[ข่าวซื้อขาย] ขอแจมด้วย ! หงส์แดง โดดร่วมวง ล่าลายเซ็น ตัวรุก แฮร์ธา

ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูงในศึก พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ตกเป็นข่าวว่ากำลังให้ความสนใจในตัว จาไวโร ดิลโรซัน ดาวรุ่งสัญชาติฮอลแลนด์วัย 21 ปี ของสโมสร แฮร์ธา เบอร์ลิน ทีมในศึก บุนเดสลีกา โดยมี เชลซี และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เป็นคู่แข่งในการคว้าตัวเจ้าหนูรายนี้

กัลโช เมอร์กาโต สื่อจอมขุดของ อิตาลี รายงานว่า หงส์แดง เป็นอีกทีมทีเป็นตัวเต็งในการล่าตัว ดิลโรซัน อดีตดาวรุ่งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รายนี้มาเสริมทัพ เพื่อเป็นตัวเลือกในแผงเกมรุก

อย่างไรก็ตามพวกเขาต้องช่วงชิงตัวดางวรุ่งรายนี้กับ เชลซี คู่แข่งร่วมลีก และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมยักษ์ใหญ่ในเยอรมัน ที่ต้องการกระชากตัว ปีกชาวกังหันลม ไปร่วมทัพในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะหน้าหนาวนี้

จาไวโร ดิลโรซัน ทำไปแล้ว 3 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์ ให้กับ แฮร์ธา เบอร์ลิน ซีซั่นนี้ แถมเจ้าตัวยังมีดีกรีเคยติดทีมชาติ ฮอลแลนด์ มาแล้วทุกชุด และพึ่งจะประเดิมสนามให้ทีมชุดใหญ่ไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

[Player Ratings] ฟูลแบ็ค หงส์ เข้าฝัก ! ตรวจการบ้านแข้ง ลิเวอร์พูล หลังบุกพลิกชนะ วิลลา 2-1

การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2019
เวลาแข่งขัน 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน แอสตัน วิลลา 1-2 ลิเวอร์พูล
สนาม วิลลาพาร์ค

คะแนนนักเตะ ลิเวอร์พูล

อลิสซอน เบ็คเกอร์ – 6/10

ต้องออกแรงเซฟอยู่หลายจังหวะในช่วงแรกของเกมแต่หลังจากนั้นไม่ได้มีงานยากให้ป้องกันมากนัก น่าจะทำได้ดีกว่านี้ในประตูที่เสียไป

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ – 8/10

Trent Alexander-Arnold

ฉลองการลงสนามเป็นนัดที่ 100 ด้วยการงัดฟอร์มการเล่นที่น่าประทับใจโดยเฉพาะในครึ่งแรก โดดเด่นกับการเติมเกมรุกที่ริมเส้นฝั่งขวาและยังรักษาโมเมนตัมต่อเนื่องไว้ได้ในครึ่งหลังก่อนจะเป็นคนเปิดลูกเตะมุมให้กับ ซาดิโอ มาเน โหม่งพังประตูชัย

เดยัน ลอฟเรน – 7/10

มีปัญหาในการรับมือความแข็งแกร่งของ เวสลีย์ โดยเฉพาะช่วงต้นเกมก่อนที่จะสามารถยกระดับของตัวเองขึ้นมาได้ในครึ่งหลัง

เวอร์จิล ฟาน ไดค์ – 6/10

มีช็อตแสดงความผิดพลาดให้เห็นอยูบ้างรวมทั้งการเสียบอลในเขตอันตราย แต่ยังงัดลูกจ่ายที่ยอดเยี่ยมจากแดนหลังให้กับ ซาลาห์ ได้ลุ้นทำประตูก่อนจบครึ่งแรก ไม่ใช่เกมที่ดีที่สุดของเจ้าตัวนักแต่ก็ยังนับว่าทำได้ตามมาตรฐาน

แอนดี้ โรเบิร์ตสัน – 7/10

เติมขึ้นไปมีส่วนร่วมกับเกมรุกบ่อยครั้งแต่ไม่ค่อยได้รับบอลนักโดยเฉพาะในครึ่งแรก ก่อนที่เจ้าตัวจะถูกโฟกัสมากยิ่งขึ้นในครึ่งหลังและกลายเป็นคนทำประตูตีเสมอให้กับทีม

อดัม ลัลลานา – 6/10

ต้องลงไปช่วยเกมรับของทีมในช่วงต้นก่อนที่จะสามารถจับจังหวะมีส่วนร่วมกับเกมรุกของทีมได้หลังจากนั้น ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามในช่วงท้ายเกมเมื่อทีมตกอยู่ในสถานการณ์ต้องการประตูสุดๆ

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน – 6/10

ออกสตาร์ทได้อย่างน่าผิดหวังแต่ก็สามารถเรียกประสิทธิภาพของตนเองให้กลับมาได้เมื่อเวลาผ่านไป

จินี ไวนัลดุม – 5/10

ไม่ใช่วันของมิดฟิลด์ชาว ดัตช์ เอาเสียเลยเมื่อเจ้าตัวแทบไม่มีส่วนร่วมกับเกมและถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามในนาทีที่ 65

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ – 5/10

Mohamed Salah

มีจังหวะกึ่งยิงกึ่งผ่านให้ ทอม ฮีตัน ต้องออกแรงเซฟในครึ่งแรก โดยรวมสร้างจังหวะหวาดเสียวให้กับทีมแต่จังหวะสุดท้ายกลับทำได้อย่างน่าผิดหวังบ่อยครั้งและถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามตั้งแต่นาทีที่ 65 พร้อมกับ ไวนัลดุม

โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน – 6/10

พยายามเคลื่อนที่ลงต่ำเพื่อล้วงบอลแต่ไม่มีส่วนร่วมกับเกมนักโดยเฉพาะในครึ่งแรกและถูกปฎิเสธประตูจากการพิจารณาด้วย VAR ขณะที่ครึ่งหลังดูจะเล่นด้วยความกระตือรือล้นมากขึ้น

ซาดิโอ มาเน – 7/10

จบโอกาสแรกด้วยการโหม่งหลุดกรอบตามด้วยการได้รับใบเหลืองจากช็อตพยายามเรียกลูกจุดโทษให้กับ หงส์แดง ขณะที่ครึ่งหลังยังคงไม่สามารถจัดการโอกาสที่ได้รับมากมายได้กระทั่งเป็นคนโหม่งพังประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในที่สุด

ตัวสำรอง

อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน (แทนที่ ไวนัลดุม นาทีที่ 55) – 6/10 : ยิงติดตัวบล็อกไป 2 ครั้งเน้นๆ หลังจากถูกเปลี่ยนตัวลงสนามไม่กี่นาที ช่วยเติมความกระตือรือล้นที่แดนกลาง

ดิว็อค โอริกี (แทนที่ ซาลาห์ นาทีที่ 65) – 6/10 : มีช็อตพลิกยิงเหน่งๆ หลุดกรอบ

นาบี เกอิต้า (แทนที่ ลัลลานา นาทีที่ 84) – N/A

อาร์เซนอล vs วูล์ฟส : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน


การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2019
เวลาแข่งขัน 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน ​อาร์เซนอล vs วูล์ฟส
สนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
ถ่ายทอดสด True Premier Football HD

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


อาร์เซนอล

เซอัด โคลาซินาช ได้รับบาดเจ็บมาจากเกม คาราบาว คัพ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาและน่าจะทำได้ดีที่สุดเพียงแค่มีชื่อบนม้านั่งสำรองเท่านั้น และแน่นอนว่า อูไน เอเมรี จะส่งผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดลงสนามอีกครั้งหลังจากโรเตชันมาในเกมก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม เมซุต เออซิล น่าจะยังไม่น่าออกสตาร์ทให้กับทีมต่อเนื่องแม้ว่าจะทำผลงานได้น่าประทับใจในเกมก่อน เช่นเดียวกับ กรานิท ชาก้า ที่กลายเป็นประเด็นหลังจากเกมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-2-3-1

ผู้รักษาประตู เลโน
กองหลัง เบเยริน, โซคราติส, ลุยซ์, เทียร์นีย์
กองกลาง เกนดูซี, ตอร์เรย์รา
เปเป้, เซบาญอส, โอบาเมยอง
กองหน้า ลากาเซ็ตต์

วูล์ฟส

ไรอัน เบนเน็ตต์ เพิ่งจะได้รับบาดเจ็บซ้ำในเกมที่พวกเขาปราชัยต่อ แอสตัน วิลลา เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยคาดว่า แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ จะได้ออกสตาร์ทในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คแทนที่อีกครั้ง ขณะที่ แพทริค คูโตรเน สามารถซัลโวประตูเรียกความมั่นใจในเกมกับ สิงห์ผยอง แต่คาดการณ์ว่า ราอูล ฆิเมเนซ​ และ ดิโอโก้ โจต้า จะได้จับคู่กันในแดนหน้าเช่นเคย

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 3-5-2

ผู้รักษาประตู ปาทริซิโอ
กองหลัง โดเฮอร์ตี้, โคอาดี้, ไซอิส
กองกลาง ตราโอเร, เด็นดองเคอร์, เนเวส, มูตินโญ, จอนนี
กองหน้า ฆิเมเนซ, โจต้า

​​


ผลงาน 5 นัดหลังสุด


อาร์เซนอล (ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 2)

31 ตุลาคม คาราบาว คัพ ลิเวอร์พูล 6 : 5(5 : 5) อาร์เซนอล แพ้
27 ตุลาคม พรีเมียร์ลีก อาร์เซนอล 2 : 2 คริสตัล พาเลซ เสมอ
25 ตุลาคม ยูโรปาลีก อาร์เซนอล 3 : 2 กิมาไรส์ ชนะ
22 ตุลาคม พรีเมียร์ลีก เชฟฟิลด์ ยูฯ 1 : 0 อาร์เซนอล แพ้
6 ตุลาคม พรีเมียร์ลีก อาร์เซนอล 1 : 0 บอร์นมัธ ชนะ

วูล์ฟส (ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 2)

31 ตุลาคม คาราบาว คัพ แอสตัน วิลลา 2 : 1 วูล์ฟส แพ้
27 ตุลาคม พรีเมียร์ลีก นิวคาสเซิล 1 : 1 วูล์ฟส เสมอ
24 ตุลาคม ยูโรปาลีก สโลวาน บราติสลาวา 1 : 2 วูล์ฟส ชนะ
19 ตุลาคม พรีเมียร์ลีก วูล์ฟส 1 : 1 เซาแธมป์ตัน เสมอ
6 ตุลาคม พรีเมียร์ลีก แมนฯ ซิตี้ 0 : 2 วูล์ฟส ชนะ

เฮดทูเฮด (อาร์เซนอล ชนะ 2 เสมอ 2 วูล์ฟส ชนะ 1)

25 เมษายน 2019 พรีเมียร์ลีก วูล์ฟส 3 : 1 อาร์เซนอล
11 พฤศจิกายน 2018 พรีเมียร์ลีก อาร์เซนอล 1 : 1 วูล์ฟส
12 เมษายน 2012 พรีเมียร์ลีก วูล์ฟส 0 : 3 อาร์เซนอล
27 ธันวาคม 2011 พรีเมียร์ลีก อาร์เซนอล 1 : 1 วูล์ฟส
12 กุมภาพันธ์ 2011 พรีเมียร์ลีก อาร์เซนอล 2 : 0 วูล์ฟส

สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • หลังจากที่ อาร์เซนอล ประเดิมการพบกับ วูล์ฟส 6 นัดแรกใน พรีเมียร์ลีก ด้วยการเก็บชัยชนะรวด หลังจากนั้นพวกเขาสามารถเอาชนะทัพ หมาป่า ได้เพียง 1 นัดจากทั้งหมด 4 เกมหลังสุดที่พบกันในรายการนี้

  • ชัยชนะของ วูล์ฟส 3-1 เหนือ ไอ้ปืนใหญ่ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานับเป็นการหยุดสถิติไร้ชัยของพวกเขากับทัพ เดอะกันเนอร์ส มาก่อนหน้านี้ 16 แมตช์ติดต่อกัน โดยครั้งก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเอาชนะ ปืนโต บนลีกสูงสุดติดต่อกันได้เกิดขึ้นในปี 1979

  • วูล์ฟส ไร้พ่ายในศึก พรีเมียร์ลีก เมื่อพบกับทีมจาก ลอนดอน 7 นัดหลังสุด (ชนะ 3 เสมอ 4) นับตั้งแต่ปราชัยต่อ ฟูแลม เมื่อเดือนมีนาคม 2012 ซึ่งเป็นสถิติไร้พ่ายกับทีมจากเมืองหลวงยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ที่พวกเขาทำได้ 11 นัดก่อนหน้านี้ระหว่างพฤศจิกายน 1972-พฤศจิกายน 1974

  • ไอ้ปืนใหญ่ ไร้พ่ายเมื่อลงทำการแข่งขันในเวลา 15:00 น. ของวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่นนับตั้งแต่ฤดูกาล 2013/14 ที่พวกเขาปราชัยต่อ แอสตัน วิลลา 1-3 และเก็บชัยชนะ 20 นัดรวมทั้งเสมออีก 2 เกมหลังจากนั้น

  • ลูกทีมของ นูโน ซานโต้ เป็นฝ่ายที่เสียประตูแรกให้กับคู่แข่งไปก่อนบนเวที พรีเมียร์ลีก มากที่สุด (7 เกม) และพวกเขาสามารถคัมแบ็คกลับมาจบเกมด้วยผลเสมอได้ 5 นัดจาก 7 เกมดังกล่าว (แพ้ 2)

  • วูล์ฟส สังหารประตูใน พรีเมียร์ลีก ติดต่อกันมา 9 เกมเข้าไปแล้วจนถึงเวลานี้ แต่พวกเขาไม่เคยยิงประตู 10 นัดใน พรีเมียร์ลีก ติดต่อกันมาก่อนในประวัติศาสตร์

  • ไอ้ปืนใหญ่ ซัลโวประตูในการลงเล่นเป็นทีมเหย้า พรีเมียร์ลีก ติดต่อกัน 23 นัดนับตั้งแต่ที่พวกเขาปราชัยต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-2 เมื่อเดือนสิงหาคม 2018 (ชนะ 17 เสมอ 5 แพ้ 1) แต่ เดอะกันเนอร์ส สามารถรักษาคลีนชีทได้เพียง 1 เกมจากทั้งหมด 7 นัดหลังสุดและเสียประตูอย่างน้อย 2 ลูกใน 4 เกมในนั้น

[Opinion] รุย คอสต้า เพลย์เมคเกอร์ No.10 ที่คลาสสิกสุดแห่งยุคสมัย

ในโลกแห่งฟุตบอล มีนักเตะผู้สร้างสรรค์เกมบุกที่ได้รับการยกย่องว่าอยู่ในระดับอัจฉริยะจริง ๆ เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งส่วนมากพวกเขาจะมีตำแหน่งเป็น เพลย์เมคเกอร์ No.10 ที่คอยหาจังหวะเข้าทำอยู่หลังกองหน้านั่นเอง

และเมื่อเรานึกถึงนักเตะในตำแหน่งนี้จากยุคคลาสสิก ภาพของ ซีเนอดีน ซีดาน, โรแบร์โต บาจโจ้, จอร์จี้ ฮาจี้, แอนดี้ โมลเลอร์, พาโบล ไอมาร์ ฯลฯ ก็จะผุดขึ้นมาในหัวทันที แต่กลับมีแค่ไม่กี่คนที่จะพูดชื่อของ “รุย คอสต้า” ออกมาทั้ง ๆ ที่นี่คือ 1 ในเพลย์เมคเกอร์ No.10 ที่มีความคลาสสิกสุดในยุคสมัยของตัวเองเลยทีเดียว

คำถามคือแล้ว รุย คอสต้า เก่งขนาดไหนถึงได้รับการยกย่องจากแฟนบอลในระดับนั้น ?

ผู้เขียนขอยกข้ออ้างที่ไกลตัวสุดอย่าง การไม่ได้รับความสนใจจากสื่อมากเท่าที่ควรมาพูดถึงก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถึงแม้จะเป็นเหตุผลที่ฟังดูตลก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง เพราะช่วงเวลาที่ คอสต้า พีคสุดบนเส้นทางลูกหนังเขาเล่นให้กับสโมสรที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่าง ฟิออเรนตินา นานหลายปีนั่นเอง

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องฝีเท้าแล้ว นี่คืออัจฉริยะลูกหนังที่มีความร้ายกาจมากสุดคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เอาง่าย ๆ ว่าคุณจะหาเพลย์เมคเกอร์คนไหนที่เล่นเข้าขากับดาวยิงระดับพระกาฬอย่าง กาเบรียล บาติสตูตา ได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเท่านี้อีก ? เพราะขนาดตัวเทพ ๆ อย่าง ฟรานเชสโก้ ต็อตติ ยังเข้าถึงสไตล์ของ บาติโกล์ ได้ไม่ลึกเท่ากับตำนานชาวโปรตุเกสคนนี้เลยด้วยซ้ำ

จุดเด่นของ “เจ้าพ่อถุงเท้าครึ่งแข้ง” คนนี้ก็คือการสร้างสรรค์เกมบุกด้วยมิติอันหลากหลายด้วยตัวคนเดียว ทั้งการลากบอลทะลุทะลวงผ่านแนวรับเข้าหากรอบเขตโทษ, การแทงบอลทะลุช่องที่อันตรายเหนือจินตนาการของแนวรับจนแทบไม่มีใครต้านอยู่, ชิ่ง 1-2 กับเพื่อนแบบเป๊ะเวอร์, ครอสจากด้านข้างก็แม่นยำราวจับวาง แถมยังพังประตูได้เองแบบยิงเข้ามุมทุกลูกอีกด้วย

และถึงแม้สถิติการยิง+แอสซิสต์ของ คอสต้า ในฐานะแข้งม่วงมหากาฬจะไม่ค่อยสวยสักเท่านักเพราะมีตัวเลขสูงจริง ๆ แค่ 2 ซีซั่น (ปี 1998-99 ทำได้ 14 ประตู 3 แอสซิสต์ / ปี 2000-01 ทำได้ 8 ประตู 9 แอสซิสต์) แต่อิทธิพลที่เขามีต่อเกมนั้นมากมายมหาศาลจนเรียกว่าขาดไม่ได้เลยสักเกมเดียว

ถ้าลองถามคนที่ติดตามเกมลีกกัลโช เซเรียอา ในยุค 90’s อย่างจริงจังว่าเพลย์เมคเกอร์คนไหนเล่นฟุตบอลได้คลาสสิก บุคลิกโดดเด่นเป็นสง่ามากที่สุด แน่นอนว่าส่วนใหญ่จะต้องเอ่ยชื่อของ รุย คอสต้า ขึ้นมาแน่ ๆ และเชื่อว่าคงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เด็ก ๆ หลายคนอยากเล่นฟุตบอลให้ได้เหมือนเขาด้วยเช่นกัน

ตามที่บอกเอาไว้ข้างต้นว่าการจ่ายบอลทะลุช่องของ คอสต้า มีความอันตรายสูงมาก ส่วนหนึ่งมาจากการมีคู่หูสำคัญเป็น บาติสตูต้า และอีกส่วนหนึ่งก็คือเขาใช้มันสมองคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนได้ในเสี้ยววินาทีว่าเพื่อนจะวิ่งไปทางไหน, จ่ายบอลด้วยน้ำหนักเท่าไหร่ถึงได้เปรียบฝ่ายตรงข้าม และเอาไปยิงต่อได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาแต่ง

แต่ก่อนปล่อยบอลออกจากเท้า เขาจะสังเกตตำแหน่งการยืนของแนวรับทุกคนอย่างละเอียดเพื่อดึงหาจังหวะที่ “สมบูรณ์แบบ” ที่สุด จากนั้นก็ ชึ่บ ! กดปุ่มสามเหลี่ยมแทงทะลุช่องไปให้เพื่อนซัดตุงตาข่ายแบบสวย ๆ

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของวิสัยทัศน์การอ่านเกมที่ขาดสุด ๆ ข้ามช็อตเกินกว่าคนอื่นในสนามไปหลายจังหวะจนทำให้เกมของ ฟิออเรนตินา มีความไหลลื่นดุดันได้ใจคอลูกหนังสุด ๆ แม้จะแพ้บ้างชนะบ้างเสมอบ้าง และไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมาย

ความใจเย็นและไม่เห็นแก่ตัวของ คอสต้า เองก็ถูกยกย่องอย่างมากจากนักฟุตบอลที่เคยเล่นร่วมกันมาทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติโปรตุเกส เพราะเขาไม่เคยพลาดโอกาสที่จะจ่ายให้เพื่อนเข้าทำในจังหวะสวย ๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญบนเส้นทางค้าแข้งของ รุย คอสต้า เกิดขึ้นในปี 2000 เมื่อคู่หูคนสำคัญอย่าง บาติสตูต้า ตัดสินใจย้ายออกไปอยู่กับ โรมา แบบเซอร์ไพร์สคนทั้งโลกด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องการคว้าแชมป์อย่างจริงจังบ้างสักครั้งในชีวิตการเป็นนักเตะอาชีพ

แต่ถึงกระนั้น สตาร์ชาวโปรตุเกสก็พร้อมแบกรับภาระของทัพม่วงมหากาฬเอาไว้บนบ่าแต่เพียงผู้เดียว ช่วยสร้างสรรค์เกมบุกให้กับกองหน้าอย่าง นูโน โกเมซ และ เอ็นริโก เคียซา พร้อมทำประตูเองต่อเนื่องตลอดทั้งฤดูกาล 2000-01 จนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ โคปา อิตาเลีย มาครองได้สำเร็จ แม้จะจบอันดับ 9 ในลีกก็ตาม

ฤดูกาลถัดมา คอสต้า ตัดสินใจพาตัวเองออกไปหาความท้าทายใหม่กับ เอซี มิลาน ซึ่งทำให้แฟน ๆ ทีม ฟิออเรนตินา ต้องโศกเศร้ากันยกใหญ่ เพราะปีก่อนเพิ่งเสีย บาติโกล์ ไปหมาด ๆ แต่ทุกคนเข้าดีว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

เช่นเดียวกันกับโชคชะตาของ คอสต้า บนเส้นทางลูกหนัง เพราะหลังจากนั้นถึงแม้เขาจะถูกมองว่าเป็นตัวบัญชาเกมชั้นยอดของทัพปีศาจแดง-ดำ แต่ก็ไม่ได้รับการยกย่องในเรื่องของฝีเท้าหรือผลงานสูงเท่ากับตอนเล่นให้ทีมจากเมือง ฟลอเรนซ์ เลยแม้แต่น้อย

ปี 2006 คอสต้า ใช้เวลาช่วงบั้นปลายเส้นทางค้าแข้งกับทีมในประเทศบ้านเกิดอย่าง เบนฟิก้า ก่อนจะแขวนสตั๊ดไปอย่างเรียบง่ายในอีก 2 ฤดูกาลให้หลัง ถือเป็นการปิดตำนาน เพลย์เมคเกอร์ No.10 ที่คลาสสิกสุดแห่งยุคสมัยไปแบบไม่ค่อยมีสื่อให้ความสนใจมากนัก

แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจก็คือ หลังจากยุคของ รุย คอสต้า ไปแล้ววงการลูกหนังก็หาแข้งเทพ ๆ ในตำแหน่งนี้ สไตล์การเล่นแบบนี้ได้ยากมากเหลือเกิน แถมพอวันเวลาผ่านไป ชุดแข่งหมายเลข 10 ก็ถูกเปลี่ยนไปให้ผู้เล่นกองหน้าหรือสไตรเกอร์ใช้กันมากขึ้น รวมถึงแท็คติกแบบโมเดิร์นฟุตบอล ไม่ค่อยเน้นตำแหน่งนี้กันแล้วด้วย

สมมติว่าในอนาคตจะมีเพลย์เมคเกอร์ No.10 แบบดั้งเดิมแจ้งเกิดขึ้นมา เชื่อว่ายังไงก็เป็นที่ต้องการของวงการลูกหนังอยู่ดี ไม่ช้าก็เร็วคงได้เห็นกันอีกแน่ เอาหัวเป็นประกันได้เลย

ลิเวอร์พูล 5-5 อาร์เซนอล (ดวลจุดโทษ 5-4) : เก็บตก 5 ประเด็นร้อนหลังผลฟุตบอลคาราบาว คัพ ที่ แอนฟิลด์

การแข่งขันฟุตบอล คาราบาว คัพ 2019/20 รอบ 16 ทีมสุดท้าย

คืนวันพุธที่ 30 ตุลาคม 2019

เวลาแข่งขัน02.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

ผลการแข่งขัน ลิเวอร์พูล 5-5 อาร์เซนอล
หงส์แดง เอาชนะในการดวลลูกจุดโทษ 5-4

สนามแอนฟิลด์


5. เกมที่บ้าคลั่ง!

แม้ากความเป็นจริงที่ว่าถ้วย คาราบาว คัพ เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ทั้ง ลิเวอร์พูล และ อาร์เซนอล ต่างไม่ได้ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ จากการพิจาณาด้วยตัวผู้เล่นที่ทั้ง 2 ทีมส่งลงสนาม แต่เกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่ แอนฟิลด์ ก็ได้กลายเป็นเกมสุดมันส์ขึ้นแท่นหนึ่งในแมตช์คลาสสิคไปในทันทีหลังสิ้นเสียงนกหวีดเมื่อมีประเด็นดรามาให้ได้พูดถึงตลอดทั้ง 90 นาที​ (ซึ่งสิ้นสุดลงที่การดวลลูกจุดโทษ)

หงส์แดง ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เปิดตัว เนโก้ วิลเลียมส์ (18 ปี) ประจำการที่ตำแหน่งแบ็คขวาโดยมี เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก (17 ปี) รับบทบาทเซ็นเตอร์แบ็ค ขณะที่ ฮาร์วีย์ เอลเลียต (16 ปี) โลดแล่นที่ริมเส้นฝั่งขวา และ ริอาน บรูวสเตอร์ (19 ปี) เป็นศูนย์หน้าตัวเป้า

ฝั่ง ไอ้ปืนใหญ่ ของ อูไน เอเมรี ดูจะเหลื่อมกว่าเล็กน้อยเมื่อเข็นเอาบรรดานักเตะในทีมชุดใหญ่ที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกสตาร์ทลงสนามโดยมีไฮไลท์เป็นการกลับสู่ทีมอีกครั้งของ เมซุต เออซิล

เกมออกสตาร์ทด้วยประตูที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 8 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ ชโครดาน มุสตาฟี ก่อนที่จะจบครึ่งแรกด้วยการนำ 3-2 ของ เดอะกันเนอร์ส

ทีมเยือนทิ้งห่างเป็น 4-2 เมื่อเริ่มต้นครึ่งหลังได้ไม่กี่อึดใจก่อนที่โมเมนตัมของเกมจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อเจ้าถิ่นไล่ฮึดตีตื้นเป็น 4-4 ได้เพียงไม่นานหลังจากนั้น

โจ วิลล็อค เกือบจะได้เป็นฮีโร่เมื่อซัลโวประตูสุดสวยในนาทีที่ 70 ให้ลูกทีมของ เอเมรี ขึ้นนำอีกคำรบเป็น 5-4 แต่แล้วก็ถูก ดิว็อค โอริกี ขโมยซีนในช่วงทดเวลาบาดเจ็บวอลเลย์ประตูตีเสมอ 5-5 ก่อนที่พลพรรค เร้ดแมชีน จะพลิกกลับมาเอาชนะได้สำเร็จในการดวลลูกโทษที่จุดโทษ (มีเพียง ดานี เซบาญอส คนเดียวที่พลาดการดวลลูกจุดโทษ)

4. เออซิล คัมแบ็ค

เกมก่อนหน้านี้ที่ เมซุต เออซิล ได้ลงสนามวาดลวดลายให้กับ อาร์เซนอล ต้องย้อนกลับไปถึงเดือนกันยายนในเกม คาราบาว คัพ รอบ 32 ทีมสุดท้ายที่ ไอ้ปืนใหญ่ ถล่มเอาชนะ นอตติงแฮม ฟอเรสต์ 5-0 และเจ้าตัวไม่มีส่วนร่วมแม้กระทั่งการมีชื่อบนม้านั่งสำรองอีกเลยตลอด 6 เกมที่ผ่านมาทั้งในศึก พรีเมียร์ลีก  และ ยูฟ่า ยูโรปาลีก

แฟนบอล เดอะกันเนอร์ส ได้เห็น เออซิล ลงสนามให้กับทีมอีกครั้งสมใจหลังจากการเรียกร้องอย่างหนักของพวกเขาในช่วงหลังมานี้และเจ้าตัวก็ยังสามารถรักษาคลาสของตนเองได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย เพลย์เมคเกอร์ชาว เยอรมัน ประจำการที่หลัง กาเบรียล มาร์ติเนลลี ในบทบาทแข้งหมายเลข 10 พร้อมกับคอยเคลื่อนที่โจมตียังพื้นที่อันตราย ขณะที่เซนส์ในการผ่านบอลและทัศนคติแบบจอมแอสซิสต์ยังมีให้เห็นอยู่เต็มเปี่ยมอย่างชัดเจน

แน่นอนว่า เออซิล ยังมีจุดแข็งในตัวไม่ต่างจากเดิม แต่ในทางเดียวกัน สไตล์การเล่นซึ่งทำให้ทีมขาดหมากที่จะไล่บีบพื้นที่คู่แข่งไป 1 ตัวคือสิ่งที่ เอเมรี ต้องแลกมา ซึ่งแข้งวัย 31 ปีอาจไม่สามารถเปลี่ยนวิถีการเล่นของตนเองให้เป็นไปตามฟุตบอลในอุดมคติของกุนซือชาว สเปน ได้ ทว่ามิดฟิลด์แชมป์โลกรายนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขายังฉมังในวิถีของตนเองไม่เปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับว่า อูไน จะพิจารณาเลือกใช้ เออซิล ในสถานการณ์ที่เจอกับคู่ต่อสู้อันเหมาะสมหรือไม่เท่านั้น

3. คู่เซ็นเตอร์แบ็ค ปืนใหญ่ น่าเป็นห่วง

นับตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่จนถึงเวลานี้ หากคู่เซ็นเตอร์แบ็คตัวจริงของ อาร์เซนอล อย่าง ดาวิด ลุยซ์ กับ โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส ไม่ป่วยไข้หรือติดโทษแบน รวมทั้งไม่ใช่การลงโม่แข้งในเกม พรีเมียร์ลีก เราจะไม่ได้เห็น ร็อบ โฮลดิ้ง กับ ชโคดราน มุสตาฟี ลงเล่นเลยแม้สักเกมเดียว

ในขณะที่คู่ ลุยซ์-โซคราติส ผลัดกันผีเข้า-ผีออกซึ่งอาจเป็นวันที่พวกเขาดวงแตกสุดๆ หากทั้งสองนัดกันผีออกพร้อมๆ กัน  คู่เซ็นเตอร์แบ็คอัพอย่าง โฮลดิ้ง-มุสตาฟี ที่ อูไน เอเมรี ใช้งานในเกมนี้ยิ่งทำให้สาวก เดอะกันเนอร์ส เสียวสันหลังวาบยิ่งขึ้นไปอีก

การเล่นของ โฮลดิ้ง วันนี้อาจพอเอาตัวรอดได้บ้างแม้พื้นที่ช่องว่างระหว่างเขากับ โคลาซินาช จะถูก หงส์แดง เน้นเจาะเข้าทำอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นจนเป็นเหตุให้เสียประตู แต่สำหรับ มุสตาฟี แล้วนั้นเป็นอีกเกมที่เจ้าตัวไม่อาจไว้วางใจได้เลยแม้แต่น้อยเมื่อเซ็นเตอร์แบ็คชาว เยอรมัน มีทีท่าพร้อมที่จะแสดงความผิดพลาดให้เห็นได้ทุกเมื่อทั้งในการป้องกันและการเซ็ตบอลจากแดนหลัง

2. วิลเลียมส์ โดดเด่นกับเกมเดบิวท์, ฟาน เดน เบิร์ก ยังต้องเสริมกระดูก

นับเป็นเกมที่ เนโก้ วิลเลียมส์ แบ็คขวาวัย 18 ปีและ เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก เซ็นเตอร์แบ็คอายุ 17 ปี 2 แข้งแนวรับของ ลิเวอร์พูล เดบิวท์อย่างเป็นทางการต่อหน้า เดอะค็อป ในถิ่น แอนฟิลด์

วิลเลียมส์ ในฐานะแข้งลูกหม้อจากสถาบันลูกหนัง หงส์แดง เจอกับงานยากตั้งแต่ต้นเกมเมื่อต้องรับมือกับ บูกาโย ซาก้า ดาวรุ่งฟอร์มร้อนแรงของ ไอ้ปืนใหญ่ และมีช็อตที่เขาเสียท่าคู่แข่งรายนี้ให้เห็น แต่เจ้าตัวค่อยๆ ยกระดับความมั่นใจของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปก่อนที่จะมีส่วนสำคัญกับเกมในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งหลังเมื่อเป็นคนเติมขึ้นไปสุดเส้นแอสซิสต์ให้กับ ดิว็อค โอริกี พังประตูตีเสมอ 5-5

ขณะที่ปราการหลังคนใหม่ถอดด้ามของ เร้ดแมชีน ที่ย้ายมาร่วมทัพเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาอย่าง ฟาน เดน เบิร์ก ยังคงไม่สามารถตัดสินใจให้เด็ดขาดกับการป้องกันในหลายๆ จังหวะ เช่นเดียวกับการยืนตำแหน่งที่ไม่ดีพออีกหลายครั้ง บวกกับ โจ โกเมซ คู่หูรุ่นพี่ในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางก็ไม่ได้แสดงบทบาทความเป็นผู้นำช่วยเจ้าหนูวัย 17 ปีรายนี้เท่าไหร่นักอีกเช่นกัน

1. โอริกีไทม์!

แม้แดนหน้าชุดที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล จะไม่มีชื่อของ ดิว็อค โอริกี อยู่ในนั้น แต่บทบาทอะไหล่ที่สามารถจุดประกายให้กับทีมก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ต่างกัน

ศูนย์หน้าทีมชาติ เบลเยียม รับบทบาทพี่ใหญ่แบกแนวรุกของ หงส์แดง ในเกมนี้ด้วยการขับเคลื่อนการโจมตีที่กราบซ้ายในช่วงแรกของเกมซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้น่าพอใจกับการพักบอลและใช้ทักษะดวลหนึ่งต่อหนึ่งเอาชนะแนวรับของ อาร์เซนอล เพื่อเปิดบอลไปที่หน้าปากประตู ก่อนที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะจับเขาขยับมาใกล้พื้นที่กรอบเขตโทษมากขึ้นในครึ่งหลัง และนั่นเองที่ทำให้แข้งวัย 24 ปลดปล่อยพิษสงออกมาอย่างเต็มเปี่ยม

ประตูตีเสมอ 4-4 ของ โอริกี เกิดจากสัญชาตญาณที่เฉียบขาดเมื่อพลิกบอลที่หน้าปากประตูของ ไอ้ปืนใหญ่ หนีกองหลังเพื่อเปิดช่องว่างให้ตัวเองได้ซัลโวเหน่งๆ ชนิดที่ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ สุดปัญญาจะปัดบอลพ้นอันตราย ก่อนที่เจ้าตัวจะพังประตูตีเสมออีกครั้ง 5-5 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากเซนส์ในการยืนตำแหน่งถูกที่ถูกเวลา

โอริกี อาจจะไม่ได้มีช่วงเวลามหัศจรรย์กับ หงส์แดง มากนักตลอด 5 ฤดูกาลในถิ่น แอนฟิลด์ โดยที่หนึ่งในนั้นถูกส่งยืมตัวไปยัง โวล์ฟสบวร์ก ด้วยซ้ำ แต่นี่คือหนึ่งในผลงานอันตราตรึงของเจ้าตัวที่น่าประทับใจพอๆ กับการยิงได้ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศเมื่อซีซันที่ผ่านมาทีเดียว

[Player Ratings] เกมรุกสะเด่า-เกมรับตกระนาว! ตัดเกรดแข้ง ลิเวอร์พูล-อาร์เซนอล ศึก คาราบาว คัพ

การแข่งขัน ฟุตบอล คาราบาว คัพ 2019/20 รอบ 16 ทีมสุดท้าย
วันแข่งขัน คืนวันพุธที่ 30 ตุลาคม 2019
เวลาแข่งขัน 02.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน ลิเวอร์พูล 5-5 อาร์เซนอล
หงส์แดง เอาชนะในการดวลลูกจุดโทษ 5-4
สนาม แอนฟิลด์

คะแนนนักเตะ ลิเวอร์พูล

ควิวีน เคลเลเฮอร์ – 6/10

ดูจะสูญเสียความมั่นใจกับการเซ็ตบอลสั้นที่แดนหลังลงไปเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป น่าจะทำได้ดีกว่านี้กับ 2 ประตูที่เสียไปจากการปัดบอลไม่พ้นอันตรายแต่สุดท้ายก็สามารถงัด 1 เซฟในการดวลลูกจุดโทษพาทีมกรุยทางสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายสำเร็จ

เนโก้ วิลเลียมส์ – 7/10

FBL-ENG-LCUP-LIVERPOOL-ARSENAL

ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าที่จะหายเกร็งในเกมประเดิมสนามนัดแรกให้กับทีมชุดใหญ่ ค่อยๆ มีส่วนร่วมกับเกมรุกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในครึ่งเวลาหลังก่อนที่จะกลายเป็นคีย์แมนแอสซิสต์ให้กับ ดิว็อค โอริกี ยิงประตูตีเสมอ 5-5 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

โจ โกเมซ – 6/10

ถูก กาเบรียล มาร์ติเนลลี ชิงจังหวะเล่นก่อนต่อหน้าต่อตาไป 1 ครั้ง ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นลูกพี่ในแดนหลังที่ขนาบข้างด้วย วิลเลียมส์ และ เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก ได้

เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก – 6/10

ทำได้น่าพอใจในระดับหนึ่งหากพิจารณาแค่การเซ็ตบอลจากแนวรับ ต่อนอกจากนั้นยังคงต้องถูกบ่มเพาะอีกมากทั้งการยืนตำแหน่งและความเด็ดขาดในการเข้าบอล

เจมส์ มิลเนอร์ – 6/10

ประจำการที่ตำแหน่งแบ็คซ้ายและเริ่มต้นด้วยการซัดจุดโทษในช่วงท้ายครึ่งแรกเป็นประตูไล่จี้ ปืนใหญ่ 3-2 ก่อนที่จะพลาดมหันต์ในช็อตส่งคืน เคลเลเฮอร์ สั้นเกินไปจนเป็นเหตุให้เสียประตูในครึ่งหลัง แต่นอกเหนือจากนั้นก็นับว่าสามารถรักษามาตรฐานได้ดี

อดัม ลัลลานา – 6/10

ทำหน้าที่เป็นมิดฟิลด์ตัวรับและทำได้น่าพอใจในระดับหนึ่งกับการไล่บีบพื้นที่แต่เจ้าตัวเสียบอลในจังหวะสำคัญบ่อยครั้งและดูจะหมดก๊อกในช่วงท้ายเกม

นาบี เกอิต้า – 5/10 

ทำได้เพียงการแปะบอลไปมาแบบเพลย์เซฟ ไม่ได้มีจังหวะทะลุทะลวงหรือจ่ายบอลคิลเลอร์พาสให้เห็นเลยจนถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง

อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน – 7/10

Joe Willock,Alex Oxlade-Chamberlain

ออกสตาร์อย่างหวือหวากับการมีส่วนสำคัญในประตูขึ้นนำ 1-0 ตั้งแต่ต้นเกม เคลื่อนที่หาพื้นที่ว่างเพื่อขับเคลื่อนเกมรุกของ หงส์แดง บ่อยครั้งก่อนจะซัลโวจากนอกกรอบเขตโทษอันเป็นเครื่องหมายการค้าเป็นประตูในครึ่งหลัง

ฮาร์วีย์ เอลเลียต – 6/10

วูบวาบให้เห็นอยู่บ้างที่ริมเส้นฝั่งขวาแต่ส่วนมากมักเป็นการทำบอลเสียเองเมื่อเข้าพื้นที่อันตรายและถูกโยกไปฝั่งซ้ายในเวลาต่อมา มีส่วนสำคัญในท้ายครึ่งแรกเมื่อเรียกจุดโทษให้กับทีมไล่ตามขึ้นมาเป็น 3-2

ริอาน บรูวสเตอร์ – 7/10

มีส่วนกับการกดดัน ชโครดาน มุสตาฟี ให้ทำเข้าประตูตัวเองในช่วงต้นเกมก่อนจะเตะตากับช็อตชิงหวะเล่นเอาชนะ มุสตาฟี ได้ในครึ่งแรก โดยรวมดูมีความกระตือรือล้นยามวิ่งหาพื้นที่และเล่นกับบอล

ดิว็อค โอริกี – 8/10

กลายเป็นแข้งความหวังในแนวรุกยามประจำการที่กราบซ้ายในครึ่งแรก มีส่วนร่วมกับเกมมากก่อนที่จะสามารถยกระดับตัวเองให้ยอดเยี่ยมขึ้นไปอีกในครึ่งหลังและจบเกมด้วยการมีชื่อบนสกอร์บอร์ด 2 ครั้ง

ตัวสำรอง

เคอร์ติส โจนส์ (แทนที่ เกอิต้า นาทีที่ 55) – 7/10 : เร่งจังหวะของเกมในแดนกลางได้ดีกว่า เกอิต้า อย่างเห็นได้ชัดก่อนแอสซิสต์ให้กับ โอริกี ในประตูที่ 4 ตามด้วยการปิดท้ายในการดวลลูกจุดโทษอย่างเด็ดขาด

เปโดร คิริเวลลา (แทนที่ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน นาทีที่ 81) – N/A


คะแนนนักเตะ อาร์เซนอล

เอมิเลียโน มาร์ติเนซ​ – 5/10

ไม่สามารถโทษเจ้าตัวได้เลยกับทั้ง 5 ประตูที่ อาร์เซนอล เสียไปเมื่อแต่ละลูกของ ลิเวอร์พูล นั้นเป็นการจบสกอร์อย่างยอดเยี่ยมทั้งหมดเช่นเดียวกับการดวลลูกจุดโทษหลังการเสมอในเวลาปกติ ขณะที่แนวรับของทีมไม่ได้ช่วย มาร์ติเนซ นักเช่นกัน

เอคตอร์ เบเยริน – 8/10

Hector Bellerin

ทำหน้าที่สวมปลอกแขนกัปตันทีมและรับมือกับ ดิว็อค โอริกี ได้น่าพอใจกระทั่งช่วงทดเวลาบาดเจ็บจนเป็นเหตุให้ทีมเสียประตูตีเสมอ 5-5

ชโครดาน มุสตาฟี – 4/10

ออกสตาร์ทด้วยการดวงแตกสกัดบอลเข้าประตูตัวเองตามด้วยการป้องกันที่ไม่เด็ดขาดเอาเสียเลยหลังจากนั้นตลอดทั้งเกมรวมถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเมื่อตกอยู่ภายใต้ความกดดัน

ร็อบ โฮลดิ้ง – 6/10

อย่างน้อยก็สามารถทำได้น่าประทับใจมากกว่าคู่หูในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คของเขาในเกมนี้

เซอัด โคลาซินาช – 4/10

มีปัญหาในการรับมือกับความคล่องแคล่วของ ฮาร์วีย์ เอลเลียต อยู่บ้างในช่วงต้นเกมและถูกเจาะที่พื้นที่ว่างระหว่างเขากับ โฮลดิ้ง ก่อนที่จะสามารถยกระดับขี้นมาได้บ้างในครึ่งหลัง

ลูคัส ตอร์เรย์รา – 8/10

รับบทบาทห้องเครื่องบ็อกซ์ทูบ็อกซ์และทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งในเกมรับและเกมรุก

โจ วิลล็อค – 6/10

แทบจะไร้บทบาทกับเกมในช่วงต้นก่อนที่เจ้าตัวจะขยับมาทำหน้าที่เพลย์เมคเกอร์หมายเลข 10 หลัง มาร์ติเนลลี เมื่อ เออซิล ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามและซัดไกลสุดสวยในตำแหน่งดังกล่าว

เอนสลีย์ เมตแลนด์-ไนลส์ – 7/10

ค่อยๆ เล่นอย่างมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ไม่ใช่เกมที่สมบูรณ์แบบของเจ้าตัวนักแต่ก็นับว่าทำหน้าที่ได้น่าพอใจในระดับหนึ่งกับบทบาทปีกขวาที่ไล่บี้เพรสซิงคู่ต่อสู้และโจมตีคู่แข่งแบบไดเร็กต์

เมซุต เออซิล – 8/10

FBL-ENG-LCUP-LIVERPOOL-ARSENAL

ออกสตาร์ทอย่าง เออซิล คนเดิมไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยใน 10 นาทีแรกเมื่อเราแทบไม่เห็นการไล่บีบพื้นที่คู่แข่งเลยของเจ้าตัวและมีเพียงการตามวิ่งประคองเพื่อนร่วมทีมในเกมรับเท่านั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะฉายแสงอีกเช่นเคยเมื่อสามารถจับจังหวะของตัวเองได้ด้วยวิสัยทัศน์การผ่านบอลและเซนส์ในการหาพื้นที่ว่าง

บูกาโย ซาก้า – 8/10

วูบวาบแทบทุกครั้งยามได้บอล สร้างปัญหาให้กับ เนโก้ วิลเลียมส์ อย่างเห็นได้ชัดแต่เจ้าตัวมักไม่ได้รับบอลจากเพื่อนร่วมทีมมากอย่างที่ควร

กาเบรียล มาร์ติเนลลี – 9/10

ยังคงไล่ล่าประตูอย่างกระหายเช่นเคยและเกือบที่จะพังแฮตทริคสำเร็จตั้งแต่ก่อนจบครึ่งแรก โดดเด่นกับการหาพื้นที่ว่างเพื่อโจมตีแนวรับคู่ต่อสู้

ตัวสำรอง

มัตเตโอ เกนดูซี (แทนที่ เออซิล นาทีที่ 65) – 5/10 : ถูกส่งลงมาเพื่อขันเกมที่แดนกลางเมื่อโมเมนตัมกลายเป็นของ หงส์แดง

ดานี เซบาญอส (แทนที่ ตอร์เรย์รา นาทีที่ 72) – 5/10 : ทำได้น่าพอใจในระดับหนึ่งกับการผ่านบอลและครอบครองบอล

คีแรน เทียร์นีย์ (แทนที่ โคลาซินาช นาทีที่ 83) – N/A

แม้ถล่มมา 4-0 ! โซลชา ยัน ผีแดง ไม่ได้เหนือกว่า สิงห์บลู

​โอเล กุนนาร์ โซลชา กุนซือ ​แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่คิดว่าพวกเขาเหนือกว่า ​เชลซี แม้ในเกมเปิดสนาม ​ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ จะเป็นฝ่ายเอาชนะได้ถึง 4-0 ก็ตาม 

โดย ปีศาจแดง กำลังจะไปเยือน สิงห์บลู ของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่กำลังทำผลงานได้เป็นอย่างดีในศึก คาราบาวคัพ กลางสัปดาห์นี้นั่นเอง

“ผมคิดว่า แฟรงค์ สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและจริงๆ แล้วตอนพวกเขาเจอเราก็ถือว่าเล่นดีเลยแม้ผลการแข่งขันจะออกมาแย่ก็ตาม” โซลชา กล่าว

“เราจำเป็นต้องยอมรับว่าการชนะพวกเขา 4-0 นั้นมันออกจะเกินไปหน่อย มันเป็นจังหวะที่ เชลซี บีบเกมแต่เราก็สามารถสวนกลับไปยิงประตูได้”

“อย่างไรก็ตามผมก็ไม่คิดว่าการเอาชนะ 4-0 นั้นหมายถึงเราดีกว่าพวกเขา ดังนั้นเกมต่อไปที่จะเจอกันจึงน่าสนใจมากๆ และนี่ก็จะไม่ใช่งานง่ายเลย”

เจ๋งกว่าตูอีก ! เฮนเดอร์สัน ยก ฟาบินโญ สุดยอดกองกลางตัวรับ

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม ลิเวอร์พูล ออกมาชื่นชม ฟาบินโญ สำหรับการเล่นเป็นกองกลางตัวรับของทีมตำแหน่งเดิมของตัวเอง

ฟาบินโญ ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมให้ ลิเวอร์พูล มาตลอดตั้งแต่เปิดฤดูกาลโดยเฉพาะกับนัดล่าสุดที่ชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไป 2-1 ซึ่งสามารถคว้ารางวัลแมนออฟเดอะแมตช์ได้ด้วย

“ฟาบินโญ สุดยอดมากๆ” เฮนโด้ กล่าว “มันเป็นอีกหนึ่งเกมที่ยอดเยี่ยมเขาสามารถทำหน้าที่ในตำแหน่งนี้ได้ดีจริงๆ”

“ผมเคยเล่นตำแหน่งนี้มาก่อนเป็นเวลานานเลยล่ะและมันก็เป็นงานยากมากๆ แต่เขาก็ทั้งอ่านเกมพร้อมทำลายจังหวะคู่แข่งได้เป็นอย่างดี เขากำลังอยู่ในช่วงที่สุดยอดเลย”

“เรามีกองกลางหลายคนในทีมซึ่งแต่ละคนก็จะเด่นแตกต่างกันออกไป ผมว่ามันเป็นเรื่องดีนะสำหรับผู้จัดการทีมเพราะเขาจะสามารถเลือกคนที่เหมาะสมในแต่ละเกมได้”

[Match Report] แมนฯ ยูไนเต็ด คืนฟอร์มเก่ง บุกมาเอาชนะ นอริช ได้ 1-3 แม้พลาดถึงสองจุดโทษ

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คืนฟอร์มเก่ง บุกมาถล่ม นอริช ซฺตี้ ทีมรองบ๊วยได้ถึงถิ่น 1-3 แม้เกมนี้ ทัพปีศาจแดง จะพลาดถึง 2 จุดโทษด้วยกัน โดยได้ประตูนำห่าง 3-0 ก่อนจาก สก็อตต์ แมคโทมิเนย์ นาทีที่ 21 มาร์คัส แรชฟอร์ด นาทีที่ 30 และ อองโตนี มาร์กซิยาล ปิดท้ายนาทีที่ 73 ส่วนเจ้าบ้านมาได้ประตูตีไขแตกช่วงท้ายเกมจาก โอเนล เฮอร์นันเดซ นาทีที่ 88 จบเกม แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาคว้าชัยอีกครั้ง เก็บ 3 คะแนน ขึ้นมารั้งอยู่อันดับที่ 7 ได้อีกครั้ง 

​เริ่มเกมในครึ่งแรก ทีมเยือนเป็นฝ่ายทำได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้เจ้าถิ่นจะมีจังหวะสวนกลับได้พอจะได้ลุ้นอยู่บ้าง

กระทั่งนาทีที่ 21 ปีศาจแดง ได้ประตูขึ้้นนำจากจังหวะเปิดมุม กองหลังสะกัดไม่ขาดและเป็น แม็คโทมิเนย์ ฉกมายิงดื้อ ๆ เข้าไป ให้ทีมขึ้นนำ 0-1

Scott McTominay

จากนั้นนาทีที่ 27 ผู้มาเยือนได้จุดโทษจากการที่ แดเนียล เจมส์ โดนเบียดล้มไปในเขตโทษ แต่ แรชฟอร์ด สังหาร พลาดไปติดเซฟ ทิม ครูล เต็ม ๆ

นาทีที่ 30 แรชฟอร์ด มาแก้ตัวได้สำเร็จจากลูกโอเพนเพลย์ เจมส์ เปิดข้ามแนวรับมาให้เขาได้ดวลเดี่ยว และครั้งนี้ไม่พลาด ยิงลอดขาผู้รักษาประตูเข้าไป ทีมเยือนนำห่าง 0-2

ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด มาได้จุดโทษอีกครั้ง จากจังหวะแฮนด์บอลของผู้เล่น นอริช แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ ทิม ครูล ยังเซฟลูกยิงของ มาร์กซิยาล เอาไว้ได้

จบ 45 นาทีแรก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกมานำ นอริช 0-2

ครึ่งหลัง ทีมเยือนถอยลงไปตั้งรับมากขึ้น ทำให้เจ้าบ้านมีโอกาสได้ทำเกมบุกเข้าใส่บ้าง ซึ่งนั่นทำให้เข้าทาง ปีศาจแดง ที่ทำได้ดีในจังหวะสวนกลับเป็นภูมิเดิมอยู่แล้ว และมาได้ประตูที่สาม จากการประสานงานระหว่าง สองแนวรุกหมายเลข 9 และ 10 โดยมาจบที่ มาร์กซิยาล ยกบอลข้ามตัว ทิม ครูล เข้าไปนาทีที่ 73

แม้ทีมเยือนยังคงครองเกมได้เหนือกว่า แต่ก็มาโดนตีไข่แตกช่วงท้ายเกม 1-3 จาก เฮอร์นันเดซ ตัวสำรองของเจ้าถิ่น และจบ 90 นาที แมนฯ ยูไนเต็ด บุกมาชนะในเกมเยือนได้สำเร็จ คว้า 3 แต้มขยับขึ้นมอยู่อันดับ 7 ณ ปัจจุบัน

FBL-ENG-PR-NORWICH-MAN UTD

รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม


นอริช ซิตี้ : ครูล, อารอนส์, อมาดู, ก็อดฟรีย์, ลูอิส, เท็ตเตย์, แม็คลีน, บูนเดีย, เลท์เนอร์, คานท์เวลล์, ปุ๊กกี้

ตัวสำรอง : แม็คโกเวิร์น, บีรัม, ทริบูลล์, เฮอนันเดซ, เดอร์มิช, เซอร์เบนี, สตีเปอร์มันน์

​​แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : เด เคอา, วาน-บิสซาก้า, ลินเดอร์เลิฟ, แม็คไกวร์, ยัง, แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด, อันเดรียส, มาร์กซิยาล, เจมส์, แรชฟอร์ด​

ตัวสำรอง : โรเมโร, โรโฮ, วิลเลียมส์, มาต้า, มาร์กซิยาล, การ์เนอร์, กรีนวู้ด

นอริช ซิตี้ vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน



ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


นอริช

ทีมนกขมิ้น ฟอร์มกำลังย่ำแย่สุด ๆ รั้งอันดับรองบ๊วยของตาราง 4 เกมหลังสุดไม่ชนะใครเลย แถมสัปดาห์นี้ พวกเขาต้องเจองานหนักมีคิวเปิดบ้านรับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ก็ยังเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นหากพวกเขาสามารถตั้งรับได้อย่างเหนียวแน่น และอาศัยจังหวะโต้กลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ยังพอมีโอกาสคว้าแต้มติดมือได้ในเกมนี้

สถาพทีมในปัจจุบัน ยังไม่สามารถใช้งาน แกรนท์ ฮานลีย์, ทิมม์ โคลเซ และ คริส ซิมเมอร์แมนน์ ที่ยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บ ส่วนในรายของ ราล์ฟ ฟาห์รมันน์ และ มาริโอ วรานซิช ยังต้องรอเช็คความพร้อมก่อนเกมอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-5-1

ผู้รักษาประตู ครูล์
กองหลัง อารอนส์, ก็อดฟรีย์, อมาดู, ลูอิส
กองกลาง ไลต์เนอร์, เท็ตเทย์, คานท์เวลล์, แม็คคลีน, บูนเดีย
กองหน้า ปุ๊กกี้

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ปีศาจแดง ทำผลงานได้ดีขึ้นในระยะหลัง ด้วยการยันเสมอจ่าฝูง ลิเวอร์พูล 1-1 เมื่อสัปดาห์ก่อน และบุกไปเอาชนะ ปาร์ติซาน ในรายการ ยูโรปาลีก กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงไม่สามารถรอดพ้นคำวิจารณ์เรื่องฟอร์มการเล่นที่ยังคงเอาแน่เอานอนไม่ได้ โดยเฉพาะกับทีมเล็กที่พวกเขามักจะมีปัญหาในการรับมืออยู่เสมอ

วันอาทิตย์นี้ ทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ต้องบุกไปเยือน แคร์โรว์ โร้ด รังเหย้าของ นอริช ซิตี้ ที่ฟอร์มกำลังย่ำแย่ แพ้ไปถึง 7 จาก 10 เกมในซีซั่นนี้ แต่ทีมแบบนี้แหละที่มักจะเป็นของแสลงของ พลพรรคเร้ดเดวิลส์ เสมอ ต้องมาดูกันว่าเกมนี้ โซลชา จะสามารถพาทีมโชว์ฟอร์มเก่งเพื่อลบคำวิจารณ์ต่าง ๆ ได้หรือไม่ วันอาทิตย์ ห้าทุ่มครึ่ง รู้กัน

สถาพทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ในขณะนี้ ยังคงมีผู้เล่นบาดเจ็บอยู่รายหลายไม่ว่าจะเป็น เอริค ไบยี, ทิโมธี โฟซู-เมนซาห์ และ พอล ป็อกบา, อักเซล ตวนเซเบ้ และ เนมานยา มาติช ที่มีอาการบาดเจ็บไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู เด เคอา
กองหลัง โรโฮ, ลินเดเลิฟ, แม็คไกวร์, ยัง
กองกลาง แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด, อันเดรส
กองหน้า แรชฟอร์ด, ลินการ์ด, เจมส์

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


นอริช ซิตี้ (ชนะ 1 เสมอ 3 แพ้ 1)

19 ต.ค. PL บอร์นมัธ 0-0 นอริช
5 ต.ค. PL นอริช 1-5 แอสตัน วิลลา
28 ก.ย. PL คริสตัล พาเลช 2-0 นอริช
21 ก.ย. PL เบิร์นลีย์ 2-0 นอริช
14 ก.ย. PL นอริช 3-2 แมนฯ ซิตี้

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ชนะ 1 เสมอ 3 แพ้ 1)

24 ต.ค. UEL ปาร์ติซาน 0-1 แมนฯ ยูไนเต็ด
20 ต.ค. PL แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 ลิเวอร์พูล
6 ต.ค. PL นิวคาสเซิล 1-0 แมนฯ ยูไนเต็ด
3 ต.ค. UEL อัลค์มาร์ 0-0 แมนฯ ยูไนเต็ด
30 ก.ย. PL แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 อาร์เซนอล

เฮดทูเฮด (นอริช ชนะ 1 เสมอ 0 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 4)

07/05/16 PL นอริช 0-1 แมนฯ ยูไนเต็ด
19/12/15 PL แมนฯ ยูไนเต็ด 1-2 นอริช
26/04/14 PL แมนฯ ยูไนเต็ด 4-0 นอริช
28/12/13 PL นอริช 0-1 แมนฯ ยูไนเต็ด
30/10/13 EFL แมนฯ ยูไนเต็ด 4-0 นอริช

*PL = พรีเมียร์ลีก / UEL = ยูฟ่า ยูโรปาลีก / EFL = คาราบาวคัพ


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • 12 เกมล่าสุดที่ทั้งสองทีมนี้พบกัน ไม่มีเกมใดจบลงด้วยผลเสมอเลย เกมล่าสุดที่ทั้งคู่เสมอกันต้องย้อนกลับไปในปี 1993

  • แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกมาเอาชนะ นอริช ซิตี้ ที่ แคร์โรว์ โร้ด ได้ 6 จากทั้งหมด 8 เกม (ชนะ 6 เสมอ 0 แพ้ 2)

  • นอริช จะเป็นทีมน้องใหม่ทีมแรกนับตั้งแต่ปี 2003 ที่จะสามารถเอาชนะทีมจากเมือง แมนเชสเตอร์ ได้ทั้ง 2 ทีม หากพวกเขาชนะได้ในสัปดาห์นี้

  • แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สามารถเอาชนะเกมเยือนใน พรีเมียร์ลีก 8 เกมติดต่อกันแล้ว (ชนะ 0 เสมอ 3 แพ้ 5) โดยสถิติไม่ชนะเกมเยือนที่เคยทำเอาไว้มากที่สุดคือ 11 เกมติดต่อกันในปี 1989

  • ประตูต่อไปที่ ปีศาจแดง ทำได้จะเป็นประตูที่ 2000 ใน พรีเมียร์ลีก

  • 23 จาก 25 ประตูล่าสุดที่ ทัพนกขมิ้น ทำได้ เป็นการยิงประตูในบ้านทั้งหมด

  • ตีมู ปุ๊กกี้ มีส่วนร่วมกับการทำประตูถึง 8 ครั้ง ใน 5 เกมแรกของซีซั่น (ยิง 6 แอสซิสต์ 2) แต่หลังจากนั้นเขายังไม่สามารถยิงหรือแอสซิสต์ได้อีกเลย

  • แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ให้กับทีมน้องใหม่ที่เลื่อนชั้นขึ้นมา 2 เกมติดต่อกันแล้ว (วูล์ฟ, คาร์ดิฟฟ์ ซีซั่นก่อน) พวกเขาไม่เคยแพ้ทีมน้องใหม่ 3 เกมติดมาก่อนเลยนับตั้งแต่ปี 1960