ลิเวอร์พูล 2-0 เชฟฯ ยูไนเต็ด : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก หงส์แดง เชือด ดาบคู่ รับปีใหม่


ประเด็นร้อนหลังเกม


เกมรับ หงส์แดง ไร้ที่ติ 

วันนี้เป็นอีกเกมที่แนวรับของ ลิเวอร์พูล ช่วยกันทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนเกมสวนกลับของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่พวกเขาเคยโดนเล่นงานมาแล้วในนัดแรกไม่สามารถใช้การได้เลยในเกมวันนี้

ทั้งฟูลแบ็คสองข้างที่ขึ้นสุดลงสุดและแทบไม่มีจังหวะหลุดตำแหน่งให้เห็น โจ โกเมซ ที่ดูจะมั่นใจมากขึ้นหลังจากได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง ฟาน ไคจ์ค เองก็ยังรักษามาตรฐานสูงลิ่วเอาไว้ได้ หรือแม้แต่กองกลางอย่าง มิลเนอร์ และ เฮนเดอร์สัน ที่คอยลงมาประคองแนวรับ เพื่อช่วยตัดเกมตั้งแต่แดนกลางอีกชั้นหนึ่ง จนจบด้วยชัยชนะแบบคลีนชีทสวย ๆ อีกหนึ่งเกม ประเดิมปี 2020 ไปได้อย่างงดงาม

FBL-ENG-PR-LIVERPOOL-SHEFFIELDU

เกมรับแน่นหนา แต่แนวรุกยังคงขาด ๆ เกิน ๆ

แม้วันนี้พวกเขาจะเจาะตาข่ายผู้มาเยือนได้ถึง 2 ประตู แต่ต้องบอกเลยว่าแนวรุกของ หงส์แดง ควรจะต้องทำได้ดีกว่านี้ ทั้งโอกาสจบสกอร์ที่มีค่อนข้างเยอะ แถมจังหวะจ่ายบอลหน้ากรอบเขตโทษคู่แข่ง ที่ยังจ่ายเสียแทบจะตลอดทั้งเกมจนทำให้จังหวะสวนกลับที่ควรจะได้ลุ้นก็หมดโอกาสไป

ที่สำคัญ 2 ประตูที่ทำได้ในเกมนี้ ยังมีโชคช่วยเล็ก ๆ ทั้งจังหวะลื่นของ บัลด็อค ที่ลื่นหน้าตาเฉย จนทำให้ โรเบิร์ตสัน มีเวลาในการบรรจงจ่ายเข้ากลางไปให้กับ ซาลาห์ ยิงประตูเข้าไป รวมถึงประตูที่สองที่เหมือนกับว่า ดีน เฮนเดอร์สัน จะเซฟได้แล้ว แต่บอลกลับกระดอนไม่หนีตัว มาเน เท่าใดนัก เจ้าตัวจึงซ้ำเข้าไปได้แบบสบาย ๆ

Roberto Firmino,Chris Basham

เชฟฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้พกดวงมาด้วย

2 ประตูที่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เสียไปในวันนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความโชคร้ายของพวกเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นจังหวะลื่นล้มของกองหลัง รวมไปถึง บอลที่กระดอนเป็นใจจนโดยซ้ำเข้าไปง่าย ๆ ในที่สุด 

แค่นั้นยังไม่พอ ช่วงท้ายเกม พลพรรคดาบคู่ มีโอกาสได้ประตูตีไข่แตกจากลูกเปิดยัดเข้ากลาง บอลทะลุมาถึงเสาสองที่มี แม็คเบอร์นีย์ หัวหอกทีมเยือนรอชาร์จจ่อ ๆ อยู่แล้ว แต่เจ้าตัวกลับสไลด์ไปโดนบอลผิดเหลี่ยม บอลจึงลอยไปเข้ามือ อลิสซอน รับเอาไว้ได้อย่างสบาย ๆ

James Milner,Oliver McBurnie

หงส์แดง รั้งจ่าฝูง ทิ้งห่าง 13 คะแนน และมีเกมในมืออีก 1 นัด

จากชัยชนะในนัดนี้ทำให้ทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ มีเพิ่มเป็น 58 คะแนน จากการลงเล่น 20 เกม ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ 13 คะแนน แต่ยังแข่งน้อยกว่า 1 นัด นั่นหมายความว่าหากพวกเขาเอาชนะในนัดตกค้างได้ แต้มจะทิ้งห่างมากถึง 16 คะแนนเลยทีเดียว

หากดูจากระยะห่างของคะแนนแล้ว คงเหนื่อยหน่อยถ้า ทัพจิ้งจอกสยาม หรือแม้แต่ เรือใบสีฟ้า คิดจะไล่ตามให้ทัน แต่แน่นอนว่า บทเรียนมีให้เห็นแล้วในปีก่อน ฉนั้นทุกเกมจะยังประมาทไม่ได้เป็นอันขาด เพราะตอนนี้อยู่ที่ตัวพวกเขาเองล้วน ๆ แล้ว ว่าจะสามารถยกถ้วยแชมป์ขึ้นมาชูได้สำเร็จหรือไม่ หรือจะตกม้าตายช่วงท้ายฤดูกาลเหมือนซีซั่นก่อน เส้นทางยังอีกยาวไกล สงครามยังไม่จบ อย่างพึ่งรีบนับศพทหารนะจ๊ะ

FBL-ENG-PR-LIVERPOOL-SHEFFIELDU

อาร์เซนอล 2-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก ผีแดง บุกพ่าย ไร้ทางสู้


ประเด็นร้อนหลังเกม


ปืนใหญ่คืนฟอร์ม

หากใครได้ดูรูปเกมในวันนี้ จะเห็นได้ว่า อาร์เซนอล ในยุคของ มิเกล อาร์เตต้า แตกต่างจากยุคของ อูไน เอเมรี หรือแม้แต่ช่วงที่ เฟรดดริก ลุงเบิร์ก นั่งเก้าอี้กุนซือชั่วคราวก่อนหน้านี้ ทั้งที่ทีมก็เป็นชุดเดียวกัน นักเตะก็เหมือน ๆ กัน แต่ผลงานในสนามกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะวันนี้ ปืนใหญ่ ดูจะกลับมาเล่นด้วยความมั่นใจอีกครั้ง แถมในเรื่องแท็คติกและความทุ่มเท พวกเขาก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ดุดัน และแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรก ที่ต้องบอกเลยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด สู้ไม่ได้เลยตลอด 45 นาที !

Mikel Arteta

เออซิล กลับมาแล้ว !

ตลอด 90 นาทีในวันนี้ โดยเฉพาะในครึ่งเวลาแรก เมซุต เออซิล เพลย์เมกเกอร์ตัวเก๋าที่ดูเหมือนจะอยู่ในช่วงขาลงไปแล้วนั้น กลับมาโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นอีกครั้ง ทั้งเบสิก ทักษะ ต้องบอกว่าเห็นแล้วนึกถึงสมัยที่เจ้าตัวค้ายังแข้งอยู่กับ เรอัล มาดริด เมื่อหลายปีก่อน ด้วยบทบาทที่กุนซือคนใหม่มอบหมายในการให้เป็นศูนย์กลางของทีม มอบอิสระในการทำเกมในสนาม และที่สำคัญ เจ้าตัวสามารถเรียกความมั่นใจที่หายไปให้กลัยมาเต็มเปี่ยมได้สำเร็จ ปัจจัยเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ทัพปืนโต เหมือนได้แข้งหมายเลข 10 คนใหม่ หน้าเดิม มาเป็นความหวังให้กับสโมสรแห่งนี้อีกครั้ง

FBL-ENG-PR-ARSENAL-MAN UTD

ความไม่แน่นอนของ ปีศาจแดง 

แม้ในช่วงหลังทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ เหมือนจะกลับมาอยู่ในช่วงเวลาที่ดีได้แล้ว ด้วยการ ชนะ 6 จาก 8 เกม หลังสุดในทุกรายการ กระโดดขึ้นมาอยู่อันดับ 5 ในลีก แถมอัดคู่แข่งอย่าง สเปอร์ส และ แมนฯ ซิตี้ มาได้แบบชนิดที่ว่าเล่นดีกว่าเห็น ๆ จนแฟน ๆ คาดหวังว่าทีมจะหลุดออกจากวังวนยุคมืดนี้ได้เสียที

แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องมลายหายไปอีกครั้ง หลังจากที่โดน วัตฟอร์ด ทีมบ๊วย ตบกลับมาด้วยสกอร์ 2-0 เมื่อเดือนก่อน ชนิดที่ต้องบอกว่า แตนอาละวาด เล่นดีกว่าด้วยซ้ำ จากนั้นแม้จะกลับมาคืนฟอร์มเก่ง ถล่ม นิวคาสเซิล และบุกไปอัด เบิร์นลีย์ ได้ แต่พอมาเจอของจริงในเกมนี้ กลับพ่ายแพ้อย่างราบคาบชนิดไร้หนทางสู้อีกครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าวังวนนี้จะจบลงเมื่อไหร่หรือจบลงได้ยังไง แต่ที่แน่ ๆ ถ้ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร มันก็ไม่อาจคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างได้อย่างแน่นอน

Ole Gunnar Solskjaer

ลูกรัก ลินการ์ด

ทุกคนบนโลกนี้คงเห็นแล้วว่า เจสซี ลินการ์ด เทพแค่ไหน ต่อให้ไม่ต้องดูสถิติอะไรมากมาย แค่ดูจากรูปเกม การมีส่วนร่วม ทักษะเบสิกต่าง ๆ ก็คงจะเห็นแล้วว่าแข้งรายนี้ฝีเท้าอยู่ระดับไหน

แต่สิ่งที่แปลกคือ เหมือนกับว่า โซลชาร์ ยอดกุนซือของ ปีศาจแดง อาจจะมองไม่เห็นในสิ่งเดียวกันนี้ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า น้าโอเล คงมองเห็นอะไรบางอย่างที่พิเศษในตัวแข้งรายนี้ที่พวกเราตาไม่ถึงจึงมองไม่เห็นอยู่หรือเปล่า และเขาคงคาดหวังว่าสักวันความเทพที่ซ่อนอยู่นั้นมันจะประจักษ์ต่อสายตาผู้คนได้ถ้าให้โอกาสเจ้าตัวได้แสดงฝีเท้าเรื่อย ๆ

แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นได้ เพราะเวลาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ลินการ์ด นั้น “ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ” แต่บอสเองก็ยังคงให้โอกาสอยู่เสมอ แบบนี้ก็คงชัดเจน ถ้าไม่เรียก “ลูกรัก” ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว !

FBL-EUR-C1-MAN UTD-BARCELONA

เน้นหน่อย ! จอร์จินโญ กระตุ้นเพื่อนสิงห์ ถึงสิ่งที่ต้องทำให้ได้ในปี 2020

จอร์จินโญ มิดฟิลด์เซียนจ่ายของ ​เชลซี ทีมดังในศึก พรีเมียร์ลีก ออกโรงกระตุ้นเพื่อนร่วมทัพสิงห์บลูว่าจะต้องพยายามเน้นหนักเพื่อเอาชนะเกมในบ้านตัวเองให้ได้ เพื่อคว้าเป้าหมายที่วางไว้มาครองอย่างไม่ผิดพลาดอะไร

“สิ่งสำคัญคือเราต้องพยายามต่อสู้จนสุดความสามารถทุกเกมการแข่งขัน แต่ปัญหาคือหลาย ๆ นัด เชลซี ได้เล่นในบ้านแต่กลับทำตัวติ๋มกันเกินไปหน่อย ซึ่งนี่คือจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขด่วน” จอร์จินโญ กล่าว

“คุณลองนึกภาพตามแล้วกันว่าบางแมตช์คู่แข่งบุกมาเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์ แบบตั้งใจอุดเต็มที่ ไม่คิดเล่นฟุตบอลกันเล ซึ่งนั่นทำให้เราเจาะเอาประตูอย่างยากลำบากขั้นสุด”

“นี่แหละผมถึงบอกไงว่าเราต้องเน้นหาทางเจาะเอาประตูมาให้ได้เพื่อปิดเกม สร้างมิติเข้าทำในพื้นที่สุดท้ายให้หลากหลายมากพอ วิ่งตัดแนวรับกันให้เร็วและคมขึ้นอีกหลาย ๆ เท่า”

​”ด้วยปรัชญาการเล่นแบบ เชลซี ทำให้หลาย ๆ จังหวะมิดฟิลด์ไม่กล้าแทงบอลทะลุช่องเข้าไปหากรอบเขตโทษฝ่ายตรงข้าม ซึ่งผมว่าถ้าเราเปลี่ยนชุดความคิดแค่นิดเดียว เรื่องจะง่ายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเลยล่ะ”

อาร์เซนอล vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน



ความพร้อมของทั้ง 2 ทีม


อาร์เซนอล

รีสส์ เนลสัน มีชื่อออกสตาร์ทให้กับ ไอ้ปืนใหญ่ ภายใต้การคุมทีมของ มิเคล อาร์เตต้า ทั้ง 2 เกมหลังสุดขณะที่ นิโกลาส์ เปเป้ มีชื่อเป็นเพียงแค่ตัวสำรองในทั้ง 2 เกมดังกล่าวและคาดว่า เนลสัน จะยังคงมีชื่อเป็นตัวจริงอีกครั้งในเกมนี้

ขณะที่ คาลัม แชมเบอร์ส เพิ่งได้รับบาดเจ็บในเกมที่พวกเขาปราชัยต่อ เชลซี คาบ้าน 1-2 ในเกมส่งท้ายปี 2019 และจะไม่สามารถลงช่วยทีมได้ในเกมนี้อย่างแน่นอนซึ่งคาดการณ์ว่า ชโคดราน มุสตาฟี อาจได้ลงสนามแทนที่กรณี โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส ฟิตไม่ทัน

นอกจากนี้ กรานิท ชาก้า อาจต้องรอทดสอบความฟิตอีกครั้งหลังจากที่เจ้าตัวมีอาการป่วยจนพลาดการลงเล่นในเกมกับ สิงห์บลู

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-2-3-1

ผู้รักษาประตู เลโน
กองหลัง เมตแลนด์-ไนลส์, มุสตาฟี, ลุยซ์, ซาก้า
กองกลาง ชาก้า, ตอร์เรย์รา
เนลสัน, เออซิล, โอบาเมยอง
กองหน้า ลากาแซ็ตต์

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

คาดการณ์ว่า ปอล ป็อกบา จะสมบูรณ์พร้อมออกสตาร์ทเป็นตัวจริงให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ในเกมเยือนรัง ไอ้ปืนใหญ่ หลังจากไม่ได้ลงสนามในเกมเอาชนะ เบิร์นลีย์ 2-0 ทว่า โอเล กุนนาร์ โซลชา จะยังไร้ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ จากปัญหาอาการบาดเจ็บ

ขณะที่ แดเนียล เจมส์ กับ เมสัน กรีนวูด จะเบียดแย่งตำแหน่งตัวรุกริมเส้นฝั่งขวาโดยมี อันเดรียส เปเรย์รา ขับเคี่ยวกับ เจสซี ลินการ์ด ในบทบาทกองกลางตัวรุก

ปีศาจแดง จะยังได้ ลุค ชอว์ กับ อารอน วาน-บิสซาก้า กลับมาช่วยทีมหลังจากได้พักมาในเกมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-2-3-1

ผู้รักษาประตู เด เคอา
กองหลัง วาน-บิสซาก้า, ลินเดเลิฟ, แม็คไกวร์, ยัง
กองกลาง ป็อกบา, เฟร็ด
เจมส์, เปเรย์รา, แรชฟอร์ด
กองหน้า มาร์กซิยาล

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


อาร์เซนอล (ชนะ 0 เสมอ 3 แพ้ 2)

29 ธันวาคม พรีเมียร์ลีก อาร์เซนอล 1 : 2 เชลซี แพ้
26 ธันวาคม พรีเมียร์ลีก บอร์นมัธ 1 : 1 อาร์เซนอล เสมอ
21 ธันวาคม พรีเมียร์ลีก เอฟเวอร์ตัน 0 : 0 อาร์เซนอล เสมอ
16 ธันวาคม พรีเมียร์ลีก อาร์เซนอล 0 : 3 แมนฯ ซิตี้ แพ้
13 ธันวาคม ยูโรปาลีก ส. ลีแอช 2 : 2 อาร์เซนอล เสมอ

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 1)

29 ธันวาคม พรีเมียร์ลีก เบิร์นลีย์ 0 : 2 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ
27 ธันวาคม พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 4 : 1 นิวคาสเซิล ชนะ
22 ธันวาคม พรีเมียร์ลีก วัตฟอร์ด 2 : 0 แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้
19 ธันวาคม คาราบาว คัพ แมนฯ ยูไนเต็ด 3 : 0 โคลเชสเตอร์ ชนะ
15 ธันวาคม พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 1 : 1 เอฟเวอร์ตัน เสมอ

เฮดทูเฮด (อาร์เซนอล ชนะ 1 เสมอ 2 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 2)

1 ตุลาคม 2019 พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 1 : 1 อาร์เซนอล
11 มีนาคม 2019 พรีเมียร์ลีก อาร์เซนอล 2 : 0 แมนฯ ยูไนเต็ด
26 มกราคม 2019 เอฟเอ คัพ อาร์เซนอล 1 : 3 แมนฯ ยูไนเต็ด
6 ธันวาคม 2018 พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 2 : 2 อาร์เซนอล
29 เมษายน 2018 พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 2 : 1 อาร์เซนอล

สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • ​อาร์เซนอล ไร้พ่ายในการพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึก พรีเมียร์ลีก 3 นัดหลังสุด (ชนะ 1 เสมอ 2) แต่พวกเขาไม่เคยไร้พ่ายต่อ ปีศาจแดง 4 นัดติดต่อกันในรายการนี้มาก่อนนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 1999 (ชนะ 3 เสมอ 1)

  • แมนฯ ยูไนเต็ด มีสถิติปราชัยเมื่อออกมาเยือนรัง ไอ้ปืนใหญ่ 3 จาก 4 เกมหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก (ชนะ 1) มากเทียบเท่ากับ 13 เกมเยือนก่อนหน้านี้เมื่อรวมตัวเลขตั้งแต่ที่ ไฮบิวรี ต่อเนื่องจนมาถึงรัง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม (ชนะ 4 เสมอ 6 แพ้ 3)

  • นับเป็นเกมที่ 3 ที่ทั้งคู่พบกันในโปรแกรมวันขึ้นปีใหม่โดย เร้ดเดวิลส์ เป็นฝ่ายกำชัยเหนือ เดอะกันเนอร์ส ด้วยสกอร์ 2-0 ทั้งสองเกมก่อนหน้านี้ (1912 และ 1949)

  • ปืนโตแห่งลอนดอน ไม่แพ้ใครในเกมที่ต้องลงเล่นเป็นนัดแรกของปีนับตั้งแต่ปี 1985 (1-2 ต่อ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์) โดยเป็นการชนะ 13 ครั้งและ เสมอ 8 นัด

  • ไม่มีทีมใดใน พรีเมียร์ลีก ที่เก็บชัยชนะในเกมวันปีใหม่ได้มากเทียบเท่ากับ อาร์เซนอล (9 ครั้ง)

  • ปีศาจแดง สามารถเก็บชัยชนะในเกมแรกของปีมาติดต่อกัน 4 นัดเข้าไปแล้ว โดยครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพ่ายแพ้เกิดขึ้นในปี 2014 คารัง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ต่อ สเปอร์ส (1-2)

  • เดอะกันเนอร์ส จะทำสถิติปราชัยคาบ้านติดต่อกัน 5 นัดเมื่อรวมทุกรายการเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขาหากพลาดท่าต่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมนี้

  • ลูกทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ไม่เคยเก็บชัยชนะใน พรีเมียร์ลีก 3 นัดติดต่อกันมาก่อนนับตั้งแต่ โซลชา ประเดิมคุมทีมคว้าชัย 6 เกมแรกกับทีม โดย เร้ดเดวิลส์ ภายใต้กับคุมทัพของ โอเล เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ 2 เกมเยือนหลังสุดต่อทีมจาก ลอนดอน (0-2 ต่อ อาร์เซนอล เมื่อเดือนมีนาคม 2019 และ 0-2 ต่อ เวสต์แฮม เมื่อเดือนกันยายน 2019)

  • ​มาร์คัส แรชฟอร์ด มีส่วนเกี่ยวข้องกับประตูของ ปีศาจแดง ทั้งหมด 16 ครั้ง (12 ประตู 4 แอสซิสต์) จากการลงสนามใน พรีเมียร์ลีก 20 นัด แต่เจ้าตัวไม่สามารถซัลโวใส่ ไอ้ปืนใหญ่ ในการพบกันบนเวที พรีเมียร์ลีก 7 นัดหลังสุดนับตั้งแต่ที่ แรชฟอร์ด เบิ้ล 2 ประตูในเกมเดบิวต์รายการนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2016

  • ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ซัดให้ อาร์เซนอล ในเกมเสมอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อต้นฤดูกาลรวมทั้งยังซัดใส่ ปีศาจแดง ในซีซันก่อนหน้านี้ ครั้งสุดท้ายที่ เดอะกันเนอร์ส มีผู้เล่นที่ซัลโวใส่ ผีแดง 3 เกม พรีเมียร์ลีก ติดต่อกันก็คือ เธียร์รี อองรี ในเดือนพฤศจิกายน 2001

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-0 เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังศึก พรีเมียร์ลีก


ประตูจาก เซร์คิโอ อเกวโร และ ริยาด มาห์เรซ ช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เก็บ 3 คะแนนเต็มในการพบกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด หลังเอาชนะด้วยสกอร็ 2-0 ในศึก พรีเมียร์ลีก ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

เกมเริ่มต้นด้วยการส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้ก่อนของ ลิส มุสเซ็ต จากจังหวะสวนกลับเร็วของพลพรรค ดาบคู่ ทว่าการพิจารณาจาก VAR ตัดสินให้หัวหอก เชฟฟิลด์ ล้ำหน้าไปเพียงนิดเดียวเท่านั้นทำให้จังหวะดังกล่าวไม่เป็นระตู

โมเมนตัมตกเป็นของ เรือใบสีฟ้า ที่ครองบอลได้มากกว่าหลังจากนั้นแต่พวกเขาไม่สามารถสร้างโอกาสถนัดถนี่ได้มากนักก่อนที่จะจบครึ่งแรกแบบไร้สกอร์

ครึ่งหลังเริ่มต้นมาได้เพียง 7 นาทีทัพ ซิตีเซนส์ ก็เป็นฝ่ายออกนำ 1-0 เมื่อทีมเยือนเสียบอลในแดนของตนเองจากจังหวะที่ผู้ตัดสินขวางทางการเล่นของ จอห์น เฟล็ค ทำให้บอลไปถึง เดวิน เดอ บรอยน์ ก่อนที่มิดฟิลด์ เบลเจี้ยน จะแทงทะลุช่องให้กับ อเกวโร ได้หลุดเข้าไปล่อเป้าในกรอบเขตโทษไม่พลาด

Kevin De Bruyne

เดอ บรอยน์ เจ้าเก่ามาพังประตู 2-0 ให้ทีมในนาทีที่ 82 จากการทำชิ่งกับ ริยาด มาห์เรซ ก่อนที่ เคดีบี จะได้ซัดเลียดในกรอบเขตโทษหักข้อด้วยขวาชนิดที่ ดีน เฮนเดอร์สัน ได้แต่ป้องกันด้วยสายตาและจบเกมไปด้วยสกอร์ดังกล่าว


แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ประเด็นหลังเกม

FBL-ENG-PR-MAN CITY-SHEFFIELD UTD

เรือใบสีฟ้า ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเก็บชัยชนะทุกเกมที่เหลือในศึก พรีเมียร์ลีก หากหวังที่จะไล่บี้ ลิเวอร์พูล เพื่อแย่งแชมป์มาครองแต่พวกเขากลับออกสตาร์ทอย่างตะกุกตะกักในเกมนี้

เคลาดิโอ บราโบ, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ และ เอริค การ์เซีย ถูกส่งออกสตาร์ทกับวันที่ เอแดร์ซอน และ แบงฌาแม็ง เมนดี้ ติดโทษแบน ขณะที่ นิโกลาส์ โอตาเมนดี้ ถูกโรเตชันพักแข้ง

ในเกมที่บรรดาแข้งตัวรุกลูกทีมของ เป๊บ กวาร์ดิโอลา ต่างไม่สามารถสร้างจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับทีมได้ เควิน เดอ บรอยน์ ก็สวมบทบาทฮีโร่แอสซิสต์ 1 และพังประตูอีก 1 ลูกช่วยให้สถานการณ์ไล่ตามที่ง หงส์แดง และ เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่เลวร้ายไปกว่านี้


คะแนนนักเตะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

11 ผู้เล่นตัวจริง: บราโบ (6); วอล์คเกอร์ (6), การ์เซีย (8), แฟร์นันดินโญ (6), ซินเชนโก้ (7); เดอ บรอยน์ (8), โรดรี (6), แบร์นาโด้ (5); มาห์เรซ (7), อเกวโร (6), สเตอร์ลิง (6)

ตัวสำรอง: กุนโดกัน (6), โฟเด้น (6)


คีย์แมน – เอริค การ์เซีย

Lys Mousset,Eric Garcia

ด้วยสไตล์การเล่นของ แมนฯ ซิตี้ ที่บอลมักอยู่นการครอบครองของพวกเขาก็มักทำให้แนวรับไม่ได้ถูกกดดันมากนักนอกจากจังหวะการถูกสวนกลับเร็วโดยคู่แข่งที่มักเป็นหมัดน็อคแดนหลังของทัพ ซิตีเซนส์

ในเกมที่ เอริค การ์เซีย เจ้าหนูวัยเพียง 18 ปีถูกส่งลงประเดิมสนามออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในศึก พรีเมียร์ลีก เป็นนัดแรกกับบทบาทเซ็นเตอร์แบ็ค แข้งวัยกระเตาะสามารถเค้นฟอร์มบัญชาแนวรับของทีมเคียงข้างกับ แฟร์นันดินโญ ได้อย่างมั่นใจและเป็นหนึ่งในคีย์แมนสำคัญช่วยให้ทีมสามารถเก็บชัยชนะได้ในเกมนี้

ลิเวอร์พูล vs วูล์ฟแฮมป์ตัน : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน


การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2019
เวลาแข่งขัน 23.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน ลิเวอร์พูล vs วูล์ฟแฮมป์ตัน
สนาม แอนฟิลด์
ถ่ายทอดสด True Premier Football HD 1

ความพร้อมของทั้งสองทีม


ลิเวอร์พูล

ร้อนแรงสุด ๆ กับการที่พึ่งถล่มทีมอันดับ 2 อย่าง เลสเตอร์ ด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 0-4 น่าจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้พวกเขาในเกมนี้ได้แบบสุด ๆ กับการต้องเปิดรัง แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่ระเบิดฟอร์มสุดยอดไม่แพ้กัน พลิกนรกแซงชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาได้ในเกมล่าสุด เพราะงั้นแม้ หงส์แดง จะดูเหนือกว่า แต่จะประมาทเกมโต้กลับและแผนการอันแยบยลของ นูโน ซานโต้ ไม่ได้เป็นอันขาด มิฉนั้นพวกเขาอาจต้องพบจุดจบเดียวกับ เรือใบสีฟ้า ในนัดก่อนก็เป็นได้

สภาพทีมในขณะนี้ ยังมีปัญหาผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บอยู่หลายรายด้วยกันทั้ง นาธาเนียล ไคลน์, โจเอล มาติป, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, ฟาบินโญ และ เดยัน ลอฟเรน ที่จะไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้ในเกมนี้แน่นอนแล้ว

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อลิสซอน
กองหลัง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โกเมซ, ฟาน ไดจ์ค, โรเบิร์ตสัน
กองกลาง เฮนเดอร์สัน, เกอิต้า, ไวนัลดุม
กองหน้า ซาลาห์, ฟิร์มิโน, มาเน

วูล์ฟแฮมป์ตัน

สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเปิดบ้านเอาชนะแชมป์เก่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาได้ 3-2 แบบสุดดราม่าในเกมล่าสุด แต่ก็ยังดีใจได้ไม่สุดนัก เพราะพวกเขายังต้องบุกมาเยือน แอนฟิลด์ ในอีก 1 วันถัดมา ซึ่งแน่นอนว่า หงส์แดง เจ้าบ้านยังคงไร้พ่ายในลีกซีซั่นนี้ แต่หาก พลพรรคหมาป่า สามารถเล่นได้อย่างแข็งแกร่ง มั่นใจ และไม่ยอมแพ้ ก็ยังพอจะมีโอกาสมีแต้มติดมือกลับบ้านไปเหมือนที่เคยทำได้กับ แมนฯ ซิตี้ มาแล้วนั่นเอง

สภาพทีมในขณะนี้ มีเพียง วิลลี โบลี และ มอร์แกน กิ๊บส์-ไวท์ 2 แข้งตัวหลัง ที่ยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่เท่านั้น ส่วนแข้งคนสำคัญรายอื่น ๆ ฟิตพร้อมลงสนามในเกมนี้ทั้งหมด

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 3-4-3

ผู้รักษาประตู ปาทริซิโอ
กองหลัง เบ็นเน็ตต์, โคอาดี้, เดนดองเคอร์
กองกลาง โดเฮอร์ตี้, เนเวส, มูตินโญ, จอนนี
กองหน้า โจต้า, ฆิเมเนซ, ตราโอเร

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


ลิเวอร์พูล (ชนะ 5 เสมอ 0 แพ้ 0)

27 ธ.ค. PL เลสเตอร์ 4-0 ลิเวอร์พูล
22 ธ.ค. CWC ลิเวอร์พูล 1-0 ฟลาเมงโก้
19 ธ.ค. CWC มอนเตอร์เรย์ 1-2 ลิเวอร์พูล
18 ธ.ค. EFL วิลลา 5-0 ลิเวอร์พูล
14 ธ.ค. PL ลิเวอร์พูล 2-0 วัตฟอร์ด

วูล์ฟแฮมป์ตัน (ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 1)

28 ธ.ค. PL วูล์ฟแฮมป์ตัน 3-2 แมนฯ ซิตี้
21 ธ.ค. PL นอริช 1-2 วูล์ฟแฮมป์ตัน
15 ธ.ค. PL วูล์ฟแฮมป์ตัน 1-2 สเปอร์ส
13 ธ.ค. UEL วูล์ฟแฮมป์ตัน 4-0 เบซิคตัส
8 ธ.ค. PL ไบรท์ตัน 2-2 วูล์ฟแฮมป์ตัน

เฮดทูเฮด (ลิเวอร์พูล ชนะ 3 เสมอ 0 วูล์ฟแฮมป์ตัน ชนะ 2)

12/05/19 PL ลิเวอร์พูล 2-0 วูล์ฟ
08/01/19 FA วูล์ฟ 2-1 ลิเวอร์พูล
22/12/18 PL วูล์ฟ 0-2 ลิเวอร์พูล
28/01/17 FA ลิเวอร์พูล 1-2 วูล์ฟ
01/02/12 PL วูล์ฟ 0-3 ลิเวอร์พูล

*PL = พรีเมียร์ลีก / UCL = ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก /EFL = คาราบาวคัพ / CWC = ชิงแชมป์สโมสรโลก / FA = เอฟเอคัพ


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • ลิเวอร์พูล แพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน ในเกม พรีเมียร์ลีก เพียงเกมเดียวจาก 10 นัดหลังสุด (ชนะ 7 เสมอ 2 แพ้ 1) โดย 5 เกมหลังสุดที่พบกัน พวกเขาชนะรวด ยิงได้ 12 เสียเพียง 1 ประตูเท่านั้น

  • วูล์ฟ แพ้ 15 จาก 17 เกมหลังสุด ที่ออกมาเยือน แอนฟิลด์ ใน พรีเมียร์ลีก โดย 10 จาก 14 นัดหลังสุดนั้น พวกเขาไม่สามารถยิงประตูได้

  • หงส์แดง สามารถเอาชนะเกมลีก นัดสุดท้ายของปี มาได้ 5 ครั้งติดต่อกันแล้ว นับตั้งแต่แพ้ เชลซี ในปี 2013

  • ทัพหมาป่า ก็สามารถเอาชนะในเกมสุดท้ายของปี 4 จาก 5 ปีหลังสุดเช่นกัน (ชนะ 4 เสมอ 0 แพ้ 1)

วูล์ฟแฮมป์ตัน 3-2 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกมพรีเมียร์ลีก คืนวันศุกร์ สุดดราม่า

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 10 คน ล้างแค้นไม่สำเร็จ บุกพ่าย วูล์ฟแฮมป์ตัน 3-2 โดยแม้ว่า เรือใบสีฟ้า จะเหลือผู้เล่น 10 คนตั้งแต่นาทีที่ 12 แต่ก็ได้ประตูออกนำก่อนถึง 2-0 จาก ราฮีม สเตอร์ลิง ในนาทีที่ 25 และ 50 ส่วน ทีมหมาป่า มายิง 3 ประตูรวดจาก อดามา ตราโอเร นาทีที่ 55 ราอูล ฆิเมเนซ นาทีที่ 82 และ ประตูชัยของ แมทต์ โดเฮอร์ตี้ ในนาทีที่ 89 จบเกม วูล์ฟ ทำได้อีกครั้ง อัด แมนฯ ซิตี้ แชมป์เก่า 3-2

Ederson,Martin Atkinson

เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก ทีมเยือนเป็นฝ่ายเปิดเกมบุกเข้าใส่ตามฟอร์มในช่วง 10 นาทีแรก ส่วนเจ้าบ้านมาตั้งรับและรอโอกาสโต้กลับในแบบที่พวกเขาถนัด

​กระทั่งนาทีที่ 12 เรือใบสีฟ้า ต้องเหลือผู้เล่น 10 คน จากจังหวะที่ วูล์ฟ วางบอลยาวข้ามแนวหลัง แต่ เอแดร์ซอน ออกมาตัดบอลพลาดโดนยกบอลหลบและไปกระแทกกับ โจต้า ล้มลงเป็นโปรเฟสชันแนลฟาวล์ โดนใบแดงไล่ออกจากสนามไป

ซึ่งหลังจากเหลือ 10 คน เจ้าบ้านก็กลับเป็นฝ่ายเปิดเกมบุกเข้าใส่อย่างหนัก ส่วนทีมเยือนต้องเป็นฝ่ายถอยลงมาตั้งรับบ้าง

แต่ในนาทีที่ 25 แมนฯ ซิตี้ มาได้ลูกจุดโทษจากลูกสวนกลับ มาห์เรซ โดนทำฟาวล์ในเขตโทษ และเป็น สเตอร์ลิง ที่รับหน้าที่สังหาร แต่ไปติดเซฟของ ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น โดย VAR จับได้ว่า ปาทริซิโอ ออกมาจากเส้นก่อน จึงให้ยิงใหม่ และเป็น สเตอร์ลิง คนเดิมที่ซัดไปติดเซฟอีกครั้งแต่บอลยังเป็นใจ กระดอนมาเข้าทางและซ้ำเข้าไป ให้ทีมออกนำ 0-1

จากนั้น เจ้าบ้านพยายามเปิดเกมบุกเข้าใส่อย่างหนัก แต่ก็ยังไม่สามารถตีไข่แตกได้ จบ 45 นาที เรือใบ บุกมานำ 0-1

Raheem Sterling,Rui Patricio

เริ่มเกมในครึ่งเวลาหลัง ทัพหมาป่า พยายามเร่งเกมบุกอย่างหนัก และเกือบได้ประตูตีเสมอจากลูกยิงของ โจต้า แต่บอลข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย

แต่ในนาทีที่ 50 กลายเป็นทีมเยือนออกนำห่าง 0-2 จากการสวนกลับเร็ว เดอ บรอยน์ เบิลทะลุช่องให้ สเตอร์ลิง คนเดิม หลุดเดียวเข้าไปยิงง่าย ๆ

จากนั้นเพียงเพียง 5 นาที วูล์ฟ มาได้ประตูตีไข่แตก หลังจากโหมบุกอยู่พักใหญ่ จากลูกยิงไกลนอกกรอบของ อดามา ตราโอเร เสียบเสาเข้าไปอย่างงดงามไล่มาเป็น 1-2

หลังจากได้ประตูไล่ตามมาเจ้าบ้านก็พยายามโหมบุกอย่างหนัก แม่ทีมเยือนจะมีโอกาสบุกสวนกลับมาบ้างแต่ก็ยังไม่สามารถทำประตูเพิ่มได้

กระทั่งนาทีที่ 82 กองเชียเจ้าถิ่นได้เฮกันอีกครั้ง จากลูกยิงตีเสมอของ ฆิเมเนซ ที่ชาร์จลูกเปิดของ ตราโอเร จ่อ ๆ เข้าไป ทำให้สกอร์มาเสมอกันที่ 2-2

เกมทำท่าจะจบที่ผลเสมอ แต่แล้วนาทีที่ 89 วูล์ฟ มาได้ประตูชัยจากจังหวะที่ โดเฮอร์ตี้ ทำชิ่งกับ ฆิเมเนซ หลุดเข้าไปยิง ให้ทีมขึ้นนำ 3-2 ก่อนหมดเวลาเพียง 1 นาที

แม้ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เรือใบสีฟ้า เกือบได้ประตูตีเสมอจากลูกฟรีคิกที่ สเตอร์ลิง ยิงไปชนคาน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น

จบเกม วูล์ฟแฮมป์ตัน ย้ำแค้น พลิกชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 10 คน 3-2

FBL-ENG-PR-WOLVES-MAN CITY

คะแนนนักเตะ แมนฯ ซิตี้


แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เอแดร์ซอน(5), วอล์คเกอร์(6), แฟร์นันดินโญ(6.5), โอตาเมนดี้(6), เมนดี้(4.5), โรดริโก้(6), เดอ บรอยน์(7), แบร์นาโด้(6), มาห์เรซ(6.5), สเตอร์ลิง(8), อเกวโร(6)

ตัวสำรอง : บราโบ(6.5), กุนโดกัน(6), การ์เซีย(6)


ประเด็นร้อนหลังเกม


เกมสุดดราม่าแห่งปี 2019

เริ่มตั้งแต่จุดเปลี่ยนแรกของเกมนี้ คือการโดนใบแดงไล่ออกจากสนามตั้งแต่นาทีที่ 12 ของ เอแดร์ซอน ที่ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รูปเกมตกเป็นรองแทบจะตลอดทั้งเกมในช่วงเวลาที่เหลือ แต่แล้วก็มีจุดเปลี่ยนที่สอง คือจุดโทษของ แมนฯ ซิตี้ ที่ VAR ให้โอกาสยิงถึงสองครั้งทั้งที่ยิงพลาดไปแล้วในจังหวะแรก แถมพวกเขายังมาได้ประตูนำห่าง 0-2 ในช่วงต้นครึ่งหลัง ทำให้โมเมนตัมของเกม ตกมาอยู่กับลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เต็ม ๆ แม้จะมีผู้เล่นน้อยกว่าก็ตาม

​แต่แล้วก็มีประกายความหวัง ที่สร้างจุดเปลี่ยนให้กับเจ้าถิ่นคือ ประตูตีไข่แตกในอีก 5 นาทีต่อมา ของ อดามา ตราโอเร ของแสลงเจ้าเก่าของ เรือใบสีฟ้า และด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของ ทัพหมาป่า ลูกที่ 2 ก็ตามมาในช่วงท้ายเกม ต้องขอบคุณ เมนดี้ ดันไปเล่นยากทำให้ทีมเสียบอลและเป็นที่มาของประตูตีเสมอนี้ แต่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือการประสานงานบวกความสามารถเฉพาะตัวของ แมตท์ โดเฮอร์ตี้ และ ราอูล ฆิเมเนซ ที่ประสานงานกันจนได้ประตูชัยมาในช่วงก่อนทดเวลา 1 นาที แม้ว่าช่วงต่อเวลายังเกือบมีเซอร์ไพรส์จากลูกฟรีคิกของ สเตอร์ลิง ที่บอลพุ่งไปชนคานอย่างจัง พลาดโอกาสตีเสมอไปอย่างน่าเสียดาย จนจบเกม วูล์ฟ ย้ำชัยชนะแบบสุดดราม่าได้สำเร็จ 3-2

Ederson

รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม


วูล์ฟแฮมป์ตัน: ปาทริซิโอ, เดนดองเคอร์, โคอาดี้, ไซอิสส์, โดเฮอร์ตี้, มูตินโญ, เนเวส, อ็อตโต้, อดามา, ฆิเมเนซ, โจต้า

ตัวสำรอง : รัดดี้, เนโต้, คูโตรเน, เบ็นเนตต์, บาเญโฆ, วินาเกร, คิลแมน

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เอแดร์ซอน, วอล์คเกอร์, แฟร์นันดินโญ, โอตาเมนดี้, เมนดี้, โรดริโก้, เดอ บรอยน์, แบร์นาโด้, มาห์เรซ, สเตอร์ลิง, อเกวโร

ตัวสำรอง : บราโบ, อังเคลิโน, ซินเชนโก้, กุนโดกัน, คันเซโล, โฟเด้น, การ์เซีย


เลสเตอร์ ซิตี้ 0-4 ลิเวอร์พูล : ชำแหละ 5 ประเด็นร้อนหลังชัยชนะของ หงส์แดง ที่ คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม

การแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019/20

คืนวันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2019

เวลาแข่งขัน 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย

ผลการแข่งขัน เลสเตอร์ ซิตี้ 0-4 ลิเวอร์พูล

สนามคิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม


5. ความเป็นไปของเกม

เกมที่ คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม ออกสตาร์ทอย่างหวือหวาเมื่อทั้ง เลสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล พยายามเร่งเกมเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบตั้งแต่ต้นเกมก่อนที่โมเมนตัมจะตกเป็นของ หงส์แดง เมื่อพวกเขาสามารถพลิกบอลในพื้นที่สุดท้ายและเก็บบอลในพื้นที่ว่างได้

เร้ดแมชีน อาศัยความได้เปรียบเมื่อมีบอลในครอบครองพังประตูเบิกร่องจากลูกครอสอันแม่นยำราวจับวางของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ขึ้นโขกที่เสาสองเหน่งๆ ก่อนจบครึ่งแรกกับสถิติโอกาสยิงของเจ้าบ้านไม่มีเลยสักครั้งเดียว (ลิเวอร์พูล 8 ครั้ง)

เกมในช่วงเริ่มต้นครึ่งหลังยังคงเป็น ลิเวอร์พูล ที่ขโยกเข้าใส่อย่างต่อเนื่องโดยที่ เดอะฟ็อกซ์ ไม่สามารถโงหัวขึ้นมาได้เลยก่อนท่ีลูกจุดโทษของ เจมส์ มิลเนอร์ ในประตู 2-0 จะทำให้สกอร์ไหลเป็น 3-0 จาก ฟิร์มิโน เจ้าเก่า และ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มาปิดท้าย 4-0

4. อาการบาดเจ็บของ เฮนเดอร์สัน

สัมผัสบอล 90 ครั้ง

ผ่านบอลสำเร็จคิดเป็นสัดส่วน 93 เปอร์เซ็นต์

เอาชนะในการเข้าปะทะ 3 ครั้ง

ข้างต้นเป็นตัวเลขสถิติของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในเกมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เจ้าตัวโดดเด่นทั้งลูกบู๊และลูกบุ๋นเมื่อรับบทบาทเป็นห้องเครื่องขับเคลื่อนการเซ็ตเกมรุกที่แดนกลาง เข้าตากับวิสัยทัศน์ในการผ่านบอลทแยงมุมเปลี่ยนแกน และการเก็บกวาดหน้าแนวรับของทีม

นับเป็นข่าวร้ายไม่น้อยที่กัปตัน เฮนโด้ ต้องกระเผลกออกจากสนามเมื่อมีอาการบาดเจ็บในช่วงเวลาที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ หมดสิทธิ์ใช้งานทั้ง อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน กับ ฟาบินโญ ไปแล้วก่อนหน้า

3. ฟิร์มิโน กลายเป็นพระเอกที่แดนหน้า

ในวันที่เพื่อนร่วม 3 ประสานทั้ง ซาดิโอ มาเน กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไม่ได้มีจังหวะที่เป็นใจนัก ลิเวอร์พูล ยังมี โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน ที่พร้อมจะก้าวขึ้นมาเป็นคีย์แมนให้กับทีมอย่างที่เราได้เห็นในเกมนี้กับ เลสเตอร์

หัวหอก บราซิเลียน แปรเปลี่ยนโอกาสยิง 3 ครั้งเป็น 2 ประตูโดยที่ทั้งสองลูกของเจ้าตัวเกิดจากสัญชาตญาณในการหาพื้นที่ว่างอันยอดเยี่ยม ขณะที่ประตูที่สองยังแสดงให้เห็นความเยือกเย็นในการจบสกอร์อีกด้วย

2. หนึ่งในโมเมนตัมสำคัญของฤดูกาลที่ผ่านไปได้ด้วยดี

แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่เปิดฤดูกาล 2019/20 แต่บรรดา เดอะค็อป ก็แสดงอาการหวั่นใจไม่น้อยก่อนหน้านี้กับคิวเตะหฤโหดในช่วงคริสต์มาสตามแบบฉบับ พรีเมียร์ลีก พร้อมกับการต้องบินข้ามโลกไปยัง กาตาร์ เพื่อโม่แข้งทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์สโมสรโลกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

แต่ท้ายที่สุด หงส์แดง ก็ก้าวข้ามบันไดสู่ความสำเร็จไปอีกขั้นโดยมีถ้วย ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ ติดไม้ติดมือกลับมา และทำแต้มทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในอันดับที่ 3 ไปไกลสุดกู่ถึง 14 แต้มเข้าไปแล้วหลังชัยชนะเหนือ เลสเตอร์ ซิตี้

ยิ่งเกมแต่ละเกมผ่านไป ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยิ่งเล่นด้วยความมั่นใจมากยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พวกเขารับมือกับความกดดันและสามารถงัดทีเด็ดออกมาให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่า

จากนี้เหลืออีกเพียงแค่ครึ่งทางของซีซันเท่านั้นที่การรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดมาอย่างยาวนานถึง 30 ปีจะสิ้นสุดลง

– และทุกอย่างอยู่ในกำมือของพวกเขา

1. อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เข้าขั้นเวิลด์คลาส

2 แอสซิสต์กับอีก 1 ประตูเป็นตัวเลขยืนยันมาตรฐานของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็คขวา สเกาเซอร์ พันธ์แท้วัยเพียง 21 กะรัต ได้เป็นอย่างดี

ลูกครอสครั้งแล้วครั้งเล่าของเจ้าตัวไม่ว่าจะเป็นการเปิดโด่งไซด์โป้ง, เปิดฮาล์ฟวอลเลย์ระดับเข่า, เปิดไปที่จุดนับพบ รวมทั้งเปิดเลียดยัดเข้าไปยังพื้นที่อันตราย ทั้งหมดสามารถสร้างความกดดันให้กับแนวรับของ เลสเตอร์ ซิตี้ แทบตลอดทั้งเกม

เจ้าหนูเทรนท์ ยังโชว์ความฟิตระดับเต็มถังเมื่อทะยานจากหน้าปากประตูตัวเองไปจนถึงในกรอบเขตโทษเจ้าถิ่นในจังหวะสวนกลับช่วงท้ายเกมก่อนสังหารด้วยหลังเท้าราวกับกองหน้าอาชีพเป็นประตูปิดท้าย 4-0 ให้ เร้ดแมชีน

สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด 

เลสเตอร์ ซิตี้ vs ลิเวอร์พูล : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน


การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน คืนวันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2019
เวลาแข่งขัน 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน เลสเตอร์ ซิตี้ vs ลิเวอร์พูล
สนาม คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม
ถ่ายทอดสด True Premier Football HD 1, True ID

ความพร้อมของทั้งสองทีม


เลสเตอร์ ซิตี้

พลาดสะดุดพ่ายให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-1 ในเกมลีกนัดล่าสุด ซึ่งก่อนหน้านั้นพวกเขาสามารถทำสถิติไม่แพ้ใครมาตลอด 11 เกมหลังสุดในทุกรายการด้วยกัน

วันพฤหัสบดีนี้ ลูกทีมของ แบรนเดน ร็อดเจอร์ จะต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของ จ่าฝูง ลิเวอร์พูล ที่ฟอร์มยังคงร้อนแรงคว้าแชมป์สโมสรโลกมาได้หมาด ๆ แต่แน่นอน เลสเตอร์ เองก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยผลงานในซีซั่นนี้แล้วว่า ทีมของพวกเขาก็สามารถรับมือกับทีมยักษ์ใหญ่ในอย่างสูสี โดยเฉพาะเกมรุกอันจัดจ้านที่มี เจมี วาร์ดี้ หัวหอกดาวซัลโวของลีกซีซั่นนี้เปป็นตัวชูโรง ต้องมาดูกันว่าคืนวันพรุ่งนี้ พลพรรคจิ้งจอกสยาม จะต้านทานความร้อนแรงของ ทัพหงส์แดง ได้หรือไม่ 03.00 น. ห้ามพลาดเป็นอันขาด

สภาพทีม ณ ปัจจุบัน ยังมีนักเตะเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ยังบาดเจ็บอยู่ นั่นคือ แมทตี้ เจมส์ ส่วนรายของ ฮาร์วีย์ บาร์นส ปีกตัวเก่งนั้น ยังต้องรอดูความพร้อมก่อนเกมจะเริ่มอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-5-1

ผู้รักษาประตู ชไมเคิล
กองหลัง เปเรย์รา, อีแวนส์, โซยุนชู, ชิลเวลล์
กองกลาง เอ็นดิดี้, เปเรซ, แมดดิสัน, ติเลอมองส์, อิเฮียนาโช
กองหน้า วาร์ดี้

ลิเวอร์พูล

ล่าสุดพึ่งคว้าแชมป์สโมสรโลกมาได้แบบสด ๆ ร้อน ๆ สำหรับลูกทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ ด้วยการเอาชนะ ฟลาเมงโก้ ทีมดังจาก บราซิล ไปได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-0 เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

กลับมาในเกมลีกช่วงบ็อกซิงเดย์คืนวันพฤหัสบดีนี้ พวกเขามีคิวต้องเจองานหนักต่อเนื่องด้วยการบุกไปเยือนทีมอันดับที่ 2 อย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ที่แม้จะพึ่งสะดุดแพ้มาแต่ ทัพหงส์แดง ก็จะประมาทฟอร์มในซีซั่นนี้ของ พลพรรคจิ้งจอกสยาม ไม่ได้อย่างเด็ดขาด แถมเป็นการออกไปเล่นที่ คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม จึงไม่ใช่งานง่ายของ ลิเวอร์พูล อย่างแน่นอนที่จะคว้า 3 คะแนนกลับบ้านไปได้ในเกมนี้

สภาพทีมในขณะนี้ มีปัญหาผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บอยู่หลายรายด้วยกันทั้ง นาธาเนียล ไคลน์, โจเอล มาติป, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, ฟาบินโญ และ เดยัน ลอฟเรน จึงต้องเป็นหน้าที่ของ โจ โกเมซ ที่จะลงประจำการคู่กับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค อีกครั้งในเกมนี้

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อลิสซอน
กองหลัง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โกเมซ, ฟาน ไดจ์ค, โรเบิร์ตสัน
กองกลาง เฮนเดอร์สัน, ลัลลานา, ไวนัลดุม
กองหน้า ซาลาห์, ฟิร์มิโน, มาเน

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


เลสเตอร์ ซิตี้ (ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 1)

22 ธ.ค. PL แมนฯ ซิตี้ 3-1 เลสเตอร์ ซิตี้
19 ธ.ค. EFL เอฟเวอร์ตัน 2-2 เลสเตอร์ ซิตี้
14 ธ.ค. PL เลสเตอร์ ซิตี้ 1-1 นอริช
8 ธ.ค. PL วิลลา 1-4 เลสเตอร์ ซิตี้
5 ธ.ค. PL เลสเตอร์ ซิตี้ 2-0 วัตฟอร์ด

ลิเวอร์พูล (ชนะ 4 เสมอ 0 แพ้ 1)

22 ธ.ค. CWC ลิเวอร์พูล 1-0 ฟลาเมงโก้
19 ธ.ค. CWC มอนเตอร์เรย์ 1-2 ลิเวอร์พูล
18 ธ.ค. EFL วิลลา 5-0 ลิเวอร์พูล
14 ธ.ค. PL ลิเวอร์พูล 2-0 วัตฟอร์ด
11 ธ.ค. UCL ซัลซ์บวร์ก 0-2 ลิเวอร์พูล

เฮดทูเฮด (เลสเตอร์ ชนะ 0 เสมอ 1 ลิเวอร์พูล ชนะ 4)

05/10/19 PL ลิเวอร์พูล 2-1 เลสเตอร์
31/01/19 PL ลิเวอร์พูล 1-1 เลสเตอร์
01/09/18 PL เลสเตอร์ 1-2 ลิเวอร์พูล
30/12/17 PL ลิเวอร์พูล 2-1 เลสเตอร์
23/09/17 PL เลสเตอร์ 2-3 ลิเวอร์พูล

*PL = พรีเมียร์ลีก / UCL = ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก /EFL = คาราบาวคัพ / CWC = ชิงแชมป์สโมสรโลก


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • 5 เกมหลังที่ทั่งสองทีมพบกัน เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่สามารถเอาชนะได้เลย โดยชัยชนะนัดล่าสุดของพวกเขาต้องย้อนกลับไปในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2017

  • ลิเวอร์พูล บุกมาเอาชนะได้ที่ คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม ในเกมลีก 2 นัดติดต่อกันแล้ว ซึ่งพวกเขาไม่เคยบุกมาเอาชนะได้ 3 เกมติดต่อกันเลยในประวัติศาสตร์สโมสร

  • ในการพบกันของทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างยิงประตูได้ตลอด 7 นัดหลังสุด ในขณะที่ 20 เกมก่อนหน้านั้น มีเพียง 8 นัดเท่านั้นที่สามารถทำประตูได้กันทั้งสองทีม

  • ทั้งสองทีมเคยพบกันในช่วง บ็อกซิงเดย์ เมื่อปี 2015-16 ที่ เลสเตอร์ สามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้ โดยเกมวันนั้นเป็น 3 คะแนนของ หงส์แดง ด้วยสกอร์ 1-0 ที่ แอนฟิลด์ ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 เกม ที่ พลพรรคจิ้งจอก พ่ายให้กับคู่แข่งในซีซั่นดังกล่าว

  • ทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ สามารถเอาชนะคู่แข่งในช่วง บ็อกซิงเดย์ มาได้ 4 เกมติดต่อกันแล้ว ยิงไป 11 ประตู และยังไม่เสียเลยสักประตูเดียว แต่พวกเขายังไม่เคยทำได้ 5 เกมติดต่อกันเลยในประวัติศาสตร์สโมสร

  • ในปี 2019 ที่ผ่านมา หากนับตลอดทั้งปี พลพรรคเร้ดแมชชีน เอาชนะคู่แข่งในลีกไปได้ทั้งหมด 29 เกมแล้ว ซึ่งนับว่ามากที่สุดรองจากปี 1982 ที่เคยทำสถิติเอาไว้ที่ 33 นัด

  • ลิเวอร์พูล นำห่างคู่แข่ง 10 คะแนนในช่วงคริสต์มาส ซึ่งในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก มีเพียงทีมเดียวที่นำคู่แข่งมากกว่า 10 แต้มแต่ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้คือ นิวคาสเซิล ในปี 1995-96

  • ในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก มีเพียง แอนดี้ โคล (11) และ เธียร์รี อองรี (8) เท่านั้น ที่ยิงประตู หงส์แดง ได้มากกว่า เจมี วาร์ดี้ (7) ซึ่ง 5 จาก 7 เป็นการทำได้ใน คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม 3 นัดหลังสุ

เดี๋ยวเจอกัน ! ซิซู ยก เป๊ป เจ๋งที่สุดในโลก ก่อนดวลกันรอบน็อคเอ้าท์ใน UCL

ซีเนดีน ซีดาน เฮดโค้ชของ เรอัล มาดริด กล่าวถึง เป๊ป กวาร์ดิโอลา ผู้จัดการทีม ​แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมดังจากศึก ​พรีเมียร์ลีก ซึ่งทั้งคู่จะเจอกันในรอบ 16 ทีมสุดท้ายในศึก​ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ว่าเป็น ‘โค้ชที่ดีที่สุดในโลก’

“มันเป็นเรื่องที่พิเศษที่จะได้เจอกับเขา ผมเคยเจอขาในสนามหลายครั้งมื่อตอนที่ยังเล่นฟุตบอล ผมให้ความเคารพเขาในฐานะนักเตะที่ดีคนหนึ่ง”

“และตอนนี้ในฐานะโค้ช ผมคิดว่าเขาเป็นโค้ชที่เก่งที่สุดในโลก ซึ่งเขาได้แสดงให้เห็นมาแล้วตลอดเส้นทางอาชีพของเขา” ซิซู กล่าว

มาดริด มีคิว เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของทีม เรือใบสีฟ้า ที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ และทั้งคู่จะลงเล่นในเลกที่สองที่ เอติฮัด สเตเดั้ยม ในวันที่ 19 มีนาค