เฮียเชียร์อยู่ ! ดร็อกบา หนุน มาเน คว้ารางวัลบัลลงดอร์ 2019

ดิดิเยร์ ดร็อกบา ตำนานกองหน้าสิงห์บลู เชื่อสุดใจว่า ซาดิโอ มาเน ดาวยิงรูปหล่อจาก ​ลิเวอร์พูล เหมาะสมจะคว้าบัลลงดอร์ 2019 มาครองมากที่สุดเมื่อดูจากฟอร์มและผลงานตลอดปีนี้

“ไม่ว่าจะเป็นเกมทีมชาติเซเนกัล, สโมสรลิเวอร์พูลทั้งใน พรีเมียร์ลีกหรือแชมเปียนส์ลีก ผลงานของ ซาดิโอ มาเน ยอดเยี่ยมมากจนแทบจะไม่มีใครเปรียบเทียบได้อีกแล้ว” ดร็อกบา กล่าว

“ฉะนั้นถ้าถามว่าเขามีโอกาสคว้า บัลลงดอร์ 2019 มาครองบ้างไหม คำตอบจากปากผมคือ แน่นอนอยู่แล้ว ซึ่งผมรู้มานานแล้วว่า มาเน เหมาะสมกับรางวัลนี้มากแค่ไหน”

“เอาจริง ๆ ผมอยากเห็นนักเตะจากทวีปแอฟริกาได้เป็นนักฟุตบอลที่เก่งสุดของโลกบ้าง และก็เชื่อว่าทั้ง มาเน และ ซาลาห์ จะพาทีมชาติ, สโมสร คว้าแชมป์รายการใหญ่ ๆ เพื่อก้าวสู่การชิงบัลลงดอร์ต่อเนื่องในอนาคต”

ปาร์ติซาน 0-1 แมนฯ ยูไนเต็ด : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม บุกเฉือนทีมดังจากเซอร์เบีย แซงนำเป็นจ่าฝูง

การแข่งขัน ฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่ม 2019/20
วันแข่งขัน คืนวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2019
เวลาแข่งขัน 23.55 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน ปาร์ติซาน เบลเกรด 0-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สนาม ปาร์ติซาน สเตเดี้ยม

1. รูปเกมที่ยังไม่เป็นทรงเหมือนเดิม

เกมเมื่อคืนนี้ ปีศาจแดง ดูจะโด่นเด่นกว่าเจ้าบ้านนิดหน่อยในช่วงกลางไปจนถึงท้ายครึ่งแรกเท่านั้น พอหลังจากปรับแผนในช่วงครึ่งหลัง พวกเขาก็กลับเข้าสู่ทรงเดิม ๆ นั่นคือ การเล่นแบบไม่มีทรงอีกครั้ง ดีที่คู่แข่งวันนี้ยังขาดความเฉียบขาดและแน่นอน เพราะในครึ่งหลังพวกเขาแทบจะโดนพับสนามบุกอยู่ฝ่ายเดียวเลยก็ว่าได้ หากอีกฝ่ายจบได้คม ๆ กว่านี้อีกหน่อยละก็ ยูไนเต็ด อาจจะโดน 2-3 ลูกไปแล้วก็เป็นได้

Partizan Belgrade v Manchester United: Group L - UEFA Europa League

2. โซลชา ยังถนัดเรื่องการแก้เกมให้แย่ลงตามเคย

ในครึ่งเวลาแรก รูปเกมของพวกเขายังดูเหนือกว่าเจ้าถิ่นอยู่เล็กน้อย แต่พอเริ่มครึ่งหลัง โซลชา แก้เกมมาคงหวังจะให้ลูกทีมเล่นอย่างเหนียวแน่นมากขึ้น แต่ผลออกมากลับกลายเป็นทีมขยับลงมาตั้งรับต่ำ เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ครองเกมบุกเข้าใส่แบบเต็มที่ ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของ น้าลูกอม ที่เปลี่ยนจากเกมที่ดูยังไม่แย่มาก สามารถแก้เกมให้มันดูแย่กว่าเดิมได้ ถึงขนาดว่ามีแฟนผีบางคนมองว่าสิ่งนี้เป็นความสามารถพิเศษของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ไปซะแล้ว

FBL-EUR-C3-PARTIZAN-MAN UTD

3. โรเมโร ยังคงไว้วางใจได้

ต้องบอกเลยว่าเกมนี้ โรเมโร เชฟช่วยทีมเอาไว้ได้หลายครั้ง ซึ่งหลายคนก็ยังแปลกใจว่าฝีมือระดับนี้ ย้ายไปเป็นมือ 1 ทีมอื่น ๆ ได้สบาย แต่ทำไมถึงยอมนั่งข้างสนามกับ แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่อีก และไม่ใช่เพียงเกมนัดนี้ ก่อนหน้านี้มือกาวชาว อาร์เจนตินา ก็พิสูจน์ให้เห็นแทบจะทุกเกมที่ลงสนามเลยด้วยซ้ำว่าเขาคือของจริง จนบางครั้งดูจะนิ่งกว่า ดาบิด เด เคอา มือหนึ่งของทีมซะด้วยซ้ำ เหตุผลดังที่กล่าวมานี้เองที่เป็นเครื่องตอกย้ำการเป็น “มือสองที่ดีที่สุดในโลก” ของเขา ตามที่ใครหลายคนเรียกกัน

Sergio Romero`

[Match Report] อ็อกซ์ เบิ้ลสอง ! ลิเวอร์พูล บุกรัวถล่ม เกงค์ 4-1 ศึก แชมเปี้ยนส์ลีก

การแข่งขัน ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019/20 รอบแบ่งกลุ่ม
วันแข่งขัน คืนวันพุธที่ 23 ตุลาคม 2019
เวลาแข่งขัน 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน เกงค์ 1-4 ลิเวอร์พูล
สนาม ลูมินัส อารีนา

ลิเวอร์พูล บุกเก็บชัยชนะในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดที่ 3 จาก 2 ประตูของ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน, กับอีกคนละ 1 ประตูของ ซาดิโอ มาเน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก่อนที่ สเตเฟน โอเดย์ จะยิงปลอบใจให้กับ เกงค์ เจ้าบ้านให้สกอร์จบลงที่ชัยชนะของ หงส์แดง 4-1

Alex Oxlade-Chamberlain

เกมเริ่มต้นด้วยประตูออกนำ 1-0 ของ เร้ดแมชีน อย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 2 เมื่อ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ตัดบอลได้ที่กลางสนามก่อนบอลจะถูกส่งต่อเป็นทอดๆ ถึง อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน ที่หน้ากรอบเขตโทษ ดิ อ็อกซ์ จับบอลหนึ่งจังหวะแล้วยิงเลียดด้วยขวา บอลพุ่งเสียบโคนเสาตุงตาข่ายชนิดที่นายทวารเจ้าถิ่นได้แต่ยืนขาตาย

สกอร์ขยับเป็น 2-0 ในนาทีที่ 57 จาก อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน คนเดิมที่ได้ปั่นไซด์ก้อยด้วยเท้าขวาบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ บอลพุ่งโค้งก่อนจะมุดลงเสียบคานอย่างงดงาม

Sadio Mane

ผู้มาเยือนจาก เมอร์ซีย์ไซด์ ยังคงไล่ขโยกเจ้าบ้านอย่างต่อเนื่องก่อนจะมาได้ประตู 3-0 ในนาทีที่ 77 เมื่อ ซาลาห์ แทงทะลุช่องให้ มาเน หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษสปรินท์เข้าถึงบอลก่อนผู้รักษาประตูและชิพบอลข้ามตัวมือกาวเจ้าถิ่นไปซุกที่ก้นตาข่าย

หงส์แดง ปิดเกมเป็น 4-0 ในนาทีที่  87 เมื่อ ซาลาห์ ได้รับบอลจาก มาเน ในกรอบเขตโทษก่อนพลิกหนีกองหลัง เกงค์ ที่รุมกินโต๊ะอยู่ 2 คนหลุดเข้าไปยิงเลียดด้วยเท้าขวาหนีการเซฟด้วยเท้าของผู้รักษาประตูเสียบมุมก่อนที่เจ้าบ้านจะฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของ เดยัน ลอฟเรน ที่ถูกฉกบอลไปได้ในแดนหลังก่อนที่ ดิอูเมอร์ซี เอ็นดองกาลา จะเลี้ยงเข้าไปในกรอบเขตโทษและไหลให้ โอเดย์ พลิกตัวยิงผ่านมือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เป็นประตูปลอบใจ 4-1 ให้หลังเพียง 1 นาทีจากประตูของ ซาลาห์


รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม

เกงค์ : คูค, มาเอเล, คูเอสต้า, ลูคูมี, ยูโรเนน, อิโต้, เฮย์เนน, เบิร์จ, บองกอนดา, ซามัตตา, โอนูอาชู

ตัวสำรอง : ฟานเดอวูร์ดท์, เดอ นอร์, เดวอสท์, ฮโรซอฟสกี้, ฮาจี้, โอเดย์, เอ็นดองกาลา

ลิเวอร์พูล : อลิสซอน, มิลเนอร์, ลอฟเรน, ฟาน ไดค์, โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ, อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน, เกอิต้า, มาเน, ซาลาห์, ฟิร์มิโน

ตัวสำรอง : อาเดรียน, ไวนัลดุม, โกเมซ, เฮนเดอร์สัน, ลัลลานา, บรูวสเตอร์, โอริกี

แมนฯ ซิตี้ 5-1 อตาลันต้า : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก คืนวันอังคาร

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 10 คน ฟอร์มดุ เปิดบ้านอัด อตาลันต้า ขาดลอย 5-1 โดยทีมเยือนได้ประตูนำก่อนจากจุดโทษของ มาลินอฟสกี้ นาทีที่ 28 จากนั้น เรือใบสีฟ้า ยิงคืน 5 ประตูรวดจาก เซร์คิโอ อเกวโร 2 ประตู นาทีที่ 34 และ 38 และแฮตทริก ราฮีม สเตอร์ลิง ในนาทีที่ 58, 64 และ 69 แต่เจ้าถิ่นต้องเหลือผู้เล่น 10 คนในช่วง 10 นาทีสุดท้าย จากที่ ฟิล โฟเด้น โดนใบเหลืองที่สองเป็นใบแดงต้องออกจากสนามไป จบเกม ซิตี้ เก็บ 3 คะแนนในบ้านได้สำเร็จ ทำสถิติชนะรวด 3 เกมในฟุตบอลรายการนี้

Kevin De Bruyne,Fernandinho

เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก ทีมเยือนเปิดเกมแลกกับเจ้าถิ่นได้อย่างสูสีในช่วงต้นเกม และมาได้ประตูขึ้นนำก่อนจากลูกจุดโทษ ที่ แฟร์นันดินโญ ไปสกัด อิลิชิซ ล้มลงไปในเขตโทษ ก่อนจะเป็น มาลินอฟสกี้ สังหารเข้าไป ทีมเยือนพลิกขึ้นนำ 0-1 ในนาที่ 28

จากนั้นไม่นาน เจ้าบ้านมาได้ประตูตีเสมอในนาทีที่ 34 จากจังหวะต่อเกมขึ้นมา และเป็น สเตอร์ลิง เปิดบอลเข้ากรอบเขตโทษให้ กุน อเกวโร สะกิดบอลลอดขาผู้รักษาประตูไป สกอร์เป็น 1-1

อีก 4 นาทีต่อจากนั้น เจ้าถิ่นได้ประตูขึ้นนำเป็น 2-1 จากลูกจุดโทษที่ สเตอร์ลิง เจ้าเก่า โดนเตะล้มลงไปในเขตโทษ และเป็น กุน คนเดิม สังหารเข้าไปง่าย ๆ

กระทั่งจบ 45 นาทีแรก แมนฯ ซิตี้ ยังคงออกนำ อตาลันต้า 2-1

Sergio Aguero

เริ่มเกมในครึ่งหลัง เจ้าถิ่นยังคงเปิดเกมบุกเข้าใส่หวังเอาประตูทิ้งห่าง และก็ทำได้สำเร็จในนาทีที่ 58 จากการต่อบอลในกรอบเขตโทษ และสุดท้ายเป็น สเตอร์ลิง ที่รับบอลจาก โฟเด้น ก่อนซัดจ่อ ๆ เข้าไป ให้ทีมนำ 3-1

จากนั้นนาทีที่ 64 ซิตี้ มาได้ประตูนำห่าง 4-1 จาก สเตอร์ลิง คนเดิม ที่หลุดเดียวเข้าไปใช้ความสามารถเฉพาะตัวล็อกหลบกองหลังคู่แข่งก่อนจะยิงเข้าไปอย่างสุดสวย

5 นาทีต่อมา สเตอร์ลิง ทำแฮตทริกได้สำเร็จจากการสะกิดบอลจ่อ ๆ เปลี่ยนทางลูกเปิดของ ริยาด มาห์เรซ เข้าไป

ช่วงท้ายเกม เรือใบสีฟ้า ต้องเหลือผู้เล่น 10 คน จากการที่ โฟเด้น โดนใบเหลืองที่สองเป็นใบแดงไล่ออกจากสนามไป

จบเกม แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านถล่ม อตาลันต้า ขาดลอย 5-1 เก็บ 9 คะแนนรวดในรายการนี้หลังผ่านเกมที่สามในรอบแบ่งกลุ่มไป

Raheem Sterling

ประเด็นร้อนหลังเกม


เรือใบ ลอยลำฉิว

จากชัยชนะอันท่วมท้นในเกมนี้ทำให้ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เก็บ 9 คะแนนเต็ม จากการลงสนามไป 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่มมาแบบสบาย ๆ ซึ่งอาจจะพูดได้เลยว่า แมนฯ ซิตี้ เข้ารอบแบบนอนมาแน่ ๆ แล้ว เพราะดูจากฟอร์มการเล่นที่ดุดัน แถมทีมในกลุ่มก็ไม่มีทีมใดดูจะสามารถต่อกรกับ แชมป์เก่าพรีเมียร์ลีก ได้เลยแม้แต่น้อย หนทางเดียวที่พวกเขาจะตกรอบได้คือต้องประมาทแบบสุด ๆ จนแพ้รวด 3 เกมที่เหลือชนิดที่ว่าเสียประตูนัดละ 3-4 ลูก จึงจะมีโอกาสตกรอบไป ซึ่งต้องบอกไว้ ณ ที่นี้เลยว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้”

FBL-EUR-C1-MAN CITY-ATALANTA

คะแนนนักเตะ แมนฯ ซิตี้


แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เอแดร์ซอน (7.5), เมนดี้ (7), แฟร์นันดินโญ (7), โรดรี (7), วอล์คเกอร์ (7), เดอ บรอยน์ (7.5), โฟเด้น (7.5), กุนโดกัน (7.5), สเตอร์ลิง (10)*, มาห์เรซ (7.5), อเกวโร (8.5)

ตัวสำรอง : สโตนส์ (6.5), โอตาเมนดี้ (6.5), กานเซโล (6.5)


คีย์แมน – ราฮีม สเตอร์ลิง


คงไม่ต้องถามกันให้เสียเวลาแล้ว ว่าใครควรจะเป็น แมน ออฟ เดอะแมทช์ ในเกมนี้ได้อีกนอกเสียจาก ราฮีม สเตอร์ลิง ที่มีส่วนกับทั้ง 5 ประตูในวันนี้ โดยการยิง 3 แอสซิสต์ไปอีก 2 จัดว่าเพอร์เฟคสุด ๆ ไปเลยสำหรับฟอร์มในวันนี้ ทั้งความเร็วความคล่องตัว ความเฉียบขาด การตัดสินใจต่าง ๆ ทำได้อย่างยอดเยี่ยม จึงเป็นที่มาของ 5 ประตูในค่ำคืนวันนี้นั่นเอง

Raheem Sterling

อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม vs ​เชลซี : พรีวิว แชมเปี้ยนส์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน


การแข่งขัน ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019/20 รอบแบ่งกลุ่ม
วันแข่งขัน คืนวันพุธที่ 23 ตุลาคม 2019
เวลาแข่งขัน 23.55 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม vs ​เชลซี
สนาม อัมสเตอร์ดัม อารีนา
ถ่ายทอดสด DAZN

ความพร้อมของทั้ง 2 ทีม


เชลซี

อยู่ในช่วงที่ฟอร์มกำลังเข้าฝักสำหรับลูกทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด หลังเอาชนะคู่แข่ง 5 เกมติดต่อกันรวมทุกรายการ โดยเกมนี้พวกเขาต้องออกไปเยือน อาแจ็กซ์ ถึงแดนกังหันลม ซึ่งถือเป็นอีกเกมที่มีความสำคัญต่อการเข้ารอบของทั้งคู่เป็นอย่างยิ่ง คาดว่า สิงห์บลู คงเปิดเกมบุกแลกกับเจ้าถิ่นตามสไตล์ อาจจะเสียเปรียบเล็กน้อยในเรื่องเสียงเชียร์ในสนาม อัมสเตอร์ดัม อารีนา แต่ถ้าหากพวกเขาเล่นได้อย่างแน่นอนและมีความเฉียบขาดมากพอ ก็น่าจะพอมีแต้มติดมือกลับ ลอนดอน ไปได้

สถาพทีมในขณะนี้ ทัพสิงโตน้ำเงินคราม มีผู้เล่นบาดเจ็บอยู่หลายรายทั้ง รูเบน ลอฟตัส-ชีค, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และ เอเมอร์สัน ที่บาดเจ็บมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว รวมถึง เอ็นโกโล ก็องเต้, อันเดรส คริสเตนเซน และ รอสส์ บาร์คลีย์ ยังโชคร้ายได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติมอีก ทำให้ทีมจะไม่สามารถใช่งานนักเตะดังกล่าวได้ ในเกมที่จะบุกไปเยือนฮอลแลนด์ วันพุธนี้

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อาร์ริซาบาลากา
กองหลัง อัซปิลิกวยต้า, ซูมา, โทโมริ, อลอนโซ
กองกลาง โควาซิช, จอร์จินโญ, เมานท์
กองหน้า พูลิซิช, บาทชัวยี, โอดอย

 

อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม

จ่าฝูงของลีก ฮอลแลนด์ ยังไม่แพ้ใครเลยในซีซั่นนี้ แถมทำผลงานได้อย่างสุดยอด ยิงไปมากกว่า 40 ประตูแล้วในทุกรายการ แต่พวกเขาอาจจะยังไม่ได้เจอกับทีมกระดูกแข็งมากนักในฤดูกาลนี้ ซึ่งเกมนี้จะเป็นบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า อาแจ็กซ์ ของ กุนซือ เอริก เทน ฮาก จะสามารถรับมือกับทีมระดับทวีปได้เหมือนในซีซั่นก่อนหรือไม่

สภาพทีม ณ ขณะนี้ จะยังไม่สามารถใช้งาน อาซาน บ็องเด ปีกดาวรุ่ง และ คาเรล ไอติง ที่มีอาการบาดเจ็บ ส่วนตัวหลักอื่น ๆ พร้อมลงสนามทั้งหมด

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู โอนานา
กองหลัง เดสท์, เวลท์มัน, บลิน, ทาเกลียฟิโก้
กองกลาง อัลวาเรซ, ฟาน เดอ บีค, มาร์ติเนซ
กองหน้า ซิเย็ค, พรอมส์, ทาดิช

 


ผลงาน 5 นัดหลังสุด


เชลซี (ชนะ 5 เสมอ 0 แพ้ 0)

19 ต.ค. PL เชลซี 1-0 นิวคาสเซิล
6 ต.ค. PL เซาธ์แฮมป์ตัน 1-4 เชลซี
3 ต.ค. UCL ลีลล์ 1-2 เชลซี
28 ก.ย. PL เชลซี 2-0 ไบรท์ตัน
26 ก.ย. EFL เชลซี 7-1 กริมส์บี

อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม (ชนะ 4 เสมอ 0 แพ้ 1)

19 ต.ค. EL วาลไวก์ 1-2 อาแจ็กซ์
9 ต.ค. FL ฮีเรนวีน 1-0 อาแจ็กซ์
6 ต.ค. EL เดน ฮาก 0-2 อาแจ็กซ์
3 ต.ค. UCL บาเลนเซีย 0-3 อาแจ็กซ์
29 ก.ย. EL อาแจ็กซ์ 2-0 โกรนิงเก้น

เฮดทูเฮด (อาแจ็กซ์ ชนะ 1 เสมอ 0 เชลซี ชนะ 0)

23/07/10 FL อาแจ็กซ์ 3-1 เชลซี

*PL = พรีเมียร์ลีก / UCL = ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก / EFL = คาราบาวคัพ / FL = กระชับมิตร / EL = เอเรดิวิซีลีก


สถิติที่น่าสนใจ


  • อาแจ็กซ์ ทะลุไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายในรายการนี้เมื่อปีก่อน โดยสามารถล้มยักษ์ใหญ่ในยุโรปอย่าง เรอัล มาดริด และ ยูเวนตุส ได้ ก่อนจะแพ้ให้กับ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ในรอบ 4 ทีมสุดท้าย ตกรอบไปแบบน่าเสียดายสุด ๆ

  • 2 สตาร์ของทีมในซีซั่นก่อนอย่าง มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ และ เฟรนกี้ เดอ ยอง ถูก ยูเวนตุส และ บาร์เซโลนา ดึงตัวไปร่วมทัพในซีซั่นนี้ ซึ่งหลายคนคาดว่า อาแจ็กซ์ คงจะลดความร้อนแรงลงไปเมื่อไม่มี 2 ดางรุ่งตัวชูโรงดังกล่าว แต่จนถึงปัจจุบัน ทีมก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำผลงานด้อยลงไปกว่าปีก่อนเลยแม้แต่น้อย

  • แชมป์เก่าลีกฮอลแลนด์ ยังไม่พ่ายแพ้ให้กับใครเลยในเกมอย่างเป็นทางการซีซั่นนี้ นั่นรวมถึงในรายการนี้ ที่ 2 เกมแรก พวกเขาถล่ม บาเลนเซีย และ ลีลล์ ไปอย่างขาดลอยด้วยสกอร์ 3-0 ทั้งสองนัด

  • สิงห์บลู กำลังติดลมบน ด้วยการเอาชนะคู่แข่ง 5 เกมติดต่อกันในทุกรายการ

  • ตั้งแต่การเข้ามาของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ในซีซั่นนี้ เชลซี เอาชนะเกมที่ออกไปเยือนคู่แข่งได้ถึง 4 จาก 5 เกม ที่ผ่านมา

  • แต่แม้จะทำผลงานได้ดีในเกมเยือน กระนั้นพวกเขาเสียประตูไปถึง 10 ลูก จากเกมที่ออกไปเยือนคู่แข่งทั้ง 5 นัด โดยเกมที่เสียประตูมากที่สุดคือ เกมนัดเปิดสนาม พรีเมียร์ลีก ที่บุกไปแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 4-0

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 ลิเวอร์พูล : 6 ประเด็นร้อนหลังศึกแดงเดือดที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด

6. แรชฟอร์ด ถูกโฉลกกับการเจอทีมใหญ่

เกมวันนี้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น แถมเป็นผู้ยิงประตูขึ้นนำให้กับ ปีศาจแดง ตั้งแต่ในช่วงครึ่งแรกอีกด้วย ซึ่งแฟน ๆ หลายคนที่ติดตามรับชม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซีซั่นนี้มานั่น จะทราบดีเลยว่าวันนี้ แรชฟอร์ด เล่นได้ดีผิดหูผิดตาเอามาก ๆ และมักจะเป็นแบบนี้ประจำเวลาพบกับทีมใหญ่

แน่นอนมันมีคำอธิบายปรากฏการณ์เหล่านี้ได้ นั่นคือ แรชฟอร์ด เป็นผู้เล่นที่มีความเร็วสูง มีความคล่องตัว ไปกับบอลได้ดี การเจอกับทีมใหญ่ที่มาเล่นเกมบุกใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด มักจะเปิดพื้นที่ในแนวหลังค่อนข้างเยอะ สิ่งนั้นเองที่เป็นการสร้างโอกาสให้ แรชฟอร์ด ได้ใช้จุดเด่นของตัวเองเล่นงานคู่แข่ง โดยมันจะแตกต่างอย่างยิ่งกับการเล่นกับทีมเล็กที่มาตั้งรับลึกอยู่ในแดนตัวเอง จนแทบไม่เหลือพื้นที่หลังแนวรับให้ได้เล่นกับบอล ซึ่งเห็นได้จากหลาย ๆ เกมที่ผ่านมา หากเจอทีมใดที่มาอุดใส่แล้วละก็ จุดเด่นของเขาก็จะหมดไป แรชฟอร์ด จึงแทบจะไร้ตัวตนไปโดยปริยาย

5. การแก้เกมที่ดูขัดหูขัดตาแฟนบอล

เห็นได้ชัดเลยว่าช่วงต้นเกม หรือในครึ่งเวลาแรก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายที่ทำได้ดีกว่า สร้างสรรค์โอกาสได้ชัดเจนกว่าทีมเยือนด้วยซ้ำ มีโอกาสบุกกดดัน รวมถึงสร้างโอกาสเข้าทำให้แฟนบอลได้หวาดเสียวอยู่หลายครั้ง แต่หลังจากที่ทีมได้ประตูขึ้นนำ พวกเขากลับปรับเปลี่ยนแท็คติก ลงมาตั้งรับต่ำ กลายเป็นเปิดโอกาสให้ทีมเยือนครองเกมบุกเข้าใส่อยู่ฝ่ายเดียว โดยเฉพาะตลอดช่วงครึ่งหลัง ที่ลงมาอุดในแดนตัวเองกันทั้ง 11 คน ทำให้ไม่มีโอกาสต่อเกมและแทบจะหาโอกาสสวนกลับแบบในครึ่งแรกไม่ได้เลย จนสุดท้ายก็มาพลาดเสียประตูในช่วงท้ายเกม จึงเกิดคำถามตามมาว่า เกมมันก็ดูดีอยู่แล้ว จะเปลี่ยนให้แย่ลงทำไม แฟนบอลบางคนถึงกับบ่นเลยว่าแบบนี้มัน “เล่นรอโดน” ชัด ๆ

4. หมดห่วงเรื่อง เด เคอา

ก่อนเกมมีข่าวลือออกมาหนาหูอย่างยิ่งว่า ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีม ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นให้ทีมชาติสเปน และมีโอกาสจะพลาดการลงสนามในเกมนี้ค่อนข้างจะแน่นอนแล้ว ซึ่งแฟน ๆ ปีศาจแดงหลายคนก็กังวลว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าตัวจะร้ายแรงขนาดไหน ต้องพักนานเท่าไหร่ จนกระทั่งรายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงก่อนเกมออกมา กลับปรากฏชื่อของ ประตูจอมแบก ลงเล่นเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงแบบค่อนข้างเซอร์ไพรส์พอสมควร เช่นเดียวกับการกลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงของ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ของทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่คาดกันว่าจะยังไม่ได้ลงสนามในตอนแรกกลับได้ลงเล่นเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงเช่นกัน

จนถึงตอนนี้คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วสำหรับอาการบาดเจ็บของยอดนายทวารมือหนึ่งอย่าง เด เคอา เพราะดูจากเกมวันนี้ก็แทบจะเล่นได้เป็นปกติ ไม่มีการแสดงออกถึงการบาดเจ็บออกมาแต่อย่างใด และที่สำคัญคือสามารถกลับมายืนเฝ้าเสาให้แฟนบอลได้อุ่นใจเหมือนเดิมอีกครั้ง

3. วันที่ไร้ ซาลาห์

เยอร์เก้น คล็อปป์ วางหมากออกสตาร์ทโดยใช้ ดิว็อค โอริกี ประจำการที่ตำแหน่งริมเส้นฝั่งซ้ายโดยขยับเอา ซาดิโอ มาเน ไปเล่นที่กราบขวาเมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มีปัญหาอาการบาดเจ็บไม่สามารถลงเล่นในเกมนี้ได้ ขณะที่ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน เคลื่อนที่อิสระในบทบาทฟอลส์ไนน์

แม้ โอริกี จะทำได้ดีในระดับหนึ่งเมื่อสามารถสร้างปัญหาให้กับแนวรับของ ปีศาแดง ให้เห็นอยู่บ้างในช่วงต้นเกมทว่าเจ้าตัวก็ไม่สามารถรักษาโมเมนตัมดังกล่าวเอาไว้ตลอดรอดฝั่งได้เมื่อเจอการแพ็คเกมรับแน่นของเจ้าถิ่นกระทั่งถูกเปลี่ยนตัวออกหลังเล่นครึ่งหลังได้เพียง 15 นาที

ขณะที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน ที่ลงมาแทนก็ไม่ได้มีจังหวะดวลตัวต่อตัวกับแนวรับ ผีแดง ให้เห็นนักแม้ว่าเกือบจะทำประตูได้จากการตัดเข้าในมายิงหน้ากรอบเขตโทษก็ตาม

2. ไวนัลดุม ขับเคลื่อนแดนกลาง

นับเป็นเกมที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ ไม่สามารถงัดจุดเด่นในการผ่านบอลอันตรายไปยังแดนหน้าได้ดีนักเมื่อแนวรับของเจ้าถิ่นถูกปิดล้อมด้วยกองหลังถึง 5 คน

ในทางกลับกัน กลายเป็น จินี ไวนัลดุม ที่โดดเด่นโดยเฉพาะในครึ่งเวลาแรกเมื่อใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการลากเลื้อยไปกับบอล รวมถึงแก้ไขจังหวะคับขันจวนตัวพลิกบอลให้ทีมเป็นฝ่ายได้เปรียบให้เห็น แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวไม่สามารถรักษาระดับดังกล่าวให้อยู่ตลอดรอดฝั่งได่สำเร็จ

1. หงส์แดง ยังกุมความได้เปรียบในเส้นทางลุ้นแชมป์

การจบเกมด้วยผลเสมอที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ทำให้ ลิเวอร์พูล อดทาบสถิติชนะติดต่อกันในลีก 18 นัดของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รวมทั้งชัยชนะ 9 เกมลีกแรกติดต่อกันของ เชลซี นอกจากนั้นยังเป็นการชี้โพรงให้บรรดาคู่แข่งของ หงส์แดง เห็นว่าแบบแผน 3-5-2 สามารถปิดอันตรายจากฟูลแบ็คของ เร้ดแมชีน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ท้ายที่สุดบนตารางคะแนนจนถึงเวลานี้ หงส์แดง ก็มีแต้มนำโด่ง เรือใบสีฟ้า อยู่ 6 คะแนนก่อนหน้าโปรแกรมนัดต่อไปกับ สเปอร์ส, แอสตัน วิลลา และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

คริสตัล พาเลช 0-2 แมนฯ ซิตี้ : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกมพรีเมียร์ลีก เรือใบ คืนฟอร์ม จี้ หงส์ 5 แต้ม

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คืนฟอร์มดุบุกอัด คริสตัล พาเลช ไปแบบสบาย ๆ 0-2 โดยได้สองประตูในช่วงครึ่งแรกจาก กาเบรียล เชซุส นาทีที่ 39 และ ดาบิด ซิลบา นาทีที่ 41 กลับมาเก็บชัยชนะได้อีกครั้งหลังจากสัปดาห์ก่อนพลาดท่าพ่ายคาบ้านให้กับ วูล์ฟ ไป

Fernandinho,Kevin De Bruyne

เริ่มเกมในครึ่งแรกเป็นทีมเยือนที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน ครองเกมและพยายามบุกเข้าใส่เจ้าถิ่นอย่างหนัก

แต่กว่าจะได้ประตูขึ้นนำต้องรอจนถึงนาทีที่ 39 จากจังหวะเปิดจากริมเส้นฝั่งขวาของ แบร์นาโด้ เข้าไปในกรอบเขตโทษ และเป็น เชซุส โฉบมาโหม่งจ่อ ๆ เข้าไป ทีมเยือนขึ้นนำ 0-1

จากนั้นอีก 2 นาที เรือใบสีฟ้า ได้ประตูนำห่าง 0-2 จากการทำชิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ ราฮีม สเตอร์ลิง ยกบอลข้ามกองหลังไปให้ ดาบิด ซิลบา ซัดด้วยซ้ายลอดขาผู้รักษาประตูเข้าไป ก่อนจะจบ 45 นาทีแรกด้วยสกอร์ 0-2

เริ่มเกมในครึ่งหลัง ทีมเยือนยังคงบุกอย่างต่อเนื่อง และเกือบจะทำประตูหนีห่างได้หลายครั้ง แต่ก็พลาดโอกาสไป

จบกระทั่งเกม แมนฯ ซิตี้ คืนฟอร์มเก่ง กลับมาเก็บ 3 คะแนนไล่กดดันจ่าฝูงได้อีกครั้ง

Pep Guardiola,Roy Hodgson

ประเด็นร้อนหลังเกม


3 คะแนนสำคัญ ลดช่องว่างเหลือ 5 คะแนน กดดันจ่าฝูงก่อนเกมแดงเดือด

ผลจากชัยชนะในเกมนี้ทำให้ช่องว่างระหว่างสองทีมหัวตารางลดลงเหลือเพียง 5 คะแนนเรียบร้อยแล้ว แต่ผู้นำอย่าง ลิเวอร์พูล จะลงทำศึกแดงเดือดในวันพรุ่งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าการที่ ทัพเรือใบสีฟ้า เก็บชัยชนะได้ก่อน ย่อมเป็นการกดดันให้ หงส์แดง ต้องพยายามคว้า 3 แต้มให้ได้เท่านั้นเพื่อลดความกดดันลง แต่การไปเยือน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่ใช่งานง่ายอย่างแน่นอน แม้เจ้าบ้านจะอยู่ในช่วงฟอร์มกำลังย่ำแย่ก็ตาม

fernandinho

คะแนนนักเตะ


แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เอแดร์ซอน (7.5), เมนดี้ (7), แฟร์นันดินโญ (7), โรดรี (7.5), คันเซโล (8), เดอ บรอยน์ (7), ซิลบา (8.5), กุนโดกัน (7.5), สเตอร์ลิง (8), แบร์นาโด้ (8), เชซุส (8.5)*

ตัวสำรอง : สโตนส์ (6), โฟเด้น (6)

Gabriel Jesus

รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม


คริสตัล พาเลซ :เฮนเนสซี, วอร์ด, ทอมกินส์, เคฮิลล์, ฟาน อานโฮลท์, มิลิโวเยวิช, คูยาเต้, แม็คอาเธอร์, ชลุปป์, ซาฮา, อายิว

ตัวสำรอง : เฮนเดอร์สัน, แดนน์, แม็คคาร์ทีห์, ทาวน์เซนด์, มักเยอร์, เบนเตเก้, รีเดวัลด์

​แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เอแดร์ซอน, เมนดี้, แฟร์นันดินโญ, โรดรี, คันเซโล, เดอ บรอยน์, ซิลบา, กุนโดกัน, สเตอร์ลิง, แบร์นาโด้, เชซุส​

ตัวสำรอง : บราโบ, สโตนส์, อังเคลลิโน, โฟเด้น, มาห์เรซ, การ์เซีย, อเกวโร


เชลซี vs นิวคาสเซิล : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน


การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2019
เวลาแข่งขัน 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน เชลซี vs นิวคาสเซิล
สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์
ถ่ายทอดสด True Premier Football HD 1

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


เชลซี

ฟอร์มของทีม สิงห์บลู ในตอนนี้กำลังขึ้นสุด ๆ หลังเก็บชัยชนะในลีกมาแล้ว 2 เกมติดต่อกัน ขยับขึ้นมารั้งอันดับที่ 5 ของตารางโดยมีคะแนนเท่ากับอันดับ 4 เลสเตอร์ แต่ประตูได้เสียน้อยกว่า อย่างไรก็ตามเกมนี้พวกเขาต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของ ทีมสาลิกาดง ที่สัปดาห์ก่อนพลิกล็อกเชือด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาได้ 1-0 นั่นทำให้ลูกทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะประมาทในเกมนี้ไม่ได้เป็นอันขาด

สถาพทีมในขณะนี้ ทัพสิงโตน้ำเงินคราม ได้ผู้เล่นตัวหลักที่หายจากอาการบาดเจ็บมาเกือบทั้งหมดแล้ว เหลือแต่รายที่เจ็บหนักมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น รูเบน ลอฟตัส-ชีค, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และ เอเมอร์สัน ที่จะไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้ในเกมนัดนี้

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อาร์ริซาบาลากา
กองหลัง อัซปิลิกวยต้า, คริสเตนเซน, โทโมริ, อลอนโซ
กองกลาง ก็องเต้, จอร์จินโญ, บาร์คลีย์
กองหน้า เมานท์, อับราฮัม, วิลเลียน

 

นิวคาสเซิล

ทีมของ สตีฟ บรูซ พึ่งจะทำเซอร์ไพรส์ด้วยการโค่น ปีศาจแดง มาได้เมื่อสัปดาห์ก่อน และขยับขึ้นมาอยู่นอกโซนตกชั้นเรียบร้อยแล้ว นั่นอาจจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้พลพรรคสาลิกาดง ในเกมวันนี้ได้ อีกทั้งพวกเขาก็มักจะทำได้ดีเวลาที่พบกับทีมใหญ่เสมอ แต่เกมในนัดที่คู่แข่งของพวกเขาคือ เชลซี ทีมที่มีเกมรุกที่เด็ดขาดและสวยงาม แน่นอนว่าพวกเขาจะมาในรูปแบบการเล่นที่เน้นตั้งรับต่ำ และอาศัยจังหวะสวนกลับในการโจมดีแนวรับของเจ้าบ้าน

สภาพทีมในตอนนี้ จะยังไม่สามารถใช้งาน ฟลอริย็อง เลอเฌิน ที่เจ็บยาวมาก่อนหน้านี้ ส่วนรายของ แม็ตต์ ริทชี ต้องรอเช็คความพร้อมก่อนเกมอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 3-5-2

ผู้รักษาประตู ดูบราฟกา
กองหลัง ชาร์, ลาสเซลเลส, ดัมเม็ตต์
กองกลาง อัตซู, แมท ลองสต๊าฟฟ์, อัลไมรอน, ฌอน ลองสต๊าฟฟ์, คราฟธ์
กองหน้า โจลินตอน, มูโตะ

 


ผลงาน 5 นัดหลังสุด


เชลซี (ชนะ 4 เสมอ 0 แพ้ 1)

6 ต.ค. PL เซาธ์แฮมป์ตัน 1-4 เชลซี
3 ต.ค. UCL ลีลล์ 1-2 เชลซี
28 ก.ย. PL เชลซี 2-0 ไบรท์ตัน
26 ก.ย. EFL เชลซี 7-1 กริมส์บี
22 ก.ย. PL เชลซี 1-2 ลิเวอร์พูล

นิวคาสเซิล (ชนะ 1 เสมอ 2 แพ้ 2)

6 ต.ค. PL นิวคาสเซิล 1-0 แมนฯ ยูไนเต็ด
29 ก.ย. PL เลสเตอร์ 5-0 นิวคาสเซิล
21 ก.ย. PL นิวคาสเซิล 0-0 ไบรท์ตัน
14 ก.ย. PL ลิเวอร์พูล 3-1 นิวคาสเซิล
31 ส.ค. PL นิวคาสเซิล 1-1 วัตฟอร์ด

เฮดทูเฮด (เชลซี 4 เสมอ 0 นิวคาสเซิล ชนะ 1)

13/01/19 PL เชลซี 2-1 นิวคาสเซิล
26/08/18 PL นิวคาสเซิล 1-2 เชลซี
13/05/18 PL นิวคาสเซิล 3-0 เชลซี
21/01/18 FA เชลซี 3-0 นิวคาสเซิล
02/12/17 PL เชลซี 3-1 นิวคาสเซิล

*PL = พรีเมียร์ลีก / UCL = ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก / EFL = คาราบาวคัพ / FA = เอฟเอคัพ


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • เชลซี เอาชนะ นิวคาสเซิล ในบ้านมาได้แล้ว 6 เกมติดต่อกัน โดยยิงไปได้ถึง 17 ประตู เสียเพียง 3 ประตูเท่านั้น

  • ทีมสาลิกาดง เอาชนะได้เพียงครั้งเดียว จาก 25 ครั้งหลังสุดที่มาเยือนถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ (ชนะ 1 เสมอ 7 แพ้ 17) โดยต้องย้อนกลับไปในยุคของกุนซือ อลัน พาร์ดิว ในปี 2012

  • เดอะแม็กพายส์ สามารถเอาชนะได้ 2 เกมติดต่อกันแล้ว ที่บุกมาเยือนทีมจาก ลอนดอน ครั้งล่าสุด (ฟูแลม, สเปอร์ส)

  • 13 จาก 18 ประตูที่ ทัพสิงห์บลู ทำได้ในฤดูกาลนี้ มาจากนักเตะอังกฤษ

  • นิวคาสเซิล ไม่สามารถชนะเกมใน พรีเมียร์ลีก 2 นัด ติดได้เลยนับตั้งแต่เดือน เมษายน

  • โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ยิงประตูใส่ทีมสาลิกาดง ได้มากกว่าทุกทีมที่เขาเคยพบ (8 ประตู) แต่ทั้งหมดนั้นเกิดในช่วง 6 เกมแรก แต่อีก 6 เกมต่อมา หอกชาวฝรั่งเศส ไม่สามารถยิงได้อีกเลย

  • สตีฟ บรูซ เคยคุมทีมเอาชนะ เชลซี ได้เพียงครั้งเดียว จากทั้งหมด 21 ครั้งที่พบกัน (ชนะ 1 เสมอ 5 แพ้ 15) โดยต้องย้อนกลับไปในปี 2010 สมัยที่คุมทีม ซันเดอร์แลนด์ ซึ่งบุกมาเอาชนะได้ถึงถิ่น 0-3

  • แทมมี อับราฮัม เป็นนักเตะอังกฤษคนแรกที่ยิงได้เกิน 7 ประตูใน 8 เกมแรก ต่อจาก เวย์น รูนีย์ ในปี 2011/12

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด vs ลิเวอร์พูล : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน



ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ อยู่ในช่วงที่ฟอร์มกำลังย่ำแย่ ล่าสุดบุกไปแพ้ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 1-0 ชนิดที่ว่ารูปเกมไม่มีทรงเอาซะเลย โดยเกมสัปดาห์นี้พวกเขาต้องทำศึกแห่งศักดิ์ศรี “แดงเดือด” กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งความที่เป็นคู่ปรับตลอดกาล อีกทั้งยังมีเสียงเชียร์จากแฟนบอลในบ้านคอยดันหลังให้ รับรองได้ว่า พลพรรคปีศาจแดง คงใส่เต็มที่ชนิดที่ว่ามีเท่าไหร่ใส่หมดอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าที่มีอยู่ทั้งหมดนั้น จะเพียงพอที่จะหยุดความร้อนแรงของผู้มาเยือนได้หรือไม่เท่านั้น

สถาพทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ในขณะนี้ มีผู้เล่นบาดเจ็บอยู่รายหลายไม่ว่าจะเป็น เอริค ไบยี, ทิโมธี โฟซู-เมนซาห์ และ พอล ป็อกบา ที่จะไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้แน่นอนแล้ว แต่ในส่วนของ เจสซี ลินการ์ด, อาร์รอน วาน-บิสซาก้า, อองโตนี มาร์กซิยาล, ฟิล โจนส์ และ ลุค ชอว์ ต้องรอดูความพร้อมก่อนแข่งอีกครั้ง แถมยังมีข่าวร้ายว่า ดาบิด เด เคอา ที่มีอาการบาดเจ็บช่วงที่ออกไปรับใช้ชาติอาทิตย์ที่ผ่านมา น่าจะไม่สามารถลงเฝ้าเสาให้ทีมได้แน่นอนแล้วเช่นกัน

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู โรเมโร
กองหลัง ตวนเซเบ้, ลินเดเลิฟ, แม็คไกวร์, ยัง
กองกลาง แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด, อันเดรส
กองหน้า แรชฟอร์ด, กรีนวูด, เจมส์

ลิเวอร์พูล

หงส์แดง ชั่วโมงนี้กำลังอยู่ในช่วงพีคสุดจริง ๆ ไม่เพียงแค่เพราะฟอร์มการเล่นอันดุดัน แต่โชคชะตาก็ดูเหมือนจะพร้อมใจกันเทความดวงดีมาที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ นั่นจึงทำให้ พลพรรคเดอะค็อป บินสูงอย่างต่อเนื่องมาได้ด้วยสถิติอันสวยหรู ชนะรวด 8 เกม รั้งจ่าฝูงของตารางคะแนน แต่เกมในสัปดาห์นี้ การบุกมาเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่เคยเป็นงานที่ง่ายแม้ว่าคู่แข่งจะอยู่ในช่วงขาลงก็ตาม คาดว่าทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ จะมาเปิดเกมบุกเข้าใส่ตามแบบที่พวกเขาถนัด แต่ก็จะประมาทเกมสวนกลับที่อาศัยตัวรุกความเร็วสูงของเจ้าถิ่นไม่ได้เช่นกัน

สภาพทีมในขณะนี้ จะยังไม่สามารถเรียกใช้งาน นาธาเนียล ไคลน์ ที่ยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ได้ แต่จะได้ เซอร์ดาน ชากิรี, โจเอล มาติป และ นายทวารมือหนึ่งอย่าง อลิสซอน เบ็คเกอร์ หายเจ็บกลับมาเป็นตัวเลือกให้กับทีมได้อีกครั้ง ซึ่งยังคงต้องรอเช็คความพร้อมจนกว่าเกมจะเริ่ม แต่คาดว่าอาจจะมีชื่อเป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้น

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อาเดรียน
กองหลัง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ลอฟเรน, ฟาน ไดค์, โรเบิร์ตสัน
กองกลาง เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ, ไวนัลดุม
กองหน้า ซาลาห์, ฟิร์มิโน, มาเน

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ชนะ 0 เสมอ 3 แพ้ 2)

6 ต.ค. PL นิวคาสเซิล 1-0 แมนฯ ยูไนเต็ด
3 ต.ค. UEL อัลค์มาร์ 0-0 แมนฯ ยูไนเต็ด
30 ก.ย. PL แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 อาร์เซนอล
26 ก.ย. EFL แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 โรชเดล
22 ก.ย. PL เวสต์แฮม 2-0 แมนฯ ยูไนเต็ด

ลิเวอร์พูล (ชนะ 4 เสมอ 0 แพ้ 1)

5 ต.ค. PL ลิเวอร์พูล 2-1 เลสเตอร์
3 ต.ค. UCL ลิเวอร์พูล 4-3 ซัลซ์บวร์ก
28 ก.ย. PL เชฟฟิลด์ ยูฯ 0-1 ลิเวอร์พูล
26 ก.ย. EFL เอ็มเค ดอนส์ 0-2 ลิเวอร์พูล
22 ก.ย. PL เชลซี 1-2 ลิเวอร์พูล

เฮดทูเฮด (แมนฯ ยูไนเต็ดชนะ 1 เสมอ 1 ลิเวอร์พูล ชนะ 3)

24/02/19 PL แมนฯ ยูไนเต็ด 0-2 ลิเวอร์พูล
16/12/18 PL ลิเวอร์พูล 3-1 แมนฯ ยูไนเต็ด
29/07/18 FL แมนฯ ยูไนเต็ด 1-4 ลิเวอร์พูล
10/03/18 PL แมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 ลิเวอร์พูล
14/10/17 PL ลิเวอร์พูล 0-0 แมนฯ ยูไนเต็ด

*PL = พรีเมียร์ลีก / UEL = ยูฟ่า ยูโรปาลีก / UCL = ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก / EFL = คาราบาวคัพ / FL = กระชับมิตร


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่แพ้ ลิเวอร์พูล ในบ้านมาแล้ว 5 เกมติดต่อกัน (ชนะ 3 เสมอ 2) โดยสถิติไม่แพ้ในบ้านติดต่อกันสูงสุดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้คือ 10 เกม ระหว่างปี 1991 ถึง ปี 2000

  • มีเพียง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (7 ครั้ง) และ เชลซี (6 ครั้ง) เท่านั้น ที่เคยเอาชนะ ปีศาจแดง ได้ถึงถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในเกม พรีเมียร์ลีก มากกว่า ลิเวอร์พูล (5 ครั้ง)

  • 4 ใน 6 ครั้งที่ทั้งสองทีมพบกันล่าสุด จบด้วยผลเสมอ ซึ่งหากนับการเจอกัน 36 นัดหลังสุด เกมจบลงด้วยผลเสมอเพียงแค่ 4 ครั้งเท่านั้น

  • การเจอกันครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองทีมพบกันใน พรีเมียร์ลีก ในขณะที่ หงส์แดง รั้งจ่าฝูงของตาราง นับตั้งแต่ปี 1996 โดยครั้งล่าสุดที่พบกันขณะที่ ลิเวอร์พูล นำเป็นจ่าฝูง ต้องย้อนกลับไปในเดือน ตุลาคม ปี 1996 โดยเกมนั้น เดวิด เบ็คแฮม ยิงประตูชัยให้ ยูไนเต็ด เอาชนะไปได้ 1-0 ที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด

  • ลิเวอร์พูล เป็นทีมที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ลูกจุดโทษมากที่สุด มากกว่าทุกทีมที่เคบพบกันมาในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก (10 ครั้ง)

  • ตั้งแต่เกมนัดเปิดสนามที่เอาชนะ เชลซี ไปได้ 4-0 แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ไม่สามารถยิงทีมไหนเกิน 1 ประตูได้เลยตลอด 10 เกมหลังสุดในทุกรายการ

  • ปีศาจแดง แพ้เกมลีกในบ้านมาแล้ว 1 เกม ในซีซั่นนี้ โดยครั้งล่าสุดที่ทีมแพ้เกมลีกในบ้านมากกว่า 1 เกม ใน 5 เกมแรกที่เล่นในบ้าน ต้องย้อนกลับไปในปี 1990/91

  • ในการคุมทีม ลิเวอร์พูล เยอร์เกน คล็อปป์ พาทีมบุกมาเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้วไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ มากกว่าทุกทีมที่เคยพบกันมา

  • โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไม่สามารถยิงหรือแอสซิสต์ ได้เลยตลอด 4 เกมที่ลงฟาดแข้งกับ แมนฯ ยูไนเต็ด

  • 10 จากทั้งหมด 30 ประตูของ มาคัส แรชฟอร์ด ที่ยิงได้ใน พรีเมียร์ลีก มาจากการยิงทีม Big 6

อีกยาวไกล ! ธอมโม่ ยัน แฟนหงส์ ยังไม่คิดถึงแชมป์ พรีเมียร์ลีก

​ฟิล ธอมป์สัน ตำนานนักเตะ ลิเวอร์พูล พ่วงตำแหน่งนักวิเคราะห์เกมชื่อดังเชื่อว่าการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของทีมรักตัวเองและ ​แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังไม่จบลงแค่ตรงนี้แต่อย่างใด

“เหมือนว่าแฟนบอลของทุกทีมจะคิดว่ามันจบแล้ว มีแค่แฟน ลิเวอร์พูล เท่านั้นที่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้” ธอมโม่ กล่าว “เราเพิ่งลงเล่นไปเพียง 8 เกมเท่านั้นมันยังเหลือเส้นทางอีกยาวไกล”

“มันเป็นเรื่องไร้สาระที่จะคิดแบบนั้นเพราะเรายังเหลือตั้ง 30 เกมให้เล่น ผมไม่คิดว่าการลุ้นแชมป์จะจบลงแค่นี้ไม่ว่า ลิเวอร์พูล จะดีแค่ไหนก็ตาม ผมยังเห็นความยอดเยี่ยมของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่เสมอ พวกเขาแค่สะดุดนิดหน่อยซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล บ้างก็ได้แม้จะต้องเจอปัญหาอาการบาดเจ็บของนักเตะหรือไม่ก็ตาม”

“ปัญหาอาการบาดเจ็บได้ส่งผลต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในตอนนี้ แต่นอกจากเรื่องนี้ก็ยังมีอีกหลายองค์ประกอบที่จะส่งผลต่อ ลิเวอร์พูล เช่นกัน”