จบไม่สวย ! อดีตโค้ชชิลี ชี้ อเล็กซิส คิดผิดตั้งแต่ทิ้งรังปืน

โชเซ ซูลันเตย์ อดีตโค้ชทีมชาติชิลี ยู-20 ของ อเล็กซิส ซานเชซ ชี้ว่าแข้งรายนี้ทำพลาดเป็นอย่างมากที่เลือกย้ายจาก ​อาร์เซนอล มา ​แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 

“มันมีเรื่องราวในแง่ลบมากเกินไป อเล็กซิส ซานเชซ นั้นพลาดตั้งแต่ตอนที่เลือกย้ายออกจาก อาร์เซนอล แล้ว” ซูลันเตย์ กล่าว

“เขาได้เลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับเพื่อนร่วมทีม, แฟนบอลและสโมสรเพื่อการย้ายไปเล่นกับสโมสรที่มีความมุ่งมั่นมากกว่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่มันก็ไม่เข้าคาแร็คเตอร์ของเขาเลย”

“ยูไนเต็ด มีสไตล์การเล่นที่ตั้งรับมากเกินไป และ ซานเชซ นั้นก็ไม่ใช่นักเตะที่น่าตื่นตาตื่นใจนักกับการเล่นบอลยาว”

ขณะที่หลังไม่ประสบความสำเร็จกับ ปีศาจแดง ก็เชื่อว่าแข้งวัย 30 อาจจะได้ย้ายทีมก่อนสิ้นเดือนนี้ซึ่งมี อินเตอร์ มิลาน เป็นตัวเต็ง

4 ประเด็นร้อนหลังเกม ! แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้แค่ เสมอ วูล์ฟ 1-1

การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน คืนวันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2019
เวลาแข่งขัน 2.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน วูล์ฟแฮมป์ตัน 1-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สนาม โมลีนิวส์

ประเด็นร้อนหลังเกม


1. สปีดและความคล่องตัวของพลังหนุ่ม

เกมนี้เป็นอีกเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำลายสถิติผู้เล่น 11 ตัวจริงอายุเฉลี่ยน้อยที่สุดในฤดูกาล เฉลี่ยเพียง 24 ปีเศษเท่านั้น ซึ่งแม้หลายคนจะมองว่าเป็นทีมที่ขาดประสบการณ์ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยความเร็วและความคล่องตัวของผู้เล่นพลังหนุ่มทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น แดเนียล เจมส์ ที่มีความเร็วเป็นจุดขายอยู่แล้ว เกมนี้ถือว่าใช้จุดเด่นนั้น ป่วนเกมรับของ วูล์ฟ ได้ดีพอสมควร อารอน วาน-บิสซาก้า ก็เป็นอีกรายที่ถือว่าความเร็วจัดจ้าน แถมยังมีความแข็งเกร่งอีกต่างหาก ซึ่งวันนี้เขาทำได้ดีทั่งรุกและรับ ถ้าจะยกให้ใครเป็น MVP ของทีมซักคนละก็ คงเป็นเขาคนนี้นี่แหละ รวมถึง แรชฟอร์ด มาร์กซิยาล ที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสองคนนี้เรื่องความเร็วไม่เป็นสองรองใคร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จึงกลายมาเป็นจุดเด่นของทัพ ปีศาจแดง ในยุคของกุนซือ โอเล กุนนาร์ โซลชา ที่แทบจะหาไม่ได้เลยในช่วง 4-5 ปีก่อน

Daniel James,Jonny Otto

2. การแก้เกมที่ถูกตั้งคำถาม

หากใครได้ดูเกมนัดนี้จะเห็นว่า แมนฯ ยูไนเต็ด แทบไม่มีการปรับเทคติกการเล่นเลย แม้ว่าจะถูกเจ้าบ้านแก้เกมเปิดเกมบุกเข้าใส่อย่างหนักก็ตาม และกว่าจะขยับเปลี่ยนตัวคนแรกก็ปาเข้าไปนาทีที่ 81 แถมเป็นการเปลี่ยนตัวตามตำแหน่งอีกต่างหาก แตกต่างจากเจ้าบ้านที่ขยับตั้งแต่ 45 นาทีแรกถอด โดเฮอร์ตี้ วิงแบ็คจอมถล่มประตูออกเอาปีกความคล่องตัวสูงอย่าง ตราโอเร ลงมาแทนและก็ได้ผล เกมริมเส้นของพวกเขาดูวูบวาบขึ้นมาทันที่ สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพลพรรค เร้ดเดวิลส์ ชุดนี้ไม่มีความยืดหยุ่นหลากหลายมากนัก อีกทั้งตัวสำรองที่มีก็ไม่สามารถลงมาเปลี่ยนเกมอะไรได้ ซึ่งตอนนี้อาจยังไม่ส่งผลมากนัก แต่ในระยะยาวที่จำเป็นต้องมีการหมุนเวียนนักเตะ เมื่อนั้นจะได้รู้กันว่า น้าลูกอม จะมีกึ๋นในการทำทีมมากหรือน้อยขนาดไหนกัน

FBL-ENG-PR-WOLVES-MAN UTD

3. เกมแดนกลางที่เป็นรองอย่างเห็นได้ชัด

ในเกมที่แล้วแดนกลางของ ปีศาจแดง ก็ไม่ได้ดูเหนือกว่า เชลซี มากมายอะไรนัก แม้จะชนะขาดลอยถึง 4-0 ซึ่งอาจจะพอเข้าใจได้ว่านั่นคือ เชลซี ทีมชั้นนำในลีก แต่พอมาดูในเกมนี้ยิ่งหนักกว่าเก่า เกมแดนกลางของเจ้าบ้านเหนือกว่าชัดเจนทั้ง เนเวส ทั้ง มูตินโญ ที่สลับกันทำเกมให้กับทีมได้อย่างไหลลื่น แต่ทางฝั่ง ผีแดง แม็คโทมิเนย์ ที่ได้แค่เกมรับ เกมรุกไม่ได้เรื่อง ลินการ์ด ที่ถูกส่งลงมาหวังให้เป็นตัวเชื่อมเกม ก็ดันหายไปจากเกมซะอย่างนั้น หรือแม้แต่ ป็อกบา ที่เป็นความหวังสูงสุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็กลับฟอร์มออกทะเลในวันที่ทีมต้องการเขามากที่สุด รวมถึงบนม้านั่งสำรองที่มองไปแล้วแทบจะไม่ช่วยให้หายใจคล่องขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทั้ง มาติช ที่เป็นผู้เล่นเกมรับเต็มตัว แต่ด้วยอายุที่มาขึ้นความเร็วก็ช้าลงไปเยอะ เปเรย์รา ดาวรุ่งที่แฟนๆ ควาดหวังว่าสักวันเขาจะฉายแวว ก็ไม่มีวี่แววว่าจะถึงวันนั้นเสียที คนที่พอจะพึ่งได้ ก็น่าจะเป็น มาต้า แต่ น้าโอเล ก็ดันไม่ชอบใช้งานซะนี่ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงต้องฝากความหวังไว้กับ กองกลางดีกรีแชมป์โลกอย่าง ป็อกบา ให้ช่วยงัดฟอร์มเก่งออกมาทุกนัดให้ได้ แม้ว่าดูจากที่ผ่านมา มันจะเป็นไปได้ยากก็ตาม

Paul Pogba

4. อเล็กซิส ซานเชซ ไม่ดีพอจะลงสนามเลยหรือ ?

สองเกมแล้วที่กองหน้าชาว ชิลี ไม่มีชื่อแม้แต่ตัวสำรอง ทั้งที่ โซลชา ก็ออกมาประกาศแล้วว่า ซานเชซ ยังเป็นคนสำคัญของทีม แม้จะมีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการย้ายทีมก็ตาม แล้วไหนล่ะ ? คนสำคัญคนนี้หายไปไหน เชื่อว่าแฟนๆปีศาจแดงหลายคนก็คงสงสัย และคิดเหมือนกันว่า อเล็กซิส อาจมีประโยชน์กับทีมในยามที่ทีมต้องการจุดเปลี่ยนอย่างเกมเมื่อคืนนี้

หรืออาจเป็นไปได้ว่าความสัมพันธ์ของอดีตดาวซัลโว ปืนใหญ่ กับ สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงจุดแตกหักเป็นที่เรียบร้อย ? เรื่องนี้คงต้องติดตามดูกันต่อไปอย่างน้อยก็จนกว่าตลาดซื้อขายนักเตะจะปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 2 กันยายน นี้

FBL-ENG-PR-MAN UTD-CARDIFF

วูล์ฟแฮมป์ตัน vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด

การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน คืนวันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2019
เวลาแข่งขัน 2.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน วูล์ฟแฮมป์ตัน vs ​แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สนาม โมลีนิวส์
ถ่ายทอดสด True Premier Football

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


วูล์ฟแฮมป์ตัน

ทีม หมาป่า ไม่มีผู้เล่นบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่อาจจะเสียเปรียบเล็กน้อยเรื่องความฟิต เพราะเพิ่งผ่านเกม ยูโรปาลีก เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากได้พักผู้เล่นตัวหลักเอาไว้เป็นส่วนใหญ่ เกมนี้กุนซือ นูโน ซานโต น่าจะยังคงใช้แผนการเล่นเดิมที่คุ้นเคย คือรอตั้งรับแล้วหาจังหวะสวนกลับเร็วที่พวกเขาถนัดและมักจะทำได้เป็นอย่างดี

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 3-5-2

ผู้รักษาประตู ปาทริซิโอ
กองหลัง เบ็นเน็ตต์, โคอาดี้, โบลี
กองกลาง โดเฮอร์ตี้, เดนดองเคอร์, เนเวส, มูตินโญ, จอนนี
กองหน้า โจต้า, ฆิเมเนซ
Conor Coady,Willy Boly

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

มีเพียง เอริค ไบยี คนเดียวที่ยังบาดเจ็บมาตั้งแต่ช่วงพรีซีซันและต้องพักยาว ส่วนตัวหลักอื่นๆพร้อมลงสนามทั้งหมด คาดว่า โอเล กุนนาร์ โซลชา จะยังใช้ผู้เล่นชุดเดิมจากเกมที่ถล่มเชลซี 4-0 เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนบางตำแหน่งตามความเหมาะสม เพราะเกมนี้ ปีศาจแดง คงต้องเปิดเกมบุกเข้าใส่จึงต้องเน้นผู้เล่นที่สามารถทำเกมทะลุทะลวงแนวรับของฝั่งเจ้าถิ่นได้

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู เด เคอา
กองหลัง วาน-บิสซากา, แฮร์รี แม็คไกวร์, ลินเดเลิฟ, ชอว์
กองกลาง แม็คโทมิเนย์, เปเรย์รา, ป็อกบา
กองหน้า มาต้า, มาร์กซิยาล, แรชฟอร์ด

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


วูล์ฟแฮมป์ตัน (ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 0)

16 สิงหาคม ยูฟ่า ยูโรปาลีก วูล์ฟแฮมป์ตัน 4-0 พิวนิค ชนะ
11 สิงหาคม พรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ ซิตี้ 0-0 วูล์ฟแฮมป์ตัน เสมอ
8 สิงหาคม ยูฟ่า ยูโรปาลีก พิวนิค 0-4 วูล์ฟแฮมป์ตัน ชนะ
2 สิงหาคม ยูฟ่า ยูโรปาลีก ครูซาเดอร์ 1-4 วูล์ฟแฮมป์ตัน ชนะ
26 กรกฎาคม ยูฟ่า ยูโรปาลีก วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-0 ครูซาเดอร์ ชนะ

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 0)

11 สิงหาคม พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 4-0 เชลซี ชนะ
3 สิงหาคม กระชับมิตร แมนฯ ยูไนเต็ด 2-2 เอซี มิลาน เสมอ
31 กรกฎาคม กระชับมิตร คริสเตียนซุน 0-1 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ
25 กรกฎาคม กระชับมิตร ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 1-2 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ
20 กรกฎาคม กระชับมิตร แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 อินเตอร์ มิลาน ชนะ

ฮดทูเฮด : วูล์ฟแฮมป์ตัน ชนะ 2 เสมอ 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ 2

3 เมษายน 2019 พรีเมียร์ลีก วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-1 แมนฯ ยูไนเต็ด
17 มีนาคม 2019 เอฟเอ คัพ วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-1 แมนฯ ยูไนเต็ด
22 กันยายน 2018 พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 วูล์ฟแฮมป์ตัน
18 มีนาคม 2012 พรีเมียร์ลีก วูล์ฟแฮมป์ตัน 0-5 แมนฯ ยูไนเต็ด
10 ธันวาคม 2011 พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 4-1 วูล์ฟแฮมป์ตัน

สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • วูล์ฟแฮมป์ตัน ไม่แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาแล้ว 3 เกม ติดต่อกัน (ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 0) โดย 2 ครั้งหลังสุดที่เล่นในบ้านชนะทั้ง 2 เกม

  • วูล์ฟ เป็น 1 ใน 4 ทีม ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ออกมาเยือนมากกว่า 5 เกม แล้วแพ้มากกว่าชนะ (ชนะ 2 เสมอ 0 แพ้ 3) ส่วนอีก 3 ทีมได้แก่ เชลซี อาร์เซนอล และ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์

  • เมื่อปีก่อนเกมเยือนเกมแรกของฤดูกาล ปีศาจแดง แพ้ ไบร์ทตัน 3-2 โดยครั้งล่าสุดที่แพ้เกมเยือนเกมแรกของฤดูกาล 2 ปีติดกัน ต้องย้อนกลับไปถึงปี 1980/81 และ 1981/82

  • ทีมหมาป่า ไม่แพ้เกมลีกในบ้านมาแล้ว 8 เกมติดต่อกัน (ชนะ 6 เสมอ 2 แพ้ 0) หนึ่งในนั้นคือการชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และกำลังจะทำสถิติชนะ 3 เกมติดในบ้านเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ พฤศจิกายน 1980 หากพวกเขาชนะเกมนี้ได้

  • แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ชนะเกมเยือนมา 4 เกมติดแล้ว (ชนะ 0 เสมอ 1 แพ้ 3) โดยผลงานที่แย่ที่สุดในการเล่นเกมเยือนคือ ไม่ชนะติดต่อกัน 7 เกม ในปี 2014

  • วูล์ฟแฮมป์ตัน ไม่เคยชนะเกมลีกเลยหากเล่นในคืนวันจันทร์ (ชนะ 0 เสมอ 1 แพ้ 4)

  • ปีศาจแดง เป็นทีมที่เล่นในคืนวันจันทร์แล้วชนะมากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก 43 จาก 63 เกม

  • โอเล กุนนาร์ โซลชา ไม่เคยคุมทีมชนะ วูล์ฟ เลยแม้แต่ครั้งเดียว จากการเจอกันทั้งหมด 3 ครั้ง

  • อองโตนี มาร์กซิยาล ทำไปแล้ว 49 ประตูในทุกรายการให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งหากเขาทำประตูได้ในเกมนี้ เขาจะเป็นผู้เล่นคนที่ 53 ที่ทำประตูได้ถึง 50 ลูกกับสโมสรแห่งนี้

แมนฯ ซิตี้ 2-2 สเปอร์ส : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังผลเจ๊าที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลาด 3 คะแนนไปอย่างน่าเจ็บใจเมื่อการตัดสินจาก VAR ปฎิเสธการให้ลูกยิงของ กาเบรียล เชซุส เป็นประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งหลัง ส่งผลให้พวกเขาแบ่งแต้มกับ สเปอร์ส ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม หลังจบเกมด้วยสกอร์ 2-2

Raheem Sterling

เรือใบสีฟ้า ออกสตาร์ทได้แทบจะสมบูรณ์แบบเมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายครองบอลบุกเข้าใส่ ไก่เดือยทอง อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เสียงนกหวีดเริ่มเกม และความพยายามของพวกเขาก็มาสัมฤทธิ์ผลเอาในนาทีที่ 20 จากการขึ้นเกมรุกที่กราบขวา บอลครอสจังหวะแรกของ เควิน เดอ บรอยน์ โค้งไปตกที่จุดนัดพบเสาสองเข้าหัว ราฮีม สเตอร์ลิง โหม่งย้อนศรผ่านมือ อูโก้ ยอริส ตุงตาข่ายเป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ของเจ้าถิ่น

Erik Lamela

อย่างไรก็ตาม ให้หลังเพียง 3 นาทีหลังจากนั้น ทัพลิลลีไวทส์ ก็ฉวยโอกาสจากการเปิดพื้นที่ในแดนกลางของ ซิตี้ เป็น เอริค ลาเมลา ที่มีเวลาหน้ากรอบเขตโทษก่อนจะตัดสินใจยิงเลียดด้วยเท้าซ้าย บอลพุ่งอ้อมหนี ไอเมอริค ลาปอร์กต์ และสุดเอื้อมที่ เอแดร์ซอน จะพุ่งถึง สกอร์กลับมาเท่ากันที่ 1-1 อย่างรวดเร็ว

FBL-ENG-PR-MAN CITY-TOTTENHAM

ทว่าหลังจากนั้นเกมยังตกเป็นของ แมนฯ ซิตี้ อย่างต่อเนื่องและการขึ้นเกมของ เดอ บรอยน์ ที่กราบขวาก็แผลงฤทธิ์อีกครั้ง คราวนี้เจ้าตัวได้หลุดไปถึงเส้นหลังก่อนเปิดเลียดเข้ามาที่เสาแรกให้ เซร์คิโอ อเกวโร โฉบเข้ามาแท็ปอินเฉือนไปที่เสาสองชนิด ยอริส หมดสิทธิ์เซฟ เป็นประตู 2-1 ของเจ้าบ้านในนาทีที่ 35 ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ดังกล่าว

FBL-ENG-PR-MAN CITY-TOTTENHAM

ครึ่งหลังรูปเกมยังคงไม่ต่างไปจากเดิมและไม่มีทีท่าว่าผู้มาเยือนจะได้ประตูตีเสมอแต่อย่างใดก่อนที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน จะตัดสินใจเปลี่ยนเอา ลูคัส มูรา ลงสนามแทนที่ แฮร์รี วิงค์ส ในนาทีที่ 56 ซึ่งดาวเตะชาว บราซิล ใช้เวลาในสนามเพียง 14 วินาทีก็สามารถโหม่งพังประตูตีเสมอ 2-2 ให้กับทีมได้จากลูกเตะมุมของ ลาเมลา

FBL-ENG-PR-MAN CITY-TOTTENHAM

พลพรรค ซิตีเซนส์ พยายามเร่งเครื่องหมายทำประตูชัยให้ได้ในช่วงเวลาที่เหลือและเป็นจังหวะจากลูกเตะมุมในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ บอลลอยมาเข้าทาง ไอเมอริค ลาปอร์กต์ บริเวณจุดโทษแฉลบไปเข้าทาง กาเบรียล เชซุส วิ่งเข้ามายิงผ่านฝูงนักเตะของ สเปอร์ส ที่กองกันอยู่หน้าปากประตูตุงตาข่ายพร้อมกับเสียงเฮสนั่นท่ามกลางความดีใจของทั้งนักเตะและแฟนบอลของเจ้าบ้าน หากแต่ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นผู้ตัดสินก็ให้สัญญาณว่าไม่เป็นประตูเมื่อภาพจาก VAR แสดงให้เห็นว่าบอลไปแฉลบแขนของ ลาปอร์กต์ ในจังหวะก่อนหน้าที่ เชซุส จะส่งบอลสู่ก้นตาข่าย


แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ประเด็นหลังเกม

Manchester City v Tottenham Hotspur - Premier League

การตัดสินด้วย VAR กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมอีกครั้งสำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อพวกเขาถูกปฎิเสธประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากจังหวะบอลไปถูกแขนของ ไอเมอริค ลาปอร์กต์ ก่อนที่ กาเบรียล เชซุส จะซัลโวตุงตาข่ายและทำให้ทั้ง เอติฮัด สเตเดี้ยม ต้องเฮเก้อ

นอกจากนี้ช็อตที่ผู้เล่นของ เรือใบสีฟ้า ถูกเหนี่ยวล้มลงในกรอบเขตโทษตั้งแต่ช่วงต้นเกมกลายเป็นจังหวะให้ถกเถียงเมื่อมีช็อตคล้ายๆ กันเกิดขึ้นหลังจากนั้นระหว่าง แฮร์รี วิงค์ส กับ ราฮีม สเตอร์ลิง ในเวลาต่อมาจนทำให้ตัวรุกสปีดจัดของ ซิตี้ ได้รับใบเหลือง


คะแนนนักเตะ

11 ผู้เล่นตัวจริง: เอแดร์ซอน (6); วอล์คเกอร์ (6), ลาปอร์กต์ (7), โอตาเมนดี้ (6), ซินเชนโก้ (7); กุนโดกัน (6), โรดรี (7), เดอ บรอยน์ (9); แบร์นาโด้ (7), อเกวโร (7), สเตอร์ลิง (8)

ตัวสำรอง: เชซุส (6), ซิลบา (6), มาห์เรซ (6)


คีย์แมน – เควิน เดอ บรอยน์

Kevin De Bruyne

แทบไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้ เควิน เดอ บรอยน์ ที่เป็นคีย์แมนในทีมของ เป๊บ กวาร์ดิโอลา กับฤดูกาลแรกของเขาที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม จะพลาดการลงสนามให้กับ ซิตีเซนส์ เกือบทั้งซีซัน 2018/19 ทว่าพวกเขาก็ยังสามารถโกย 98 คะแนนเถลิงบัลลังก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันได้สำเร็จ

และเมื่อ เดอ บรอยน์ มีสภาพร่างกายสมบูรณ์พร้อมที่จะลงเล่นเจ้าตัวก็แสดงให้เห็นว่าเขายังยอดเยี่ยมอย่างเช่นเคยเมื่อรับบทบาทเป็นคีย์แมนในแผงมิดฟิลด์กับการเคลื่อนที่อย่างชาญฉลาดที่บริเวณฮาล์ฟสเปซฝั่งขวา รวมทั้งวิสัยทัศน์และการผ่านบอลที่แม่นยำราวจับวางอันเป็นที่มาของได้ทั้ง 2 ประตูในเกมนี้


ท็อตแนม ฮอตสเปอร์

ประเด็นหลังเกม

FBL-ENG-PR-MAN CITY-TOTTENHAM

สเปอร์ส ตกเป็นฝ่ายตั้งรับแทบตลอดทั้งเกมและรูปเกมของพวกเขาดูไม่มีทีท่าว่าจะทำอันตรายใดๆ ต่อแนวรับของ ซิตี้ ได้เลยแม้แต่น้อย ทว่าก็ยังอาศัยทีเด็ดทีขาดจากจังหวะฉาบฉวยของ เอริค ลาเมลา และลูกเซ็ตพีซที่ทำให้พวกเขาบุกมาแบ่งแต้มแชมป์เก่าได้สำเร็จ

อีกทั้งการประสานงานระหว่าง แฮร์รี เคน, คริสเตียน เอริคเซน กระทั่ง ลาเมลา เพื่อการสวนกลับนั้นถูกเจ้าถิ่นเก็บกินทุกกระบวนท่า ก่อนที่เกมของพวกเขาจะกระตือรือล้นขึ้นมาอยู่บ้างเมื่อ ลูคัส มูรา ลงสนาม


คะแนนนักเตะ

11 ผู้เล่นตัวจริง: ยอริส (6); วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ (6), ซานเชซ (6), อัลเดอร์ไวเรลด์ (7), โรส (6); เอ็นดอมเบเล (8), วิงค์ส (6), ซิสโซโก้ (6), ลาเมลา (7), เอริคเซน (7); เคน (6)

ตัวสำรอง: ลูคัส มูรา (7), โล เซลโซ (6) สคิปป์ (N/A)


คีย์แมน – ลูคัส มูรา

Lucas Moura

ดาวเตะชาว บราซิล กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมเมื่อถูกส่งลงสนามในครึ่งหลังแทนที่ แฮร์รี วิงค์ส ก่อนที่เจ้าตัวจะทำประตูตีเสมอได้สำเร็จเพียงแค่ 14 วินาทีให้หลัง นอกจากนี้เกมรุกของพลพรรค ลิลลีไวทส์ ยังดูจะวูบวาบมากขึ้นจากสปีดที่รวดเร็วของเจ้าตัวที่แผลงฤทธิ์ใส่แนวรับของเจ้าถิ่นยามสวนกลับเร็ว

น่าแปลกใจที่ พอช เลือกจะดร็อป ลูคัส ไว้บนม้านั่งสำรองในเกมที่พวกเขาตกเป็นฝ่ายถูก ซิตี้ แทบจะพับสนามต่อบอลบุกเข้าใส่ตลอดทั้งเกมแบบนี้

[ข่าวซื้อขาย] ลีกไหนดี !? ปู่รอย รับ ซาฮา ยังมีโอกาสย้ายทีมในซีซั่นนี้

รอย ฮอดจ์สัน ผู้จัดการทีม คริสตัล พาเลซ ทีมแห่งศึก พรีเมียร์ลีก เผยว่า วิลฟรีด ซาฮา ยังมีโอกาสที่จะย้ายทีมไปเล่นในลีกอื่นของยุโรปอยู่ในฤดูกาลนี้

โดย ซาฮา ได้ตกเป็นข่าวอย่างหนักกับ เอฟเวอร์ตัน และ ​อาร์เซนอล อย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามตอนนี้ตลาดนักเตะของลีกอังกฤษก็ได้ปิดตัวลงแล้ว

“ผมอยากจะให้เขามุ่งมั่นกับฤดูกาลที่จะมาถึงเพื่อช่วยผม สตาฟฟ์ และนักเตะมากกว่า มันคงจะเป็นเรื่องที่ดีเลย แต่คุณก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธอะไรได้เพราะมันยังมีโอกาสย้ายทีมเกิดขึ้นอยู่เนื่องจากตลาดนักเตะยุโรปจะปิดลงในช่วงสิ้นเดือนนั่นเอง” ปู่รอย กล่าว 

“อย่างไรก็ตามนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะต้องไปกังวลเพราะผมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้อยู่แล้ว” อดีตกุนซือ ลิเวอร์พูล และทีมชาติอังกฤษกล่าวปิดท้าย

เชลซี vs เลสเตอร์ ซิตี้ : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด

การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2019
เวลาแข่งขัน 22:30 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน

​เชลซี vs เลสเตอร์ ซิตี้

สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์
ถ่ายทอดสด True Premier Football

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


เชลซี 

คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย และ รูเบน ลอฟตัส-ชีค 2 ดาวรุ่งมีอาการบาดเจ็บต้องพักยาว ไม่สามารถลงช่วยทีมได้ ส่วน วิลเลียน และ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ต้องรอเช็คความฟิตก่อนแข่งอีกครั้งหลังจากเพิ่งหายเจ็บกลับมา ด้านตัวหลักอื่นๆพร้อมลงสนามทั้งหมด ขึ้นอยู่กับกุนซือ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะจับใครลงเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริง โดยคาดว่ากุนซือชาว อังกฤษ รายนี้จะยังคงใช้แผนการเล่นเดียวกับเกมกลางสัปดาห์ที่พบกับ ลิเวอร์พูล แต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นบางตำแหน่ง

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อาร์ริซาบาลากา
กองหลัง อัซปิลิกวยต้า, คริสเตนเซน, ซูมา, อลอนโซ
กองกลาง ก็องเต้, จอร์จินโญ, บาร์คลีย์
กองหน้า ชิรูด์, พูลิซิช, เมานท์

เลสเตอร์ ซิตี้

ทีม จิ้งจอกสยาม ไม่มีตัวผู้เล่นบาดเจ็บแต่อย่างใด แถมยังได้เปรียบกว่าเจ้าบ้านเล็กน้อยตรงที่นักเตะได้พักมาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ โดยคาดว่ากุนซือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส จะจัดทีมชุดที่ดีที่สุดลงสนาม ซึ่งเป็นชุดเดียวกับเกมที่เสมอ วูล์ฟแฮมป์ตัน 0-0 แต่อาจจะมีการปรับตำแหน่งการยืนเล็กน้อยเพื่อป้องกันเกมรุกของทีม สิงโตน้ำเงินคราม ที่น่าจะเป็นฝ่ายเปิดเกมรุกเข้าใส่

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-5-1

ผู้รักษาประตู ชไมเคิล
กองหลัง ริคาร์โด้, อีแวนส์, โซยุนซู, ชิลเวลล์
กองกลาง แมดดิสัน, ติเลอมองส์, เอ็นดิดี้, เปเรซ, ชูดิวรี
กองหน้า วาร์ดี้

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


เชลซี (ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 1)

11 สิงหาคม พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 4-0 เชลซี แพ้
3 สิงหาคม กระชับมิตร มึนเชนกลัดบัค 2-2 เชลซี เสมอ
1 สิงหาคม กระชับมิตร เร้ดบูล ซัลซ์บวร์ก 3-5 เชลซี ชนะ
28 กรกฎาคม กระชับมิตร เรดดิ้ง 3-4 เชลซี ชนะ
23 กรกฎาคม กระชับมิตร บาร์เซโลนา 1-2 เชลซี ชนะ

เลสเตอร์ ซิตี้ (ชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 0)

11 สิงหาคม พรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ 0-0 วูล์ฟแฮมป์ตัน เสมอ
3 สิงหาคม กระชับมิตร เลสเตอร์ 2-1 อตาลันตา ชนะ
29 กรกฎาคม กระชับมิตร ร็อตเธอร์แฮม 2-2 เลสเตอร์ เสมอ
27 กรกฎาคม กระชับมิตร สโต๊ค 1-2 เลสเตอร์ ชนะ
24 กรกฎาคม กระชับมิตร เคมบริดจ์ 0-3 เลสเตอร์ ชนะ

ฮดทูเฮด : เชลซี ชนะ 1 เสมอ 3 เลสเตอร์ ซิตี้ ชนะ 1

12 พฤษภาคม 2019 พรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ 0-0 เชลซี
22 ธันวาคม 2018 พรีเมียร์ลีก เชลซี 0-1 เลสเตอร์
18 มีนาคม 2018 เอฟเอ คัพ เลสเตอร์ 1-1 เชลซี
13 มกราคม 2018 พรีเมียร์ลีก เชลซี 0-0 เลสเตอร์
9 กันยายน 2017 พรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ 1-2 เชลซี

สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • ฤดูกาลที่ผ่านมา เชลซี พ่าย เลสเตอร์ คาบ้าน 0-1 นับเป็นการพ่ายแพ้ครั้งที่ 2 จาก 13 ครั้งที่ทั่งคู่เคยพบกันมา (ชนะ 7 เสมอ 4 แพ้ 2)
  • ทีมจิ้งจอกสยาม ไม่เคยบุกมาเอาชนะ สิงห์บลู ติดกัน 2 นัดได้เลยนับตั้งแต่ปี 1961
  • สิงโตน้ำเงินคราม เล่นในบ้านนัดแรกของฤดูกาล ชนะได้ถึง 14 เกม จาก 16 ฤดูกาลหลังสุด (ชนะ 14 เสมอ 1 แพ้ 1) โดยเคยแพ้แค่ครั้งเดียวคือนัดที่เจอกับ เบิร์นลีย์ ในปี 2017
  • ทีม สิงโตพันล้าน ไม่เคยแพ้ 2 เกมรวดนัดเปิดสนามตั้งแต่ฤดูกาล 1973/74 และปีนั้นจบในอันดับที่ 17
  • เกมนี้จะเป็นเกมที่ 500 ใน พรีเมียร์ลีก ของ เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งมีเพียง 16 ทีมที่เคยเล่นเกิน 500 เกม และในจำนวน 16 ทีม มีเพียง 5 ทีม ที่สามารถ เอาชนะในเกมที่ 500 ของตัวเองได้คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาร์เซนอล เอฟเวอร์ตัน ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ และ นิวคาสเซิล
  • เดอะฟ็อกซ์ ทำประตูไม่ได้ในลีกมาแล้ว 3 เกมติดต่อกัน โดยที่ 2 เกมล่าสุดเป็นการเสมอแบบไร้สกอร์ ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ ทีมจิ้งจอก เสมอเกมศูนย์สามนัดรวด ต้องย้อนไปถึงเดือน มีนาคม ปี 1973
  • เชลซี เป็นทีมที่กุนซืออย่าง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส คุมทีมเจอบ่อยที่สุดใน พรีเมียร์ลีก (12 นัด) และยังไม่สามารถเอาชนะได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว (เสมอ 6 แพ้ 6)
  • ตั้งแต่ปี 2014/15 เจมี วาร์ดี้ เป็นนักเตะที่ทำประตูในเกมเยือนใส่ 6 ทีมลุ้นแชมป์ มากที่สุด 12 ประตู
  • หากทีม สิงโตน้ำเงินคราม แพ้ในเกมนี้ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะเป็นกุนซือคนที่สองของ สิงห์บลู ที่ประเดิมคุมทีมแพ้ 2 เกมแรกของฤดูกาล ต่อจาก จานลูกา วิอัลลี และมีกุนซือเพียงสองคนเท่านั้น คือ วิอัลลี และ เกล็น ฮอดเดิล ที่คุมทีมแพ้ในบ้านนัดแรกใน พรีเมียร์ลีก

7 ประเด็นร้อนหลังเกม ! หงส์ หืดจับ ชนะจุดโทษ สิงห์ 5-4 ซิวแชมป์ ซูเปอร์คัพ

การแข่งขัน ฟุตบอล ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 2019
วันแข่งขัน คืนวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2019
เวลาแข่งขัน 02:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน ลิเวอร์พูล 1-1 เชลซี
(ต่อเวลาพิเศษ 2-2 ลิเวอร์พูล เอาชนะในการดวลลูกจุดโทษ 5-4)
สนาม โวด้าโฟน อารีนา, อิสตันบูล ประเทศ ตุรกี

ประเด็นร้อนหลังเกม


1. แดนกลางของเดอะบลูส์ที่เอาตัวรอดได้ดีกว่า

ทั้ง เร้ดแมชีน และ สิงโตน้ำเงินคราม ต่างพยายามเซ็ตเกมที่แดนหลังและบีบพื้นที่สูงด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งทักษะการเอาตัวรอดพื้นที่แคบของแดนกลางกลายเป็นจุดที่สร้างความแตกต่างในเกมนี้

เจมส์ มิลเนอร์ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ของทีมจาก เมอร์ซีย์ไซด์ กลายเป็นช่องโหว่เมื่อพวกเขาถูกวิ่งไล่เข้ากดดันอย่างหนักและเสียบอลอย่างง่ายดาย แม้พวกเขาจะมี ฟาบินโญ ที่พอจะเอาตัวรอดได้อยู่บ้างแต่ก็ไม่สามารถทำให้ทีมได้เปรียบเมื่อขาดการสนับสนุนที่ดี ในทางตรงกันข้าม แผงมิดฟิลด์ของ สิงห์บลู ทั้ง มาเตโอ โควาชิช, จอร์จินโญ รวมไปถึง เอ็นโกโล ก็องเต้ ต่างสามารถเล่นกับพื้นที่แคบและแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดีกว่า

FBL-EUR-SUPERCUP-LIVERPOOL-CHELSEA

2. บทบาทของก็องเต้

หน้าที่ของ เอ็นโกโล ก็องเต้ กลายเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวางตั้งแต่ที่ เมาริซิโอ ซาร์รี ตัดแต่งพันธุกรรมเจ้าตัวจากมิดฟิลด์ตัวรับตามตำรับเป็นห้องเครื่องบ็อกซ์ทูบ็อกซ์คอยวิ่งห้อขึ้นลงรับผิดชอบทั้งเกมรับและเกมรุกโดยมี จอร์จินโญ คอยคัดท้าย เกมนี้เป็นอีกครั้งที่กองกลางทีมชาติ ฝรั่งเศส รับบทบาทแบบเดิมเช่นเดียวกับในยุคของ ซาร์รี

แฟรงค์ แลมพาร์ด วาง ก็องเต้ ไว้ในตำแหน่งมิดฟิลด์ฝั่งขวาคู่กับ มาเตโอ โควาชิช และมีเพลย์เมคเกอร์ตัวต่ำทีมชาติ อิตาลี คอยปั้นเกมอยู่หน้าแนวรับ ด้วยความเป็นไปของรูปเกมที่เน้นการบีบพื้นที่สูง ทะยานเข้าบอลหาคู่แข่งอย่างรวดเร็วทำให้อดีตกองกลาง เลสเตอร์ ซิตี้ รายนี้โดดเด่นกับ สิงห์บลู อย่างเห็นได้ชัดเมื่อกลายเป็นหัวใจในการขัดขางไม่ให้ หงส์แดง ตั้งเกมได้อย่างถนัดถนี่ เขายังทำได้อย่างน่าประทับใจในการเติมขึ้นไปสนับสนุนเกมรุกของทีมเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการจ่ายบอลอีกด้วย

3. วันที่แนวรุกสิงห์บลูได้คำราม

ประสบการณ์ของ โอลิวิเยร์ ชิรูด์, ความว่องไวกับจมูกในการหาพื้นที่ว่างของ เปโดร และความวูบวาบของ คริสเตียน พูลิซิช กลายเป็นส่วนผสมที่กลมกล่อมในแดนหน้าของ สิงหืบลู ในวันที่พวกเขาไร้เงา เอเด็น อาซาร์ คอยแบกทีม

การประสานงานของทั้ง 3 คนทำให้เกมรุกของ เดอะบลูส์ มีความสมดุลทั้งบริเวณริมเส้นรวมถึงการเจาะตามช่องในพื้นที่ตรงกลาง พวกเขายังเตลื่อนที่สอดรับกันได้อย่างลงตัวซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีในฤดูกาล 2019/20 อันยาวนาน

Christian Pulisic,Joe Gomez

4. เชิ้ตดำสุภาพสตรีลดดีกรีความร้อนแรงของเกม

สเตฟานี แฟร็ปปาร์ต เชิ้ตดำจาก ฝรั่งเศส ในฐานะผู้ตัดสินที่ 1 นำทีม มานูเอลลา นิโคโลซี และ มิเชลลา โอนีล ในฐานะ 2 ผู้กำกับเส้นสร้างประวัติศาตร์กลายเป็นทีมผู้ตัดสินสุภาพสตรีที่ทำหน้าที่ในเกมฟุตบอลชายในระดับเมเจอร์ทั้งหมดเป็นครั้งแรกซึ่งพวกเธอก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีที่ติไม่ต่างจากเชิ้ตดำสุภาพบุรุษ

การทำหน้าที่ของพวกเธอยังทำให้เหล่านักฟุตบอลชายฉกรรจ์ดูจะลดดีกรีการแสดงออกเมื่อไม่เห็นด้วยต่อคำตัดสินลงไม่มากก็น้อย อีกทั้งยังเป็นใบเบิกทางต่อการทำหน้าที่ของกรรมการสุภาพสตรีรายอื่นในฟุตบอลชายรายการใหญ่ในอนาคต

5. 3 ประสาน หงส์แดง ยังหาใครมาแทนไม่ได้

การที่ทั้ง ซาลาห์ มาเน และ ฟิร์มิโน เล่นเข้าขากันเป็นอย่างดี และโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นนั้น เวลาที่ทีมขาดคนใดคนหนึ่งไป เกมรุกของ ลิเวอร์พูล จะดูลดความน่ากลัวลงไปในทันที ทั้งที่มีตัวสำรองในตำแหน่งตัวรุกอยู่ข้างสนามมากมาย แต่ไม่มีใครที่จะมาทดแทน 3 ตัวหลักของทีมได้เลย ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นระเบิดเวลา ที่จะส่งผลต่อฟอร์มการเล่นของทีมในระยะยาวได้ ต้องดูกันต่อไปว่า คล็อปป์ จะแก้ไขปัญหาที่ว่านี้อย่างไร

6. โกเมซ ยังหาทางที่ใช่ไม่เจอ

แม้ว่า โจ โกเมซ กองหลังดาวรุ่งของทีม เดอะ เร้ดแมชชีน รายนี้ ยังคงได้รับความไว้วางใจจาก กุนซือมาดเข้มอย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ อยู่พอสมควร แต่เจ้าตัวยังควานหาฟอร์มเก่งของตัวเองไม่เจอเลยในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะถูกจับไปเล่นเป็น ปราการหลังตัวกลาง หรือ แบ็คขวา ก็ยังคงมีข้อผิดพลาดให้เห็นและมักจะถูกแนวรุกฝ่ายตรงข้ามใช้ประโยชน์จากจุดนั้นโจมตีใส่เกมรับของ หงส์แดง อยู่บ่อยๆ ซึ่งบางทีอาจจะต้องให้เวลากับ โกเมซ ไปสักระยะหนึ่งก่อน แต่หากยังเหมือนเดิมอยู่ เขาอาจจะต้องรับชะตามกรรมแบบเดียวกับ ลอฟเรน ก็เป็นได้

FBL-EUR-SUPERCUP-LIVERPOOL-CHELSEA

7. แผง มิดฟิลด์ เกรดบีบวก

ทีมชั้นนำของโลกเกือบทุกทีม รวมไปถึง 6 ทีม ลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ต้องมีมิดฟิลด์อย่างน้อย 1 คนที่เรียกได้ว่าเป็นระดับเวิลด์คราสอยู่ในทีม เช่น ก็องเต้ ของ เชลซี  ป็อกบา ของ แมนฯ ยูไนเต็ด  เดอบรอยน์ ของ แมนฯ ซิตี้  อิริคเซน ของ สเปอร์ส ผู้เล่นเหล่านี้คือกองกลางเกรดเอที่สามารถเปลี่ยนโมเมนตัมของเกมได้ แต่สำหรับ ลิเวอร์พูล มี เฮนเดอร์สัน มิลเนอร์ ไวนัลดุม หรือแม้แต่ ฟาบินโญ พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่ตัวที่จะสามารถฟากความหวังไว้ได้ในยามที่ 3 ประสานในแดนหน้าหมดมุกในการเข้าทำ แม้ว่า สองรายหลังที่กล่าวมาจะยังพอมีทรงอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่สม่ำเสมอ ซึ่งทำให้แผงมิดฟิลด์ยังคงเป็นอีกจุดอ่อนหนึ่งของ หงส์แดง ในตอนนี้ ซึ่งเกมวันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่ากลางของ เชลซี เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ใจบอกว่าใช่ ! ประธานลีลล์ เผยเหตุ เปเป้ ปัด นาโปลี ซบ อาร์เซนอล

เคราร์ด โลเปซ ประธานสโมสร ลีลล์ ในศึก ลีกเอิง ประเทศ ฝรั่งเศส เผยเหตุผลที่ นิโคลัส เปเป้ ย้ายมาร่วมทีม ​อาร์เซนอล ทีมดังในศึก พรีเมียร์ลีก แทนที่จะเป็น นาโปลี

โดยหัวหอกทีมชาติ ไอวอรีโคสต์ เพิ่งย้ายมาร่วมทีม ปืนใหญ่ ก่อนตลาดนักเตะลีก อังกฤษ จะปิดตัวลงไม่กี่วันด้วยค่าตัวสถิติสโมสรถึง 80 ล้านยูโรนั่นเอง

“เขาได้มองถึงสองอย่างสำหรับอนาคตของตัวเอง นั่นก็คือการลงสนามเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หรือได้อยู่กับทีมที่มีโอกาสเข้าร่วม นาโปลี และ อาร์เซนอล เป็นทีมในประเภทนั้น สำหรับ นาโปลี พวกเขาอยู่ในรายการ แชมเปี้ยนส์ลีก อยู่แล้ว แต่ อาร์เซนอล ก็คือหนึ่งในยอดทีมของ พรีเมียร์ลีก” โลเปซ กล่าว

“สุดท้ายแล้วเขาตัดสินใจเลือก อังกฤษ เพราะคิดว่านี่คือลีกที่เขาต้องการจะไปฝากผลงานไว้นั่นเอง”

ลิเวอร์พูล vs เชลซี : พรีวิว ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน


การแข่งขัน ฟุตบอล ​ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 2019
วันแข่งขัน คืนวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2019
เวลาแข่งขัน 02:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน ​ลิเวอร์พูล vs ​เชลซี
สนาม โวด้าโฟน อารีนา, อิสตันบูล ประเทศ ตุรกี
ถ่ายทอดสด รอการยืนยันอย่างเป็นทางการ

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


ลิเวอร์พูล

อลิสซอน เบ็คเกอร์ นายทวารทีมชาติ บราซิล ของ หงส์แดง ได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อน่องจากเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาซึ่งจะทำให้เขาต้องพักยาวราว 8 สัปดาห์และจะไม่สามารถลงช่วยทีมในเกมนี้ได้อย่างแน่นอน โดยจะเป็นโอกาสของ อาเดรียน มือกาวที่ เร้ดแมชีน เพิ่งคว้าตัวเข้ามาใหม่

ซาดิโอ มาเน ฟิตพอที่จะลงเล่นเป้นตัวสำรองในเกมที่พวกเขาเอาชนะ นอริช 4-1 และคาดว่าเจ้าตัวจะได้ออกสตาร์ทในเกมนี้ อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้สูงที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะหมุนเวียนผู้เล่นโดยมี อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน, นาบี เกอิต้า, โจเอล มาติป และ เจมส์ มิลเนอร์ จะได้ลงโชว์ฟอร์มในเกมที่ อิสตันบูล

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อาเดรียน
กองหลัง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, มาติป, ฟาน ไดค์, โรเบิร์ตสัน
กองกลาง มิลเนอร์, ฟาบินโญ, เฮนเดอร์สัน
กองหน้า ซาลาห์, ฟิร์มิโน, มาเน

เชลซี

คาดการณ์ว่า แฟรงค์ แลมพาร์ด กุนซือ สิงห์บลู ได้ตั้งธงจะโรเตชันผู้เล่นในเกมนี้แต่จากความพ่ายแพ้ยับเยินต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-0 เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทำให้ซูเปอร์แฟรงค์ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการจะหมุนเวียนแข้งหลัก

โดย เอ็นโกโล ก็องเต้ ฟิตที่จะลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมปราชัยต่อ ปีศาจแดง และเจ้าตัวน่าจะได้ออกสตาร์ทในเกมนี้เช่นเดียวกับ คริสเตียน พูลิซิช ขณะที่ วิลเลียน ไม่มีชื่อในเกมดังกล่าวแต่ดาวเตะทีมชาติ บราซิล ไม่น่าจะมีปัญหาในการเป็นหนึ่งใน 11 จริงที่ อิสตันบูล เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดของ เคิร์ท ซูมา อาจทำให้เจ้าตัวถูกดร็อปในเกมดวล หงส์แดง โดย เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กับ ฟิกาโย โทโมรี และ อันเดรียส คริสเตนเซน เป็น 3 ตัวเลือกในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คเมื่อ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ยังคงพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-2-3-1

ผู้รักษาประตู อาร์ริซาบาลากา
กองหลัง อัซปิลิกวยต้า, ซูมา, คริสเตนเซน, อลอนโซ
กองกลาง ก็องเต้, จอร์จินโญ
เปโดร, บาร์คลีย์, พูลิซิช
กองหน้า ชิรูด์

 


ผลงาน 5 นัดหลังสุด


ลิเวอร์พูล (ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 2)

10 สิงหาคม พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล 4 : 1 นอริช ชนะ
4 สิงหาคม คอมมูนิตี้ ชิลด์ ลิเวอร์พูล 1 : 2 (1 : 1) แมนฯ ซิตี้ แพ้
1 สิงหาคม กระชับมิตร ลิเวอร์พูล 3 : 1 ลียง ชนะ
29 กรกฎาคม กระชับมิตร ลิเวอร์พูล 0 : 3 นาโปลี แพ้
25 กรกฎาคม กระชับมิตร สปอร์ติง 2 : 2 ลิเวอร์พูล เสมอ

เชลซี (ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 1)

11 สิงหาคม พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 4 : 0 เชลซี แพ้
3 สิงหาคม กระชับมิตร โบ. มึนเชนกลัดบัค 2 : 2 เชลซี เสมอ
1 สิงหาคม กระชับมิตร ซัลซ์บวร์ก 3 : 5 เชลซี ชนะ
28 กรกฎาคม กระชับมิตร เรดดิ้ง 3 : 4 เชลซี ชนะ
23 กรกฎาคม กระชับมิตร บาร์เซโลนา 1 : 2 เชลซี ชนะ

เฮดทูเฮด (ลิเวอร์พูล ชนะ 1 เสมอ 2 เชลซี ชนะ 2)

14 เมษายน 2019 พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล 2 : 0 เชลซี
30 กันยายน 2018 พรีเมียร์ลีก เชลซี 1 : 1 ลิเวอร์พูล
27 กันยายน 2018 ลีกคัพ ลิเวอร์พูล 1 : 2 เชลซี
6 พฤษภาคม 2018 พรีเมียร์ลีก เชลซี 1 : 0 ลิเวอร์พูล
26 พฤศจิกายน 2017 พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล 1 : 1 เชลซี

สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • เกม ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 2019 จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สโมสรจาก อังกฤษ โคจรมาพบกันเอง

  • แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สามารถคว้าถ้วย ซูเปอร์คัพ มาครองได้สำเร็จ 5 จาก 6 ฤดูกาลหลังสุด (เรอัล มาดริด 2014, 2016, 2017 และ บาเยิร์น มิวนิค 2013 กับ บาร์เซโลนา 2015) โดยครั้งเดียวที่ แชมป์ ยูโรป้าลีก สามารถซิวถ้วยนี้ได้เกิดขึ้นไปปี 2018 กับ แอตเลติโอ มาดริด ที่เบีดยเอาชนะ เรอัล มาดริด ได้ด้วยสกอร์ 4-2 เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา

  • แมตช์นี้ยังจะเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เชลซี ในเวทียุโรปเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2009 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบควอเตอร์ไฟนอล โดยผลของเกมดังกล่าวที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ จบลงด้วยการเสมอกัน 4-4 (สกอร์รวม เดอะบลูส์ เป็นฝ่ายเอาชนะไปด้วยสกอร์ 7-5)

  • เร้ดแมชีน สามารถเก็บชัยเหนือ สิงห์บลู ได้เพียง 1 นัดจาก 6 เกมหลังสุดเท่านั้นเมื่อรวมทุกรายการ (เสมอ 3 แพ้ 2) โดยเกมดังกล่าวเป็นการพบกันใน พรีเมียร์ลีก เมื่อเดือนเมษายนซึ่ง หงส์แดง ได้ประตูจาก ซาดิโอ มาเน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับเกมที่พวกเขาเอาชนะได้ 2-0

  • สิงโตน้ำเงินคราม สามารถพังประตูใส่ เร้ดแมชีน 18 ประตูจากการพบกันทั้งหมด 19 เกมหลังสุดเมื่อรวมทุกรายการ  มีเพียงเกมล่าสุดเกมเดียวที่พวกเขาพบกันเท่านั้นที่ เดอะบลูส์ ไม่สามารถเจาะตาข่ายทีมดังจาก เมอร์ซีย์ไซด์ ได้ (ผลในเกมดังกล่าวจบลงด้วยชัยชนะของ หงส์แดง 0-2)

  • ลิเวอร์พูล กำลังจะทำสถิติเก็บชัยชนะติดต่อกันกับ เชลซี ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2011 ภายใต้การคุมทีมของ เคนนี ดัลกลิช (หงส์แดง ยังเคยทำสถิติสูงสุดคว่ำ สิงห์บลู ได้สูงสุด 4 นัดติดต่อกันเมื่อรวมทุกรายการ โดย 3 ใน 4 เกมดังกล่าวเกิดขึ้นในยุคของ เคนนี ดัลกลิช เป็นกุนซือ)

  • เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถพา เร้ดแมชีน เก็บชัยชนะในการดวลกับ เดอะบลูส์ 3 จากทั้งหมด 9 เกมที่พบกัน (เสมอ 4 แพ้ 2) นับตั้งแต่กุมบังเหียน หงส์แดง ตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคม 2015 อย่างไรก็ตามชัยชนะดังกล่าวเกิดขึ้นเพียง 1 เกมจาก 6 นัดหลังสุด (เสมอ 3  แพ้ 2)

  • แฟรงค์ แลมพาร์ด มีชื่อลงเล่นใน ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ กับ เชลซี 2 จาก 3 ครั้งหลังสุด โดยเป็นการปราชัยต่อ แอตเลติโก มาดริด 1-4 เมื่อปี 2012 และการพ่ายแพ้ในการดวลลูกจุดโทษต่อ บาเยิร์น มิวนิค 4-5 หลังเสมอกันในการต่อเวลาพิเศษ 2-2  เมื่อปี 2013

  • โมฮาเหม็ด ซาลาห์ พัง 5 ประตูจากการลงเล่น 8 เกมหลังสุดที่พบกับ เชลซี เมื่อรวมทุกรายการ โดย 3 ลูกในนั้นเป็นการยิงใส่ สิงห์บลู ตั้งแต่ที่เขายังเล่นให้กับ บาเซิล

  • โอลิวิเยร์ ชิรูด์ เป็นดาวซัลโวสูงสุดของ สิงโตน้ำเงินคราม ในศึก ยูฟ่า ยูโรป้าลีก ฤดูกาลที่ผ่านมาด้วยจำนวน 11 ประตู นอกจากนี้เขายังซัลโวใส่ หงส์แดง ไปแล้ว 6 ประตูนับตั้งแต่ย้ายมาเล่นที่ อังกฤษ โดยมีเพียง ซันเดอร์แลนด์ (7 ประตู), เซาแธมป์ตัน, นิวคาสเซิล และ แอสตัน วิลลา (8 ประตู) ที่เขายิงใส่ได้มากกว่า ลิเวอร์พูล เท่านั้น

  • โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน ได้เผชิญหน้ากับ เชลซี มาแล้ว 7 ครั้งนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทัพ ลิเวอร์พูล เมื่อรวมทุกรายการแต่ไม่สามารถทำประตูใส่พวกเขาได้เลย มีเพียง เอฟเวอร์ตัน (8 นัด) เท่านั้นที่เขาเท้าบอดเมื่อดวลกันมากกว่า สิงห์บลู

เก็บตก 4 ประเด็นร้อนหลังเกม : แมนฯ ยูไนเต็ด อัดเละ 4-0

1. วาน-บิสซาก้า ยกระดับแนวรับ ปีศาจแดง

อารอน วาน-บิสซาก้า ได้รับความไว้วางใจจาก โอเล กุนนาร์ โซลชา ให้ลงประจำการในตำแหน่งแบ็คขวาซึ่งเจ้าตัวสามารถสร้างความแตกต่างให้เห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับเจ้าของตำแหน่งคนเก่าอย่าง อันโตนิโอ วาเลนเซีย หรือ แอชลีย์ ยัง

แบ็คขวาชาว อังกฤษ วัย 21 ปีแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในเกมรับรวมทั้งยังมีความรวดเร็วที่จะสามารถสร้างอันตรายให้กับแนวรับของ เชลซี ที่ริมเส้นฝั้งขวาได้น่าประทับใจเช่นเดียวกับ แฮร์รี แม็คไกวร์ ที่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ดีเช่นกันแม้ว่าเกมนี้บอลจะไม่ได้เข้ามาป้วนเปี้ยนบริเวณที่เจ้าตัวรับผิดชอบบ่อยครั้งนัก

2. ความรวดเร็วในแนวรุกของ ผีแดง

แม้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องเสีย โรเมลู ลูกากู ให้กับ อินเตอร์ มิลาน ในตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาจนทำให้เกิดคำถามถึงนักเตะตัวแทน ลูกากู แต่ มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ อองโตนี มาร์กซิยาล ก็ได้แสดงให้เห็นในระดับหนึ่งว่าสปีดที่รวดเร็วของพวกเขาสามารถเล่นงานแนวรับของ สิงห์บลู ได้อย่างอันตราย

ความเร็วของ แรชฟอร์ด ยังนำมาสู่การได้ประตูเบิกร่องของทีมเมื่อสามารถเล่นงาน เคิร์ท ซูมา จนได้ลูกจุดโทษและเป็นเจ้าตัวที่รับหน้าที่สังหารอย่างเด็ดขาดก่อนที่ มาร์กซิยาล จะแผงฤทธิ์ในประตูที่ 2 ตามด้วยประตูของดาวยิงชาว อังกฤษ อีกครั้งในประตูที่ 3 และปิดท้ายด้วยเกมสวนกลับสุดสะเด่าในประตูที่ 4

3. การเซ็ตเกมที่แดนกลางยังน่าเป็นกังวล

ปอล ป็อกบา, สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ และ อันเดรียส เปเรย์รา ถูกวางให้ประสานงานร่วมกันที่แดนกลางทว่าการเซ็ตเกมจากแดนหลังสู่กลางไปหน้าของพวกเขาในเกมนี้ยังไม่สเกียรมากพอ แต่มันก็ถูกทดแทนด้วยการเปิดเกมรุกด้วยจังหวะที่น้อยครั้งและความรวดเร็วยิ่งกว่านรกของบรรดาแข้งตัวรุกทั้งหมดของทีมที่สามารถเล่นงานแผลหลังของ สิงห์บลู จนเปื่อยยุ่ย

4. เดบิวต์โกลสำหรับ เจมส์

ไม่มีอะไรจะยอดเยี่ยมสำหรับแข้งใหม่ได้ดีไปกว่าการยิงประตูได้ในนัดแรกของเขากับต้นสังกัดใหม่ในทันทีตั้งแต่เกมเดบิวต์ แดเนียล เจมส์ ถูกส่งลงสนามในช่วงที่เกมขาดไปแล้วแต่ตัวรุกริมเส้นทีมชาติ เวลส์ วัย 21 ปีก็ได้งัดความเร็วเล่นงานกองหลังของทีมเยือนอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะรับบอลจาก ปอล ป็อกบา หลุดไปล่อเป้าในกรอบเขตโทษไม่พลาด แถมช่วงท้ายเกมยังสามารถสปีดหนี เอ็นโกโล ก็องเต้ จนเรียกใบเหลืองจากมิดฟิลด์ทีมชาติ ฝรั่งเศส ได้อีกด้วย


สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น ! * ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใด หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมายที่ระบุไว้สูงสุด