์ดกับประตู 2-0 และการประสานระหว่าง สมิธ โรว์ กับ บาโลกัน ก็นำมาซึ่งประตูตอกฝาโลง

ทั้งนี้ ประตูของ บาโลกัน ยังนับว่าเป็นประเดิมยิงให้กับทีมชุดใหญ่ของ อาร์เซนอล เป็นครั้งแรกของเจ้าตัวอีกด้วย

ผลจากการแข่งขันในเกมนี้ทำให้ อาร์เซนอล รั้งอันดับที่ 1 บนตารางคะแนนศึก ยูฟ่า ยูโรปาลีก กลุ่มบีจากการมี 12 คะแนนเต็มหลังผ่านการแข่งขัน 4 นัดและจะผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 32 ทึมสุดท้ายเป็นที่แน่นอนแม้จะเหลือการแข่งขันอีก 2 เกมก็ตาม

นั่นทำให้ อาร์เตต้า สามารถโรเตชันผู้เล่นได้อย่างเต็มที่ในแมตช์กลางสัปดาห์หน้าที่พวกเขามีคิวเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ ราปิด เวียนนา ก่อนที่จะทำศึก ลอนดอนดาร์บี้ เยือน สเปอร์ส ในวันที่ 6 ธันวาคมต่อไป

เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หงส์แดง พังยับคาบ้าน

การแข่งขัน : ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รองแบ่งกลุ่ม 2020/21
วันแข่งขัน : คืนวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2020
เวลาแข่งขัน : 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่ง : ลิเวอร์พูล 0-2 อตาลันต้า
สนาม : แอนฟิลด์

ก่อนอื่นนัดนี้ต้องชม อตาลันต้า ที่แก้เกมมาได้อย่างยอดเยี่ยมหลังจากโดนอัดคาบ้านมา 0-5 เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ซึ่งในวันนี้พวกเขาสามารถคุมเกมเอาไว้ได้ในกำมือตลอด 90 นาทีชนิดที่ไม่เปิดโอกาสให้ ลิเวอร์พูล ได้เล่นตามที่ถนัดเลย ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งในคำถามที่หลายคนค้างคาใจคือการจัดตัวที่เห็นได้ชัดว่าประมาทผู้มาเยือนที่มีดีกรีขึ้นชื่อในเรื่องเกมรุกอันดุดันด้วยการส่งแผงหลังดางรุ่งลงสนามพร้อมกันถึงสองคนแถมยังพักตัวหลักอย่าง โรเบิร์ตสัน ฟาบินโญ หรือแม้แต่ ดิโอโก้ โจต้า เอาไว้ข้างสนามทั้งหมด จึงไม่แปลกที่ตลอดทั้งเกมพวกเขาจะโดนบุกอย่างหนัก อีกทั้งยังหาโอกาสยิงที่มีลุ้นได้เพียง 1 หนถ้วน ๆ เท่านั้น และที่เลวร้ายสุด ๆ คือยังยิงไม่ตรงกรอบเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เบื้องหลังชัยชนะอันสวยงามของ อตาลันต้า ในวันนี้ มี 2 ผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นสะดุดตานั่นคือ อเลฮานโดร โกเมซ ตัวรุกหมายเลข 10 ชาวอาร์เจนตินา ที่เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์เกมรุกให้กับทีมใน ซึ่งนอกจากจะปั่นป่วนแนวรับได้อย่างดีเยี่ยมแล้วเจ้าตัวมีส่วนร่วมกับทั้งสองประตูที่ทำได้อีกดเวย ส่วนอีกรายคือ คริสเตียน โรเมโร ปราการหลังดาวรุ่งชาวอาร์เจนไตน์ที่ยืมตัวมาจาก ยูเวนตุส ก็เป็นอีกรายทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเอามาก ๆ เช่นเดียวกัน โดยสามารถหยุดเกมรุกของเจ้าถิ่นเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด แถมยังนิ่งและเยือกเย็นสุด ๆ ในยามที่ต้องดวลตัวต่อตัวกับแนวรุกสุดอันตรายของ ลิเวอร์พูล ตลอด 90 นาที

ก่อนเกมหาก ลิเวอร์พูล สามารถคว้า 3 คะแนนมาได้ในเกมนี้ พวกเขาจะการันตีการเข้ารอบต่อไปในทันทีโดยไม่ต้องคำนึงถึงผลการแข่งขัน 2 นัดที่เหลือ แต่การที่วันนี้ อตาลันต้า กลับเป็นฝ่ายคว้าชัยมาได้พร้อมกับการที่ อาแจ็กซ์ สามารถเอาชนะ มิดทิลแลนด์ ในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ตอนนี้อันดับ 2 และ 3 มี 7 คะแนนเท่ากันและมีแต้มห่างจากจ่าฝูง หงส์แดง เพียง 2 คะแนนเท่านั้น เพราะงั้นยังยากจะคาดเดา 1 ทีมที่จะต้องหล่นไปเล่นในถ้วยใบเล็กได้ยากสำหรับกลุ่ม ดี ที่ทั้งสามทีมคงจะต้องเน้นสุด ๆ และทุ่มสุดตัวอย่างแน่นอนในอีก 2 เกมชี้ชะตาที่เหลืออยู่

เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สิงห์บลู ยิงแซงทดเจ็บคว้า 3 คะแนนกลับบ้าน

การแข่งขัน : ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รองแบ่งกลุ่ม 2020/21
วันแข่งขัน : คืนวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2020
เวลาแข่งขัน : 00.55 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่ง : แรนส์ 1-2 เชลซี
สนาม : โรซอน พาร์ค

แม้ในช่วงครึ่งเวลาแรก เชลซี จะเป็นฝ่ายทำได้ดีกว่าค่อนข้างชัดเจนและบุกมานำก่อนได้ตั้งแต่ 22 นาทีแรก แต่ช่วงท้ายครึ่งหลังยาวมาจนจบเกมชัดเจนว่า แรนส์ กลับเป็นฝ่ายที่เปิดเกมบุกเข้าใส่ได้มากกว่า จนครึ่งเวลาหลังทีมเยือนแทบไม่สามารถตั้งเกมบุกของตัวเองขึ้นมาได้เลย ซึ่งท้ายเกมหลังจากโดนตีเสมอโมเมนตัมของเกมกำลังจะกลับมาอยู่ในกำมือของเจ้าบ้านอยู่แล้ว แต่ผู้มาเยือนก็อาศัยความผิดพลาดจากการเสียบอลกลางสนามเล่นงานจากลูกโหม่งอันยอดเยี่ยมของ ชิรูด์ ที่ต้องเป็นเขาเท่านั้นจึงจะทำประตูในลักษณะนี้ได้ ปาดหน้าคว้าชัยกลับบ้านไปชนิดที่สร้างความเจ็บใจให้กับ แรนส์ สุด ๆ ในเกมนี้

แม้จะอายุปาเข้าไป 34 ปีแล้ว แต่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ หัวหอกตัวเก๋าของ เชลซี ก็พิสูจน์ให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ ว่าเขายังสามารถเล่นฟุตบอลในระดับท็อปได้อีหลายปี นับตั้งแต่ท้ายฤดูกาลก่อนที่โชว์ฟอร์มดียิงประตูถล่มทลายพาทีมจบท็อป 4 ได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่การมาของ ติโม แวร์เนอร์ กลับทำให้ฟอร์มอันร้อนแรงของเขาต้องสะดุดลงเพื่อหลีกทางให้บรรดาแข้งหน้าใหม่ลงสนาม อย่างไรก็ตามในเกมนี้เขาก็แสดงให้ทุกคนเห็นอีกครั้งว่าจุดเด่นที่มีนั้นยากจะหาใครมาทดแทน โดยเฉพาะลูกโหม่งประตูชัย ที่ต่อให้เป็นคนอื่น ๆ ในทีม ก็คงไม่สามารถจะเปลี่ยนจังหวะที่ดูเหมือนจะหมดโอกาสไปแล้วแบบนั้นให้เป็นประตูอันยอดเยี่ยมอย่างที่ทุกคนเห็นกันได้อย่างแน่นอน

จายชัยชนะในเกมนี้ทำให้ เชลซี มี 10 คะแนนจากการลงเล่น 4 เกมรั้งจ่าฝูงมีแต้มเท่ากับอันดับ 2 เซบีญา ที่วันนี้บุกไปยิงแซงชนะ คาสโนดาร์ ในช่วงทดเจ็บ 1-2 มาเช่นเดียวกัน นั่นทำให้ตอนนี้อันดับ 3 และ 4 อย่าง คราโนดาร์ และ แรนส์ มีเพียงแค่ 1 คะแนน กับเกมในมือที่เหลือเพียง 2 นัดจึงทำให้พวกเขาไม่มีทางทำคะแนนไล่ขึ้นมาทันอย่างแน่นอนแล้ว เหลือเพียงโควต้าอันดับที่ 3 ในการไปเล่นในศึก ยูโรปาลีก เท่านั้นที่ยังต้องแย่งชิงกันต่อไปในกลุ่มนี้

OFFICIAL ! เบอร์มิงแฮม เซ็นฟรี อเลน ฮาลิโลวิช อดีตวันเดอร์คิด บาร์เซโลนา

Alen Halilovic
SC Heerenveen v Ajax – Dutch Eredivisie | Soccrates Images/Getty Images

เบอร์มิงแฮม ซิตี้ สโมสรในศึก แชมเปี้ยนชิพ เปิดตัว อเลน ฮาลิโลวิช มิดฟิลด์ชาว โครเอเชีย วัย 24 ปีอย่างเป็นทางการแบบไร้ค่าตัวหลังเจ้าตัวแยกทางกับ เอซี มิลาน ตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ฮาลิโลวิช กลายเป็นนักเตะรายที่ 12 ที่ ไอตอร์ การันก้า เซ็นมาร่วมทัพ ลูกโลก ซึ่งรั้งอันดับที่ 17 บนตารางคะแนนหลังผ่าน 12 เกมในฤดูกาลนี้

ดาวเตะ โครแอต เริ่มต้นเส้นทางค้าแข้งกับ ดินาโม ซาเกร็บ ในบ้านเกิดก่อนจะย้ายไปร่วมทัพ บาร์เซโลนา ด้วยวัยเพียง 18 ปีทว่าเจ้าตัวไม่สามารถสอดแทรกสู่ทีมชุดใหญ่ของพลพรรค อาซูลกรานา ได้โดยออกสตาร์ในทีมชุดเบ ตามด้วยการส่งตัวให้ สปอร์ติง กิฆอน ยืมตัวไปใช้งานและย้ายออกจากถิ่น คัมป์นู ในที่สุด

เจ้าตัวมุ่งหน้าสู่ ฮัมบูร์ก ในซัมเมอร์ 2016 ตามด้วยการถูกส่งตัวให้ ลาส พัลมาส ยืมตัวเป็นเวลา 1 ฤดูกาลครึ่งก่อนที่ เอซี มิลาน จะจับเขาเซ็นสัญญาแบบไร้ค่าตัวในซัมเมอร์ 2018 อย่างไรก็ตาม ฮาลิโลวิช ไม่สามารถสอดแทรกตำแหน่งตัวจริงให้กับ ปีศาจแดงดำ ได้และเป็น สตองดาร์ด ลีแอช ยืมตัวเขาไปใช้งานช่วงครึ่งซีซันหลังของฤดูกาล 2018/19 ต่อด้วย ฮีเรนวีน ในซีซันที่ผ่านมา

จุดโทษชัด ๆ ! บิลิช ฉุนเชิ้ตเรียกจุดโทษคืนจาก เวสต์บรอมวิช

Slaven Bilic
Manchester United v West Bromwich Albion – Premier League | Catherine Ivill/Getty Images

สลาเวน บิลิช กุนซือของ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน แสดงความผิดหวังกับการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินในเกมที่บุกไปพ่ายให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึก พรีเมียร์ลีก เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ตามรายงานจาก บีบีซี

ยูไนเต็ด สามารถเก็บชัยชนะนัดแรกใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้สำเร็จด้วยการเอาชนะ เวสต์บรอมวิช ไป 1-0 จากลูกจุดโทษของ บรูโน แฟร์นันเดส

อย่างไรก็ตาม บิลิช ได้กล่าวถึงจังหวะในครึ่งแรกที่ คอเนอร์ กัลลาเกอร์ โดน บรูโน เตะล้มลงในเขตโทษและผู้ตัดสินเป่าให้เป็นจุดโทษก่อนจะเปลี่ยนคำตัดสินหลังจากได้ดูเหตุการณ์จากวีเออาร์ ว่าเขารู้สึกผิดหวังกับการตัดสินพร้อมยังเหน็บแนมว่าทีมของเขาเป็นทีมเล็กจึงทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากการตัดสินเท่าทีมใหญ่

“ผมผิดหวังกับการตัดสินมาก ผมรู้ว่าสึกว่าเราเป็นทีมเล็ก มันเลยทำให้การตัดสินสำคัญ ๆ นั้นไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ผมได้ดูอยู่ไม่กี่ครั้งและเห็นได้ชัดว่ามันเป็นลูกจุดโทษอย่างแน่นอน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีการเปลี่ยนคำตัดสิน”

“ส่วนลูกจุดโทษที่พวกเขาได้มันเป็นแฮนด์บอลแน่นอน โชคไม่ดีที่มันแฮนด์บอล แต่ก่อนหน้านั้นมันชัดเจนว่าลูกของ คอเนอร์ กัลลาเกอร์ ก็เป็นจังหวะฟาวล์ แทนที่เราจะได้ออกนำ 1-0 กลับกลายเป็นพวกเขาที่นำ 1-0 แทน เมื่อคุณต้องมาเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันจึงเป็นเรื่องแตกต่างอย่างมาก”

[FEATURE] ทำกับป๋าได้ไง ! 5 นักเตะที่เคยปฎิเสธ แมนฯ ยูไนเต็ด ยุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

FBL-ENG-PR-MAN UTD-LIVERPOOL
FBL-ENG-PR-MAN UTD-LIVERPOOL | PAUL ELLIS/Getty Images

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จอย่างมากภายใต้การคุมทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่เชื่อหรือไม่ว่าเคยมีผู้เล่นมากมายที่มองข้ามถ้วยรางวัลและเลือกที่จะไม่ย้ายมาเล่นให้กับกุนซือขรัวเฒ่าด้วยเหตุผลบางประการ มาดูกันว่าจะมีใครบ้างและเหตุผลของพวกเขาคืออะไร

ดาวเตะอารมณ์ร้อนเคยถูกกุนซือชาว สก็อตแลนด์ โทรมาขอเจรจาให้ย้ายไปเล่นกับทีมของเขาด้วยตัวเองเลยในช่วงวันคริสต์มาสของปี 2001 ทว่า ดิ คานิโอ ในวัย 33 ปี กลับเลือกที่จะเซย์โนแม้อยากจะย้ายไปใจจะขาด ด้วยเหตุผลที่ว่า เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เป็นเสมือนครอบครัวที่อบอุ่น เพราะแม้เจ้าตัวจะขึ้นชื่อลือชาว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมแต่ ขุนค้อน ก็กล้าพอที่จะให้โอกาสเขาด้วยการไปคว้าตัวมาจาก เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ พร้อมมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้อีกด้วย

เชื่อว่าหลายๆคนคงจินตนาการภาพของ เจอร์ราร์ด ในชุดทีม ปีศาจแดง ไม่ออก แต่รู้หรือไม่ว่าตำนานของ ลิเวอร์พูล ผู้นี้ เคยเกือบจะย้ายมาใต้ชายคา โอลด์ แทรฟฟอร์ด แล้วสมัยอายุเพียง 13 ปี ก่อนที่จะเลือกปฎิเสธไปเพราะทาง ยูไนเต็ด ต้องการเซ็นสัญญากับเขาถึง 7 ปี ซึ่งโดยส่วนตัวเขารู้สึกว่าตัวเองยังเด็กเกินกว่าจะตัดสินใจอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับอนาคตที่อยู่อีกไกล นอกจากนี้ในต้นฤดูกาล 2002/03 ป๋า ก็ยังมิวายตามมาตื๊อ สตีวี จี อีกรอบ แต่ในตอนนั้นเขากลายเป็นผู้เล่นของ เดอะ เร้ด แมชชีน เต็มตัวแล้ว คงจะเดากันได้ไม่ยากว่าคำตอบของกองกลางจอมถล่มประตูผู้นี้คืออะไร

ในฤดูกาลที่ 2003/04 ฟิลิปป์ ลาห์ม ถูก บาเยิร์น มิวนิค ส่งตัวให้ สตุ๊ตการ์ท ยืมไปใช้งาน โดยทีมของเขามีโอกาสได้ลงสนามพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเกมนั้นทีมของ ลาห์ม เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 2-1 และเจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ดาวเตะร่างเล็กตกเป็นเป้าความสนใจของ เฟอร์กี้ ทันที แต่ท้ายที่สุดหลังตัดสินใจอย่างหนักเขาก็เลือกที่จะปฎิเสธไปเพราะอยากสู้เพื่อตำแหน่งในทีม เสือใต้ ดูอีกสักตั้ง

ยอดดาวยิงแห่งเกาะอังกฤษปฎิเสธ แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน ครั้งแรกเกิดขึ้นตอนที่เขาเลือกเซ็นสัญญาย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน ไปอยู่กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ด้วยค่าตัว 3.6 ล้านปอนด์ อันเป็นสถิติสูงสุดของเกาะอังกฤษในเวลานั้น ส่วนอีกครั้งคือตอนที่ทั้ง นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยื่นข้อเสนอมาพร้อมๆกันในปี 1996 ซึ่งเขาก็เลือกที่จะย้ายไปเล่นให้กับสโมสรที่เขาตามเชียร์มาตั้งแต่เด็ก

มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับเหตุผลที่ โรนัลดินโญ ไม่ได้ย้ายไปเล่นให้กับ ป๋า แต่เรื่องที่น่าเชื่อถือที่สุดคงเป็นเรื่องที่ออกมาจากปากเพลย์เมคเกอร์ชาว บราซิล เองเลย โดยเมื่อปี 2003 เขาได้รับการติดต่อมาจาก ซานโดร โรเซลล์ หนึ่งในผู้ลงสมัครเลือกตั้งประธานสโมสร บาร์เซโลนา ที่ขอให้ เหยินน้อย รับปากว่าจะย้ายมาจอยกันถ้าเขาสามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้ และแม้ ยูไนเต็ด จะยื่นข้อเสนอที่ไม่อาจปฎิเสธได้มาให้กับเขา ท้ายที่สุดสัญญาก็ต้องเป็นสัญญา

จัดให้หน่อย ! เบอร์บาตอฟ อยากเห็น คาวานี เป็นตัวจริงเกมฉะ เวสต์บรอมฯ

Edinson Cavani
Everton v Manchester United – Premier League | Clive Brunskill/Getty Images

ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ตำนานแข้งชาว บัลแกเรีย ยืนยันว่าอยากเห็น เอดินสัน คาวานี ออกสตาร์ทเป็นศูนย์หน้าตัวเป้าในเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเจอกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ในคืนวันเสาร์นี้

“ยอมรับว่าผมอยากเห็น เอดินสัน คาวานี ยืนเป็นศูนย์หน้าตัวเป้าให้ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบถาวรโดยมี อองโตนี มาร์กซิยาล และ มาร์คัส แรชฟอร์ด คอยประสานงานอยู่ด้านข้าง” พี่เบิร์บ กล่าวกับ Betfair

“หลายคนอาจไม่ได้สังเกต แต่ชายผู้มากประสบการณ์คนนี้ แสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณอันเฉียบคมได้ตลอดเวลาที่ถูกส่งลงสนาม ด้วยวัย 33 ปี เขาจะช่วยเหลือเหล่าแข้งวัยรุ่นคนอื่น ๆ ได้มาก แถมตัวเองก็ยังมีความอันตรายสูงอยู่เหมือนเดิมด้วย ฉะนั้นสโมสรนี่แหละคือฝ่ายได้รับประโยชน์สูงสุด”

“เกมคืนนี้ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ เวสต์บรอมฯ คือโอกาสที่เหมาะสมสุด ๆ สำหรับ คาวานี และผมหวังว่า โซลชาร์ จะส่งเขาลงเล่นเป็นหน้าเป้าตั้งแต่นาทีแรกเลย”

สโมสรในความทรงจำแฟนบอลยุค 90 : อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม

Players of Netherlands football club Ajax, L-R Dan
Players of Netherlands football club Ajax, L-R Dan | YOSHIKAZU TSUNO/Getty Images

เชื่อว่าชื่อของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม กลับมาเป็นที่พูดถึงในหมู่แฟนบอลกันอีกครั้งเมื่อพวกเขาสามารถทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในซีซัน 2018-2019 ด้วยการฝ่าด่านยอดทีมของโลกอย่าง ยูเวนตุส และ เรอัล มาดริด ได้สำเร็จ แต่ดันไปไม่ถึงฝั่งฝันกับการต้องพ่าย ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ อดเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ

อย่างไรก็ตามผลพวงของการทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในครั้งนั้นทำให้โลกได้รู้จักดาวเตะอย่าง แฟรงกี้ เดอ ยอง, มาไตส์ เดอ ลิกท์, ฮาคิม ซิเย็ค, ดาวิด เนเรส และ ดอนนี ฟาน เดอ เบ็ค ซึ่งเกือบทั้งหมดต่างย้ายออกไปเล่นให้กับบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรปแทบทั้งสิ้นในปีต่อมา

ดูเหมือนว่าประวัติศาสตร์เกือบจะกลับมาซ้ำรอยในช่วงยุค 90 อีกครั้ง เมื่อตอนที่พวกเขาเขย่าบัลลังก์ยุโรปภายใต้การนำของแม่ทัพอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือหนุ่มผู้อหังการถึงขนาดที่พาทีมเข้าชิงแชมป์ยุโรปถึง 2 ครั้งติดต่อกัน

อย่างไรก็ตามแม้จะคว้าแชมป์ได้แค่ครั้งเดียว แต่ อาแจ็กซ์ ในยุคนั้นก็ยังคงได้รับการกล่าวถึงจนกระทั่งทุกวันนี้

ต้นกำเนิดความยิ่งใหญ่

จริง ๆ แล้วพวกเขา ไม่ได้เพิ่งมาดังเปรี้ยงปร้างในยุค 90 เพราะก่อนหน้านี้ยอดทีมจากแดนกังหันลมก็เคยเป็นทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรปมาแล้วในช่วงยุค 70 ด้วยการคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพ หรือชื่อเดิมของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัยติดต่อกันในปี 1970-1971, 1971-1972 และ 1972-1973 ในยุคที่มีนักเตะเทวดาอย่าง โยฮัน ครัฟฟ์ บัญชาเกมในสนาม

จนกระทั่งในอีกเกือบ 20 ปีต่อมาการมาถึงของ หลุยส์ ฟาน กัล ก็ทำให้ อาแจ็กซ์ กลับมาเป็นทีมที่ได้รับการกล่าวขวัญและกลายเป็นหนึ่งในตำนานยุค 90 และเป็นหนึ่งในต้นแบบการของการสร้างทีมฟุตบอลจนถึงยุคปัจจุบัน

ฟาน กัล เข้ารับงานที่ อัมสเตอร์ดัม เมื่อปี 1991 ต่อจาก ลีโอ บีนฮักเกอร์ และเขาก็เป็นคนคืนชีพอาณาจักรลูกหนังแห่งนี้ให้กลับมายิ่งใหญ่บนเวทียุโรปด้วยบรรดานักเตะดาวรุ่งที่ก้าวขึ้นมาจากอคาเดมีของสโมสร ภายใต้ปรัชญาลูกหนังที่สืบสานกันมาตั้งแต่ยุคของ “ท่านนายพล” ไรนุส มิเชล หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ “โทเทิลฟุตบอล”

“จอมปรัชญา” เริ่มต้นงานของตัวเองในปีแรกด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่าคัพ ในซีซัน 1991-1992 ก่อนจะกลับมาเป็นแชมป์ เอรีดีวีซี ฮอลแลนด์ ได้สำเร็จในซีซัน 1993-1994 โดยพื้นฐานของทีมเกือบจะทั้งหมดมาจากนักเตะดาวรุ่งกว่า 70-80% ก่อนที่พวกเขาจะสร้างประวัติศาสตร์ที่สำคัญให้กับวงการฟุตบอลยุโรปในปีต่อมา

โค่น มิลาน ครองบัลลังก์เจ้ายุโรป!

ผลพวงจากปรัชญาการทำทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล ทำให้ในซีซัน 1994-1995 พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกดัตช์ชนิดไร้พ่ายได้อย่างยิ่งใหญ่ ก่อนจะสร้างชื่อด้วยการก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 1995 โดยสามารถเอาชนะยอดทีมในยุคนั้นอย่าง เอซี มิลาน ที่มีดาวดังคับสโมสรในนัดชิงชนะเลิศที่ เวียนนา ออสเตรีย ด้วยสกอร์ 1-0 จากการทำประตูของดาวรุ่งตัวสำรองอย่าง แพททริค ไคลเวิร์ต

การคว้าแชมป์ครั้งนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเซอร์ไพรส์แล้ว แต่ที่ยังมีให้เซอร์ไพรส์มากกว่านั้นคือ ค่าเฉลี่ยอายุของนักเตะของทีมจากฮอลแลนด์ในคืนนั้นอยู่ที่ 23 ปีเท่านั้น ในขณะที่ 13 จาก 18 คนที่มีชื่อในนัดชิงชนะเลิศเป็นนักเตะที่มาจากอคาเดมีของพวกเขา ส่วนคู่แข่งอย่าง ปีศาจแดงดำ นั้นก็มิใช่ธรรมดาเพราะพวกเขากำลังอยู่ในช่วงพีคด้วยการเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยใหญ่ของยุโรป 5 ครั้งในช่วงปี 1989 -1995 และอยู่ในฐานะแชมป์เก่าที่เพิ่งจะจัดการสอนบอล บาร์เซโลนา ในนัดชิงชนะเลิศเมื่อปี 1994 ด้วยสกอร์ 4-0

จากนั้นเป็นต้นมาโลกลูกหนังก็ได้รู้จักชื่อของดาวรุ่งมากมายอย่าง เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์, มิชาเอล ไรซีเกอร์, พี่น้อง แฟรงค์ และ โรนัลด์ เดอ บัวร์, คลาเรน เซดอร์ฟ, เอ็ดการ์ ดาวิดส์, มาร์ค โอเวอร์มาร์ส, เอ็นวานโก้ คานู และคนยิงประตูชัยอย่าง แพทริค ไคลเวิร์ต โดยทั้งหมดนี้ต่อมาได้กลายเป็นตำนานของทั้งทีมชาติฮอลแลนด์และสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป

ในปีต่อมา ฟาน กัล ยังคงพาทีมครองความยิ่งใหญ่ในดินแดนกังหันลมได้อย่างต่อเนื่องด้วยการคว้าแชมป์ลีกอีก 1 สมัยพร้อมกับการเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน แต่ครั้งนี้ทำได้เพียงรองแชมป์หลังจากพ่ายให้กับ ยูเวนตุส จากการดวลจุดโทษ

ทีมแตก!

เมื่อมีจุดสูงสุดก็ย่อมจะต้องถึงเวลาที่จะร่วงลงต่ำเช่นเดียวกัน อาแจ็กซ์ เป็นอีกทีมที่โดนความสำเร็จของตัวเองกลืนกิน ด้วยการที่ไม่ใช่ทีมเงินถุงเงินถัง เน้นการสร้างระบบเยาวชนเพื่อป้อนนักเตะขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ชะตากรรมของพวกเขาจึงมาถึงทางตันหลังปี 1996 พร้อมด้วยสิ่งที่เรียกว่า “กฎบอสแมน”

ยอดทีมของฮอลแลนด์ไม่สามารถรั้งนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีเอาไว้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาโดนกฎฟรีเอเยนต์นี้เล่นงานทำให้ต้องปล่อยนักเตะบางรายออกไปแบบฟรี ๆ รวมทั้งยังต้องจำใจขายบางส่วนในราคาถูก พวกเขาทยอยเสียผู้เล่นสำคัญไปทีละคนสองหลังคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 1995 และในอีก 2 ปีต่อมา หลุยส์ ฟาน กัล ก็หมดสัญญากับทีมและก้าวขึ้นไปเป็นกุนซือ บาร์เซโลนา เมื่อปี 1997 พร้อมกับการดึงเอาซุปเปอร์สตาร์ในทีมอย่าง แฟรงค์ เดอ บัวร์, มิเชล ไรซีเกอร์ และ ยารี ลิตมาเนน ไปสานต่อความสำเร็จในถิ่น คัมป์นู

ถือได้ว่าการอำลาทีมของ ฟาน กัล เป็นการปิดตำนานความยิ่งใหญ่ในยุค 90 ของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เพราะหลังจากนั้นมาพวกเขาก็ยังไม่สามารถกลับมาสร้างชื่อในยุโรปได้อีกเลย แม้ว่าจะยังคงมีดาวเตะที่เป็นผลผลิตของสโมสรออกมาให้โลกลูกหนังได้ยลฝีเท้าอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันก็ตาม

เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ยูฟ่า เนชั่นลีก สิงโตคำราม คืนฟอร์มถล่มยับเมื่อคืนวาน

Jadon Sancho, Declan Rice, Bukayo Saka, Tyrone Mings, Phil Foden
England v Iceland – UEFA Nations League | Pool/Getty Images

การแข่งขัน : ยูฟ่า เนชันส์ลีก ลีกเอ
วันแข่งขัน : คืนวันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2020
เวลาแข่งขัน : 02.45 น.
คู่แข่งขัน : ทีมชาติอังกฤษ 4-0 ทีมชาติไอซ์แลนด์
สนาม : เวมบลีย์

ทีมชาติอังกฤษ เปิดบ้านถล่ม ทีมชาติไอซ์แลนด์ ขาดลอย 4-0 โดยได้สองประตูในครึ่งแรกจาก ดีแคลน ไรซ์ นาทีที่ 20 และ เมสัน เมานท์ นาทีที่ 24 โดยบวดได้อีกสองประตูในครึ่งหลังจากการเหมาสองประตูของ ฟิล โฟเด้น นาทีที่ 80, 84 ทำให้จบเกม สิงโตคำราม คว้าชัยในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า เนชั่นลีก 2020 ไปได้สำเร็จแม้จะไม่ได้เข้าสู่รอบต่อไปก็ตาม

เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก เจ้าบ้านเป็นฝ่ายเปิดเกมบุกเข้าใส่ได้มากกว่าชัดเจน ส่วนทีมเยือนถอยลงมาตั้งรับและรอโอกาสในการสวนกลับ

กระทั่งนาทีที่ 20 เจ้าถิ่นออกนำก่อน 1-0 ได้สำเร็จ จากจังหวะฟรีคิก โฟเด้น โยนเข้ากรอบเขตโทษให้ ไรซ์ โฉบมาโหม่งเข้าไป

ไม่กี่นาทีต่อจากนั้นพวกเขาเกือบได้ประตูที่สองจากจังหวะได้ยิงจ่อ ๆ ของ ซาก้า แต่ยังไปติดเซฟของผู้รักษาประตู

นาทีที่ 24 สิงโตคำราม มาได้ประตูที่สองจากจังหวะที่ ซาก้า โยนเข้ามาลุ้นในกรอบเขตโทษ แต่กองหลังทีมเยือนสะกัดไปเข้าทาง เมานท์ ได้ยิงโล่ง ๆ เข้าไป

หลังผ่านครึ่งชั่วโมงเจ้าบ้านมีโอกาสบวกประตูเพิ่มจากจังหวะหลุดของ โฟเด้น แต่ยังคงยิงไปติดผู้รักษาประตูอีกครั้ง

ช่วงท้ายครึ่งแรกเจ้าถิ่นยังคงมีลุ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจาก แฮร์รี เคน และลูกยิงไกลของ โฟเด้น แต่ยังไม่ดีพอจะเปลี่ยนเป็นประตูได้

ทำให้จบ 45 นาทีแรก อังกฤษ ออกนำ 2-0

เริ่มเกมในครึ่งเวลาหลัง ยังคงเป็นเจ้าบ้านที่บุกใส่อยู่แทบจะฝ่ายเดียวเหมือนในช่วง 45 นาทีแรก

แถมผู้มาเยือนต้องเหลือผู้เล่น 10 คนในนาทีที่ 54 จากจังหวะที่ เซวาร์สสัน ไปทำฟาวล์ ซาก้า ได้รับใบเหลืองที่สองเป็นใบแดงไล่ออกจากสนามไป

นาทีที่ 60 ทีมเยือนได้โอกาสลุ้นประตูเป็นครั้งแรกในเกมนี้จากลูกโหม่งของ อาร์นาสัน แต่บอลหลุดเสาออกไปนิดเดียวเท่านั้น

เล่นจนมาถึงช่วง 20 นาทีสุดท้ายแม้เจ้าถิ่นจะครองบอลได้มากกว่าชัดเจนก็ยังแทบหาจังหวะจบที่มีลุ้นประตูเพิ่มไม่ได้

นาทีที่ 76 พลพรรคทรีไลออน ได้ลุ้นจากลูกโหม่งของ มิ้งส์ แต่บอลหลุดกรอบออกไป

กระทั่งนาทีที่ 80 สิงโตคำราม นำห่าง 3-0 จากจังหวะต่อบอลเข้าเขตโทษและเป็น ซานโช ที่จ่ายต่อให้กับ โฟเด้น ยิงโล่ง ๆ เข้าไป

นาทีที่ 84 เจ้าบ้านมาได้ประตูที่ 4 จากจังหวะยิงไกลของ โฟเด้น คนเดิม บอลพุ่งเสียบโคนเสาเข้าไปอย่างงดงาม

ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีฝ่ายใดทำประตูกันเพิ่มได้ จบ 90 นาที ทีมชาติอังกฤษ ถล่ม ไอซ์แลนด์ ยับเยิน 4-0

คะแนนนักเตะทีมชาติอังกฤษ

อังกฤษ : พิคฟอร์ด(6.5), วอล์เกอร์(6.5), ทริปเปียร์(7), ดายเอร์(7), แม็คไกวร์(7.5), ซาก้า(7), ไรซ์(7.5), เมานท์(7.5), กรีลิช(7), โฟเด้น(8), เคน(7)

ตัวสำรอง : ซานโช(6.5), แมดแลนด์-ไนล์ส(5.5), วิงค์ส(6.5), มิ้งส์(6), อับราฮัม(5.5)

คียแมน – ฟิล โฟเด้น

วันนี้เพลย์เมกเกอร์จาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้รับมอบหมายให้ลงมาประจำการบริเวณกราบซ้าย แม้ช่วงต้นเกมอาจจะดูเงียบ ๆ ไปบ้าง แต่หลังจากปรับตัวได้ฟอร์มของเขาก็เริ่มโดดเด่นขึ้นมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ยิงประตูแรกในนามทีมชาติได้สำเร็จแถมยังบวกเพิ่มได้อีก 1 ประตูในช่วงท้ายเกม

ซึ่งต้องบอกเลยว่าไม่เพียงแค่การจบสกอร์อันเฉียบขาด แต่ทักษะและความมั่นใจของเขาในวันนี้ ดูจะสร้างประโยชน์ให้กับทีมได้มากเลยทีเดียว แน่นอนว่าหากยังสามารถคงฟอร์มการเล่นแบบนี้เอาไว้ได้ ศึกฟุตบอล ยูโร 2020 กลางปีหน้า เจ้าตัวอาจได้รับโอกาสยืนเป็นตัวหลักให้กับ ทัพสิงโตน้ำเงินคราม เลยก็เป็นได้

ประเด็นหลังเกม

อังกฤษ กินหมู

เกมนี้หากใครได้ติดตามดูถ่ายทอดสดจะเห็นได้เลยว่า พลพรรคทรีไลออน เป็นฝ่ายพับสนามบุกแทบจะฝ่ายเดียว ถึงขนาดที่ทีมเยือนกว่าจะได้โอกาสลุ้นประตูครั้งแรกต้องรอถึงนาทีที่ 60 ไม่เพียงแค่นั้น โอกาสจบสกอร์ที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว (24 ต่อ 2 ครั้ง) ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความแตกต่างของทั้งสองทีมในวันนี้ น่าเสียดายที่ เหล่าบรรดาแข้งสิงโตคำราม ไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งแบบนี้ออกมาได้ในเกมที่พวกเข้าพ่าย เดนมาร์ก คาบ้าน รวมถึงนัดก่อนที่บุกไปแพ้ เบลเยียม ทำให้สุดท้ายจบในอันดับ 3 ของตารางพลาดโอกาสเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ในปีนี้ ส่วน ไอซ์แลนด์ จมอยู่อันดับบ๊วยไม่มีสักคะแนนเดียวจากการลงเล่น 6 นัดและต้องตกลงไปเล่นในลีกบีซีซั่นหน้าตามระเบียบ

Ari Skulason

ชำแหละทุกประเด็นร้อนหลัง เฟร์ราน ตอร์เรส ตะบันแฮตทริคพา กระทิงดุ เข่น อินทรีเหล็ก ยับ เนชันส์ลีก

FBL-EUR-NATIONS-ESP-GER
FBL-EUR-NATIONS-ESP-GER | CRISTINA QUICLER/Getty Images

การแข่งขัน : ยูฟ่า เนชันส์ลีก ลีกเอ
วันแข่งขัน : คืนวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน 2020
เวลาแข่งขัน : 02.45 น.
ผลการแข่งขัน : ทีมชาติสเปน 6-0 ทีมชาติเยอรมนี
สนาม : เอสตาดิโอ เดอ ลา คาร์ตูฆา

เฟร์ราน ตอร์เรส ดาวเตะสังกัด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซัดแฮตทริคแรกในเส้นทางค้าแข้งของเจ้าตัวพา ทีมชาติสเปน เปิดบ้านไล่อัด ทีมชาติเยอรมนี ยับเยิน 6-0 กรุยทางสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายของศึก ยูฟ่า เนชันส์ลีก ในฐานะแชมป์กลุ่ม

ประตูเบิกร่อง 1-0 ของพลพรรค กระทิงดุ ได้จาก อัลบาโร โมราต้า ขึ้นโหม่งลูกเตะมุมของ ฟาเบียน รุยซ์ ตุงตาข่ายตั้งแต่นาทีที่ 17 ก่อน ตอร์เรส จะวอลเลย์เป็นประตู 2-0 ในนาทีที่ 33 ตามด้วยลูกโหม่งเตะมุมอีกครั้งของ โรดรี ในนาที 38 ทำให้จบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 3-0

ดาวเตะค่าย เรือใบสีฟ้า จบจังหวะสวนกลับในระยะเผาขนเป็นประตู 4-0 ในนาทีที่ 55 ก่อนแข้งปรอทแตกวัย 20 ปีจะปั่นโค้งจากนอกกรอบเขตโทษ ผ่านมือ มานูเอล นอยเออร์ ใส่สกอร์ 5-0 นาที 71 และปิดท้ายด้วยลูกแท็ปอินของตัวสำรอง มิเคล โอยาร์ซาบาล นาทีที่ 89

ผลจากการแข่งขันในเกมนี้ทำให้ทัพ ลา โรฆา ตามรอย ฝรั่งเศส ผ่านเข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายโดยที่ เบลเยียม กับ เดนมาร์ก ขับเคี่ยวกันในกลุ่ม เอ2 และ อิตาลี, เนเธอร์แลนด์ และ โปแลนด์ ยังคงเบียดกันจนถึงเกมสุดท้ายของกลุ่ม เอ1

สเปน : ซิมอน (6); โรแบร์โต้ (7), รามอส (6), เปา ตอร์เรส (7),​ กายา (8); โรดรี (9), กานาเลส (6), โกเก้ (8); เฟร์ราน ตอร์เรส (10), โมราต้า (8), โอลโม (8)
ตัวสำรอง : รุยซ์ (8), การ์เซีย (6), อเซนซิโอ (N/A), โมเรโน (N/A)

เยอรมนี : นอยเออร์ (4); กินเทอร์ (4), ซือเล (3), ค็อค (4), แม็กซ์ (3); กุนโดกัน (3), โกเร็ทซ์ก้า (4), โครส (6); ซาเน (3), กนาบรี (5), แวร์เนอร์ (3)
ตัวสำรอง : ทาห์ (5), นอยเฮาส์ (6), เฮนริคส์​ (N/A), วัลด์ชมิดท์ (N/A)

เฟร์ราน ตอร์เรส กลายเป็นทีเด็ดของ หลุยส์ เอ็นริเก้ เมื่อเจ้าตัวเข้าฝักจนแทบเรียกได้ว่าเป็นการงัดฟอร์มที่ดีที่สุดในการค้าแข้งของดาวเตะวัย 20 ปีโดยนอกจากการจบสกอร์ที่โดดเด่น เต็มไปด้วยความมั่นใจรวมถึงเซนส์ล่าประตู ซึ่งสตาร์จากค่าย ซิตีเซนส์ ยังเคลื่อนตัวหาพื้นที่โจมตีอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่อยู่ในสนาม สร้างทางเลือกในการผ่านบอลให้กับเพื่อนร่วมทีมอันเป็นผลให้ ตอร์เรส ตะบัน แฮตทริคในเกมนี้

ขณะที่ฝั่ง ดิ มานชาฟท์ ซึ่งถูกจำกัดการสร้างสรรค์เกมรุกด้วยสัดส่วนการครองบอลอันน้อยนิดเพียง 32 เปอร์เซ็นต์ไม่สามารถสร้างจังหวะเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย มีเพียง โทนี โครส มิดฟิลด์จาก เรอัล มาดริด เท่านั้นที่ดูจะยังคงรักษามาตรฐานการผ่านบอลเอาไว้ได้ยามสบโอกาส แต่บอลในแดนสุดท้ายของ อินทรีเหล็ก ไม่สามารถผ่านเข้าไปทำอันตรายใดๆ เจ้าถิ่นเมื่อทีมขาดการประสานงานที่ดีในแนวรุก

ความพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ 6-0 ของ เยอรมนี นับเป็นการปราชัยด้วยสกอร์ยันเยินที่สุดของพวกเขาในรอบ 89 ปีโดยเป็นการหมดรูปอย่างสิ้นเชิงทั้งด้านแท็คติก การสอดประสานระหว่างผู้เล่น และความกระตือรือล้นของพลพรรค ดิ มานชาฟท์

4-3-3 ของ โยอาคิม เลิฟ โดยมี อิลคาย กุนโดกัน, โทนี โครส และ ลีออน โกเร็ทซ์ก้า ไม่อาจเอาตัวรอดจากการไล่บีบพื้นที่ของ สเปน ได้เลย ขณะที่แนวรุกของ อินทรีเหล็ก ไม่ได้มีการเคลื่อนที่ทำอันตรายแนวรับเจ้าบ้านได้แต่อย่าง รวมไปถึงเกมริมเส้นที่บอดสนิทจาก มัทเธียส กินเทอร์ และ ฟิลิปป์ แม็กซ์ ในตำแหน่งฟูลแบ็คทั้ง 2 ข้าง

ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ โยกี้ เลิฟ ต้องรอจนถึงเวลาผ่าน 60 นาทีกว่าขงเบ้งวัย 60 ปีจะขยับเปลี่ยนแท็คติก ซึ่งถึงเวลานั้นลูกทีมของเขาก็ตามหลังแบบกู่ไม่กลับที่สกอร์ 4-0 เข้าไปแล้ว

ฝั่ง ลา โรฆา เจ้าถิ่นที่นอกจาก เฟร์ราน ตอร์เรส จะสำแดงความยอดเยี่ยมชนิด 10/10 คะแนนในเกมนี้ พวกเขายังมี ฟาเบียน รุยซ์ มิดฟิลด์ตัวสำรองซึ่งถูกส่งลงสนามแทน เซร์คิโอ กานาเลส ที่ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่นาทีที่ 12 ยังเป็นคนปิดทองหลังพระ ขับเคลื่อนเกมของ กระทิงดุ ทั้งยามมีบอลในครอบครองและไล่บีบพื้นที่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยยามไม่มีบอล

แข้งวัย 24 ปีจาก นาโปลี ยังมีลูกล่อลูกชนที่แพรวพราว การเล่นอันลื่นไหล และวิสัยทัศน์ในการผ่านบอลยอดเยี่ยม