5. ความเป็นไปของเกม
พลพรรค วัตฟอร์ด ออกสตาร์ทด้วยการถอยลงต่ำทั้งแนวรับและแผงมิดฟิลด์ ตั้งรับลึกเพื่อรอจังหวะสวนกลับเร็ว ด่าน 2 ชั้นของทัพ แตนอาละวาด และวินัยในแดนหลังทำให้ ลิเวอร์พูล เจอกับความยากลำบากในการเจาะผ่านปราการของพวกเขา แต่เกมเคาท์เตอร์ของเจ้าบ้านไม่ได้สร้างความกดดันให้กับเจ้าบ้านเท่าไหร่นักในครึ่งแรก และจบลงด้วยการยิงไม่ตรงกรอบเลยทั้งคู่ใน 45 นาทีแรก
ขณะที่ครึ่งหลัง รูปเกมยังคงเป็นเช่นเดิม น่าแปลกใจเล็กน้อยที่ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่สามารถยกระดับการเล่นอย่างที่พวกเขาเคยทำได้ กระทั่งความผิดพลาดในเกมรับของทั้ง เดยัน ลอฟเรน, เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เกิดขึ้นในจังหวะต่อเนื่องพร้อมกันจนเป็นเหตุให้เสียประตูแรกให้กับ อิสไมลา ซาร์
ทีมเยือนยังคงไม่ตื่นจากภวังค์แม้จะเสียประตูไปก่อน เพียงแค่ไม่กี่อึดใจถัดมา บอลฉาบฉวยจากแดนกลางของ วัตฟอร์ด ส่งให้ ซาร์ หลุดเข้าไปดวลหนึ่งต่อหนึ่งกับ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ก่อนจะยิงหนีห่างเป็น 2-0 และปิดท้ายด้วยความผิดพลาดของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ส่งคืนกลับหลังพลาดเป็นเหตุให้เสียประตู 3-0 ในที่สุด
4. ความกระตือรือล้นของ ลิเวอร์พูล ที่ขาดหาย
เกมของ ลิเวอร์พูล ดูจะช็อตตั้งแต่นักเตะในสนามไปจนถึง เยอร์เก้น คล็อปป์ ผู้เป็นโค้ช ความเด็ดขาด ความดุดัน และความแน่นอนที่พวกเขาเคยทำได้แทบหาไม่เจอ
แอ็คชันของนายใหญ่ชาว เยอรมัน ที่เคยเห็นตะโกนโหวกเหวกโวยวายใส่ลูกทีมที่ข้างสนามยามรูปเกมไม่ได้อย่างใจไม่มีให้เห็น แนวรุกลูกทีมของเขาทำได้ไม่ลื่นไหล และฟูลแบ็คทั้ง 2 ข้างที่เคยกลายเป็นอาวุธลับของทีมไร้เรดาร์ในการครอสบอล
ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นคือเกมรับที่แผงแบ็คโฟร์เรียงคิวกันหลุดฟอร์มไม่เว้นแม้กระทั่ง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่พลาดเต็มๆ ในจังหวะเสียประตูแรก และการยืนตำแหน่งป้องกันการเสียประตูที่ 2
3. สดุดี วัตฟอร์ด
แม้ว่าจะเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล ฟอร์มบู่มากที่สุดนัดหนึ่งของฤดูกาลแต่ทั้งหลายทั้งปวงต้องยกเครดิตให้กับ วัตฟอร์ด ที่มีวินัยในเกมรับอย่างยอดเยี่ยม ขณะที่ในเกมรุก พวกเขาก็สามารถฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของ หงส์แดง ได้สำเร็จเช่นกัน
ที่ต้องยกนิ้วให้คือ 2 แนวรุกอย่าง อิสไมลา ซาร์ และ ทรอย ดีนีย์ ที่สลับกันปั่นป่วนแบ็คโฟร์ เร้ดแมชีน อย่างต่อเนื่อง
2. หรือ หงส์แดง จะออกอาการเป๋?
ย้อนรอยกลับไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ลิเวอร์พูล เพิ่งจะปราชัยต่อ แอตเลติโก มาดริด ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยสกอร์ 1-0 ขณะที่เกม พรีเมียร์ลีก นัดที่ผ่านมาพวกเขาก็ทำได้ไม่เด็ดขาดอย่างเคยแม้จะเอาตัวรอดเก็บ เวสต์แฮม ได้ด้วยสกอร์ 3-0
ความพ่ายแพ้ต่อ วัตฟอร์ด ในเกมนี้ทำให้ เร้ดแมชีน พบกับความปราชัย 2 จาก 3 นัดหลังสุดเข้าไปแล้ว ขณะที่เกมนัดถัดไปพวกเขามีคิวบุกไปเยือน เชลซี ในศึก เอฟเอ คัพ ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ กลางสัปดาห์นี้เป็นงานหนักรออยู่
1. สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ
- วัตฟอร์ด กลายเป็นทีมแรกใน พรีเมียร์ลีก ที่สามารถคว่ำ ลิเวอร์พูล ลงได้นับตั้งแต่มกราคม 2019 ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำได้ นับเป็นการยุติสถิติชนะติดต่อกัน 18 ของ หงส์แดง และสถิติไร้พ่ายในลีกสูงสุด 44 นัด
- ความพ่ายแพ้ 0-3 ของ เร้ดแมชีน นับเป็นการปราชัยด้วยสกอร์มากที่สุดของทีมในฐานะจ่าฝูง นับตั้งแต่ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แพ้ต่อ ลิเวอร์พูล 1-4 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2015
- ชัยชนะของ แตนอาละวาด เหนือ หงส์แดง ในเกมนี้นับเป็นชัยชนะของทีมโซนหนีตกชั้นที่มีต่อทีมจ่าฝูงได้มากที่สุดนับตั้งแต่ที่ เลสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-0 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1985
- นอกจากนี้ เดอะฮอร์เน็ตส์ ยังสามารถคว่ำทีมในสถานะจ่าฝูงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1982/83 โดยเป็นการล้ม หงส์แดง ได้ในซีซันดังกล่าวด้วยสกอร์ 2-1
- ลิเวอร์พูล ไม่สามารถยิงประตูในเกม พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2019 (0-0 กับ เอฟเวอร์ตัน) ยุติสถิติยิงประตูติดต่อกันในลีก 36 เกม
- ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อนในเกมลีก 2 นัดหลังสุด พวกเขาไม่เคยเป็นฝ่ายตามหลังคู่แข่งมาก่อนเลยใน 15 นัดก่อนหน้านี้
- หงส์แดง มีสถิติเสียประตูมากกว่า 2 ลูกใน 2 นัดติดต่อกันในลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ธันวาคม 2016 และเสียประตูมากถึง 5 ประตูในเกม 2 นัดล่าสุด เทียบเท่ากับจำนวนประตูทั้งหมดที่เสียไปใน 14 เกมก่อนหน้านี้
- ไนเจล เพียร์สัน ผู้จัดการทีมของ วัตฟอร์ด กลายเป็นผู้จัดการทีมชาว อังกฤษ คนแรกที่คว่ำ ลิเวอร์พูล ในศึก พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ที่ แซม อัลลาร์ไดซ์ ทำได้กับ คริสตัล พาเลซ เมื่อเดือนเมษายน 2017
- ลิเวอร์พูล มีสถิติยิงเข้ากรอบได้เพียงครั้งเดียวในเกม พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2019 (เสมอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-0)