6. หมดยุคสำหรับแผนรถบัส
เกมนี้เริ่มต้นมาก็เป็นไปตามคาด โชเซ มูรินโญ สั่งให้ลูกทีมลงไปตั้งรับต่ำ และเน้นลูกโยนข้ามแผงหลังคู่ต่อสู้ให้กองหน้าใช้ความเร็วในการโต้กลับ ซึ่งต้องบอกว่าดูจะไม่เวิร์คสักเท่าไหร่ในช่วงครึ่งแรก เพราะกลายเป็นว่าเปิดโอกาสให้ ลิเวอร์พูล สามารถมีพื้นที่เซ็ตบอลบุกขึ้นมาได้ง่าย เนื่องจากผู้เล่น สเปอร์ส ถอยลงมายืนต่ำ ไม่เพรสซิ่ง จึงทำให้แทบจะโดนพับสนามบุกอยู่ฝ่ายเดียวตลอดระยะเวลา 45 นาทีแรก
กระทั่งครึ่งหลัง เฮียมู เปลี่ยนแผนการเล่นมาเน้นเกมรุกมาขึ้น ทีมจึงพอจะสร้างสรรค์โอกาสเข้าทำได้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากเปลี่ยนเอา เอริค ลาเมลา กับ จิโอวานี โล เซลโซ ลงสนามมา ทำให้มิติในเกมรุกของ ไก่เดือยทอง ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แถมเกือบจะได้ประตูตีเสมออยู่หลายครั้งในช่วงท้ายเกม
5. แนวรุกไก่ใช้โอกาสสิ้นเปลือง
ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อกวาดสายตามองไปที่สถิติหลังจบเกม สเปอร์ส มีโอกาสจบสกอร์ 14 ครั้ง มากกว่าฝั่งผู้มาเยือน (13 ครั้ง) เสียอีก แต่พวกเขากลับไม่แม่นยำเอาเสียเลยในจังหวะสุดท้าย (ไก่เดือยทอง ยิงตรงกรอบ 4 ครั้งและฝั่ง หงส์แดง 7 ครั้ง)
ซน เฮือง-มิน และ ลูคัส มูรา มีโอกาสจบสกอร์ในเกมนี้มากที่สุดในทีมแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็นสกอร์ได้ โดยเฉพาะลูกที่ มูรา จ่ายให้กับ ซน ซัดโล่ง ๆ ในช่วงครึ่งหลัง แต่เจ้าตัวกลับยิงข้ามคานออกไป ทั้งทีควรจะทำได้ดีกว่านั้น อีกทั้งยังมีลูกยิงของ ลาเมลา ที่ อลิสซอน เซฟเอาไว้ได้ และลูกที่น่าจะเป็นประตูมากที่สุดคือลูกชาร์จจ่อ ๆ ของ จิโอวานี โล เซลโซ ที่ยิงหลุดเสาออกไปหน้าตาเฉย ที่กล่าวมาทั้งหมด หากพวกเขาทำได้สัก 1 จากทั้งหมดที่ว่ามา ป่านนี้คงมีแต้มอย่างน้อย 1 คะแนนแล้วในเกมวันนี้
4. สเปอร์ส ต้องการศูนย์หน้าธรรมชาติ
การขาดหายไปของ แฮร์รี เคน ในวันนี้ ทำให้ ไก่เดือยทอง ไม่มีกองหน้าธรรมชาติใช้งานเลยสักคนเดียว คนที่จะคอยพักบอล เก็บบอล ในยามที่ทีมโต้กลับด้วยลูกโยนยาว แถมสังเกตได้ว่าการขาดหัวหอกตัวเป้าทำให้เกมรุกของ สเปอร์ส ขาดมิติในการเข้าทำไปพอสมควร ซึ่งต้องถือเป็นโชคร้ายที่ เคน ก็ดันมาเจ็บก่อนหน้าเกมนี้พอดี ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่ มูรินโญ ต้องหากองหน้ามาทดแทนในกรณีดังกล่าวอย่างน้อย 1 คน เป็นการเร่งด่วนช่วงตลาดซื้อขายนักเตะเดือนมกราคมนี้ ก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกินแก้
3. ลิเวอร์พูล เดินหน้าสร้างสถิติ
พลพรรค เร้ดแมชีน ภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กลายเป็นทีมที่เดินหน้าทุบสถิติอย่างต่อเนื่องจากฟอร์มที่ร้อนแรงของพวกเขา
ชัยชนะเหนือ สเปอร์ส ของทัพ หงส์แดง ทำให้พวกเขาเป็นทีมที่เก็บแต้มได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 5 ลีกใหญ่ยุโรปหลังผ่าน 21 เกมภายในฤดูกาลเดียว (61 คะแนน) คิดเป็น 104 แต้มจากเกมลีก 38 นัดหลังสุด (ชนะ 33 เสมอ 5 แพ้ 0) มากที่สุดแซงหน้าสถิติเก่า 102 คะแนนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2018) และ เชลซี (2005)
ลูกทีมของ คล็อปป์ ยังทำสถิติไร้พ่ายในเกม พรีเมียร์ลีก 38 เกมติดต่อกันเข้าไปแล้วนับตั้งแต่การปราชัยต่อ เรือใบสีฟ้า เมื่อเดือนมกราคม 2019 นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ยังสามารถรักษาคลีนชีทใน พรีเมียร์ลีก ได้ติดต่อกัน 6 นัดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ธันวาคม 2006
2. หงส์แดง ยิ่งเล่นราศีแชมเปี้ยนยิ่งจับ
แม้จะเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล ออกไปเล่นนอกบ้าน แต่ความร้อนแรงของพวกเขาทำให้ทีมอย่าง สเปอร์ส ต้องออกสตาร์ทด้วยทัศนคติที่ไม่เสียประตูก่อนเป็นอันดับแรก เน้นโซนแนวรับที่รัดกุมเพื่อเกมสวนกลับแต่ลูกทีมของ โชเซ มูรินโญ ก็ไม่อาจต้านทาน หงส์แดง ได้อยู่
3 ประสานอย่าง ซาลาห์, มาเน และ ฟิร์มิโน ที่พยายามทะยานเข้ากรอบเขตโทษทุกครั้งเมื่อทีมตั้งเกมบุก บวกกับทางเลือกด้านกว้างจากการเติมเกมรุกที่ริมเส้นของทั้ง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ โรเบิร์ตสัน และการสอดเติมของมิดฟิลด์สามารถสร้างปัญหาให้กับแนวรับของเจ้าถิ่นอย่างเห็นได้ชัด
แม้ดีกรีความร้อนแรงของ เร้ดแมชีน จะลดลงไปบ้างในช่วงครึ่งหลัง แต่เทพีแห่งโชคก็ยังอยู่เคียงข้างพวกเขาวันยังค่ำเมื่อทัพ ลิลลีไวทส์ ทำได้แค่สร้างโอกาสเฉี่ยวหน้าปากประตูไปมาเท่านั้น
1. ช่องว่างบนตารางคะแนนที่ถูกถ่างออกไปเรื่อยๆ
นอกจาก ลิเวอร์พูล จะสามารถเก็บชัยชนะในเกมนี้ได้ คู่แข่งที่ไล่ตามมาในอันดับที่ 2 อย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ยังปราชัยต่อ เซาแธมป์ตัน คาบ้านของพวกเขาเองทำให้ หงส์แดง ทะยานหนี จิ้งจอกสีน้ำเงิน 16 คะแนนเข้าไปแล้วแถมยังลงเล่นน้อยกว่า 1 นัด ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในอันดับที่ 3 จะมีคิวดวลกับ แอสตัน วิลลา ในคืนวันอาทิตย์นี้
ไม่ว่าจะมองด้วยมุมที่เลวร้ายแค่ไหนก็ดูเหมือนว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ เร้ดแมชีน จะพลาดท่าปล่อยให้ถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก หลุดลอยในฤดูกาลนี้เมื่อทุกอย่างเป็นใจให้กับพวกเขาเกมแล้วเกมเล่า
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด