เอฟเวอร์ตัน 1-3 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกม ที่ กูดิสัน พาร์ค

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกมาคว้าชัยเหนือ เอฟเวอร์ตัน 1-3 โดยทีมเยือนได้ประตูจาก กาเบรียล เชซุส ในนาทีที่ 24 ริยาด มาห์เรซ นาทีที่ 71 และ ราฮีม สเตอร์ลิง ในนาทีที่ 84 ส่วนเจ้าถิ่นได้หนึ่งประตูตั้งแต่ในช่วงครึ่งแรก จาก โดมินิค คาลเวิร์ต-เลวิน ในนาทีที่ 33 จบเกม แมนฯ ซิตี้ บุกมาคว้า 3 คะแนนได้ถึงถิ่น กูดิสัน พาร์ค 1-3

Riyad Mahrez

เริ่มเกมในครึ่งแรก เป็นฝ่ายทีมเยือนที่ครองบอลบุกเข้าใส่ แต่เจ้าถิ่นก็ยังตั้งรับได้อย่างเหนียวแน่น แถมมีลูกสวนกลับที่หวังผลได้ตอบโต้อยู่ตลอด

จนกระทั่งนาทีที่ 24 เรือใบสีฟ้า ขึ้นนำก่อนจากจังหวะเปิดของ เดอ บรอยน์ เจ้าเก่า ไปให้ เชซุส โหม่งจ่อ ๆ เข้าไป ทีมเยือนขึ้นนำ 1-0

จากนั้นไม่นาน นาทีที่ 33 เจ้าถิ่นมาได้ประตูตีเสมอ จากการสวนกลับ นักเตะ เอฟเวอร์ตัน ทำชิ่งเข้าเขตโทษ โคลแมน ยกบอลข้ามตัว เอแดร์ซอน และเป็น คาลเวิร์ต-เลวิน ซ้ำตามน้ำเข้าไป

ช่วงเวลาที่เหลือทำอะไรกันไม่ได้ จบ 45 นาทีแรก เสมอกันอยู่ 1-1

Dominic Calvert-Lewin,Rodrigo

เริ่มเกมในครึ่งหลังทั้งสองทีมยังคงเปิดเกมบุกหวังทำประตูให้ได้ โดยเป็น ซิตี้ ที่ทำได้ดีกว่า ได้ประตูออกนำเป็น 1-2 ในนาทีที่ 71 จากลูกฟรีคิกของ มาห์เรซ ปั่นเข้าเสาไกลสุดสวยให้ทีมขึ้นนำอีกครั้ง

นาทีที่ 84 แมนฯ ซิตี้ นำห่าง 1-3 จากจังหวะยิงของ อเกวโร ที่ไปติดเซฟของ พิตฟอร์ด ก่อนจะเป็น สเตอร์ลิง เข้ามาซ้ำเข้าไป

จากนั้นทั้งสองฝ่ายยิงประตูกันเพิ่มไม่ได้ จบ 90 นาที เรือใบ บุกมาอัด ท็อฟฟี 1-3 เก็บ 3 คะแนนได้ถึง กูดิสัน พาร์ค

Raheem Sterling

ประเด็นร้อนหลังเกม


อนาคตของ มาร์โก ซิลวา

ความพ่ายแพ้ในนัดนี้ทำให้ เอฟเวอร์ตัน แพ้ในเกมลีก 3 นัดรวด และเป็นการแพ้ 4 จาก 7 เกมตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา หล่นลงมาอยู่อันดับที่ 15 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาใช้เงินกว่า 100 ล้านปอนด์ ซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเพื่อหวังสอดแทรกเข้าสู่พื้นที่ยุโรปให้ได้ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ คงเป็นงานที่หนักหนาอย่างยิ่งของพลพรรคเดอะท็อฟฟี ที่จะไต่อันดับขึ้นไปอยู่ 7 อันดับแรกเมื่อเสร็จสิ้นฤดูกาล

ซึ่งหนึ่งในคนที่จะถูกโยนความผิดไปให้เป็นคนแรกก็หนีไม่พ้น มาร์โก ซิลวา กุนซือชาวโปรตุกีสของทีมนั่นเอง ที่ทำทีมดิ่งลงเหวด้วยการพาทีมชนะแค่ 2 จากทั้งหมด 7 เกมในฤดูกาลนี้ อีกทั้งรูปแบบการเล่นก็ดูจะยังไม่เข้าที่เข้าทางสักเท่าใดนัก ยังหา 11 ผู้เล่นที่เหมาะกับเทคติกไม่ได้เสียที แน่นอนว่าจากผลงานอันยอดแย่นี้ ทำให้เขากลายมาเป็นตัวเต็งอันดับต้น ๆ ที่จะถูกปลดก่อนใครเพื่อนเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทางเดียวที่จะรักษาเก้าอี้กุนซือเอาไว้ได้ก็คือ 3 คะแนน ในเกมต่อ ๆ ไป ทางเดียวเท่านั้น

Marco Silva

คะแนนนักเตะ แมนฯ ซิตี้


11 ผู้เล่นตัวจริง : เอแดร์ซอน (8), วอล์คเกอร์ (6.5), แฟร์นันดินโญ (7), โอตาเมนดี้ (6.5), ซินเชนโก้ (7), โรดรี (7), เดอ บรอยน์ (7.5), กุนโดกัน (6.5), สเตอร์ลิง (7), มาห์เรซ (8.5)*, เชซุส (7)

ตัวสำรอง : แบร์นาโด้ (6), ซิลบา (6), อเกวโร (6.5)


คีย์แมน – ริยาด มาห์เรซ


เกมนัดนี้ถือเป็นเกมที่ปีกชาวแอลจีเรีย กลับมาท็อปฟอร์มได้อีกวันหนึ่ง ด้วยทักษะการกระชากลากเลื้อย รวมถึงวิสัยทัศน์ในการจ่ายบอล การสร้างสรรค์เกม วันนี้ถือว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งยังมีฟรีคิกสุดสวยที่ยิงเสียบเสาเข้าไปอีกหนึ่งประตู เป็นเครื่องการันตีฟอร์มการเล่นในชั่วโมงนี้ของเขาได้เป็นอย่างดี

ซึ่งปกติแล้ว มาห์เรซ มักจะไม่ใช่ตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา แต่ชั่วโมงนี้เขาคือผู้เล่นริมเส้นอันดับหนึ่งของทีมไปเรียบร้อยแล้ว ต้องมาติดตามดูกันต่อไปว่า เขาจะรักษาฟอร์มการอันอันสุดยอดนี้ต่อไปได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าเราจะได้เห็น ริยาด มาห์เรซ คนเดิมที่เป็นจอมถล่มประตูเหมือนสมัยที่พา เลสเตอร์ คว้าแชมป์พรีเมีย์ลีก อีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้

Riyad Mahrez

เอฟเวอร์ตัน vs แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


เอฟเวอร์ตัน

กลายเป็นกุนซือที่เก้าอี้ร้อนที่สุดคนหนึ่งใน พรีเมียร์ลีก ไปแล้ว สำหรับ มาร์โก ซิลวา ที่คุมทีมแพ้ในเกมลีก 3 จาก 4 เกมล่าสุด โดยสัปดาห์ก่อนพวกเขาเล่นในบ้านแต่กลับถูกน้องใหม่อย่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด บุกมาตบถึงถิ่น 0-2 ในวันเสาร์นี้พลพรรคเดอะท็อฟฟี จะได้เล่นใน กูดิสัน พาร์ค อีกครั้ง แต่จะเป็นงานหนักสุด ๆ เพราะต้องต้อนรับการมาเยือนของแชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หากพวกเขายังคงไร้แต้มติดมือแพ้ในลีก 3 เกมรวดอีกละก็ เป็นไปได้ว่าชื่อของ ซิลวา จะพุ่งขึ้นสู่อันดับที่ 1 ในรายชื่อกุนซือที่จะโดนปลดก่อนใครเพื่อนอย่างแน่นอน

สภาพความพร้อมของทีม จะยังไม่สามารถใช้งาน ฌอง-ฟิลิปป์ บาแม็ง และ อังเดร โกเมส ที่ยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บ ส่วนตัวหลักอื่น ๆ พร้อมลงสนามทั้งหมด

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-2-3-1

ผู้รักษาประตู พิคฟอร์ด
กองหลัง โคลแมน, คีน, มินา, ดีญ
กองกลาง ชไนเดอร์ลิน, เดลฟ์, ริชาร์ลิซอน, ซิเกิร์ดส์สัน, แบร์นาร์ด
กองหน้า คาลเวิร์ต-เลวิน

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ทัพเรือใบสีฟ้า กำลังเครื่องร้อนแบบสุด ๆ หลัง 2 เกมหลัง ยิงรวมกันได้ถึง 11 ประตู แถมไม่เสียเลยแม้แต่ประตูเดียว แม้ว่าทีมจะมีปัญหาผู้เล่นในเกมรับบาดเจ็บหลายรายก็ตาม โดยสัปดาห์นี้พวกเขาต้องบุกไปเยือนถิ่น กูดิสัน พาร์ค ที่ ณ เวลานี้เจ้าถิ่นฟอร์มกำลังอยู่ในช่วงขาลง จึงไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับ 3 คะแนนในเกมนี้ คาดว่ากุนซือ เป็ป กวาร์ดิโอลา จะกลับมาใช้ผู้เล่นตัวหลักออกสตาร์ทเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงอีกครั้งหลักจากได้พักให้ผู้เล่นสำรองลงเล่นในเกม คาราบาวคัพ กลางสัปดาห์

สภาพของทีมของ เป็ป จะยังขาดเซ็นเตอร์แบคธรรมชาติไปถึง 2 ราย นั่นคือ ไอเมอริค ลาปอร์ต และ จอห์น สโตนส์ ที่ยังต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บ จึงต้องให้ แฟร์นานดินโญ ลงมาประจำการแทนเช่นเคย ส่วนรายของ เลรอย ซาเน ที่เจ็บยาวมาตั้งแต่เกม คอมมูนิตี้ ชิลด์ ก็ยังคงลงสนามไม่ได้เช่นกัน

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู เอแดร์ซอน
กองหลัง วอล์คเกอร์, โอตาเมนดี้, แฟร์นานดินโญ, ซินเชนโก้
กองกลาง เดอ บรอยน์, โรดรี, ซิลบา
กองหน้า อเกวโร, มาห์เรซ, แบร์นาโด

 


ผลงาน 5 นัดหลังสุด


เอฟเวอร์ตัน (ชนะ 3 เสมอ 0 แพ้ 2)

25 ก.ย. EFL เชฟฯ เวนส์เดย์ 0-2 เอฟเวอร์ตัน
21 ก.ย. PL เอฟเวอร์ตัน 0-2 เชพฯ ยูไนเต็ด
15 ก.ย. PL บอร์นมัธ 3-1 เอฟเวอร์ตัน
1 ก.ย. PL เอฟเวอร์ตัน 3-2 วูล์ฟ
29 ส.ค. EFL ลินคอล์น 2-4 เอฟเวอร์ตัน

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (ชนะ 4 เสมอ 0 แพ้ 1)

25 ก.ย. EFL เปรสตัน 0-3 แมนฯ ซิตี้
21 ก.ย. PL แมนฯ ซิตี้ 8-0 วัตฟอร์ด
19 ก.ย. UCL ชัคตาร์ 0-3 แมนฯ ซิตี้
14 ก.ย. PL นอริช 2-3 แมนฯ ซิตี้
31 ส.ค. PL แมนฯ ซิตี้ 4-0 ไบร์ทตัน

เฮดทูเฮด (เอฟเวอร์ตัน ชนะ 1 เสมอ 1 แมนฯ ซิตี้ ชนะ 3)

7/02/19 PL เอฟเวอร์ตัน 0-2 แมนฯ ซิตี้
15/12/18 PL แมนฯ ซิตี้ 3-1 เอฟเวอร์ตัน
31/03/18 PL เอฟเวอร์ตัน 1-3 แมนฯ ซิตี้
22/08/17 PL แมนฯ ซิตี้ 1-1 เอฟเวอร์ตัน
15/01/17 PL เอฟเวอร์ตัน 4-0 แมนฯ ซิตี้

*PL = พรีเมียร์ลีก / UCL = ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก / EFL = คาราบาวคัพ 


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • ​เอฟเวอร์ตัน เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้เพียงครั้งเดียวจาก 12 เกมล่าสุดที่เจอกัน (ชนะ 1 เสมอ 4 แพ้ 7) โดยเป็นการเอาชนะไปได้ 4-0 ที่ กูดิสัน พาร์ค แห่งนี้เมื่อเดือน มกราคม ปี 2017

  • เรือใบสีฟ้ากำลังจะทำสถิติเอาชนะ ท็อฟฟี ได้ 4 เกมติดกันเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 1972 หากพวกเขาสามารถเอาชนะได้ในเกมนี้

  • แชมป์เก่าจากแมนเชสเตอร์ ยิงไปแล้วทั้งสิ้น 24 ประตู จาก 6 เกมแรกในซีซั่นนี้ โดยทีมที่เคยทำได้มากกว่าในหกเกมแรกมีเพียง วูล์ฟแฮมป์ตัน (25 ประตู) ในฤดูกาล 1955/56

  • ภายใต้การคุมทีมของ มาร์โก ซิลวา เอฟเวอร์ตัน เก็บได้เพียง 4 คะแนนจาก 21 เกม ที่พวกเขาโดนคู่แข่งนำก่อน และไม่มีเกมใดเลยที่พลิกกลับมาเอาชนะได้ (ชนะ 0 เสมอ 4 แพ้ 17)

  • แมนฯ ซิตี้ ทำประตูในเกมลีกมาได้ 28 เกมติดต่อกันแล้วในขณะนี้ มีเพียง 2 ทีมที่เคยทำได้มากกว่าคือ อาร์เซนอล 55 เกมในปี 2001-2002 และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 36 เกมในที่ 2008

  • เซร์คิโอ อเกวโร ทำประตูในเกมลีกไปแล้ว 7 เกมติดต่อกัน ซึ่งขณะนี้มีนักเตะเพียง 3 คนเท่านั้นที่เคยยิงประตูในลีกติดต่อกันมากกว่า 7 นัด คือ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ 8 เกม, รุด ฟาน นิสเตลรอย 10 เกม และ เจมี วาร์ดี้ 11 เกมติดต่อกัน

  • ดาบิด ซิลวา ลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก ไปแล้วกว่า 288 เกม ชนะไปแล้วทั้งสิน 199 เกม ถ้านัดนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถบุกมาเอาชนะได้ กองกลางชาวกระทิงดุรายนี้จะกลายเป็นผู้เล่นคนที่ 26 ที่สามารถเก็บชัยชนะใน พรีเมียร์ลีก ได้ถึง 200 นัด แต่เขาจะเป็นคนที่ทำได้เร็วที่สุดในบรรดาทั้งหมด 26 คน (เดิม จอห์น เทอร์รี ทำได้เร็วที่สุด 305 เกม)

เชลซี vs ไบรท์ตัน : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด

การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน วันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2019
เวลาแข่งขัน 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน เชลซี vs ไบรท์ตัน
สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์
ถ่ายทอดสด True Premier Football HD 1

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


เชลซี

พลพรรคสิงโตน้ำเงินคราม กำลังอยู่ในช่วงมั่นใจสุด ๆ หลังเปิดบ้านเอาชนะ กริมส์บี ทาวน์ ได้อย่างท่วมท้น 7-1 ในศึก คาราบาวคัพ เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา และเป็นชัยชนะในบ้านนัดแรกของกุนซือคนใหม่อย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด อีกด้วย โดยสัปดาห์นี้พวกเขาจะได้เล่นในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกครั้งต้อนรับการมาเยือนของ ไบรท์ตัน ที่ไม่ชนะใครเลยในลีก 5 เกมหลังสุด ทำให้เกมนี้จึงไม้น่าจะเป็นงานยากของทัพสิงห์บลูที่ฟอร์มกำลังร้อนแรงอย่างยิ่งในชั่วโมงนี้

สภาพทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะยังไม่สามารถใช้งาน รูเบน ลอฟตัส-ชีค, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และ เอเมอร์สัน ได้เนื่องจากทั้งสามคนยังมีอาการบาดเจ็บรบกวน แต่จะได้ คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย, อันเดรส คริสเตนเซน และ รีซ เจมส์ กลับมามาชื่อในทีมอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อาร์ริซาบาลากา
กองหลัง อัซปิลิกวยต้า, ซูมา, โทโมริ, อลอนโซ
กองกลาง ก็องเต้, จอร์จินโญ, โควาชิช
กองหน้า เมานท์, อับราฮัม, วิลเลียน

ไบรท์ตัน

ทีมนกนางนวล ตอนนี้ฟอร์มในลีกไม่ชนะใครมาแล้ว 5 เกมติดต่อกัน แถมพึ่งจะตกรอบในถ้วย คาราบาวคัพ ไปเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เกมวันเสาร์นี้พวกเขาต้องบุกไปเยือน เชลซี ที่ฟอร์มกำลังเข้าฝัก จึงเป็นงานหินสุด ๆ สำหรับกุนซือ ‎เกรแฮม พ็อตเตอร์ แต่แน่นอนว่าเจ้าถิ่นเองก็ยังมีปัญหาในเกมรับที่ยังเสียประตูทุกนัดที่ลงเล่น ดังนั้นหากพวกเขาสามารถป้องกันเกมรุกของสิงห์บลู เอาไว้ได้ แล้วหาจังหวะเล่นเกมสวนกลับ ก็ยังพอมีโอกาสมีแต้มติดมือกลับบ้านไปได้

ผู้มาเยือนมีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บหลายรายไม่ว่าจะเป็น โชเซ อิซเกวร์โด้, เอเซเคียล เชล็อตโต้, เลอันโดร ทรอสซาร์ด, อลิเรซา ยาฮานบาคช์ แต่จะได้ โซลลี มาร์ช และ แบร์นาโด้ ที่พึ่งหายเจ็บกลับมามีชื่อกับทีม ซึ่งต้องดูความพร้อมก่อนเกมว่าทั้งสองจะฟิตพร้อมลงสนามหรือไม่

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 3-4-3

ผู้รักษาประตู ไรอัน
กองหลัง เว็บสเตอร์, ดังค์, เบิร์น
กองกลาง มอนโตยา, พร็อพเพอร์, สตีเฟนส์, อัลเซเต้
กองหน้า กรอสส์, เมาปาย, มอย

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


ผลงาน 5 นัดหลังสุดเชลซี (ชนะ 2 เสมอ แพ้ 2)

26 ก.ย. EFL เชลซี 7-1 กริมส์บี
22 ก.ย. PL เชลซี 1-2 ลิเวอร์พูล
18 ก.ย. UCL เชลซี 0-1 บาเลนเซีย
14 ก.ย. PL วูล์ฟ 2-5 เชลซี
31 ก.ย. PL เชลซี 2-2 เชฟฯ ยูไนเต็ด

ไบรท์ตัน (ชนะ 1 เสมอ แพ้ 2)

26 ก.ย. EFL ไบรท์ตัน 1-3 แอสตันวิลลา
22 ก.ย. PL นิวคาสเซิล 0-0 ไบรท์ตัน
18 ก.ย. PL ไบรท์ตัน 1-1 เบิร์นลีย์
14 ก.ย. PL แมนฯ ซิตี้ 4-0 ไบรท์ตัน
31 ก.ย. EFL บริสตอล 1-2 ไบรท์ตัน

เฮดทูเฮด (เชลซี ชนะ เสมอ 0 ไบรท์ตัน ชนะ 1)

4/04/19 PL เชลซี 3-0 ไบรท์ตัน
16/02/18 PL ไบรท์ตัน 1-2 เชลซี
20/01/18 PL ไบรท์ตัน 0-4 เชลซี
26/12/17 PL เชลซี 2-0 ไบรท์ตัน
4/08/12 FL ไบรท์ตัน 3-1 เชลซี

*PL = พรีเมียร์ลีก / UCL = ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก / EFL = คาราบาวคัพ / FL = กระชับมิตร

สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • ตั้งแต่ทั้งสองทีมนี้เคยพบกันมาใน พรีเมียร์ลีก ทั้งหมด 4 เกม เชลซี เป็นฝ่ายเอาชนะได้ทั้งหมด โดยยิงได้ 11 ประตู เสียเพียง 1 ประตูเท่านั้น

  • ไบรท์ตัน สร้างโอกาสทำประตูได้ทั้งหมด 11 ครั้ง ในสองเกมที่เคยบุกมาเยือนถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยเป็นการยิงเข้ากรอบเพียง 2 ครั้ง และทั้งสองครั้งไม่เป็นประตู

  • ตั้งแต่ทีมนกนางนวล ขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดในปี 2017 พวกเข้าเก็บได้เพียง 1 คะแนน จากการบุกไปเยือนทีมบิ๊ก 6 ทั้งหมด 13 เกม (ชนะ 0 เสมอ 1 แพ้ 12)

  • ฤดูกาลนี้ทีมสิงโตน้ำเงินคราม เสียประตูไปแล้ว 13 ลูกจาก 6 เกมที่ผ่านมา และยังไม่มีเกมไหนเลยที่พวกเขาสามารถรักษาคลีนชีทเอาไว้ได้ ซึ่งหากย้อนกลับไปปีล่าสุดที่พวกเขาเสียประตูตลอด 7 เกมแรกของฤดูกาล ต้องย้อนกลับไปในปี 1990/91 เลยทีเดียว

  • สิงห์บลู ยังไม่ชนะเกมลีกในบ้านเลยตั้งแต่เริ่มต้นซีซั่น (เสมอ 2 แพ้ 1) ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาไม่ชนะในบ้าน 4 เกมแรกของฤดูกาล ต้องย้อนกลับไปในปี 1986/87

  • ไบรท์ตัน ไม่สามารถทำประตูในเกมเยือน 5 นัด จาก 7 เกมหลังสุด และหากนับตั้งแต่ที่พวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมาในปี 2017 ทีมนกนางนวลทำประตูในเกมเยือนไม่ได้ทั้งหมด 22 นัด มีเพียง ฮัดเดอร์ฟิลด์ ทีมเดียวเท่านั้นที่ทำประตูไม่ได้ในเกมเยือนมากกว่าพวกเขา (23 เกม)

  • หาก เชลซี ไม่ชนะในเกมนี้ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะกลายเป็นกุนซือคนที่สองในประวัติศาสตร์สโมสรที่คุมทีมไม่ชนะในบ้าน 4 เกมแรกในการคุมทีมต่อจาก บ็อบบี้ แคมป์เบลล์ ในปี 1988

  • แทมมี อับราฮัม ทำไปแล้ว 7 ประตูจากการลงสนามในลีก 4 เกมล่าสุด และหากนับตั้งแต่เริ่มอาชีพค้าแข้งมา ไบรท์ตัน เป็นทีมที่เขาเจอบ่อยที่สุด (4 นัด) แต่ยังไม่เคยทำประตูได้เลย​แม้แต่ลูกเดียว

สิงห์ดวลผี-หงส์ฟัดปืน ! สรุปผลการจับสลากประกบคู่ คาราบาว คัพ รอบ 16 ทีม

ฟุตบอลคาราบาว คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ผลการจับสลากประกบคู่เรียบร้อยโดยมีบิ๊กแมตช์ของทีมจากศึก ​ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ โคจรมาพบกันเองทั้ง ​เชลซี ปะทะ ​แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ​ลิเวอร์พูล ดวลกับ ​อาร์เซนอล

โดยการประกบคู่ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่สิ้นสุดการแข่งขันในรอบ 32 ทีมสุดท้ายที่ สิงห์บลู ถล่มเอาชนะ กริมส์บี ทาวน์ มาได้ด้วยสกอร์ 7-1 ขณะที่ ปีศาจแดง เอาชนะในการดวลลูกจุดโทษ โรชเดล 5-3 หลังเสมอในเวลา 1-1 และ หงส์แดง บุกไปเขี่ย เอ็มเค ดอนส์ ด้วยสกอร์ 2-0 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

สรุปผลการประกบคู่ คาราบาว คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย

เอฟเวอร์ตัน vs วัตฟอร์ด

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs เซาแธมป์ตัน

ครอว์ลีย์ ทาวน์ vs โตลเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด vs ซันเดอร์แลนด์

แอสตัน วิลลา vs วูล์ฟส

เบอร์ตัน อัลเบี้ยน vs เลสเตอร์ ซิตี้

เชลซี vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ลิเวอร์พูล vs อาร์เซนอล

อาร์เซนอล 5-0 น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ : มาร์ติเนลลี เบิ้ลพา ปืนใหญ่ ฉลุย คาราบาว คัพ

ฟุตบอล คาราบาว คัพ รอบที่ 3 2019/20

คืนวันอังคารที่ 25 กันยายน 2019

​อาร์เซนอล 5-0 น็อตติงแฮม ฟอเรสต์

สนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม


อาร์เซนอล เปิดรัง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ถลุงเอาชนะ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ จากลีก แชมเปี้ยนชิพ ขาดลอย 5-0  ในศึก คาราบาว คัพ รอบที่ 3 จาก 2 ประตูของ กาเบรียล มาร์ติเนลลี, ร็อบ โฮลดิ้ง, โจ วิลล็อค และ รีสส์ เนลสัน โดยที่ คาลัม แชมเบอร์ส ทำแฮตทริคแอสซิสต์ได้ในเกมนี้

FBL-ENG-LCUP-ARSENAL-NOTTS FOREST

ไอ้ปืนใหญ่ ประเดิมได้ประตูเบิกร่องตั้งแต่นาทีที่ 31 จากจังหวะที่ คาลัม แชมเบอร์ส สอดเติมขึ้นไปทางกราบขวาก่อนเปิดบอลจังหวะเดียวให้กับ กาเบรียล มาร์ติเนลลี โขกผ่านมือนายทวารทีมเยือนตุงตาข่าย

เดอะกันเนอร์ส รัวยิงในครึ่งหลัง 4 ปรตูรวดไล่ตั้งแต่ ร็อบ โฮลดิ้ง ขึ้นโขกกดลงพื้นเป็นประตูในนาทีที่ 71, โจ วิลล็อค ในนาทีที่ 77, รีสส์ เนลสัน นาทีที่ 84 ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยประตูที่ 2 ของ มาร์ติเนลลี จากการยิงไกลในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ


ประเด็นหลังเกม อาร์เซนอล

Kieran Tierney,Joe Lolley

อูไน เอเมรี จัดทีมชุดผสมในเกมนี้โดยมีคีย์แมนอย่าง ชโครดาน มุสตาฟี, ลูคัส ตอร์เรย์รา และ เมซุต เออซิล เป็นกระดูกสันหลังของทีมพร้อมกับการประเดิมสนามของ คีแรน เทียร์นีย์ ในตำแหน่งแบ็คซ้าย, โจ วิลล็อค ประจำการที่แดนกลางและ เอมิล สมิธ โรว์, รีสส์ เนลสัน กับ กาเบรียล มาร์ติเนลลี ออกสตาร์ท

บรรดาแข้งดาวรุ่งของ ไอ้ปืนใหญ่ ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมต่อเนื่องโดยเฉาะ มาร์ติเนลลี ที่ซัลโว 2 ประตูในเกมนี้แถมยังมีชื่อของ วิลล็อค กับ เนลสัน บนสกอร์บอร์ด

นอกจากนั้นนักเตะใหม่อย่าง เทียร์นีย์ ยังได้เดบิวต์ประเดิมสนามต่อหน้าแฟนบอล เดอะกันเนอร์ส ที่รังเหย้าของตนเองพร้อมกับการคัมแบ็คในฐานะตัวสำรองในช่วงท้ายเกมของ เอคตอร์ เบเยริน อีกด้วย


คะแนนนักเตะ อาร์เซนอล

11 ผู้เล่นตัวจริงมาร์ติเนซ (5), แชมเบอร์ส (8), มุสตาฟี (6), โฮลดิ้ง (7), เทียร์นีย์ (8), ตอร์เรย์รา (6), วิลล็อค (8), สมิธ โรว์ (6), เออซิล (7), เนลสัน (8), มาร์ติเนลลี (8)

ตัวสำรอง ซาก้า (7), เซบาญอส (6), เบเยริน (6)

ขุนพล-แม่ทัพ ลิเวอร์พูล พาเหรดรับรางวัลยอดเยี่ยม ! คล็อปป์, อลิสซอน และ VVD ซิวเกียรติยศจาก ฟีฟ่า

เยอร์เก้น คล็อปป, อลิสซอน เบ็คเกอร์ และ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ผู้จัดการทีม, ผู้รักษาประตู และเซ็นเตอร์เตอร์แบ็คสังกัด ​สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล แห่งศึก ​ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ตบเท้าเข้ารับรางวัลยอดเยี่ยมแห่งปี 2019 โดย ฟีฟ่า จากการประกาศที่เมือง มิลาน ประเทศ อิตาลี เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 23 กันยายน

ทั้ง 3  คนนับว่าเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ หงส์แดง ประสบความสำเร็จในฤดูกาลที่ผ่านมาโดยเฉพาะการเถลิงบัลลังก์คว้าแชมป์ ​ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองเป็นสมัยที่ 6 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร

โดย คล็อปป์ ผู้ซิวรางวัลโค้ชชายยอดเยี่ยมแห่งปี 2019 ของ ฟีฟ่า ได้รับการเกียรติยศดังกล่าวเฉือนแคนดิเคทอย่าง เป๊บ กวาร์ดิโอลา ผู้จัดการทีม ​สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน นายใหญ่ ​สโมสรฟุตบอลท็อตแนม ฮอตสเปอร์

“ผมอยากที่จะขอบคุณสโมสร ลิเวอร์พูล อันยอดเยี่ยมที่หากจะมีใครไม่รักสโมสรแห่งนี้ก็คงจะเป็นคนไม่มีหัวใจเป็นแน่” คล็อปป์ กล่าวหลังได้รับเกียรติยศเชิดชูเกียรติ “แด่เจ้าของสโมสรผู้ซึ่งมอบทีมที่อัศจรรย์ให้กับผม และผมขอขอบคุณทีมของผมด้วยเพราะว่าในฐานะโค้ชแล้วการมีนักเตะที่ดีจะยิ่งทำให้คุณเป็นโค้ชที่ดีด้วย ผมภูมิใจกับการได้เป็นผู้จัดการทีมของเหล่าแข้งมหัศจรรย์เหล่านี้”

ขณะที่ อลิสซอน เบ็คเกอร์ มือกาว หงส์แดง คว้ารางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมแห่งปีพ่วงด้วยการมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีร่วมกับ ฟาน ไดค์ โดย เซ็นเตอร์แบ็คชาว ดัตช์ ยังมีคะแนนโหวดในสาขานักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 เหนือ ​คริสเตียโน โรนัลโด้ และเป็นรองเพียงแค่ ​ลิโอเนล เมสซี ที่คว้ารางวัลดังกล่าวไปครองเท่านั้น

ส่วนรางวัลโค้ชทีมหญิงยอดเยี่ยมตกเป็นของ จิล เอลลิส กุนซือทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติ สหรัฐอเมริกา ที่พาทีมคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลกหญิง 2019 ส่วนรางวัลผู้รักษาประตูหญิงยอดเยี่ยมเป็นของ ซารี ฟาน วีเนนดาล มือกาวชาว ดัตช์ จากทีมหญิงของ แอตเลติโก มาดริด ที่พาทัพสาว กังหันลม กรุยทางสู่รอบรองชนะเลิศใน ฟุตบอลโลกหญิง ซัมเมอร์ที่ผ่านมา

เจ๋งสุดในโลก ! เมสซี เบียด ฟาน ไดค์-โรนัลโด้ ซิวรางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยม 2019 จาก ฟีฟ่า

​ลิโอเนล เมสซี สตาร์จาก บาร์เซโลนา คว้ารางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยมในปี 2019 จากการประกาศผลของ ฟีฟ่า ที่เมือง มิลาน ประเทศ อิตาลี

โดย เมสซี เบียดนักเตะอย่าง ​คริสเตียโน โรนัลโด้ ดาวเตะจาก ยูเวนตุส และ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ เซ็นเตอร์แบ็คจาก ​ลิเวอร์พูล คว้าเกียรติยศดังกล่าว

ผลงานจากการพาทัพ อาซูลกรานา ซิวแชมป์ ลา ลีกา 2018/19 และกรุยทางสู่รอบรองชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทำให้แข้งชาว อาร์เจนตินา คว้ารางวัลดังกล่าวเป็นสมัยที่  6 ต่อจากปี 2009, 2010, 2011, 2012 และ 2015

โดยแข้งวัย 32 ปีมีคะแนนจากผลโหวตนำโด่งที่ 46 คะแนน ตามมาด้วย ฟาน ไดค์ ในอันดับที่ 2 กับ 38 คะแนน และ โรนัลโด้ ในอันอับที่ 3 ที่ 36 คะแนน

ทั้งนี้ รางวัลนักฟุตบอลหญิงยอดเยี่ยมตกเป็นของ เมแกน ราปิโน แข้งทีมชาติ สหรัฐอเมริกา ที่พาทัพสาว มะกัน ซิวแชมป์ฟุตบอลโลกหญิง 2019 ได้สำเร็จเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา

เชลซี 1-2 ลิเวอร์พูล : 6 ประเด็นที่เราเรียนรู้หลังศึก พรีเมียร์ลีก ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์

6. รูปเกมที่วูบวาบแต่ไม่ชนะ (อีกแล้ว)

คำนี้คงจะดูเป็นเรื่องปกติสำหรับทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ในซีซั่นนี้ไปซะแล้ว เพราะแทบจะทุกเกม ลูกทีมของเขาจะครองบอลบุกเข้าใส่คู่แข่งได้ตลอด เน้นการครองบอล มีรูปแบบการเข้าทำที่หลากหลาย สวยงาม สร้างสรรค์จังหวะเข้าทำมากมายหลายครั้ง ขาดก็แต่เพียง “สกอร์” ที่ต้องมากกว่าคู่แข่งอยู่เสมอ ๆ ยิ่งวันไหนที่ผู้เล่นในแนวรุกอย่างเช่น อับราฮัม เมานท์ หรือแม้แต่ วิลเลียน พร้อมใจกันฟอร์มตกดังเช่นวันนี้ ทีมก็ต้องจำใจพ่ายแพ้ไปชนิดที่ว่ารูปเกมอาจจะดีกว่า แต่ผลการแข่งขันที่ออกมามันช่างสวนทางกับรูปเกมอีกเช่นเคย

5. เสียประตูในทุกเกมที่ลงทำการแข่งขัน

ตั้งแต่เริ่มฤดูกาลใหม่มานี้ สิงโตน้ำเงินคราม มีสถิติที่ไม่น่ายินดีปรีดาเท่าใดนัก นั่นคือ เสียประตูทุกเกมที่ลงสนาม โดยเฉพาะในลีก 4 เกมหลังเสียไปถึงนัดละ 2 ประตู ซึ่งยังดีที่หลาย ๆ เกมที่ผ่านมาได้อานิสงส์ของเกมรุกที่ดียิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ในวันที่แนวรุกฟอร์มตกไม่สามารถทำประตูได้ เกมรับกลับยังเสียประตูอย่างต่อเนื่องคงเส้นคงวาซะเหลือเกิน ทำให้ทีมต้องจำใจยอมรับความพ่ายแพ้ไปตามระเบียบ เช่นในเกมวันนี้ หรือแม้แต่เกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดกลางสัปดาห์ที่เปิดบ้านถูก บาเลนเซีย บุกมาเชือดถึงถิ่น 0-1

4. รูปแบบการเล่นของ สิงโตน้ำเงินคราม

แม้ผลงานของ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะยังไม่สม่ำเสมอคงเส้นคงวาเท่าใดนัก แต่สิ่งที่เราเห็นได้ชัดอย่างหนึ่งหลังจาก แลมพ์ เข้ามาทำทีมคือ เชลซีมีรูปแบบการเล่นที่เน้นความหลากหลายสวยงามมากขึ้น เล่นเอนเตอร์เทนแฟน ๆ ครองเกม และเปิดบุกเข้าใส่คู่แข่งอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งที่กุนซือเมืองผู้ดีรายนี้ สั่งให้ลูกทีมปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอทุกครั้งที่ลงสนาม แม้จะมีวันที่โชคร้ายหรือผลการแข่งขันไม่เป็นใจบ้าง แต่เขาก็ยังคงทำตามแนวทางของตัวเองอย่างต่อเนื่องเสมอมา

ซึ่งข้อดีตรงนี้ทำให้ อดีตกุนซือดาร์บี้ ยังสามารถเอาชนะใจแฟนบอลสิงห์บลูได้ แม้ผลงานจะขัดกับความคาดหวังของเหล่าสาวกเดอะบลูอยู่บ้างก็ตาม แต่แน่นอนว่าเกมฟุตบอลผลการแข่งขันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเสมอ ตอนนี้แฟน ๆ อาจจะยังสนับสนุนเขาอยู่ แต่ถ้าต่อไปผลงานยังไม่มีการปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซูเปอร์แฟรงค์ ก็คงไม่ต่างกับผู้จัดการทีมเชลซีคนอื่น ๆ ที่คงต้องจากไปก่อนเวลาอันควรอย่างจริงแท้แน่นอน

3. วันที่ฟูลแบ็ค หงส์แดง เป็นพระเอก

แม้ หงส์แดง จะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในเกมนี้แต่จังหวะสุดท้ายของ 2 แข้งริมเส้นที่แดนหน้าอย่าง ซาดิโอ มาเน กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไม่ลงล็อคอย่างเคยแม้ว่าจะมีช็อตกระชากลากเลื้อยสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับของ สิงห์บลู ให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เด็ดขาดกับลูกฟรีคิกที่หน้ากรอบเขตโทษของเจ้าบ้านอันเป็นประตูเบิกร่องของ เร้ดแมชีน ตั้งแต่ช่วงต้นเกม ก่อนที่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน จะเปิดจากริมเส้นไปที่จุดนับพบบนเส้นกรอบ 6 หลาให้ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน ขึ้นโหม่งอย่างเด็ดดวง

ทั้ง เทรนท์ และ ร็อบโบ้ ยังทำหน้าที่ในเกมรับได้น่าพอใจเมื่อสามารถดักเก็บ วิลเลียน และ เมสัน เมานท์ ได้อยู่หมัด

2. ฟาบินโญ ปิดทองหลังพระ

กองกลางชาว บราซิล รับบทบาทโฮลดิ้งมิดฟิลด์และกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการเริ่มต้นเกมรุกของ สิงห์บลู เทคนิคของเจ้าตัวยังทำให้เกมของ หงส์แดง มีความหลากหลายยิ่งขึ้นเมื่อเขาสามารถไปกับบอลในพื้นที่แคบได้ดีและยังเป็นคนเริ่มจังหวะการได้ฟรีคิกในช่วงต้นเกมอันเป็นที่มาของประตูเบิกร่องโดย อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

1. โมเมนตัมในการลุ้นแชมป์อยู่ที่ หงส์แดง

ให้หลังเพียง 1 วันจากที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประกาศศักดาเปิดบ้านถล่ม วัตฟอร์ด เละเทะ 8-0 ก็เป็นคิวของ ลิเวอร์พูล ที่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็สามารถรักษาระยะห่างบนตารางคะแนนกลับไปเป็น 5 แต้มดังเดิมหลังผ่านการแข่งขันแมตช์เดย์ที่ 6 ของฤดูกาลนี้

แน่นอนว่ามันยังคงเป็นซีซันที่อีกยาวไกลกับอีก 32 นัดที่ต้องลงเล่น แต่การเป็นทีมเดียวที่สามารถเก็บชัยชนะได้ 6 นัดติดต่อกันบน พรีเมียร์ลีก ก็ทำให้ความมั่นใจในเวลานี้อยู่กับทีมจาก เมอร์ซีย์ไซด์ อย่างเต็มเปี่ยม

ชัยชนะในเกมนี้ยังทำให้ ลิเวอร์พูล เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของ อังกฤษ ที่สามารถคว้าชัยใน 6 เกมแรกได้ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน รวมทั้งยังเป็นชัยชนะในลีกนัดที่ 15 ติดต่อกันของพวกเขาเข้าไปแล้วจนถึงเวลานี้

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 8-0 วัตฟอร์ด : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกม ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปล่อยของเปิดบ้านถล่ม วัตฟอร์ด เละ 8-0 โดยทำได้ 5 ประตูในครึ่งแรกจาก ดาบิด ซิลบา นาทีที่ 1 จุดโทษของ อเกวโร นาทีที่ 7 มาห์เรซ นาทีที่ 12 แบร์นาโด้ นาทีที่ 15 และ โอตาเมนดี้ นาทีที่ 18 ส่วนในครึ่งหลัง แบร์นาโด้ ซิลวา มาบวกเพิ่มอีกสองประตูเป็นแฮตทริดของเขาในนาทีที่ 49 และ 60 จากนั้น เดอ บรอยน์ มายิงประตูปิดท้ายในนาทีที่ 85 จบเกม แมนฯ ซิตี้ โชว์โหดอัด วัดฟอร์ด ทีมบ๊วยขาดลอย 8-0

FBL-ENG-PR-MAN CITY-WATFORD

เริ่มเกมมาไม่ถึงนาที เควิน เดอ บรอยน์ วางบอลสุดสวยให้ ดาวิด ซิลบา แท็บจ่อ ๆ เข้าไปเจ้าบ้านนำ 1-0

จากนั้นนาทีที่ 7 ซิตี้ มาได้จุดโทษจากที่ ริยาด มาห์เรซ ถูกทำฟาวล์ในเขตโทษและเป็น อเกวโร สังหารไม่พลาดให้ทีมนำห่าง 2-0

อีก 5 นาทีจากนั้น เรือใบ ยิงเพิ่มเป็น 3-0 จากลูกฟรีคิกของ มาห์เรซ ที่ปั่นไปแฉลบกองหลัง วัตฟอร์ด เปลี่ยนทางเข้าไป

ต่อมานาทีที่ 15 แมนฯ ซิตี้ นำห่าง 4-0 จากลูกเตะมุม เควิน เดอบรอยน์ เปิดเข้ามา กองหลังทีมเยือนโหม่งผิดเหลี่ยมไปเข้าทาง แบร์นาโด้ โหม่งจ่อ ๆ ไม่เหลือ

และประตูสุดท้ายในครึ่งเวลาแรกมาในนาทีที่ 18 จากจังหวะลุยเข้าเขตโทษของ กุน ก่อนเปิดเข้ากลางให้ โอตาเมนตี้ ซัดจ่อ ๆ เข้าไป จบครึ่งแรกด้วยสกอร์ท้วมท้น 5-0

FBL-ENG-PR-MAN CITY-WATFORD

เริ่มเกมครึ่งหลัง พลพรรคซิติเซน ยังเดินหน้าบุกอย่างไม่ลดละ และเป็น แบร์นาโด้ ซิลวา ยิงขึ้นนำให้ทีม 6-0 ในนาทีที่ 49 และเป็น 7-0 จากเขาคนเดิมในนาทีที่ 60 ทำแฮตทริกแรกในชีวิตการค้าแข้งได้สำเร็จ

ช่วงท้ายเกม ซิตี้ ได้ประตูปิดท้ายจาก เควิน เดอบรอยน์ ที่ยิงจากนอกกรอบแบบเต็มแรงเสียบมุมบนเข้าไป ก่อนจบ 90 นาที แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถล่ม วัตฟอร์ด ยับเยิน 8-0

FBL-ENG-PR-MAN CITY-WATFORD

ประเด็นร้อนหลังเกม


สถิติที่ถูกทำลาย

เกมวันนี้จะมี 2 สถิติที่ถูกเขียนขึ้นมาใหม่แน่นอนแล้ว อย่างแรกคือ สถิติการยิงคู่แข่งที่ขาดลอยที่สุดของสโมสร ด้วยสกอร์ 8-0 ในเกมนี้ มันจึงกลายเป็นสกอร์ที่ชนะขาดลอยที่สุดของทีมไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเดิมนับตั้งแต่ลีดสูงสุดเปลี่ยนชื่อเป็น พรีเมียร์ลีก เกมที่เรือใบสีฟ้าเคยชนะคู่แข่งขาดลอยที่สุดคือนัดที่พวกเขาเปิดบ้านเอาชนะ นอริช ไปได้ 7-0 ในปี 2013/14

ส่วนอีกหนึ่งสถิติใหม่นั้น คือ แบร์นาโด้ ซิลวา ทำแฮตทริกแรกในลีกสูงสุดได้สำเร็จ​ โดยก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะสมัยที่ยังค้าแข้งอยู่ที่ โปรตุเกส ฝรั่งเศส หรือแม้แต่ที่อังกฤษ ตัวรุกชาวโปรตุกีส รายนี้ ยังไม่เคยทำแฮตทริกบนลีกสูงสุดได้เลย การยิง 3 ประตูในเกมนี้จึงเป็นครั้งแรกบนเวทีสูงสุดในชีวิตการค้าแข้งของเขา ซึ่งเขาทำมันได้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แห่งนี้

FBL-ENG-PR-MAN CITY-WATFORD

คะแนนนักเตะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้


แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เอแดร์ซอน (7.5), วอล์คเกอร์ (7), แฟร์นันดินโญ (7), โอตาเมนดี้ (7.5), เมนดี้ (6.5), โรดรี (7), เดอ บรอยน์ (9), ซิลบา (8), แบร์นาโด้ (9), มาห์เรซ (8), อเกวโร (7.5)

ตัวสำรอง : คันเซโล (7), อังเคลิโน (7), การ์เซีย (7)


คีย์แมนเกมวันนี้ – เควิน เดอ บรอยน์


FBL-ENG-PR-MAN CITY-WATFORD

เป็นอีกครั้งที่กองกลางชาวเบลเยียม คือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทีมเรือใบสีฟ้า ด้วยผลงาน 1 ประตูกับอีก 2 แอสซิสต์ในเกมวันนี้ แม้อาจจะดูไม่มากมายนัก แต่แทบทุกประตูที่เกิดขึ้น เขาจะมีส่วนร่วมเกือบจะทั้งหมด ซึ่งทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าจุดเด่นของมิดฟิล์หน้าอ่อน รายนี้ อยู่ที่ความแม่นยำในการวางบอลที่หาตัวจับได้ยาก ซึ่งลูกจ่ายบอลสวย ๆ เดอ บรอยน์ มักจะทำให้มันดูเหมือนง่ายอยู่เสมอและมีให้เห็นเกือบแทบจะทุกเกมที่เขาลงสนาม เราจึงได้เห็นลูกจ่ายมหัจรรย์​ของเขาจนชินตาเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ซื้งหากเพลย์เมกเกอร์ของทีม รายนี้ ยังรักษาฟอร์มอันร้อนแรงแบบนี้ไว้ได้อย่างคงเส้นคงวา ถ้วยแชมป์รายการต่าง ๆ คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมสำหรับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา อีกต่อไป

แซะป่ะเนี่ย ! แรชฟอร์ด ชี้ ผีแดง ยุคจ่ามู ชนะ แอสตานา ไม่ได้

มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าวันเดอร์คิดของ​ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แห่งศึก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ให้สัมภาษณ์หลังจบศึก ยูโรปาลีก กับ แอสตานา ว่าถ้าเป็นทัพปีศาจแดงชุดเมื่อ 2 ปีก่อนไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้อย่างวันนี้แน่นอน

“ผมยอมรับว่าฟอร์มการเล่นของพวกเราในเกมชนะ แอสตานา นั้นยังไม่ค่อยแจ่มเท่าไหร่นัก แต่ถึงกระนั้นก็มีเรื่องดีให้พูดถึงอยู่บ้างเหมือนกัน” แรชฟอร์ด กล่าว

“หลาย ๆ คนอาจไม่รู้ว่าคู่แข่งเตรียมตัวมาดีแค่ไหน พวกเขาแกร่งและไม่ใช่ทีมที่จะเอาชนะกันได้ง่าย ๆ แม้เราเล่นในบ้านตัวเองก็ตาม”

“ลองนึกภาพตามนะ ถ้าเป็นทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดเมื่อ 2 ปีก่อนล่ะก็ ผมมั่นใจเลยว่าไม่มีทางเอาชนะ แอสตานา ได้อย่างที่เราทำกันวันนี้เด็ดขาด”

“สมัยนั้นพวกเราไม่มีความมุ่งมั่นมากพอจะฝ่าฟันงานยาก ๆ เพื่อคว้าสามแต้มได้แบบนี้จริง ๆ ทุกคนแค่มองชื่อคู่แข่งแล้วก็คิดไปเองว่าเป็นสมันน้อยจากลีกเล็ก ๆ แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย”