มีปัญหาเจอพี่ตู้ได้ ! ชายเล็ก ห้ามทัพ ลูกากู-โบรโซวิช เดือดหลัง อินเตอร์ บู่เจ๊า สลาเวีย ปราก

โรเมลู ลูกากู ศูนย์หน้าคนใหม่ของ อินเตอร์ มิลาน มีปากเสียงกับ มาร์เซโล โบรโซวิช เพื่อนร่วมทีมในห้องแต่งตัวหลังจากที่พลพรรค งูใหญ่ ทำได้แค่เสมอกับ สลาเวีย ปราก 1-1 ในศึก ​ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา

โดยเกมดังกล่าวผู้มาเยือนจาก สาธารณรัฐเช็ก เป็นฝ่ายได้ประตูขึ้นนำไปก่อนในนาทีที่ 63 จาก ปีเตอร์ โอลายินก้า ก่อนที่ทัพ เนรัซซูรี ต้องรอจนถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บจึงจะสามารถทำประตูตีเสมอได้จาก นิโคโล บาเรลลา เก็บ 1 แต้มประเดิมนัดแรกของถ้วยบิ๊กเอียร์ชนิดเกือบพังคารัง

รายงานจาก เดลีเมล ระบุว่า ลูกากู ถูกบรรดาเพื่อนร่วมทีมต่อว่าจากการที่เจ้าตัวไม่สามารถเล่นตามแท็คติกของ อันโตนิโอ คอนเต้ ได้โดยเจ้าตัวได้สวนกลับ โบรโซวิช ว่าเขาเสียบอลบ่อยครั้งที่แดนกลางไม่ได้ดีกว่าเจ้าตัวเท่าไหร่นัก บรรยากาศในห้องแต่งตัวมาคุหลังจากนั้นก่อนที่จะมาถึงจุดเดือดเมื่อมิดฟิลด์ชาว โครเอเชีย แย้งกองหน้าคนใหม่ของทีมกับช็อตพลาดโอกาสง่ายๆ ที่หน้าปากประตูจนต่างฝ่ายต่างสบถใส่กันเป็นฟืนเป็นไฟ

เหตุการณ์หลังจากนั้นสงบลงด้วยการห้ามทัพของ อเล็กซิส ซานเชซ เพื่อนร่วมทีมของ ลูกากู นับตั้งแต่ที่เจ้าตัวค้าแข้งอยู่กับ ​แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขณะที่ ซามีร์ ฮันดาโนวิช เป็นฝ่ายห้ามปราม โบรโซวิช ในการเถียงกันในห้องแต่งตัวดังกล่าว

สื่อดังกล่าวยังเผยข้อมูลเบื้องลึกที่ว่าวิธีการจัดการทีมของ คอนเต้ มักสร้างบรรยากาศอันตึงเครียดให้กับบรรดาลูกทีมเพื่อเค้นฟอร์มเก่งในสนามทว่าผู้จัดการทีมชาว อิตาเลียน ก็ออกอาการหัวเสียกับการโต้เถียงดังกล่าวของลูกทีมด้วยเช่นกัน และมีความเป็นไปได้สูงที่ โบรโซวิช อาจถูกดร็อปออกจากทีมในเกม กัลโช เซเรีย อา สุดสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ อินเตอร์ มีคิวทำศึก มิลานดาร์บี้ เป็นเกมถัดไปหลังจากที่ทัพ งูใหญ่ ทำสถิติไร้พ่ายในลีก ขณะที่ ปีศาจแดงดำ รั้งอันดับที่ 7 บนตารางคะแนน

ชัคตาร์ โดเน็ตสก์ 0-3 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกม แชมเปี้ยนส์ลีก

การแข่งขัน ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019/20 รอบแบ่งกลุ่ม
วันแข่งขัน คืนวันพุธที่ 18 กันยายน 2019
เวลาแข่งขัน 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน ชัคตาร์ โดเน็ตสก์ 0-3 แมนเชสเตอร์ ซิตี้
สนาม เมตาลิสต์ สเตเดี้ยม

แมนเชสเตอร์ซิตี้ บุกมาเก็บ 3 คะแนนแรกในถ้วยยุโรปซีซั่นนี้ได้สำเร็จ หลังเอาชนะ ชัคตาร์ โดเน็ตสก์ ทีมจาก ยูเครน ไปได้ 0-3 โดย แมนฯ ซิตี้ ได้ประตูจาก มาห์เรซ ในนาทีที่ 24 ต่อมาเป็น กุนโดกัน ในนาทีที่ 38 และได้ประตูปิดกล่องในช่วงครึ่งหลังจาก เชซุส ในนาทีที่ 76 ก่อนจบ 90 นาที ซิตี้ บุกมาคว้า 3 แต้มกลับบ้านได้สำเร็จ

เริ่มเกมมาเป็นทีมเรือใบสีฟ้า ที่ครองเกมบุกเข้าใส่เจ้าบ้านตามฟอร์ม แต่ทางฝั้งเจ้าถิ่นก็มีจังหวะทำเกมขึ้นมาน่ากลัวอยู่หลายครั้ง แต่ในนาทีที่ 24 ทีมเยือนได้ประตูออกนำไปก่อน 0-1 จากจังหวะยิงไกลของ กุนโดกัน ไปชนเสาและ มาห์เรซ ซ้ำจ่อ ๆ เข้าไป

FBL-EUR-C1-SHAKHTAR-MANCITY

ต่อมา นาทีที่ 38 แมนฯ ซิตี้ นำห่าง 0-2 จากการยิงของ กุนโดกัน เท่ากับว่าวันนี้ กองกลางชาวเยอรมนี รายนี้ ยิง 1 จ่าย 1 ไปแล้ว และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังเริ่มมา ชัคตาร์ เปิดเกมบุกเข้าใส่ผู้มาเยือนมากขึ้น และเกือบจะทำประตูได้หลายครั้งแต่จังหวะสุดท้ายยังไม่เฉียบคมมากพอ จนกระทั่งนาทีที่ 76 เรือใบสีฟ้า ตัดบอลได้และโต้กลับเร็ว เดอ บรอยน์ แทงทะลุช่องให้ เชซุส หลุดเดียวไปยิงโล่ง ๆ 0-3 ผู้มาเยือนนำขาด

และจบ 90 นาทีไปด้วยสกอร์ที่ท่วมท้นของทีมเยือน 0-3 คว้า 3 แต้มกลับอังกฤษไปได้อย่างสวยงาม

FBL-EUR-C1-SHAKHTAR-MANCITY

ประเด็นร้อนหลังเกม


สุดยอดเกมโต้กลับของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ น้อยครั้งที่แฟน ๆ จะได้เห็นอัตราครองบอลของ เรือใบสีฟ้า น้อยกว่าหรือเท่ากับทีมคู่แข่ง ใน 90 นาที ซึ่งสถิติการครอบครองบอลในวันนี้อยู่ที่ประมาณ 50-50 ซึ่งสำหรับลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ถือว่าน้อยผิดปกติเลยทีเดียว

ที่เป็นอย่างนั้นเพราะวันนี้ เจ้าบ้านวางแผนมาทำเกมบุกใส่ทีมเยือนแบบเต็มสูบ แถมแนวรุกแต่ละคนของเจ้าถิ่นนั้น มีความเร็ว ความคล่องตัวสูงมากถึงมากที่สุด ทำให้ ซิตี้ ต้องลงมาช่วยกันตั้งรับและรอจังหวะโต้กลับ ซึ่งวันนี้ถือว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะทีมสามารถโจมตีโดยอาศัยจังหวะสวนกลับที่รวดเร็วและเฉียบขาดเป็นที่มาของทั้ง 3 ประตูที่ทำได้ในเกมวันนี้

FBL-EUR-C1-SHAKHTAR-MANCITY

คะแนนนักเตะ


ตัวจริง : เอแดร์ซอน (7), วอล์คเกอร์ (6.5), แฟร์นันดินโญ (6.5), โอตาเมนดี้ (6.5), ซินเชนโก้ (7), โรดรี (6.5), กุนโดกัน (7.5), เดอ บรอยน์ (7.5), มาห์เรซ (7), สเตอร์ลิง (6.5), เชซุส (7.5)

ตัวสำรอง : คันเซโล (6), เมนดี้ (6), แบร์นาโด้ (6)


คีย์แมนเกมวันนี้ – เควิน เดอ บรอยน์


วันนี้อาจจะไม่ได้โดดเด่นมาก เหมือนเกมก่อน ๆ ในพรีเมียร์ลีก แต่เขายังคงเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีม สังเกตได้จากการทำหน้าที่ควบคุมจังหวะบริเวณแดนกลางในเกมนัดนี้ เขาจะคอยผ่านบอลเปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้ดีเสมอ ที่สำคัญความแม่นยำในการจ่ายบอลและการอ่านเกมยังคงสุดยอดเหมือนเดิม อีกทั้งคืนนี้ยังมี 1 แอสซิสต์ติดมือมาด้วยในจังหวะที่จ่ายให้ เชซุส หลุดเดียว ๆ ไปยิงประตูปิดกล่องให้กับทีม ชนิดที่ว่าน้ำหนักและทิศทางพอดีเป๊ะ ๆ เลยทีเดียว

FBL-EUR-C1-SHAKHTAR-MANCITY

[Match Report] บาร์คลีย์ พลาดจุดโทษ ! โรดริโก้ ซัดโทนพา บาเลนเซีย ขย้ำ เชลซี 1-0 แชมเปี้ยนส์ลีก

การแข่งขัน ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019/20 รอบแบ่งกลุ่ม
วันแข่งขัน คืนวันอังคารที่ 17 กันยายน 2019
เวลาแข่งขัน 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน เชลซี 0-1 บาเลนเซีย
สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์

แฟรงค์ แลมพาร์ด ประเดิมนัดแรกในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฐานะผู้จัดการทีมไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นักเมื่อพาทีม เชลซี ปราชัยต่อ บาเลนเซีย คาถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไปด้วยสกอร์ 1-0 จากประตูโทนของ โรดริโก้ โมเรโน

FBL-EUR-C1-CHELSEA-VALENCIA

โอกาสได้ลุ้นครั้งแรกของเกมเกิดขึ้นในนาทีที่ 35 จากจังหวะที่ วิลเลียน พาบอลตะลุยไปถึงบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ บาเลนเซีย ก่อนจะตัดสินใจยิงไกลแต่บอลพุ่งเลียดผ่านหน้าประตูออกไป ถัดมาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งแรก เป็น วิลเลียน อีกครั้งที่รับบอลจาก เซซาร์ อัซปิกวยต้า ได้ในกรอบเขตโทษ ดาวเตะ บราซิเลียน จับบอลหนึ่งจังหวะก่อนซัดเต็มแรงด้วยเท้าขวา บอลพุ่งแรงไปติดเซฟของ แยสเปอร์ ซิลเลสเซน ออกหลัง

นาทีที่ 62 สิงห์บลู ได้ลุ้นจากจังหวะฟรีคิกระยะราว 25 หลา มาร์กอส อลอนโซ ยิงบอลลอยระดับหัวเข่าทะลุกำแพงทีมเยือนก่อนจะกระดอนพื้นติดเซฟของ ซิลเลสเซน หลุดกรอบไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น

ทัพไอ้ค้างคาว มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 74 จากลูกฟรีคิกของ ดาเนียล ปาเรโฆ ตักบอลเปิดโด่งลอยไปที่เสาแรกให้ โรดริโก้ โฉบเข้ามาวอลเลย์ตามน้ำด้วยเท้าซ้าย บอลกระดอนพื้นก่อนจะลอยเสยเพดานตาข่ายชนิดที่ เกปา อาร์ริซาบาลากา หมดสิทธิ์เซฟ

Ross Barkley

สิงโตน้ำเงินคราม น่าจะได้ประตูตีเสมอสุดๆ ในช่วงท้ายเกมเมื่อลูกโหม่งของ ฟิกาโย โทโมรี ไปติดแขนของผู้เล่น บาเลนเซีย ในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินพิจารณา วีเออาร์ แล้วให้เป็นลูกจุดโทษของเจ้าถิ่น แต่ รอสส์ บาร์คลีย์ ผู้ทำหน้าที่สังหารยิงไปเช็ดคานออกหลังอย่างน่าเสียดายก่อนที่จะจบเกมด้วยชัยชนะของผู้มาเยือนจาก สเปน


รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม

เชลซี : อาร์ริซาลาบากา, อัซปิลิกวยต้า, คริสเตนเซน, ซูมา, โทโมรี, อลอนโซ, โควาชิช, จอร์จินโญ, วิลเลียน, เมาท์, อับราฮัม

ตัวสำรอง : กาบาเยโร, เกไฮ, บาร์คลีย์, พูลิซิค, เปโดร, ชิรูด์, บาทชัวยี

บาเลนเซีย : ซิลเลสเซน, วาสส์, เปาลิสต้า, การาย, กายา, ก็องด็อกเบีย, โกเกแล็ง, ปาเรโฆ, เชอรีเชฟ, โรดริโก้, กาเมโร

เชลซี vs บาเลนเซีย : พรีวิว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน


การแข่งขัน ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019/20 รอบแบ่งกลุ่ม
วันแข่งขัน คืนวันอังคารที่ 17 กันยายน 2019
เวลาแข่งขัน 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน ​เชลซี vs บาเลนเซีย
สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์
ถ่ายทอดสด DAZN

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


เชลซี

อันโตนิโอ รือดิเกอร์ อาจจะทำได้แค่มีชื่อบนม้านั่งสำรองเมื่อเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บกลับมาลงฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมเช่นเดียวกับ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ที่ยังมีอาการเดี้ยงและ เอเมอร์สัน

รีซ เจมส์, เอ็นโกโล ก็องเต้ และ คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย ยังคงมีการบาดเจ็บติดตัวขึ้นอยู่กับ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะเสี่ยงส่งพวกเขาลงสนามหรือไม่ โดยคาดการณ์ว่า แทมมี อับราฮัม จะยังคงได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงหลังจากอยู่ในช่วงฟอร์มร้อนแรงจากผลงาน 7 ประตูใน 3 เกมหลังสุด

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อาร์ริซาบาลากา
กองหลัง อัซปิกวยต้า, โทโมรี, ซูมา, อลอนโซ
กองกลาง บาร์คลีย์, จอร์จินโญ, โควาชิช
กองหน้า พูลิซิค, อับราฮัม, เมาท์

​​บาเลนเซีย

คริสเตียโน ปิชชินี กับ คาร์ลอส โซเลร์ เป็นแข้ง 2 รายที่หมดสิทธิ์ลงสนามให้กับ ไอ้ค้างคาว เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บ โดยที่เกมแรกในการประเดิมคุมทีมของ อัลเบิร์ต เซลาเดส จบลงด้วยการบุกไปปราชัยต่อ บาร์เซโลนา 5-2

คาดการณ์ว่า เฟร์ราน ตอร์เรส จะได้ออกสตาร์ทในตำแหน่งตัวรุกริมเส้นฝั่งขวาโดนมี แดเนียล วาสส์ ประจำการที่แบ็คขวาแทนที่ ปิชชินี กับ โซเลร์ ที่บาดเจ็บโดยมี เจฟฟรีย์ ก็องด็อกเบีย ลุ้นเบียดแย่งตำแหน่งกับ ฟรานซิส โกเกอแล็ง ในตำแหน่งมิดฟิลด์ เช่นเดียวกับ มักซี โกเมซ แข้งใหม่ของพวกเขาในตำแหน่งกองหน้า

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-4-2

ผู้รักษาประตู ซิลเลสเซน
กองหลัง วาสส์, การาย, เปาลิสต้า, กายา
กองกลาง ตอร์เรส, ปาเรโฆ, ก็องด็อกเบีย, เกวเดส
กองหน้า โกเมซ, โมเรโน

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


เชลซี (ชนะ 2 เสมอ 2แพ้ 1)

14 กันยายน พรีเมียร์ลีก วูล์ฟส 2 : 5 เชลซึ ชนะ
31 สิงหาคม พรีเมียร์ลีก เชลซึ 2 : 2 เชฟฯ ยูไนเต็ด เสมอ
24 สิงหาคม พรีเมียร์ลีก นอริช 2 : 3 เชลซึ ชนะ
18 สิงหาคม พรีเมียร์ลีก เชลซึ 1 : 1 เลสเตอร์ เสมอ
15 สิงหาคม ซูเปอร์คัพ ลิเวอร์พูล 3 : 2(1 : 1) เชลซึ แพ้

บาเลนเซีย (ชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 3)

15 กันยายน ลา ลีกา บาร์เซโลนา 5 : 2 บาเลนเซีย แพ้
1 กันยายน ลา ลีกา บาเลนเซีย 2 : 0 มายอร์ก้า ชนะ
25 สิงหาคม ลา ลีกา เซลต้า 1 : 0 บาเลนเซีย แพ้
18 สิงหาคม ลา ลีกา บาเลนเซีย 1 : 1 เรอัล โซเซียดาด เสมอ
11 สิงหาคม กระชับมิตร บาเลนเซีย 1 : 2(1 : 1) อินเตอร์ แพ้

เฮดทูเฮด (เชลซี ชนะ 1 เสมอ 2 บาเลนเซีย ชนะ 2)

7 ธันวาคม 2011 แชมเปี้ยนส์ลีก เชลซี 3 : 0 บาเลนเซีย
29 กันยายน 2011 แชมเปี้ยนส์ลีก บาเลนเซีย 1 : 1 เชลซี
12 ธันวาคม 2007 แชมเปี้ยนส์ลีก เชลซี 0 : 0 บาเลนเซีย
4 ตุลาคม 2007 แชมเปี้ยนส์ลีก บาเลนเซีย 1 : 2 เชลซี
11 เมษายน 2007 แชมเปี้ยนส์ลีก บาเลนเซีย 1 : 2 เชลซี

สถิติที่น่าสนใจ


  • เชลซี ไร้พ่ายในเกม พรีเมียร์ลีก 4 นัดหลังสุดติดต่อกัน (ชนะ 2 เสมอ 2) โดย 3 นัดหลังสุดพวกเขายังมีสถิติยิงประตูเฉลี่ย 3.5 ลูกต่อเกมและเป็นฝ่ายซัลโวครึ่งแรกใน 2 เกมหลังสุด

  • ความพ่ายแพ้ของ สิงห์บลู ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มต่อทีมในโถต่ำกว่าครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2013 ขณะที่ผลการแข่งขันในเกมเหย้าถ้วยบิ๊กเอียร์ของ สิงโตน้ำเงินคราม 2 นัดหลังสุดจบลงด้วยสกอร์ 1-1 โดยที่ประตูทั้งหมดเกิดขึ้นในครึ่งหลังทั้งสิ้น

  • บาเลนเซีย มีสถิติลงเล่นในเกมเยือน 2019/20 ที่ย่ำแย่จากการปราชัย 2 นัดติดต่อกัน (ยิงได้ 2 ประตู เสีย 5 ประตู) และเป็นฝ่ายเสียประตูก่อนทั้ง 2 เกมภายใน 15 นาทีแรกรวมไปถึง 3 จาก 6 ลูกก็เสียไปในช่วงเวลาดังกล่าวอีกด้วย

  • ทัพไอ้ค้างคาว ไร้ชัยในเกมเยือนถ้วยบิ๊กเอียร์ 5 นัดติดต่อกันเข้าไปแล้ว (เสมอ 2 แพ้ 3) โดยทั้ง 5 เกมดังกล่าวพวกเขาไม่สามารถทำประตูได้เลย

  • แทมมี อับราฮัม พัง 5 ประตูจากการลงเล่น 2 เกมหลังสุดโดย 3 ใน 5 ประตูดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างนาทีที่ 31-45 ของเกม

  • มักซิมิเลียโน โกเมซ พังประตูปลอบใจในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในเกม บาเลนเซีย บุกพ่าย บาร์เซโลนา 5-2 โดย 5 ประตูหลังสุดของเจ้าตัวเกิดขึ้นหลังจากนาทีที่ 60 ของเกม

วัตฟอร์ด 2-2 อาร์เซนอล : 4 ประเด็นที่เราเรียนรู้หลังเกม

การแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019/20

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน2019

ผลการแข่งขัน วัตฟอร์ด 2-2 อาร์เซนอล

สนามวิคาเรจ โร้ด


4. ความเป็นไปของเกม

คุณภาพในแนวรุกและความเด็ดขาดของ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ทำให้ อาร์เซนอล ตุนความได้เปรียบตั้งแต่ครึ่งแรกกับสกอร์ 2-0 เกมทำท่าจะเป็นของ ไอ้ปืนใหญ่ ในช่วงเวลาที่เหลือแต่พวกเขากลับช็อตไปดื้อๆ ซึ่งความไม่แน่นอนของแนวรับ เดอะกันเนอร์ส ก็ส่งผลเสียหายถึง 2 ประตูที่พวกเขาเสียให้กับ วัตฟอร์ด ในครึ่งหลังจากความผิดพลาดของตัวเองล้วนๆ

3. เกมรุกของ ปืนใหญ่ ยามมี เออซิล ในทีม

เมซุต เออซิล ออกสตาร์ทให้กับ อูไน เอเมรี เป็นนัดแรกของฤดูกาลนี้ในบทบาทมิดฟิลด์ตัวรุกคอยผ่านบอลชี้เป็นชี้ตายให้กับเพื่อนร่วมทีมโดยมี ดานี เซบาญอส ถอยลงไปยืนต่ำกว่าจอมทัพชาว เยอรมัน

เออซิล กลายเป็นศูนย์กลางในการขึ้นเกมรุกของ ไอ้ปืนใหญ่ โดยมีทั้ง เอนสลีย์ เมตแลนด์-ไนลส์ กับ เซอัด โคลาซินาช คอยเติมเกมรุกที่ริมเส้นเป็นทางเลือกในการผ่านบอลของมิดฟิลด์หมายเลข 10 รายนี้ และการประสานงานระหว่างเจ้าตัวกับ เมตแลนด์-ไนลส์ ก็เป็นผลอันนำมาซึ่งประตู 2-0 ของทีม

2. โอบาเมยอง ร้อนแรง

ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง เหมา 2 ประตูให้กับ เดอะกันเนอร์ส ตั้งแต่ครึ่งแรกจากการจบสกอร์ที่เด็ดขาดของเจ้าตัวเมื่อมีโอกาส โดยศูนย์หน้าทีมชาติ กาบอง รายนี้ยังทำสถิติซัลโวให้กับทีมใน พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่เดบิวต์เมื่อกุมภาพันธ์ 2018 ไปแล้ว 37 ประตู เป็นรองเพียงแค่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (39 ประตู) เท่านั้น

1. ตัวเลขหลังเกมที่ย่ำแย่

จำนวน 31 ครั้งคือตัวเลขที่ วัตฟอร์ด ได้โอกาสยิงประตูใส่ อาร์เซนอล ในเกมนี้ (ตรงกรอบ 10 ครั้ง) คิดเป็นจำนวนโอกาสที่คู่แข่งของ ไอ้ปืนใหญ่ ทำได้มากที่สุดภายใน 1 เกมนับตั้งแต่ที่ ออปต้า มีการเก็บสถิติในฤดูกาล 2003/04 เป็นต้นมา

ตัวเลข 96 ครั้งคือลูกยิงที่แนวรับของ เดอะกันเนอร์ส ต้องรับมือในฤดูกาลนี้หลังผ่าน 5 เกมใน พรีเมียร์ลีก นับว่าเป็นจำนวนที่มากกว่าทีมใดๆ ใน 5 ลีกเมเจอร์ของทวีปยุโรป

14 ครั้งเป็นจำนวนที่ ไอ้ปืนใหญ่ เล่นผิดพลาดกันเองจนเป็นสาเหตุทำให้เสียประตูเมื่อนับรวมต่อเนื่องตั้งแต่ฤดูกาลที่ผ่านมา มากที่สุดเหนือกว่าทีมใดๆ ใน พรีเมียร์ลีก

อาร์เซนอล เสียประตูจากลูกจุดโทษลูกที่ 10 เข้าไปแล้วหากนับรวมตั้งแต่เมื่อฤดูกาลก่อนซึ่งมีเพียง ไบรท์ตัน เท่านั้นที่เสียประตูในลักษณะดังกล่าวเท่ากับ ไอ้ปืนใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นประตูจากจุดโทษครั้งที่ 3 ติดต่อกันในซีซันนี

เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ! หงส์แดง เปิดบ้านถล่ม สาลิกาดง 3-1


ประเด็นร้อนหลังเกม


1. ความมุ่งมั่นตั้งใจและความกระหายชัยชนะ

เกมนี้ ลิเวอร์พูล ถูกทีมเยือนบุกมายิงขึ้นนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 7 แต่จากนั้นพลพรรคเร้ดแมชชีน ก็ไม่ได้เสียสมาธิหรือมีอาการขวัญเสียเลยแต่อย่างใด พวกเขาก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของพวกเขาต่อไปตามหมากที่ได้วางเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มเกม

นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่านักเตะหงส์แดง แทบทุกคน มีความกระหาย ความมุ่งมั่น ที่จะกลับมาสู่เกม และมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ในที่สุด ซึ่งมันทำให้พวกเขาเล่นอย่างไร้ความกดดัน สบาย ๆ ค่อย ๆ นวด ค่อย ๆ หาช่อง หาพื้นที่ หาจังหวะเข้าทำกันไป จนกระทั้งมีโอกาส ก็ลงมือจัดการได้อย่างไม่ลังเล ซึ่งนี่เป็นจุดเด่นหนึ่งที่เห็นได้ชัดในเกมนี้ว่าความกระหายชัยชนะของนักเตะ ลิเวอร์พูล มันมีมากเหลือเฟือจริง ๆ

FBL-ENG-PR-LIVERPOOL-NEWCASTLE

2. ผู้เล่น 3 ประสานในเกมรุก ที่ยังต้องแบกทีมต่อไป

ทั้ง ซาลาห์ มาเน และ ฟิร์มิโน คือ 3 ประสานที่ลงตัวและน่ากลัวที่สุดในทีมชุดนี้และอาจจะในระดับประเทศเลยด้วยซ้ำถ้าทุกคนได้ลงเล่นพร้อม ๆ กัน แต่เมื่อใดที่คนใดคนหนึ่งขาดหายไป ความน่ากลัว และมิติในการเข้าทำที่เคยมี จะหายไปอย่างสิ้นเชิง อย่างในเกมนี้ สังเกตได้จากความแตกต่างระหว่างมี โอริกี กับมี ฟิร์มิโน ในสนาม มิติในเกมรุกมันต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

นั่นก็หมายความว่า ลิเวอร์พูล จะขาด 3 คนนี้ไปไม่ได้เลย ทั้ง 3 คนต้องแบกทีมต่อไป แม้แต่ในช่วงที่โปรแกรมการแข่งขันที่แน่นเอี๊ยดมาถึง การจะให้เข็นทั้ง 3 คนนี้ลงสนามทุกนัดเลยมันก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าตัวสำรองที่มีไม่สามารถทดแทนการขาดหายไปของ 3 คนนี้ได้ละก็ คงยากที่ ลิเวอร์พูล จะประสบความสำเร็จในทุกรายการที่พวกเขาลงทำการแข่งขัน

Sadio Mane,Virgil van Dijk,Roberto Firmino,Mohamed Salah

3. ขนาดของทีมกำลังสร้างปัญหาทีละน้อย

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า หงส์แดง มีขุมกำลังที่แข็งแกร่งก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกคนหรือทุกตำแหน่ง เนื่องจากจำนวนตัวผู้เล่นในทีมชุดใหญ่ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ๆ เลย แถมช่วงตลาดซื้อขายนักเตะที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ก็ไม่ได้ซื้อใครมาเพื่อเพิ่มขนาดของทีมให้ใหญ่ขึ้นเลยสักคนเดียว ซึ่งมันกลับสวนทางกับโปรแกรมการแข่งขันที่พวกเขาจะมีมากขึ้นกว่าปีก่อน ๆ

มันก็น่าคิดว่า ถ้าต้องกรำศึกหนัก ร่างกายพวกเขาจะรับไหวหรือไม่ ลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าหาก ฟาน ไดจ์ค และ มาติป บาดเจ็บขึ้นมา แล้วเป็น ลอฟเรน หรือ โกเมซ มายืนแทนที่ สโมสรเองจะสามารถวางใจในมาตฐานเกมรับของพวกเขาได้หรือเปล่า ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงที่ คล็อปป์ จะต้องมีการขยับขยายในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะช่วงหน้าหนาวนี้บ้าง เพื่อให้ทีมของเขามีความสดใหม่ตลอดเวลา และสามารถวางใจได้ไม่ว่าจะต้องส่งใครลงมาเป็น 11 ผ้เล่นตัวจริงก็ตาม คุณภาพของทีมจะยังเหมือนเดิมไม่มีความแตกต่างกัน

Mohamed Salah

คนละขั้ว ! แรชฟอร์ด เผยถึงความต่างระหว่าง มูรินโญ กับ โซลชาร์

มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าดาวรุ่งของ ​แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังแห่งศึก พรีเมียร์ลีก ได้ออกมาเปรียบเทียบสองผู้จัดการทีมที่เขาได้ทำงานด้วยอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ และ โชเซ มูรินโญ

โดย แรชฟอร์ด ได้ทำงานกับ มูรินโญ เป็นเวลาเกือบ 3 ปีก่อนที่ โซลชา จะเข้ามาเสียบเก้าอี้นายใหญ่ ปีศาจแดง เมื่อฤดูกาลที่แล้ว

“เขา (โซลชาร์) นั้นมีความแตกต่างเป็นอย่างมาก (จาก มูรินโญ) แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมคาดหวังไว้อยู่แล้วด้วยความที่เขาก็เคยเป็นนักเตะมาก่อน” แรชฟอร์ด กล่าว “แล้วนอกสนาม โอเล่ ก็เข้าอกเข้าใจนักเตะดีกว่าด้วย”

ขณะที่กับ มูรินโญ เขาก็ได้ให้ความเห็นว่า “ผมไม่คิดว่าตัวเองมีปัญหาอะไรกับเขาเพราะ มูรินโญ นั้นก็คือผู้จัดการทีมระดับท็อป มูรินโญ มีวิธีการอ่านคนที่แตกต่างออกไป แต่สำหรับผมการที่ผู้จัดการทีมเคยเป็นนักเตะมาก่อนก็ทำให้เขามีไลฟ์สไตล์ที่ใกล้เคียงกับเราและเข้าใจกันมากกว่า”

วูล์ฟแฮมป์ตัน vs เชลซี : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด

การแข่งขัน ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2019
เวลาแข่งขัน 21:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน วูล์ฟแฮมป์ตัน vs เชลซี
สนาม โมลีนิวส์
ถ่ายทอดสด True Premier Football HD

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


วูล์ฟแฮมป์ตัน

ทีมหมาป่า มีผู้เล่นที่ยังบาดเจ็บไม่สามารถลงช่วยทีมได้สองรายคือ แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ และ โรแม็ง ซาอิส ส่วน วิลลี โบลี ติดโทษแบนจากการโดนใบแดงในเกมที่พบกับ เอฟเวอร์ตัน สัปดาห์ก่อน

ทีมของ นูโน ซานโต ยังไม่ชนะใครเลยตลอด 4 เกมที่ผ่านมา ทำให้เกมนี้ต้องเน้นเป็นพิเศษ แต่การเจอกับ เชลซี ไม่ใช่งานง่ายอย่างแน่นอน คาดว่ากุนซือชาวโปรตุเกส จะวางแผนให้ลูกทีมตั้งรับอย่างรัดกุมและรอโต้กลับในแบบที่พวกเข้าถนัด โดยอาศัยเกมริมเส้นที่รวดเร็วและดุดันในการเจาะแนวรับของ สิงห์บลู ในนัดนี้

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 3-5-2

ผู้รักษาประตู ปาทริซิโอ
กองหลัง เบ็นเน็ตต์, โคอาดี้, บาเญโฆ
กองกลาง ตราโอเร, เดนดองเคอร์, เนเวส, มูตินโญ, จอนนี
กองหน้า โจต้า, ฆิเมเนซ

 

เชลซี

ทีมสิงโตน้ำเงินคราม มีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บเล่นงานหลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย, รือดิเกอร์, ก็องเต้, เปโดร และ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ทั้งหมดมีอาการบาดเจ็บมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่ในส่วนของ เอเมอร์สัน และ โควาชิช พึ่งได้รับบาดเจ็บจากการรับใช้ชาติ โดยต้องรอเช็คความฟิตก่อนเกมอีกครั้ง

คาดการณ์ว่าทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะยังใช้แผนการเล่นแบบเดิมก็คือ 4-3-3 เหมือนเกมก่อนๆ แต่คงต้องมีการสลับหมุนเวียนนักเตะ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่บาดเจ็บไป มาร์กอส อลอนโซ คาดว่าจะกลับมามีชื่อเป็นตัวจริงอีกครั้ง รวมถึง วิลเลียน ที่น่าจะได้รับโอกาสในเกมนี้

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อาร์ริซาบาลาก้า
กองหลัง อัซปิลิกวยต้า, ซูมา, คริสเตนเซน, อลอนโซ
กองกลาง เมานท์, จอร์จินโญ, บาร์คลีย์
กองหน้า อับราฮัม, วิลเลียน, พูลิซิช

 


ผลงาน 5 นัดหลังสุด


วูล์ฟแฮมป์ตัน (ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 1)

1 ก.ย. พรีเมียร์ลีก เอฟเวอร์ตัน 3-2 วูล์ฟ แพ้
30 ส.ค ยูฟ่า ยูโรปาลีก วูล์ฟ 2-1 โตริโน ชนะ
25 ส.ค พรีเมียร์ลีก วูล์ฟ 1-1 เบิร์นลีย์ เสมอ
23 ส.ค ยูฟ่า ยูโรปาลีก โตริโน 2-3 วูล์ฟ ชนะ
20 ส.ค พรีเมียร์ลีก วูล์ฟ 1-1 แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอ

เชลซี (ชนะ 1 เสมอ 2 แพ้ 2)

31 ส.ค พรีเมียร์ลีก เชลซี 2-2 เชฟฯ ยูไนเต็ด เสมอ
24 ส.ค พรีเมียร์ลีก นอริช 2-3 เชลซี ชนะ
18 ส.ค พรีเมียร์ลีก เชลซี 1-1 เลสเตอร์ เสมอ
15 ส.ค ซูเปอร์คัพ ลิเวอร์พูล 3-2 (1-1) เชลซี แพ้
11 ส.ค พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 4-0 เชลซี แพ้

เฮดทูเฮด (วูล์ฟ ชนะ 1 เสมอ 1 เชลซี ชนะ 3)

10/มี.ค./19 พรีเมียร์ลีก เชลซี 1-1 วูล์ฟ
6/ธ.ค./18 พรีเมียร์ลีก วูล์ฟ 2-1 เชลซี
19/ก.พ./17 เอฟเอ คัพ วูล์ฟ 0-2 เชลซี
26/ต.ค./12 ลีกคัพ เชลซี 6-0 วูล์ฟ
2/ม.ก./12 พรีเมียร์ลีก วูล์ฟ 1-2 เชลซี

สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • ​ในฤดูกาลที่แล้ว วูล์ฟแฮมป์ตัน ไม่แพ้ เชลซี เลยทั้งเกมเหย้าและเยือน (ชนะ 1 เสมอ 1)

  • การเจอครั้ง 13 ครั้งหลังสุดของทั้งสองทีมในบ้านของ วูล์ฟ ไม่เคยจบด้วยผลเสมอ (วูล์ฟ ชนะ 7 เชลซี ชนะ 6) โดยทีมสิงโตน้ำเงินคราม สามารถเอาชนะได้ถึง 5 ใน 7 ครั้งหลังสุด ส่วน ทีมหมาป่า เอาชนะได้ 2 ใน 3 ครั้งหลังสุด

  • วูล์ฟแฮมป์ตัน เป็นทีมที่เอาชนะคู่แข่งรวมทุกรายการได้มากที่สุดในบรรดาทีมจาก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ทั้งที่ในลีกยังไม่สามารถเอาชนะใครได้เลย (เสมอ 3 แพ้ 1) แต่ชนะถึง 6 เกมในถ้วย ยูโรป้า ลีก

  • วูล์ฟ เป็นทีมเดียวใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ที่ยังไม่เคยขึ้นนำคู่แข่งเลยในเกมลีกแม้แต่นาทีเดียว

  • นับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2019 เกมเยือนที่ สิงห์บลู บุกไปเอาชนะคู่แข่งได้ทั้งหมด 3 เกม เป็นการบุกไปชนะทีมน้องใหม่ทั้งหมด ขณะที่อีก 8 เกมที่เหลือ ออกไปเยือนทีมที่ไม่ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาใหม่ พวกเขาไม่ชนะเลยแม้แต่เกมเดียว (เสมอ 2 แพ้ 6)

  • ราอูล ฆิเมเนซ หัวหอกตัวความหวังของทีมหมาป่า เป็นผู้เล่นคนเดียวในฤดูกาลที่แล้วที่สามารถยิง เชลซี ได้ทั้งเกมเหย้าและเยือน

  • วูล์ฟแฮมป์ตัน เสียประตูในช่วง 15 นาทีแรก คิดเป็นสัดสวนถึง 60% ของประตูที่เสียไปทั้งหมดในฤดูกาลนี้ (3/5) ขณะที่พลพรรคสิงโตน้ำเงินคราม ทำประตูได้ในช่วงเวลานี้ 2 จากทั้งหมด 6 ประตูที่พวกเขายิงได้

รอไปก่อน ! โค้ชโกลหงส์ อัพเดทอาการเจ็บ อลิสซอน

​จอห์น อัชเตอร์เบิร์ก โค้ชผู้รักษาประตูของ ลิเวอร์พูล รองแชมป์แห่งศึก พรีเมียร์ลีก ได้ออกมาอัพเดทอาการบาดเจ็บของ อลิสซอน เบ็คเกอร์ มือหนึ่งของทีม

“ตอนนี้ส่วนใหญ่แล้ว อลิซอน จะทำงานในโรงยิมเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและรักษาระดับของความฟิตเอาไว้” อัชเตอร์เบิร์ก กล่าว

“ในสองสามวันที่ผ่ามาเขาเองก็ได้ออกมาสัมผัสสนามบ้างเพื่อซ้อมรับบอลและฟุตเวิร์คที่ยังไม่ค่อยหนักมากนัก เขาได้มีพัฒนาการที่คงที่แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนถึงจะกลับมาได้”

“เรายังคงต้องการเวลาและก็ไม่อยากจะเร่งรีบเกินไป ซึ่งก็จะมีการประเมินเป็นวันต่อไปว่าเขารู้สึกยังไงบ้างก่อนจะเอามันมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อฟื้นฟูเขาต่อไป”

เก็บตก 4 ประเด็นร้อนหลังศึก ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก : อินโดนิเซีย 0-3 ไทย

การแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบที่ 2
วันแข่งขัน วันอังคารที่ 10 กันยายน 2019
เวลาแข่งขัน 19:30 น.
ผลแข่งขัน อินโดนิเซีย 0-3 ไทย
สนาม เกลอรา บังการ์โน สเตเดียม

ประเด็นร้อนหลังเกม


1. ครึ่งแรก-ครึ่งหลัง หนังคนละม้วน

ต้องชมการแก้เกมของผู้จัดการทีมอย่าง อากิระ นิชิโนะ ที่แก้เกมรวมถึงกระตุ้นขุนพลช้างศึกให้กลับมาในครึ่งหลังพร้อมความกระหาย กล้าได้กล้าเสียที่มากกว่าเดิม จากที่ครึ่งแรกเน้นการครองบอล ไม่กล้าที่จะเปิดเกมรุกเข้าใส่อย่างเต็มตัวเท่าใดนัก ซึ่งการเปลี่ยนแนวทางการเล่นนี้ เป็นที่มาของประตูแรก ในนาทีที่ 56 และหลังจากนั้นความมั่นใจของนักเตะไทยก็ดูเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสวนทางกับเจ้าถิ่นที่ดูจะเสียรูปขบวนไปหลังจากเสียประตูแรก และเมื่อโดนลูกที่สอง ไทย ก็ครองเกมได้แทบจะ 100% จนกระทั่งจบด้วยชัยชนะอย่างขาดลอยในที่สุด

FBL-WC-2022-THA-VIE

2. แบ็คทั้ง 2 ข้างยังมีช่องโหว่

แม้เกมนี้จะจบด้วยชัยชนะอย่างท่วมท้น 3-0 แถมยังไม่เสียประตูให้ใครเลยตลอด 2 เกมที่ผ่านมา แต่หากมองดีดีจะเห็นได้ว่า พื้นที่ริมเส้นทั้ง 2 ฝั่ง เป็นจุดที่เราถูกโจมตีมากที่สุด ซึ่งต้องว่ากันตรงๆว่าทั้ง โด และ ธีราทร จุดเด่นของทั้ง 2 คนนี้อยู่ที่การเล่นเกมรุกที่ดุดัน ซึ่งมันย่อมทำให้เกมรับด้อยลงไปเมื่อแบ็คทั้งสองข้างเติมขึ้นสูง เห็นได้จากวันนี้ ผู้เล่นริมเส้นทั้ง 2 ด้านของ อินโดนิเซีย สามารถสร้างปัญหาให้เกมรับของไทยได้ในระดับหนึ่ง แม้จะไม่มาก แต่ต้องดูว่านี่คือ อินโดฯ หากต้องเจอทีมที่มีเกมรุกที่รวดเร็ว แข็งแกร่ง และ เฉียมคม กว่านี้ล่ะ รูปเกมคงไม่ออกมาในลักษณะนี้แน่ ดังนั้น ตรงนี้จึงเป็นอีกจุดที่ นิชิโนะ ควรจะรีบแก้ไขให้ได้เป็นสิ่งแรกๆ

Tristan Do,Nguyen Phong Hong Duy

3. สุภโชค สารชาติ แจ้งเกิดในนามทีมชาติอย่างเต็มตัว

ดาวรุ่งวัย 21 ปี จากสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รายนี้ โดดเด่นมาตั้งแต่เกมแรกกับเวียดนาม ถึงแม้จะพลาดลูกยิงในช่วงท้ายเกม แต่แค่นี้ก็เพียงพอจะให้เขาเป็น แมน ออฟ เดอะ แมทช์ ในเกมวันนั้น ด้วยทักษะอันยอดเยี่ยม ความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม รวมถึงการเล่นอย่างชาญฉลาด ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นมา ทั้งที่ก่อนเกมทุกคนคิดแค่ว่า เจ ชนาธิป จะโชว์ฟอร์มแบกทีมได้มากน้อยขนาดไหน แต่เมื่อได้ชมเกมกลับเป็นเจ้าหนูเบอร์ 7 ที่เปล่งประกาย จนได้รับคำสรรเสริญมากมายทั้งจากทีมงาน สื่อต่างๆ รวมไปถึงแฟนบอลทั่วทั้งประเทศ

พอมาเกมในวันนี้ เจ้าตัวพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า เขาเก่งจริง ไม่ได้ฟลุกแต่อย่างใด ด้วยการยังระเบิดฟอร์ม ยิง 2 ประตู กับอีก 1 จุดโทษ เฉิดฉายกว่าเกมแรกเสียอีก พาทีมชาติไทยเก็บ 3 คะแนนแรกในฟุตบอลโลกหนนี้ได้สำเร็จ

Supachok Sarachart

4. เจ ชนาธิป กับฟอร์มที่ไม่โดดเด่นสมความคาดหวัง

2 เกมที่ผ่านมา ต้องยอมรับจริงๆว่า เจ เล่นได้ผิดฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นมาก หากมองเผินๆอาจจะคิดได้ว่าเป็นเพราะถูกทีมคู่แข่งประกบติดจนทำอะไรยากไปหมด แต่ในความจริงนั้น จังหวะที่ควรทำได้ดี ก็กลับพลาดเสียบอลง่ายๆอยู่หลายครั้ง ทำให้หลายๆคนเกิดคำถามขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับ เดอะแบก รายนี้กันแน่

เหตุผลที่ฟอร์มของ เจ ยังไม่เข้าที่ก็มองได้หลายปัจจัย เช่น การพึ่งหายจากอาการบาดเจ็บได้ไม่นาน อาจส่งผลให้เจ้าตัวยังเล่นได้ไม่เต็ม 100 หรือจะเป็นเพราะ แผนการเล่นที่ต้องหุบไปยืนตรงกลาง ท่ามกลางผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามทำให้จะทำอะไรมันก็จะติดๆขัดๆไปหมด แต่ไม่ว่าจะสาเหตุใดก็ตาม ถ้าเป็น เจ คนเดิม เรื่องแค่นี้ก็ไม่น่าจะมาหยุดเขาได้ ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรทำคือการเรียกความมั่นใจของตัวเองกลับมาให้เร็วที่สุด เพราะไม่ว่าจะยังไง คุณก็ยังคงเป็นแข้งเบอร์ 1 ของประเทศในสายตาแฟนบอลชาวไทยทุกคนเสมอ เพราะงั้นพวกเราทุกคนจะรอคอยการกลับมาเป็น เจ คนเดิมอีกครั้งอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม

Chanathip Songkrasin