มาเลเซีย 2-1 ทีมชาติไทย : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ฟุตบอลโลก รอบแบ่งกลุ่ม โซนเอเชีย

การแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย
วันแข่งขัน วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2019
เวลาแข่งขัน 19:45 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน มาเลเซีย 2-1 ทีมชาติไทย
สนาม บูกิตจาลิล

ประเด็นร้อนหลังเกม


รูปเกมที่ มาเลเซีย ดูจะเหนือกว่าซะด้วยซ้ำ

เกมนี้ต้องชื่นชมเลยว่ากุนซือ ตัน เชง โฮ วางแผนมารับมือทีมชาติไทยได้อย่างยอดเยี่ยม แถมไม่ใช่แค่การมาตั้งรับแล้วรอสวนกลับ แต่เป็นการครองเกมบุกเข้าใส่ชนิดที่ว่าได้ลุ้นกว่ากันพอสมควรเลยทีเดียว

เริ่มจากเกมรับที่เหนี่ยวแน่น การประกบผู้เล่นที่มีความคล่องตัวสูงของไทยอย่าง ชนาธิป, เอกนิษฐ์ หรือแม้แต่ สุภโชค ถือว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยมจนทั้ง 3 คนนี้เล่นได้ลำบากสุด ๆ

ส่วนเกมรุก ก็ใช้การต่อบอลเจาะทะลุทะลวงแนวรับของไทย ด้วยนักเตะที่มีความเร็ว ความคล่องตัวสูง จนสามารถเอาชนะแนวรับของทัพช้างศึก ไปได้หลายต่อหลายครั้ง มีเร่งเกม มีผ่อนเกม ดูสถานการณ์ตามจังหวะของเกม นั่นจึงทำให้รูปแบบการเล่นของทัพเสือเหลืองในวันนี้ ดูไหลลื่นเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญนำมาซึ่งชัยชนะเหนือ ทีมชาติไทย ต่อหน้าแฟนบอลนับหมื่นในบ้านของตัวเอง

FBL-WC2022-QUALIFIER-FIFA-MAS-THA

เกมรับของไทย ที่ดูเหมือนกับไม่ได้ซ้อมกันมา

วันนี้เราจะเห็นความผิดพลาดในแนวรับของทัพช้างศึกหลายต่อหลายครั้ง และแน่นอนทั้งสองประตูของ มาเลเซีย ก็มาจากความไม่เข้าใจกันในเกมรับของนักเตะทีมชาติไทยเองทั้งสิ้น

ทั้งประตูตีเสมอ ที่นักเตะ มาเลเซีย หลุดขึ้นไปแค่สองคนในจังหวะที่ทะลุขึ้นมา แต่กับไม่มีใครเข้าประกบ หรือเขาไปดีเลย์เลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างยืนคุมโซนดู จนสุดท้ายถูกเปิดตัดเข้ากลางและโฉบมายิงแบบง่าย ๆ ชนิดที่นักเตะไทย 5-6 คนตรงนั้นทำได้เพียงยืนมองบอลผ่านหน้าไปเท่านั้น

ส่วนประตูที่สอง เป็นจังหวะเข้าบอลโดยที่ไม่ได้นัดหมายกันของสองเซ็นเตอร์แบ็คของไทย ทำให้ทั้งสองพยายามวิ่งเข้าไปประกบพร้อม ๆ กัน จนเปิดพื้นที่ด้านหลัง และ นักเตะมาเลเซีย เองก็นิ่งพอที่จะเห็นช่องโหว่ตรงนั้นและนำมาใช้เล่นงาน ทีมชาติไทย จนเสียประตูที่สอง และนั่นเป็นประตูชัยที่ส่งผลให้พวกเขาพลิกล็อกเอาชนะไปได้แบบสวยสดงดงาม

FBL-WC2022-QUALIFIER-FIFA-MAS-THA

เกมบุกเยือน เวียดนาม สัปดาห์หน้า คือเกมชี้ชะตา

ตอนนี้แม้ดูเผิน ๆ การตกไปอยู่อันดับที่สองอาจจะยังไม่แย่เท่าใดนัก แต่การที่ต้องมาอยู่ที่สองแล้วดันมีแต้มห่างจากอันดับ 3 และ 4 เพียง 1 คะแนน ทำให้ตอนนี้อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้แล้วในกลุ่มนี้ ดังนั้น 4 เกมต่อไปที่ ทัพช้างศึกไทย จะต้องลงทำการแข่งขันในรายการนี้ จะแพ้อีกไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกมในวันอังคารหน้า ที่จะบุกไปเบือน เวียดนาม จ่าฝูงของกลุ่ม ที่พลิกล็อกเอาชนะ ยูเออี มาได้ 1-0 ทำให้นัดต่อไปจะเป็นอีกเกมที่สำคัญสุด ๆ หากพลพรรคช้างศึก ยังหวังจะเข้ารอบต่อไป เพราะงั้นวันอังคารหน้า สองทุ่ม แฟนบอลทีมชาติไทย ห้ามพลาดเด็ดขาด

FBL-WC-2022-THA-UAE

สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด

เหนือกว่าชัดเจน ! เมอร์ฟี วิเคราะห์ VVD กับ เมสซี ใครสมควรคว้าบัลลงดอร์

แดนนี เมอร์ฟี อดีตแข้งจอมปั่นลูกนิ่งของ ​ลิเวอร์พูล จ่าฝูงในศึก พรีเมียร์ลีก แสดงทรรศนะส่วนตัวอย่างมีน้ำหนักว่า เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ทำไมถึงเหมาะความบัลลงดอร์ 2019 มากกว่าเจ้าประจำอย่าง ลีโอเนล เมสซี “ตามความเห็นส่วนตัวของ เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 2019 จะเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้ว นอกจาก เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค จากสโมสร ลิเวอร์พูล นั่นเอง” เมอร์ฟี กล่าว ‘Van Dijk deserves to beat Messi to Ballon d’Or’ -Virgil van Dijk is the “obvious” choice for the 2019 Ballon d’Or, says Danny Murphy, who considers the…

ดูกันชัด ๆ ! โจ โกเมซ ลงซ้อมพร้อมรอยบนหน้าหลังมีประเด็นกับ สเตอร์ลิง

​โจ โกเมซ ปราการหลังของ ลิเวอร์พูล จ่าฝูงในศึก พรีเมียร์ลีกได้มีแผลเหมือนรอยข่วนที่ใบหน้าหลังมีปัญหากับ ราฮีม สเตอร์ลิง ในแคมป์ทีมชาติอังกฤษจากรายงานล่าสุด

โกเมซ และ สเตอร์ลิง เพิ่งปะทะกันระหว่างเกมที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไป 3-1 ก่อนจะมีคิวเข้าแคมป์รับใช้ทีมชาติอังกฤษด้วยกัน

แต่ก็ดูเหมือน สเตอร์ลิง จะไม่จบหลังคิดว่าตัวเองโดน โกเมซ หัวเราะเยาะในโรงอาหารจนพุ่งเข้าไปหาและเกิดการปะทะกันขึ้น

จากเรื่องนี้ แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมเองจึงได้ลงดาบ สเตอร์ลิง ด้วยการหั่นชื่อออกจากเกมเจอกับ มอนเตเนโกร ในวันพฤหัสบดีนี้ทันที

ซึ่งทางด้านสกายสปอร์ต ก็เผยว่าตอนนี้นักเตะได้ทำความเข้าใจกันแล้ว และ โกเมซ ก็๋ได้ขอ เซาธ์เกต ยกโทษให้ สเตอร์ลิง หากเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจ

มาเลเซีย vs ทีมชาติไทย : พรีวิว ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก,วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน


การแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย
วันแข่งขัน วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2019
เวลาแข่งขัน 19:45 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน มาเลเซีย vs ทีมชาติไทย
สนาม บูกิตจาลิล
ถ่ายทอดสด ไทยรัฐ ทีวี ช่อง 32

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


ทีมชาติไทย

สถานการณ์ดีเกิดคาด สำหรับพลพรรคช้างศึก ที่ตอนนี้เป็นจ่าฝูงของกลุ่ม จี แข่ง 3 นัด มี 7 คะแนนเท่ากับอันดับสอง เวียดนาม แต่ผลต่างประตูได้เสียดีกว่า โดยเกมล่าสุด ทีมชาติไทย สามารถพลิกล็อกถล่มทลายด้วยการไล่ต้อน ยูเออี ชนิดที่เรียกได้ว่าพับสนามบุกอยู่ฝ่ายเดียวไปด้วยสกอร์ 2-1 เมื่อเดือนก่อน

โดยวันพฤหัสบดีนี้ ไทยเรามีคิวต้องบุกไปเยือน มาเลเซีย ทีมอันดับ 4 ของกลุ่ม ที่มี 3 คะแนนจากการลงเล่น 3 นัด ซึ่งทีมเสือเหลือง แม้จะแพ้มาแล้วสองเกมติดต่อกัน แต่การบุกไปเยือนที่สนาม บูกิตจาลิล ไม่เคยเป็นงานง่ายเลยสำหรับ ทัพช้างศึกไทย เพราะ 2 เกมหลังสุดที่บุกไปเยือน มาเลเซีย เราไม่สามารถเอาชนะได้เลย (ชนะ 0 เสมอ 1 แพ้ 1) ดังนั้นเกมนี้จึงประมาทไม่ได้โดยเด็ดขาด

สภาพทีมล่าสุด ทีมชาติไทยจะหมดสิทธิใช้งาน 2 นักเตะจากเจลีก อย่าง ธีราทร บุญมาทัน ที่ติดโทษแบนจากเกมนัดที่ผ่านมา ร่วมถึง ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ที่ไม่มีชื่อติดมาในทีมชุดนี้ แต่จะได้ เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์ มีชื่อกลับมาลงสนามได้อีกครั้งหลังจากเกมที่ผ่านมากับ ยูเออี เจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บจึงไม่มีชื่อติดทีมในชุดนั้น

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-5-1

ผู้รักษาประตู ศิวรักษ์
กองหลัง นิติพงษ์, เบียห์ร, ธนบูรณ์, ศศลักษณ์
กองกลาง สารัช, พิธิวัต, ชนาธิป, เอกนิษฐ์, สุภโชค
กองหน้า ธีรศิลป์

มาเลเซีย

ทีมของ ตัน เชง โฮ มีดีกรีเป็นถึงรองแชมป์ ซูซูกิคัพ เมื่อปี 2018 จากนั้นพวกเขาสามารถผ่านเข้ามาเล่นในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง ได้ ด้วยการเอาชนะ ติมอร์ เลสเต ในรอบคัดเลือก รอบแรก ก่อนจะจับฉลากได้มาอยู่ในกลุ่ม จี ร่วมกับ ไทย ยูเออี เวียดนาม และ อินโดนิเซีย โดยผลงานนัดแรก ทัพเสือเหลืองสามารถบุกไปเอาชนะ อินโดนิเซีย ได้ถึงถิ่น 2-3 แต่สองเกมหลังจากนั้นพวกเขาแพ้รวด ทั้งเปิดบ้านพ่าย ยูเออี 1-2 และบุกไปแพ้ เวียดนาม 1-0

เกมนี้พวกเขาต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของ ทัพช้างศึกไทย ซึ่งรับรองได้ว่าพวกเขาสู้ตายแน่ ๆ ดังนั้น คาดว่าเกมนี้คงจะเป็นเกมที่ลุ้นสนุกตื่นเต้น ถูกใจแฟนบอลทั้งสองชาติอย่างแน่นอน

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-5-1

ผู้รักษาประตู มาร์ลิอาส
กองหลัง เดวีย์, ซาด, ซาฟวน, ออง
กองกลาง กาน เซง ลิง, ซารี, ซูมารีห์, อาเหม็ด, ซาฟาวี
กองหน้า ทาลาฮา

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


ทีมชาติไทย (ชนะ เสมอ 2 แพ้ 1)

15/10/19 WC ไทย 2-1 ยูเออี
10/10/19 FL ไทย 1-1 คองโก
10/09/19 WC อินโดนิเซีย 0-3 ไทย
5/09/19 WC ไทย 0-0 เวียดนาม
8/05/19 FL อินเดีย 1-0 ไทย

ทีมชาติมาเลเซีย (ชนะ เสมอ 0 แพ้ 2)

09/11/19 FL มาเลเซีย 1-0 ทาจิกิสถาน
10/10/19 WC เวียดนาม 1-0 มาเลเซีย
05/10/19 FL มาเลเซีย 6-0 ศรีลังกา
10/09/19 WC มาเลเซีย 1-2 ยูเออี
05/09/19 WC อินโดนิเซีย 2-3 มาเลเซีย

เฮดทูเฮด (มาเลเซีย ชนะ 1 เสมอ ไทย ชนะ 2)

05/12/18 AFF ไทย 2-2 มาเลเซีย
01/12/18 AFF มาเลเซีย 0-0 ไทย
20/12/14 AFF มาเลเซีย 3-2 ไทย
17/12/14 AFF ไทย 2-0 มาเลเซีย
26/11/14 AFF มาเลเซีย 2-3 ไทย

*WC = ฟุตบอลโลก / AFF = ซุซุกิคัพ / FL = กระชับมิตร

วัดกันได้ ! เปเรย์รา ยก วาร์ดี เทียบตำนานแข้งผี

ริคาร์โด เปเรย์รา ปราการหลังจอมแกร่งของ ​เลสเตอร์ ซิตี้ ม้ามึดแห่งศึก พรีเมียร์ลีก ยืนยันด้วยตัวเองแล้วว่า เจมี วาร์ดี เป็นนักฟุตบอลที่มีความเหี้ยมหาญในการทำประตูระดับเดียวกับ คริสเตียโน โรนัลโด้ อย่างแท้จริง

“แน่นอนว่า เจมี วาร์ดี้ และ คริสเตียโน โรนัลโด้ เป็นนักฟุตบอลที่มีสไตล์การเล่นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือความเลือดเย็นในการสังหารประตู” เปเรย์รา กล่าว

“พวกเขาคือนักเตะที่ทุกสโมสรอยากได้อยากมี เพราะคุณภาพในการเปลี่ยนโอกาสเข้าทำให้กลายเป็นประตูได้อย่างฉมังสุด ๆ นี่แหละ”

“คุณนึกภาพเอาแล้วกันว่ามีหลาย ๆ นัดที่ เลสเตอร์ ซิตี้ แทบทำอะไรฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เลย แต่จู่ ๆ วาร์ดี ก็จัดการส่งลูกเข้าไปตุงตาข่ายได้แบบเหลือเชื่อจนช่วยทีมชนะด้วยสกอร์ 1-0”

“นี่คือความสำคัญของนักเตะประเภทนี้อย่างแท้จริง พวกเขาเปลี่ยนโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กลายเป็นความแตกต่างได้ด้วยตัวเอง พวกเราทุกคนแฮปปี้กับเขาสุด ๆ เลยล่ะ”

ลิเวอร์พูล 3-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : ชำแหละ 5 ประเด็นร้อนหลังผลฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ที่ แอนฟิลด์

การแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20 นัดที่ 12

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2019

เวลาแข่งขัน 23.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

ผลการแข่งขัน ลิเวอร์พูล 3-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้

สนามแอนฟิลด์


5. ความเป็นไปของเกม

กลายเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล ยืดความได้เปรียบในการรั้งตำแหน่งจ่าฝูงของศึก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ต่อเนื่องเมื่อมีแต้มมากกว่าอันดับ 2 ที่ 8 คะแนนเข้าไปแล้วหลังอัด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จากประตูของ ฟาบินโญ, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน

พลพรรค เรือใบสีฟ้า เป็นฝั่งที่ครองโมเมนตัมได้ก่อนในช่วงออกสตาร์ททว่ามาถูกการสวนกลับและลูกยิงไกลอย่างเด็ดขาดของ ฟาบินโญ หลังช็อตกังขาเมื่อลูกบอลไปถูกแขนของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่อีกฝั่ง ตามด้วยลูกโหม่งในอีกไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำให้ หงส์แดง แทบจะขึ้นแท่นกับสกอร์ 2-0 เมื่อจบ 45 นาทีแรก

ขณะที่ช่วงเริ่มต้นครึ่งหลังต่างฝ่ายต่างไม่สามารถหาโอกาสเหน่งๆ ได้จะแจ้งนักจากสปีดบอลที่รวดเร็วของทั้ง 2 ฝั่ง กระทั่งช็อตเซอร์ไพรส์ของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่พาบอลไปถึงสุดเส้นหลังกราบขวาก่อนเปิดไปที่เสาสองให้ ซาดิโอ มาเน พุ่งโหม่งตุงตาข่ายเป็นลูก 3-0 ในที่สุดก่อนที่ แบร์นาโด้ ซิลวา จะซัดจุดประกายให้กับทีมเยือนในนาทีที่ 77 และบอลไปถูกแขนของ เทรนท์ ในกรอบเขตโทษเป็นครั้งที่ 2 ช่วงท้ายเกมซึ่งถูกทั้งผู้ตัดสินและ VAR ปฎิเสธการให้ลูกจุดโทษเช่นเคย

4. แฮนด์บอลหรือไม่?

จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมมาจาก 2 ช็อตที่ลูกบอลไปถูกแขนของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทั้งในช่วงต้นเกมและท้ายเกมแต่ฝ่ายผู้ตัดสินในสนามและ VAR ปฎิเสธการให้ลูกจุดโทษกับทั้ง 2 จังหวะดังกล่าว

แม้จะเป็นช็อตที่น่ากังขาเมื่อมองจากในมุมมองของ แมนฯ ซิตี้ แต่การแถลงข่าวของ พรีเมียร์ลีก ร่วมกับ คณะกรรมการผู้ตัดสินฟุตบอลอาชีพ ที่ชี้แจงหลังเกมว่าช็อตดังกล่าวเจ้าหนู เทรนท์ ไม่ได้มีเจตนาทำให้ร่างกาย ‘ใหญ่ขึ้นผิดปกติ’ รวมถึงไม่ได้มีเวลาเพียงพอให้นักเตะชักเขนออกจากวิถีของลูกบอลจึงไม่มีการพิจารณาเป็นลูกจุดโทษ

ใช่ – เทพีแห่งโชค อาจจะอยู่ฝั่งสีแดงในเกมนี้มากกว่า สีฟ้า แต่บรรดาผู้เล่นทัพ ซิตีเซนส์ น่าจะจัดการกับจังหวะต่อเนื่องโดยเฉพาะลูกเสียประตูแรกได้ดีกว่านี้โดยการตั้งตาเล่นตามเกมต่อไปมากกว่าที่จะปักหลักยืนฟ้องผู้ตัดสินโดยเฉพาะผู้เล่นในแดนกลางอย่าง อิลคาย กุนโดกัน และ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ไม่ได้ตาม ฟาบินโญ ลงไปบริเวณหน้าปากประตูของตนเองก่อนที่มิดฟิลด์ บราซิเลียน จะเก็บตกจากแถวสองโล่งๆ เป็นประตูเบิกร่องของ หงส์แดง

3. คู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อ

นับเป็นเกมที่ 8 ซึ่ง เป๊บ กวาร์ดิโอลา คุมทีมปราชัยต่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้าไปแล้วหลังล่าสุดที่ แอนฟิลด์ และ คล็อปป์ ยังเป็นกุนซือที่ เป๊บ แพ้ทางเมื่อนายใหญ่ชาว เยอรมัน เป็นผู้จัดการทีมที่ขงเบ้งจาก คาตาลัน คุมทัพพ่ายแพ้เมื่อต้องมาดวลกันมากที่สุดในเส้นทางเฮดโค้ชของเจ้าตัว

ยิ่งไปกว่านั้น บรรดานักเตะลูกทีมของ เป๊บ กลายเป็นฝั่งที่ออกอาการเล่นไม่เป็นธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด พวกเขายังมีช็อตหัวเสียใส่ซึ่งกันและกันหลายๆ ครั้งซึ่งเป็นภาพที่เราไม่ได้เห็นบ่อยครั้งนักในทีม แมนฯ ซิตี้ เมื่อรวมกับจังหวะเหวอต่อเนื่องของทั้ง จอห์น สโตนส์ – อังเจลิโญ, ฟอร์มที่ไม่โดดเด่นอย่างเช่นเคยของ เควิน เดอ บรอยน์ และความกระตือรือล้นที่มากกว่าของคู่แข่งก็ทำให้เส้นทางการลุ้นแชมป์ของพวกเขาสั่นคลอนสุดๆ หลังผ่าน 12 เกมแรกของศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้

2. ฟาบินโญ กับลูกไฟของเขา

บรรดานักเตะ 3 ประสานในแดนหน้าของ หงส์แดง มีชื่อได้รับการโฟกัสอีกครั้งในเกมนี้เมื่อ 2 ใน 3 คนนั้นมีชื่อบนสกอร์บอร์ด แต่แข้ง เร้ดแมชีน ที่เรามองว่าโดดเด่นที่สุดในเกมนี้เป็นมิดฟิลด์ชาว บราซิล อย่าง ฟาบินโญ ผู้ตะบันประตูเบิกร่องจากนอกกรอบเขตโทษ

จากกองกลางที่เคยใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับทีมอยู่เกือบครึ่งฤดูกาลเมื่อปีก่อน เจ้าตัวกลายเป็นห้องเครื่องที่ตอบแทนมูลค่า 39 ล้านปอนด์ที่ ลิเวอร์พูล จ่ายไปให้กับ โมนาโก อย่างคุ้มค่าทุกเพนนีเมื่อเจ้าตัวสามารถยกรพดับขับเคลื่อนเกมในแดนกลางได้อย่างเนียนตาและกลายเป็นนักเตะที่ทีมจะขาดไปไม่ได้แล้วในเวลานี้

1. ก้าวสุดท้ายยากลำบากเสมอ

แชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชัน 1 เดิม) ครั้งสุดท้ายของ ลิเวอร์พูล เกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีก่อน และนี่เป็นอีกหนึ่งในไม่กี่ฤดูกาลที่ถ้วยแชมป์ลีกจะตกอยู่ในมือของ หงส์แดง เมื่อพวกเขารั้งตำแหน่งจ่าฝูงที่นำห่างทีมอันดับที่ 2 ถึง 8 คะแนนหลังผ่าน 12 เกมและคว่ำแชมป์เก่าได้สำเร็จในเกมนี้

พลพรรค เร้ดแมชีน เคยเจอกับปัญหาอย่างไม่สามารถยืนระยะได้อย่างต่อเนื่อง, สภาพจิตใจที่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับความกดดัน รวมไปถึงการสูญเสียนักเตะคีย์แมนหลังจากโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมให้กับพวกเขา

จุดอ่อนกับปัญหาที่ หงส์แดง เคยมีเมื่อครั้งอดีตถูกขจัดทิ้งไปสิ้นภายใต้กุนซือเฮฟวีเมทัลอย่าง เยอร์เก้น คล็อปป์ พวกเขาทำสถิติไร้พ่ายต่อเนื่องใน พรีเมียร์ลีก, จิตใจเต็มเปี่ยมด้วยความเป็นนักสู้ และแกนหลักของพวกเขายังทำงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการดึงแข้งใหม่เสริมทัพเป็นส่วนหนึ่งของจิ๊กซอว์

12 เกมแรกผ่านไปในฤดูกาล 2019/20 คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของซีซัน โมเมนตัมในการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์ และแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีอยู่ในกำมือของพวกเขา ซึ่ง ณ เวลานี้เราไม่สามารถมองหาเหตุผลที่มันจะไม่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ได้เลย

ใช่ – 30 ปีเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่ความสำเร็จหลังการรอคอยอย่างยาวนานมักหอมหวานและตราตรึงมากกว่าปกติเสมอ

ไม่เชื่อก็รอจนจบซีซันนี้ดูก็ได้

แมนฯ ยูไนเต็ด 3-1 ไบรท์ตัน : เก็บตก 4 ประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด

การแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20 นัดที่ 12

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2019

เวลาแข่งขัน 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย

ผลการแข่งขัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 ไบรท์ตัน

สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด


4. ความเป็นไปของเกมที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด

2 ประตูของ ปีศาจแดง ที่ได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ครึ่งแรกช่วยเซ็ตโมเมนตัมให้กับลูกทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ให้พวกเขาเล่นด้วยความมั่นใจในเวลาที่เหลือก่อนที่จะจบเกมด้วยสกอร์ 3-1 เหนือ ไบรท์ตัน ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด

แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประตูเบิกร่องที่มาพร้อมกับโชคเมื่อลูกยิงของ อันเดรียส เปเรย์รา แฉลบกองหลังทีมเยือนกระดอนเข้าประตูขณะที่ แม็ทธิว ไรอัน พุ่งออกตัวไปที่อีกฝั่งก่อนที่ เดวี พร็อพเพอร์ จะทำเข้าประตูตัวเองจากช็อตลูกขลุกขลิกที่เส้นประตูในไม่กี่อึดใจถัดมา

เกมยิ่งเข้าทางเจ้าบ้านในครึ่งเวลาหลังเมื่อทัพ นกนางนวล พยายามโหมเกมรุกมากขึ้นจนถูกการสวนกลับของ ผีแดง เล่นงาน แม้ว่า ปาสกาล กรอสส์ จะโยนลูกเตะมุมให้กับ ลูอิส ดังค์ โหม่งพังประตูตีไข่แตกจุดประกายให้กับทีม แต่เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้นบอลเคาน์เคอร์แอ็ทแท็คของเจ้าถิ่นก็แพลงฤทธิ์และเป็น อองโตนี มาร์กซิยาล ที่ถวายพานให้กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ซัลโวเหน่งๆ

3. เสียงเชียร์จาก เร้ดเดวิลส์ ช่วยขับฟอร์มหนูแรช

นับเป็นประตูที่ 6 ของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เจ้าตัวทำได้ใน โอลด์ แทรฟอร์ด เมื่อรวมทุกรายการในฤดูกาล 2019/20 ซึ่งมีเพียง เซร์คิโอ อเกวโร (9 ประตูใน เอติฮัด) และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (7 ประตูที่ แอนฟิลด์) ที่เป็นนักเตะ พรีเมียร์ลีก ซึ่งยิงประตูในเกมเหย้าได้มากกว่า แรชฟอร์ด

2. ผีแดง เรียกความมั่นใจก่อนศึกหนัก

ในขณะที่ ปีศาจแดง มีคิวเตะกับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ติดต่อกันรออยู่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ การที่พลพรรค เร้ดเดวิส์ สามารถเรียกคว้า 3 คะแนนก่อนหน้าศึกใหญ่ด้วยการเริ่มต้นเก็บชัยชนะกับ ไบรท์ตัน โดยมี เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และ แอสตัน วิลลา คั่นกลางในอีก 2 เกมเป็นลำดับต่อไปจะทำให้พวกเขาเดินหน้าสู่เกมบิ๊กแมตช์ได้อย่างมั่นใจ

ในแมตช์นี้พวกเขามั่นคงในแนวทางจากเกมรุกที่ริมเส้นโดยมีทั้ง แดเนียล เจมส์ กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด วูบวาบทั้ง 2 ฝั่ง ยิ่งเมื่อมีพื้นที่ให้พวกเขาเร่งสปีดยิ่งทำให้แดนหน้าของ ผีแดง ร้อนแรงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ข้อโดดเด่นที่เราเห็นจากเกมนี้ยังมีการประสานงานระหว่าง แรชฟอร์ด กับ อองโตนี มาร์กซิยาล ที่มีพัฒนาการที่ดีเมื่อนับจากฟอร์มในเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

1. เฟร็ด ตอบแทนป้ายราคามหาศาล (เสียที)

หลังจากที่ทำผลงานกับ ปีศาจแดง ได้อย่างน่าผิดหวังนับตั้งแต่ย้ายจาก ชัคตาร์ โดเนทส์ค ที่มูลค่า 52 ล้านปอนด์ตั้งแต่ฤดูกาลก่อน เกมนี้นับว่าเป็นเกมแรกที่ เฟร็ด ได้ตอบแทนความไว้วางใจที่ ผีแดง ทุ่มทุนคว้าตัวเขามาร่วมทัพ

การประสานงานระหว่างมิดฟิลด์ชาว บราซิล กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ดูลงตัวกับบทบาทที่อดีตแข้ง ชัคตาร์ ใช้ความขยันคอยไล่ขโยกบีบพื้นที่คู่แข่งอย่างต่อเนื่อง โดดเด่นกับการตัดบอล รวมไปถึงการผ่านบอลไปยังพื้นที่อันตรายและไล่ตามผู้เล่นของทีมเยือนในเกมรับตลอดเวลาที่อยู่ในสนาม

[Player Ratings] แข้ง หงส์ พาเหรดแจ่ม – เรือใบ ล่ม ! ตัดเกรดดาวเตะ ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้

การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20 นัดที่ 12
วันแข่งขัน วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2019
เวลาแข่งขัน 23.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน ลิเวอร์พูล 3-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้
สนาม แอนฟิลด์

คะแนนนักเตะของทั้ง 2 ทีม

ลิเวอร์พูล

อลิสซอน เบ็คเกอร์ – 8/10

เซฟลูกยิงของ เซร์คิโอ อเกวโร ได้อย่างยอดเยี่ยมในครึ่งแรกก่อนที่จะกลายเป็นส่วนสำคัญหยุดยั้งเกมรุกของ ซิตี้ ที่ดาหน้าเร่งเครื่องในครึ่งเวลาหลังได้ ไม่สามารถโทษเจ้าตัวได้กับประตูที่เสียไปให้ แบร์นาโด้ ซิลวา ในช่วงท้ายเกม

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ – 7/10

Trent Alexander Arnold

ผ่านบอลข้ามฟากให้กับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ได้อย่างแม่นยำจนเป็นส่วนให้ทีมได้ประตูที่ 2 ก่อนที่จะมีปัญหาในการรับมือกับ ราฮีม สเตอร์ลิง โดยเฉพาะในครึ่งเวลาหลัง

เดยัน ลอฟเรน – 8/10

ยกระดับรับมือกับเกมรุกของ ซิตี้ ได้อย่างน่าประทับใจ มีจังหวะเติมขึ้นไปโหม่งลูกเตะมุมหลุดกรอบอย่างน่าเสียดายในครึ่งแรกก่อนที่จะเป็นป้อมปราการป้องกันทั้งลูกครอสและเกะกะบอลตามช่องของทีมเยือนได้ดีในครึ่งหลัง

เวอร์จิล ฟาน ไดค์ – 8/10

เจอกับงานยากในการรับมือเกมรุกที่รวดเร็วของทัพ ซิตีเซนส์ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีมในแนวรับ มีส่วนบล็อกลูกยิงของ อังเจลิโญ ให้แฉลบไปชนเสาในครึ่งแรกและนับว่าเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนของเกมก่อนที่จะตัดบอลได้บ่อยครั้งในครึ่งหลัง

แอนดี้ โรเบิร์ตสัน – 8/10

FBL-ENG-PR-LIVERPOOL-MAN CITY

รับมือกับ แบร์นาโด้ ซิลวา ได้อย่างยอดเยี่ยม เติมเกมรุกที่กราบซ้ายได้อร่อยเหาะและมีส่วนกับการได้ประตูที่ 2 ของทีม หลังจากนั้นยังสามารถสร้างปัญหาให้กับ ไคล์ วอล์คเกอร์ อย่างต่อเนื่อง

ฟาบินโญ – 9/10

ซัดเบิกร่องจากนอกกรอบเขตโทษได้อย่างเด็ดขาด มีช็อตตัดฟาวล์สำคัญๆ ช่วงท้ายครึ่งแรกให้เห็น ขณะที่ครึ่งหลังช่วยสกรีนเกมรุกของ ซิตี้ ก่อนบอลจะไปถึงแนวรับได้อย่างแข็งแกร่ง

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน – 8/10

วูบวาบกับบทบาทมิดฟิลด์ที่ฝั่งขวาแต่บอลจากการครอสของเจ้าตัวไม่เข้าเป้านักในครึ่งแรกก่อนที่จะทำได้อย่างยอดเยี่ยมในการเปิดให้ ซาดิโอ มาเน โหม่งประตูที่ 3

จินี ไวนัลดุม – 8/10

กระตือรือล้นและวิ่งพล่านมีส่วนร่วมทั้งเกมรับและเกมรุกโดยเฉพาะในช่วงแรกของเกม ผ่านบอลได้อย่างชาญฉลาด

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ – 8/10

FBL-ENG-PR-LIVERPOOL-MAN CITY

ใช้ความเร็วสร้างปัญหาให้กับแนวรับของ ซิตี้ ได้อย่างต่อเนื่องก่อนที่จะโหม่งพังประตู 2-0 ให้กับ หงส์แดง แต่แทบจะถูกตัดออกจากเกมในครึ่งหลังเมื่อทีมเยือนพยายามโหมบุกหนัก

โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน – 7/10

ไม่ได้มีบทบาทกับทีมนักโดยเฉพาะในช่วงแรกก่อนที่จะค่อยๆ ปรับจังหวะของตัวเองได้เมื่อเวลาผ่านไป โดดเด่นกับการไล่บีบพื้นที่ในแดนหน้าและเก็บบอลเพื่อสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม

ซาดิโอ มาเน – 7/10

มีบทบาทกับการไล่กดดัน เคลาดิโอ บราโบ และประสานงานกับ โรเบิร์ตสัน ที่กราบซ้ายในครึ่งแรกก่อนที่จะโหม่งพังประตูอย่างเด็ดขาดให้กับทีม

ตัวสำรอง

เจมส์ มิลเนอร์ (แทนที่ เฮนเดอร์สัน นาทีที่ 61) – 7/10 : ลงมาประจำการในตำแหน่งมิดฟิลด์ฝั่งซ้ายและเติมความดุดันในเกมรับให้กับทีม

อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน (แทนที่ ฟิร์มิโน นาทีที่ 79) – 6/10 : วูบวาบกับเกมสวนกลับในช่วงท้ายเกมแต่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ในการลงไปช่วยเกมรับกับ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

โจ โกเมซ (แทนที่ ซาลาห์ นาทีที่ 87) – 6/10 : ลงมาช่วยเกมรับที่ฝั่งขวา


แมนเชสเตอร์ ซิตี้

เคลาดิโอ บราโบ – 6/10

ไม่สามารถโทษเจ้าตัวได้กับ 2 ประตูแรกที่เสียไปก่อนที่จะงัดลูกโหม่งขอ ซาดิโอ มาเน ไม่พ้นเส้นประตูในลูกที่ 3

ไคล์ วอล์คเกอร์ – 5/10

FBL-ENG-PR-LIVERPOOL-MAN CITY

มีส่วนปล่อยให้ มาเน ได้พุ่งโขกเหน่งๆ ในประตูที่ 3 ขณะที่ 2 ประตูแรกที่ทีมเสียไปก็มาจากการขึ้นเกมในฝั่งที่เจ้าตัวรับผิดชอบ มีช็อตเติมขึ้นไปลุ้นทำประตูจากการโหม่งในกรอบเขตโทษแต่ลอยหลุดกรอบไปอย่างไม่ได้ลุ้นและนอกจากนั้นไม่ได้มีส่วนร่วมกับเกมรุกมากเท่าที่ควร

แฟร์นันดินโญ – 7/10

ดูจะเป็นคนเดียวในแนวรับที่เยือกเย็นมากพอที่จะรับมือกับเกมรุกของ หงส์แดง เซ็ตบอลจากแดนหลังได้อย่างมั่นใจกว่าผู้เล่นทุกคนที่เหลือ

จอห์น สโตนส์ – 5/10

เปิดพื้นที่และเวลาให้ มาเน เลี้ยงจี้ถึงสุดเส้นหลังได้ครอสเข้าไปในกรอบเขตโทษจนเป็นเหตุให้ทีมเสียประตูแรก ขณะที่ครึ่งหลังผ่านบอลจากแดนหลังผิดพลาดบ่อยครั้ง

อังเจลิโญ – 7/10

ทำได้อย่างน่าผิดหวังในเกมรับโดยเฉพาะประตูของ ซาลาห์ แต่แก้ตัวได้จากความหวือหวาในการเติมเกมรุกจนยิงถากเสาหลุดกรอบออกไปในครึ่งแรกและมีส่วนกับการได้ประตูตีไข่แตกในช่วงท้ายเกม

โรดรี – 6/10

พยายามที่จะเซ็ตจังหวะในแดนกลางแต่ถูกเกมรุกที่รวดเร็วของ เร้ดแมชีน เล่นงานและเพื่อนร่วมทีมในแผงมิดฟิลด์ไม่ได้ช่วยให้งานของเขาเบาลงนัก แต่เมื่อพิจารณาจากการที่เจ้าตัวเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บก็นับว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง

อิลคาย กุนโดกัน – 5/10

ทำได้แค่ผ่านบอลเคลื่อนขวางไปมา ไม่ได้มีช็อตคิลเลอร์พาสให้เห็น

เควิน เดอ บรอยน์ – 5/10

เป็นหนึ่งในผู้เล่น ซิตี้ เพียงไม่กี่คนที่แสดงให้เห็นความกระตือรือล้นอย่างเห็นได้ชัดแต่จังหวะสุดท้ายของเจ้าตัวไม่สามารถหวังผลได้เหมือนอย่างที่เคยเป็น

แบร์นาโด้ ซิลวา – 6/10

จบสกอร์ได้อย่างเฉียบขาดแต่โดยรวมไม่สามารถเอาชนะในการดวลกับ โรเบิร์ตสัน ได้

เซร์คิโอ อเกวโร – 4/10

ซัดให้ อลิสซอน ต้องออกแรงเซฟในครึ่งแรก โดยรวมนับว่าเจ้าตัวไม่ได้เด็ดขาดอย่างที่เคยทำได้ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง

ราฮีม สเตอร์ลิง – 6/10

Liverpool FC v Manchester City - Premier League

พยายามตอกกลับเสียงโห่ของ เดอะค็อป ด้วยความมุ่งมั่นในการพาบอลจี้เข้าหาแนวรับทำอันตรายในแดนหน้าอย่างต่อเนื่อง น่าเสียดายที่เพื่อนร่วมทีมทั้ง อเกวโร และ เชซุส ไม่สามารจบโอกาสจากการสร้างสรรค์ของเจ้าตัวได้

ตัวสำรอง

กาเบรียล เชซุส (แทนที่ อเกวโร นาทีที่ 71) – 6/10 : พลาดโอกาสทองจากการผ่านบอลของ สเตอร์ลิง และไม่สามารถจุดประกายทีมในแดนหน้าได้

[Match Report] ปืนใหญ่หมดรูป ยิงตรงกรอบ 1 ครั้ง ก่อนพ่าย เลสเตอร์ 2-0 เกม พรีเมียร์ลีก คืนวันเสาร์

การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน คืนวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2019
เวลาแข่งขัน 00.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน เลสเตอร์ ซิตี้ 2-0 อาร์เซนอล
สนาม คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม

ปืนใหญ่ พลาดท่า บุกพ่าย เลสเตอร์ ซิตี้ แบบหมดรูป 2-0 โดนเจ้าถิ่นมาได้ประตูในครึ่งหลังจาก เจมี วาร์ดี นาทีที่ 68 และจากนั้น เจมส์ แมดดิสัน มายิงปิดท้ายในนาทีที่ 75 จบ 90 นาที เลสเตอร์ เปิดบ้านเอาชนะ ปืนใหญ่ ไปได้ มีเพิ่มเป็น 26 คะแนน จากการลงเล่น 12 เกมใน พรีเมียร์ลีก

Pierre-Emerick Aubameyang

เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก ช่วงต้นเกมต่างฝ่ายต่างพยายามตั้งเกมของตัวเองให้ได้ จนกระทั้งผ่าน 10 นาทีแรก ดูเจ้าบ้านจะเป็นฝ่ายทำได้ดีกว่าเล็กน้อย ซึ่งหลังจากนั้นบางช่วงพวกเขาก็ทำเกมบุกเข้าใส่อย่างหนักชนิดที่ไม่กลัวบารมีของความเป็น ปินใหญ่ เลยแม้แต่น้อย

ต่างฝ่ายต่างเปิดเกมเข้าใส่กันตลอดครึ่งแรก แต่ก็ไม่มีใครทำประตูได้ กระทั่งจบ 45 นาที เสมอกันไปแบบไร้สกอร์ 0-0

David Luiz,Ricardo Pereira

เริ่มเกมในครึ่งหลัง ทีมเยือนพยายามครองบอลและหาโอกาสเข้าทำมากขึ้น แต่เกมรับของเจ้าบ้านก็ยังสามารถป้องกันเกมรุกของทีมเยือนไว้ได้เป็นอย่างดี

จนในนาทีที่ 68 เจ้าถิ่นมาได้ประตูปลดล็อกจากจังหวะทำชิ่งเข้าเขตโทษ ก่อน ติเลอมองส์ จะจ่ายต่อให้กับ วาร์ดี ที่รออยู่บริเวณเสาไกล ยิงเข้าไปง่าย ๆ เลสเตอร์ขึ้นนำ 1-0

จากนั้นดูเหมือนเจ้าบ้านจะหาโอกาสเข้าทำได้ดีกว่า และมาได้ประตูที่สองจากจังหวะที่ วาร์ดี เบิ้ลบอลต่อให้ แมดดิสัน กดเต็มแรงจากนอกกรอบ บอลพุ่งเสียบเสาเข้าไปอย่างสุดสวย ช่วยให้ทีมนำห่าง 2-0

จากนั้นทั้งสองทีมไม่สามารถยิงประตูกันเพิ่มได้ จบ 90 นาทีปืนใหญ่บุกมาพ่าย เลสเตอร์ แบบชนิดที่ยิงเข้ากรอบทั้งเกมไปเพียง 1 ครั้ง แถมครึ่งหลังพวกเขาไม่มีโอกาสยิงเลยแม้แต่ครั้งเดียว

James Maddison,Jamie Vardy

รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม


อาร์เซนอล : เลโน, แชมเบอร์ส, ลุยซ์, โฮลดิง, เบเยริน, โคลาซินาช, ตอร์เรย์รา, เกนดูซี, เออซิล, โอบาเมยอง, ลากาเซ็ตต์

ตัวสำรอง : มาร์ติเนซ, โซคราติส, เทียร์นีย์, วิลล็อค, มาร์ติเนลลี, ซาก้า, เปเป้

เลสเตอร์ ซิตี้ : ชไมเคิล, ริคาร์โด้, อีแวนส์, โซยุนชู, ชิลเวลล์, บาร์นส, ติเลอมองส์, เอ็นดิดี้, เปเรซ, แมดดิสัน, วาร์ดี้

ตัวสำรอง : วอร์ด, จัสติน, มอร์แดน, เกรย์, อัลไบรท์ตัน, ปราต, ชาดูรี

ลิเวอร์พูล vs แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน


การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20 นัดที่ 12
วันแข่งขัน วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2019
เวลาแข่งขัน 23.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน ​ลิเวอร์พูล vs ​แมนเชสเตอร์ ซิตี้
สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ถ่ายทอดสด True Premier Football HD1 (600)

ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


ลิเวอร์พูล

อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน มีลุ้นได้ออกสตาร์ทเป็นหนึ่งใน 11 ผู้เล่นตัวจริงเมื่อทำผลงานให้กับ หงส์แดง ได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงไม่กี่เกมหลังสุดแทนที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ถูกดร็อปตั้งแต่เกมเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาจากอาการป่วยหาก เฮนโด้ ไม่สามารถหายได้ทันโดยจะมี ฟาบินโญ ประจำการเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์

คาดการณ์ว่า เดยัน ลอฟเรน จะได้กลับมาประสานงานคู่กับ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางอีกครั้งแทนที่ โจ โกเมซ ขณะที่ โจเอล มาติป ยังคงมีปัญหาอาการบาดเจ็บที่เข่า

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อลิสซอน
กองหลัง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ลอฟเรน, ฟาน ไดค์, โรเบิร์ตสัน
กองกลาง เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ, ไวนัลดุม
กองหน้า ซาลาห์, ฟิร์มิโน, มาเน

 

​​แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ทัพ เรือใบสีฟ้า ยังคงต้องรอเช็คความฟิต เอแดร์ซอน จนถึงนาทีสุดท้ายหลังเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ต้นครึ่งหลังในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยมี เคลาดิโอ บราโบ เป็นมือกาวแบ็คอัพ

ดาบิด ซิลบา ยังคงเดี้ยงหมดสิทธิ์ลงช่วยทีมเช่นเดียวกับ เลรอย ซาเน, ไอเมอริค ลาปอร์ต, โรดริโก้ และ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ โดยคาดว่า เป๊บ กวาร์ดิโอลา จะจัดทีมในชุดใกล้เคียงกับเกมที่เสมอกับ อตาลันต้า 1-1 โดยมี เซร์คิโอ อเกวโร, จอห์น สโตนส์ และ ไคล์ วอล์คเกอร์ ที่เป็นตัวสำรองในเกมก่อนอาจได้หมุนเวียนกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู บราโบ
กองหลัง วอล์คเกอร์, สโตนส์, แฟร์นันดินโญ, เมนดี้
กองกลาง เดอ บรอยน์, กุนโดกัน, แบร์นาโด้
กองหน้า มาห์เรซ, อเกวโร, สเตอร์ลิง

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


ลิเวอร์พูล (ชนะ 5 เสมอ 0 แพ้ 0)

6 พฤศจิกายน แชมเปี้ยนส์ลีก ลิเวอร์พูล 2 : 1 เกงค์ ชนะ
2 พฤศจิกายน พรีเมียร์ลีก แอสตัน วิลลา 1 : 2 ลิเวอร์พูล ชนะ
31 ตุลาคม คาราบาว คัพ ลิเวอร์พูล 6 : 5(5 : 5) อาร์เซนอล ชนะ
27 ตุลาคม พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล 2 : 1 สเปอร์ส ชนะ
24 ตุลาคม แชมเปี้ยนส์ลีก เกงค์ 1 : 4 ลิเวอร์พูล ชนะ

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 0)

7 พฤศจิกายน แชมเปี้ยนส์ลีก อตาลันต้า 1 : 1 แมนฯ ซิตี้ เสมอ
2 พฤศจิกายน พรีเมียร์ลีก แมนฯ ซิตี้ 2 : 1 เซาแธมป์ตัน ชนะ
30 ตุลาคม คาราบาว คัพ แมนฯ ซิตี้ 3 : 1 เซาแธมป์ตัน ชนะ
26 ตุลาคม พรีเมียร์ลีก แมนฯ ซิตี้ 3 : 0 แอสตัน วิลลา ชนะ
23 ตุลาคม แชมเปี้ยนส์ลีก แมนฯ ซิตี้ 5 : 1 อตาลันต้า ชนะ

เฮดทูเฮด (ลิเวอร์พูล ชนะ 2 เสมอ 1 แมนฯ ซิตี้ ชนะ 2)

4 สิงหาคม 2019 แชมเปี้ยนส์ลีก ลิเวอร์พูล 1 : 2(1 : 1) แมนฯ ซิตี้
4 มกราคม 2019 พรีเมียร์ลีก แมนฯ ซิตี้ 2 : 1 ลิเวอร์พูล
7 ตุลาคม 2018 พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล 0 : 0 แมนฯ ซิตี้
26 กันยายน 2018 ไอซีซี แมนฯ ซิตี้ 1 : 2 ลิเวอร์พูล
11 เมษายน 2018 แชมเปี้ยนส์ลีก แมนฯ ซิตี้ 1 : 2 ลิเวอร์พูล


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • ลิเวอร์พูล ปราชัยต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมเหย้าบนเวที พรีเมียร์ลีก เพียงแค่ 1 นัดเท่านั้นจาก 28 เกมหลังสุด (สกอร์ 1-2 ตั้งแต่พฤษภาคม 2003) และไร้พ่ายใน แอนฟิลด์ รายการนี้ต่อ เรือใบสีฟ้า 16 แมตช์ติดต่อกัน

  • หลังจากที่ ซิตี้ ปราชัยต่อทัพ เร้ดแมชีน 4 นัดติดต่อกันระหว่างปี 2015-2016 หลังจากนั้นพวกเขาแพ้ต่อ หงส์แดง แค่เพียง 1 นัดเท่านั้นจากการพบกัน 5 ครั้งหลังสุดในรายการนี้ (ชนะ 2 เสมอ 2)

  • แมนฯ ซิตี้ ไร้ชัยในเกมเยือน ลิเวอร์พูล ใน พรีเมียร์ลีก 16 เกมหลังสุดเข้าไปแล้ว นับเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดของพวกเขาต่อคู่แข่งทั้งหมดในรายการนี้

  • เดอะเร้ดส์ เป็นทีมที่สามารถคว่ำแชมป์เก่า พรีเมียร์ลีก ได้มากที่สุดในรายการนี้ (21 ครั้ง) และยังไม่เคยปราชัยต่ออดีตแชมป์เลยนับตั้งแต่ธันวาคม 2007 (0-1 ต่อ แมนฯ ยูไนเต็ด) เก็บชัยชนะได้ 6 นัดและเสมอ 5

  • นับเป็นครั้งที่ 35 ในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก ที่แชมป์เก่าโคจรมาพบกับจ่าฝูงในขณะนั้น โดยต่างฝ่ายต่างเก็บชัยชนะได้เท่ากันที่ 9 นัด (เสมอ 16) โดยครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นคือมกราคม 2019 ซึ่ง แมนฯ ซิตี้ สามารถเอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้ 2-1 ในเกมดังกล่าว

  • หงส์แดง เพิ่งจะปราชัยในลีกเพียงแค่ 1 นัดจาก 50 เกมหลังสุด (ชนะ 41 เสมอ 8 แพ้ 1) โดยความพ่ายแพ้ดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมกับ ซิตี้ เมื่อเดือนมกราคม และลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังไร้พ่ายในเกมลีก 28 นัดหลังสุดอีกด้วย

  • ลิเวอร์พูล เป็นทีมเดียวในลีกที่สามารถเก็บชัยชนะได้ถึง 10 เกมจาก 11 เกมแรกของลีกและพวกเขายังเป็นฝ่ายคว้าชัยในลีก 2 นัดหลังสุดได้แม้ว่าจะเสียประตูไปก่อนก็ตาม ทว่า หงส์แดง ยังไม่เคยคัมแบ็คจากการตามหลังได้ 3 เกมติดต่อกันมาก่อนในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก

  • พลพรรค ซิตีเซนส์ เก็บชัยชนะ 11 เกมจากทั้งหมด 12 นัดเยือนหลังสุด พ่ายแพ้เพียงนัดเดียวต่อ นอริช (2-3) เท่านั้นโดยซัดได้ถึง 30 ประตูคิดเป็นค่าเฉลี่ย 2.5 ลูกต่อเกม

  • ลูกทีมของ เป๊บ กวาร์ดิโอลา ไม่สามารถยิงประตูได้ในเกมเยือน พรีเมียร์ลีก เพียง 6 นัดจากทั้งหมด 62 แมตช์เท่านั้น โดย 3 ใน 6 เกมดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเจอกับทีมจาก เมอร์ซีย์ไซด์ (2 นัดกับ ลิเวอร์พูล และ 1 นัดกับ เอฟเวอร์ตัน) ขณะที่อีก 3 เกมเกิดขึ้นเมื่อเจอกับทีมจาก ลอนดอน (สเปอร์ส, คริสตัล พาเลซ และ เชลซี)

  • แม้ว่าทัพ เร้ดแมชีน จะยิงประตูใน พรีเมียร์ลีก ได้ต่อเนื่องยาวนานที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในประวัติศาสตร์ (45 เกม) แต่พวกเขาเสียประตูทุกนัดในเกมเหย้าบนลีก 5 นัดหลังสุด

  • เป๊บ กวาร์ดิโอลา มีสถิติปราชัยต่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ มากที่สุดในเส้นทางผู้จัดการทีมเมื่อรวมการพบกันทุกรายการที่ 7 นัด