ลิเวอร์พูล vs เอฟเวอร์ตัน : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน


การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน คืนวันพุธที่ 4 ธันวาคม 2019
เวลาแข่งขัน 03.15 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน ลิเวอร์พูล vs เอฟเวอร์ตัน
สนาม แอนฟิลด์
ถ่ายทอดสด True Premier Football HD 1, True ID

ความพร้อมของทั้งสองทีม


ลิเวอร์พูล

แม้จะเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่องใน พรีเมียร์ลีก แต่ฟอร์มการเล่นของพวกเขานั้นต้องลุ้นกันชนิดที่เรียกว่านัดต่อนัดเลยทีเดียว โดยเฉพาะในช่วงหลังที่ดูความร้อนแรงจะลดลงไปพอสมควร

โดยกลางสัปดาห์นี้ พลพรรคหงส์แดง จะต้องทำศึก เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ ด้วยการเปิดรัง แอนฟิลด์ ต้อนรับการมาเยือนของ เอฟเวอร์ตัน ที่ฟอร์มไม่สู้ดีเท่าใดนัก อยู่อันดับที่ 17 ของตาราง แต่แน่นอนขึ้นชื่อว่า เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ มันย่อมไม่ใช่เกมที่ง่ายสำหรับ ทัพเดอะค็อป อย่างแน่นอน ยิ่งในช่วงที่ฟอร์มกำลังลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่ในตอนนี้

สภาพทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ ในขณะนี้ จะยังไม่สามารถใช้งาน นาธาเนียล ไคลน์, โจเอล มาติป และ ฟาบินโญ ที่ยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้ แถม อลิสซอน เบ็คเกอร์ นายทวารมือหนึ่งก็ติดโทษแบน จากการโดนใบแดงไล่ออกจากสนามในเกมเมื่อวันเสาร์กับ ไบรท์ตัน อีกด้วย

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อาเดรียน
กองหลัง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ลอฟเรน, ฟาน ไดค์, โรเบิร์ตสัน
กองกลาง เฮนเดอร์สัน, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, ไวนัลดุม
กองหน้า ซาลาห์, ฟิร์มิโน, มาเน


เอฟเวอร์ตัน

ฟอร์มยังคงไม่อยู่กับร่องกับรอยเท่าใดนัก ล่าสุดพวกเขาบุกไปแพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ แบบน่าเสียดายสุด ๆ 2-1 จากลูกยิงของ เคเลชี อิเฮียนาโช ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้พวกเขาแพ้เกมลีก 2 นัดติดต่อกัน หล่นมาอยู่อันดับที่ 17 มีแต้มห่างจากโซนตกชั้นเพียง 2 คะแนนเท่านั้น

สภาพทีมของ มาร์โก ซิลวา ในขณะนี้ มีผู้เล่นที่ยังบาดเจ็บหลายรายไม่ว่าจะเป็น เซมุส โคลแมน, อันเดร โกเมส, ธีโอ วัลคอตต์, แบร์นาร์ด, ฟาเบียน เดลฟ์ และ มอร์แกน ชไนเดอร์ลิน โดยคาดว่ากุนซือชาวโปรตุกีส จะยังใช้ผู้เล่นหลักชุดเดียวกับที่บุกไปพ่าย เลสเตอร์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 3-4-3

ผู้รักษาประตู พิคฟอร์ด
กองหลัง โฮลเกต, มินา, คีน
กองกลาง ซิดิเบ้, เดวีส์, ซิเกิร์สสัน, ดิญ
กองหน้า คาลเวิร์ต-เลวิน, ริชาร์ลิซอน, อิโวบี

 


ผลงาน 5 นัดหลังสุด


ลิเวอร์พูล (ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 0)

30 พ.ย. PL ลิเวอร์พูล 2-1 ไบรท์ตัน
28 พ.ย. UCL ลิเวอร์พูล 1-1 นาโปลี
23 พ.ย. PL คริสตัล พาเลช 1-2 ลิเวอร์พูล
10 พ.ย. PL ลิเวอร์พูล 3-1 แมนฯ ซิตี้
6 พ.ย. UCL ลิเวอร์พูล 2-1 เกงค์

เอฟเวอร์ตัน (ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 2)

1 ธ.ค. PL เลสเตอร์ 2-1 เอฟเวอร์ตัน
23 พ.ย. PL เอฟเวอร์ตัน 0-2 นอริช
9 พ.ย. PL เซาต์แธมป์ตัน 1-2 เอฟเวอร์ตัน
3 พ.ย. PL เอฟเวอร์ตัน 1-1 สเปอร์ส
30 ต.ค. EFL เอฟเวอร์ตัน 2-0 วัตฟอร์ด

ฮดทูเฮด : ลิเวอร์พูล ชนะ 2 เสมอ 3 เอฟเวอร์ตัน ชนะ 0

03/03/19 PL เอฟเวอร์ตัน 0-0 ลิเวอร์พูล
02/12/18 PL ลิเวอร์พูล 1-0 เอฟเวอร์ตัน
07/04/18 PL เอฟเวอร์ตัน 0-0 ลิเวอร์พูล
06/01/18 FA ลิเวอร์พูล 2-1 เอฟเวอร์ตัน
10/12/17 PL ลิเวอร์พูล 1-1 เอฟเวอร์ตัน

*PL = พรีเมียร์ลีก / UCL = ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก / FA = เอฟเอคัพ


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ เอฟเวอร์ตัน ใน พรีเมียร์ลีก มาแล้ว 17 เกมติดต่อกัน (ชนะ 7 เสมอ 10 แพ้ 0)

  • เดอะท็อฟฟี ไม่ชนะเกมลีกใน แอนฟิลด์ ตั้งแต่ปี 1999 ซึ่งหลังจากนั้น พวกเขา เสมอ 9 และแพ้ไป 10 เกม

  • ในทุกรายการที่ทั้งสองทีมพบกัน 19 นัดหลังสุด หงส์แดง ไม่แพ้เลยแม้แต่เกมเดียว (ชนะ 9 เสมอ 10 แพ้ 0) ซึ่งเป็นสถิติไม่แพ้เกม เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร

  • ท็อฟฟีสีน้ำเงิน ทำประตูไม่ได้ 7 จาก 11 เกมหลังสุดที่ทั้งคู่พบกันใน พรีเมียร์ลีก

  • หากทั้งสองทีมพบกันในเกมกลางสัปดาห์ ลิเวอร์พูล ไม่เคยแพ้เลยตั้งแต่ปี 1985 จนถึงปัจจุบัน (ชนะ 4 เสมอ 5 แพ้ 0)

  • หงส์แดง เป็นทีมที่ยิงประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ (90+) ในการพบกับ เอฟเวอร์ตัน มากกว่าสโมสรอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก (5 ครั้ง)

  • พลพรรคเดอะค็อป ไม่แพ้ในเกมลีกติดต่อกัน 31 เกมแล้ว และหากในเกมนี้พวกเขาไม่แพ้ จะสร้างสถิติไม่แพ้ใครในลีกติดต่อกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรทันที

  • เอฟเวอร์ตัน เสียประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ (90+) มากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้้ (4 ประตู)

  • เยอร์เกน คล็อปป์ คุมทีมชนะใน พรีเมียร์ลีก มาแล้ว 99 เกม จากทั้งหมด 158 นัด หากเกมนี้จบด้วยชัยชนะของ ลิเวอร์พูล จะทำให้ คล็อปป์ เป็นผู้จัดการทีมที่ชนะในลีกครบ 100 เกมได้เร็วที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจาก โจเซ มูริโญ ที่ทำเอาไว้ที่ 142 เกม

หงส์แดงอกหัก ! ผลการประกาศรางวัล Ballon d’Or 2019

สำเร็จลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับการประกาศรางวัล​ Ballon d’Or 2019 โดยไฮไลท์อยู่ที่รางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยม ซึ่งสุดท้ายตกเป็นของ ลิโอเนล เมสซี ยอดนักเตะจาก บาร์เซโลนา ที่คว้ารางวัลนี้ได้เป็นสมัยที่ 6 ของตัวเองแล้วตลอดอาชีพค้าแข้งของเจ้าตัว

ต้องบอกว่าน่าเสียดายแทนแฟน ลิเวอร์พูล ที่ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค อีกหนึ่งตัวเต็งในการคว้ารางวัลนี้ ได้เพียงอันดับที่สองเท่านั้น ทั้งที่ก่อนพิธีจะเริ่ม สื่อหลายสำนักประโคมข่าวกันว่า ปราการหลังดีกรีนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งยุโรปของ หงส์แดง รายนี้ จะเป็นผู้คว้ารางวัลนี้ไปครองได้อย่างไม่ยากเย็น แต่สุดท้ายกลับเป็น เมสซี ที่ได้รางวัลนี้ไปครองในที่สุด

โดย 10 อันดับนักเตะยอดเยี่ยมประจำปี 2019 มีดังนี้

1. ลิโอเนล เมสซี

2. เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค

3. คริสเตียนโน โรนัลโด้

4. ซาดิโอ มาเน

5. โมฮาเหม็ด ซาลาห์

6. คิเลียน เอ็มบัปเป

7. อลิสซอน เบ็คเกอร์

8. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

9. แบร์นาโด้ ซิลวา

10. ริยาด มาห์เรซ

ส่วนรางวัลสาขาอื่น ๆ ได้แก่

รางวัล Yachine Trophy (ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม) – อลิสซอน เบ็คเกอร์

รางวัล Kopa Trophy (ดาวรุ่งยอดเยี่ยม) – มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์

รางวัล Women’s ballon d’Or (นักฟุตบอลหญิงยอดเยี่ยม) – เมแกน ราฟิโนย์

เห็นๆ กันอยู่ ! เจอร์ราร์ด ยก ฟาน ไดค์ เหมาะกับบัลลงดอร์มากกว่า เมสซี

สตีเวน เจอร์ราร์ด ตำนานมิดฟิลด์ ​สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล แห่งศึก ​ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ผู้ทำหน้าที่กุนซือ เรนเจอร์ส เผยถึงเหตุผลที่ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังรุ่นน้องในทีม หงส์แดง เหมาะสมกับรางวัล บัลลงดอร์ ในปีนี้มากกว่าอีกหนึ่งตัวเต็งอย่าง ​ลิโอเนล เมสซี ของทัพ บาร์เซโลนา

โดย ฟาน ไดค์ นับว่าเป็นคีย์แมนพา เร้ดแมชีน เถลิงบัลลังก์แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาได้รับการคาดหมายว่าจะขับเคี่ยวกับ เมสซี ที่ลุ้นบัลลงดอร์สมัยที่ 6 ของตนเอง ขณะที่สื่อใน สเปน ชี้ว่าสตาร์ทีมชาติ อาร์เจนตินา จะลงเอยด้วยการคว้ารางวัลดังกล่าวโดยอ้างอิงจากผลลงคะแนนที่เสร็จสมบูรณ์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เจอร์ราร์ด ยังเชื่อว่าปราการหลังทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ คู่ควรกับ บัลลงดอร์ ในปีนีมากกว่า เมสซี โดยชี้ว่า “แน่นอนว่าผมเป็นแฟนอันดับหนึ่งของ เมสซี ผมรักแข้งรายนี้ เขามีสถิติที่ไร้เทียมทานทั้งประตูและแอสซิสต์”

“แต่หากคุณมองในแง่ความต่อเนื่องของฟอร์มการเล่นที่มากกว่า 1 ปีและเขาคนนั้นสามารถคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาได้ นอกจากนั้นยังไร้ความผิดพลาดใดๆ ในทุกเกมที่ลงเล่น ในแง่นั้นคุณก็สมควรที่จะคว้าบัลลงดอร์”

เชลซี 0-1 เวสต์แฮม : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก คืนวันเสาร์ สิงห์บลู พ่ายพลิกล็อกคาบ้าน

การแข่งขัน ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2019
เวลาแข่งขัน 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน เชลซี 0-1 เวสต์แฮม
สนาม แตมฟอร์ด บริดจ์

ประเด็นร้อนหลังเกม


ครึ่งแรก – ครึ่งหลัง หนังคนละม้วน

เกมนี้ในช่วงครึ่งเวลาแรก พลพรรคสิงโตน้ำเงินคราม ดูจะเป็นฝ่ายครองเกมเอาไว้ได้ดีกว่า แม้จะหาจังหวะเข้าทำ จังหวะจบสกอร์ ได้ค่อนข้างน้อย แต่ภาพรวมการเข้าทำยังถือว่ามีโอกาสได้ลุ้นประตูอยู่บ้าง น่าเสียดายที่โอกาสจบสกอร์ยังไม่เฉียบขาดพอ จนกระทั่ง…

เริ่มเกมในครึ่งเวลาหลัง ผู้เล่น เวสต์แฮม ดูจะมีความกระตือรือร้นมากขึ้น ขยันวิ่งไล่บอล รวมถึงเปิดเกมบุกเข้าใส่ทางเจ้าถิ่นมากกว่าในช่วงครึ่งเวลาแรก จนมาได้ประตูขึ้นนำเร็วตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง นั่นทำให้พวกเขาเล่นได้ง่านขึ้นกว่าเดิมมาก ส่วนทางด้านเจ้าถิ่น พอเสียประตูก็พยายามเปิดเกมบุกเข้าใส่อย่างหนัก แต่กลับไม่สามารถทำอะไรแนวรับของ ทีมขุนค้อนได้เลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าโอกาสจบสกอร์แทบไม่มีให้เห็นเลยตลอดทั้ง 45 นาทีหลัง แถมยังโดนลูกโต้กลับของทีมเยือนเล่นงานซะจนเกือบเสียประตูที่สอง แต่ยังดีที่ VAR มาช่วยทีมไว้ได้

Chelsea FC v West Ham United - Premier League

เวลาของ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ในทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด
​วันนี้เนื่องจากหัวหอกตัวเก่งของ สิงห์บลู อย่าง แทมมี อับราฮัม มีอาการบาดเจ็บที่บริเวณสะโพก ทำให้หลายคนคาดว่า มิชี บัทชัวยี จะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงกับเขาบ้างเสียที แต่กลับผิดคาด ที่กลายเป็น โอลิวิเยร์ ชิรูด์ กองหน้าตัวเก๋าได้รับโอกาสลงเล่นแทน  ซึ่งก่อนเกมแฟน ๆ เชลซี ก็คงแอบหวังเอาไว้ว่า เจ้าตัวจะมีทีเด็ดจากลูกกลางอากาศ หรือไม่ก็สามารถพักบอล เก็บบอลในแดนหน้า ใช้ความแข็งแกร่งสร้างสรรค์เกมให้กับทีมได้

แต่แล้ว ทุกคนก็ต้องผิดหวังไปตาม ๆ กัน กับฟอร์มการเล่นของ หัวหอกชาวฝรั่งเศส รายนี้ เพราะว่าเจ้าตัวแทบไม่มีโอกาสได้บอลเลยตลอด 70 นาทีที่อยู่ในสนาม แถมพอมีโอกาสได้จบสกอร์แบบเหน่ง ๆ เจ้าตัวก็กลับพลาดโอกาสทองไป ซึ่งหากดูจากฟอร์มในวันนี้แล้ว ชิรูด์ แทบจะไม่เข้ากับแผนการเล่นของของ แฟรงค์ แลมพาร์ด เลยแม้แต่น้อย แต่ยังพอจะมีเวลาพิสูจน์ตัวเองอยู่บ้างในช่วงที่ แทมมี เจ็บไป หากเจ้าตัวสามารถพิสูจน์ได้ว่ายังมีไฟเพชรฆาตอยู่ในตัว เป็นไปได้ว่า อนาคตของเขากับ เชลซี อาจจะลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นได้

Angelo Ogbonna,Olivier Giroud

อันดับ 5-6-7 ไล่ตามมาแล้ว

จากความปราชัยในลีก 2 เกมติดต่อกันนี้ ทำให้ พลพรรคสิงโตน้ำเงินคราม ยังคงจอดอยู่ที่ 26 คะแนนเท่าเดิม ซึ่งแม้จะยังรั้งอันดับ 4 ในตาราง แต่ต้องบอกเลยว่าสถานการณ์ของพวกเขา จะนิ่งนอนใจไม่ได้อีกต่อไป เพราะทีมอันดับที่ 5 ในขณะนี้คือ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ของ อดีตนายเก่าอย่าง โชเซ มูรินโญ ที่เก็บชัยชนะรวดหลังจากเปลี้ยนกุนซือมา จนทำให้ระยะห่างของทั้งสองทีมตอนนี้ลดลงเหลือเพียง 6 คะแนนเรียบร้อยแล้ว นี่ยังไม่นับ วูล์ฟ และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่มี 19 และ 18 คะแนนตามลำดับ แถมยังแข่งน้อยกว่าอีก 1 นัด ที่ยังคงไล่จี้มาติด ๆ ทำให้ ณ ตอนนี้ แฟรงค์ แลมพาร์ด จำเป็นต้องเรียกฟอร์มเก่งของทีมกลับมาให้เร็วที่สุด ก่อนที่พื้นที่ ท็อป 4 จะหลุดลอยจากกำมือพวกเขาไป

FBL-ENG-PR-CHELSEA-WEST HAM

ลิเวอร์พูล vs ไบรท์ตัน : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน


การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2019
เวลาแข่งขัน 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน ลิเวอร์พูล vs ไบรท์ตัน
สนาม แอนฟิลด์
ถ่ายทอดสด True Premier Football HD 1

ความพร้อมของทั้ง 2 ทีม


ลิเวอร์พูล

พลาดสะดุดเสมอกับ นาโปลี 1-1 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยมส์ลีก เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะยังไม่ถึงกับพ่ายแพ้ แต่นั่นก็ทำให้เกมสุดท้ายกับ ซัลบวร์กซ์ พวกเขายังต้องเหนื่อยกันอีกหนึ่งเกมเพื่อลุ้นเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป

มาถึงเกม พรีเมียร์ลีก ในวันเสาร์นี้ พวกเขาจะได้เล่นในบ้านอีกครั้ง ต้อนรับการมาเยือนของ ไบรท์ตัน ทีมอันดับ 12 ที่แพ้ในลีกมาแล้ว 2 เกมติดต่อกัน แต่ฟอร์มช่วงหลังของ หงส์แดง ก็ใช้ว่าจะไร้เทียมทาน พวกเขาไม่สามารถเก็บคลีนชีทได้ 11 เกมติดต่อกันแล้วในทุกรายการ ดังนั้นจะประมาท ทีมนกนางนวล ในเกมนี้ไม่ได้เด็ดขาด หากต้องการจะคว้า 3 คะแนน เพื่อคงระยะห่างจากทีมอับดับ 2 และ 3 เอาไว้ที่ 8-9 แต้มเท่าเดิม

สภาพทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ ในขณะนี้ จะยังไม่สามารถใช้งาน นาธาเนียล ไคลน์, โจเอล มาติป และรายล่าสุดที่พึ่งบาดเจ็บไปเมื่อกลางสัปดาห์อย่าง ฟาบินโญ แต่จะมีข่าวดีที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ เซอร์ดาน ชากิรี กลับมาซ้อมกับทีมได้แล้ว เป็นตัวเลือกให้กับ คล็อปป์ เลือกใช้ในแนวรุกสุดสัปดาห์นี้

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อลิสซอน
กองหลัง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ลอฟเรน, ฟาน ไดค์, โรเบิร์ตสัน
กองกลาง เฮนเดอร์สัน, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, ไวนัลดุม
กองหน้า ซาลาห์, ฟิร์มิโน, มาเน

ไบรท์ตัน

ทีมของ เกรแฮม พ็อตเตอร์ พ่ายในลีกมาแล้ว 2 เกมติดต่อกัน แต่นั้นคือการแพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เลสเตอร์ ซิตี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะปราชัยในเกมดังกล่าว

สุดสัปดาห์นี้พวกเขาต้องพบศึกหนักอีกครั้ง โดยการต้องบุกไปเยือน ลิเวอร์พูล ถึงถิ่น แอนฟิลด์ แต่แน่นอนว่าระยะหลัง จ่าฝูงดูจะฟอร์มแผ่วลงไปเล็กน้อย นั่นอาจจะเป็นโอกาสให้พวกเขาบุกมาแบ่งแต้มกลับไปได้หากสามารถเล่นได้อย่างรัดกุมมากพอในเกมนี้

สภาพทีม ณ ขณะนี้ ยังมีผู้เล่นตัวหลักที่มีปัญหาบาดเจ็บอยู่ คือ โฆเซ อิซเกียร์โด้ ที่จะไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้แน่นอนแล้ว ส่วนรายของ อารอน คอนนอลลี และ เบอร์นาร์โด้ ยังคงต้องรอเช็คความพร้อมก่อนเกมอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 3-4-3

ผู้รักษาประตู ไรอัน
กองหลัง ดัฟฟี, ดังค์, เบิร์น
กองกลาง มอนโตยา, พร็อพเพอร์, สตีเฟนส์, มาร์ช
กองหน้า กรอสส์, เมาปาย, ทรอสซาร์ด

 


ผลงาน 5 นัดหลังสุด


ลิเวอร์พูล (ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 0)

28 พ.ย. UCL ลิเวอร์พูล 1-1 นาโปลี
23 พ.ย. PL คริสตัล พาเลช 1-2 ลิเวอร์พูล
10 พ.ย. PL ลิเวอร์พูล 3-1 แมนฯ ซิตี้
6 พ.ย. UCL ลิเวอร์พูล 2-1 เกงค์
2 พ.ย. PL แอสตัน วิลลา 1-2 ลิเวอร์พูล

ไบรท์ตัน (ชนะ 2 เสมอ 0 แพ้ 3)

23 พ.ย. PL ไบรท์ตัน 0-2 เลสเตอร์ ซิตี้
10 พ.ย. PL แมนฯ ยูไนเต็ด 3-1 ไบรท์ตัน
2 พ.ย. PL ไบรท์ตัน 2-0 นอริช
26 ต.ค. PL ไบรท์ตัน 3-2 เอฟเวอร์ตัน
19 ต.ค. PL แอสตัน วิลลา 2-1 ไบรท์ตัน

ฮดทูเฮด : ลิเวอร์พูล ชนะ 0 เสมอ 0 ไบรท์ตัน ชนะ 5

12/01/19 PL ไบรท์ตัน 0-1 ลิเวอร์พูล
25/08/18 PL ลิเวอร์พูล 1-0 ไบรท์ตัน
13/05/18 PL ลิเวอร์พูล 4-0 ไบรท์ตัน
02/12/17 PL ไบรท์ตัน 1-5 ลิเวอร์พูล
19/02/17 FA ลิเวอร์พูล 6-1 ไบรท์ตัน

*PL = พรีเมียร์ลีก / UCL = ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก / FA = เอฟเอคัพ


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • ตลอด 7 ครั้งหลังสุดที่ทั้งสองทีมพบกัน เป็น ลิเวอร์พูล ที่สามารถเอาชนะไปได้ทั้งหมด โดยยิงได้ 22 และเสียไปเพียง 5 ประตูเท่านั้น

  • ไบรท์ตัน แพ้ 8 จากทั้งหมด 10 เกมที่เล่นใน แอนฟิลด์ (ชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 8) โดยครั้งเดียวที่พวกเขาบุกมาชนะได้ ต้องย้อนกลับไปในปี 1982 เลยทีเดียว

  • หงส์แดง ไม่แพ้ในเกมลีกมาแล้ว 30 นัดติดต่อกัน ซึ่งหากพวกเขาไม่แพ้ในเกมนี้ จะทำสถิติเทียบเท่ากับสถิติตลอดกาลของสโมสรที่เคยทำไว้ 31 เกม ในปี 1987-88

  • พลพรรคเร้ดแมทชีน ชนะเกม พรีเมียร์ลีก ในบ้านมาแล้ว 13 เกมติดต่อกัน โดยสถิติที่เคยทำไว้มากที่สุดคือ 21 นัดติดต่อกันในปี 1972

  • ทีมนกนางนวล แพ้เกมเยือนใน พรีเมียร์ลีก มาแล้ว 3 เกมติดต่อกัน ครั้งล่าสุดที่พวกเขาแพ้เกมเยือน 4 นัดติดต่อกันต้องย้อนกลับไปเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน ปี 2018 โดยทีมที่พวกเขาแพ้เป็นนัดที่ 4 ในขณะนั้น ก็คือ ลิเวอร์พูล

  • 3 เกมหลังสุดที่ทั้งคู่พบกันใน พรีเมียร์ลีก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เป็นผู้ยิงประตูแรกของเกมทั้งหมด

  • ซาดิโอ มาเน ยิงไปแล้ว 17 ประตู ในการเล่นที่ แอนฟิลด์ 16 เกมหลังสุด และหากนับตั้งแต่ฤดูกาลก่อน มาเน ยิงประตูในบ้านได้มากกว่าผู้เล่นคนใดใน พรีเมียร์ลีก (22 ประตู)

  • เยอร์เกน คล็อปป์ คุม หงส์แดง ไม่แพ้ทีมที่มีผู้จัดการทีมเป็นคน อังกฤษ มาแล้ว 26 เกมติดต่อกัน (ชนะ 22 เสมอ 4) และ 16 นัดหลังสุด พวกเขาเอาชนะได้ทั้งหมด

แอสตานา 2-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ยูฟ่า ยูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม L


ประเด็นร้อนหลังเกม


ทีมดาวรุ่ง

เกมนี้ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ขนดาวรุ่งจากทีม ยู-23 และ ยู-18 มาแทนที่ทีมชุดใหญ่แทบจะทั้งหมด โดยมีผู้เล่นระดับซีเนียร์ติดมาด้วยเพียง 3 คนเท่านั้น คือ ลี แกรนท์, ลุค ชอว์ และ เจสซี ลินการ์ด ซึ่งต้องบอกเลยว่าทั้งสามคนนี้ ไม่ได้เล่นเป็นตัวหลักให้กับทีมชุดใหญ่ด้วยซ้ำ จึงเรียกได้ว่า น้าโอเล กล้ามากที่เอาชุดเยาวชนบวกกับตัวสำรอง 3 คน บุกมาเยือน แอสตานา ถึง คาซัคสถาน ในวันนี้ 

มองในแง่ดีก็เป็นเกมที่ให้โอกาส ดาวรุ่งได้วาดฝีไม้ลายมือในเกมใหญ่ระดับยุโรป เพื่อหาประสบการณ์ แต่หากมองตามความเป็นจริงละก็ ต้องบอกเลยว่า “เละ ! ไม่มีทรง เช่นเคยครับผม”

FBL-EUR-C3-ASTANA-MANUTD

ครึ่งแรก-ครึ่งหลัง หนังคนละม้วน

ต้องบอกเลยว่าเกมนี้ใครได้ติดตามดูก็คง งง ไปตาม ๆ กัน เพราะทั้งที่ครึ่งแรก แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถครองเกมบุกแทบจะฝ่ายเดียว แม้โอกาสเข้าทำจะมีไม่มาก แต่พวกเขาก็สามารถควบคุมทุกอย่างเอาไว้ในกำมือตัวเองได้ ซึ่งก็ดูไม่มีทีท่าว่าเจ้าถิ่นจะสามารถต่อกรกับพลังหนุ่มที่มาเล่นฟุตบอลกันอย่างคึกคักได้เลยแม้แต่น้อยในเกมวันนี้

กระทั่งเสียงนกหวีดเริ่มเกมในครึ่งเวลาหลังดังขึ้น ไม่แน่ใจว่า ปีศาจแดง ผ่อนเกมให้ หรือนักเตะ แอสตานา เอาจริงขึ้นมาก็มิอาจทราบได้ กลายเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด โดนโหมบุกหนักจนตั้งเกมของตัวเองแทบไม่ได้เลย จนกระทั้งเสีย 2 ประตู จึงอาจจะเริ่มคิดได้ว่า ต้องกลับมาบุกแล้วนะ ซึ่งมันสร้างความแปลกใจให้กับใครก็ตามที่ดูเกมนี้อยู่ประมาณว่า แอสตานา ครึ่งแรก นี่เล่นแบบอ่อนให้หรือเปล่า หรือว่า ปีศาจแดง อยากซ้อมเกมรับบ้างในครึ่งหลัง แนวรุกที่สามารถครองเกมเอาไว้ในครึ่งแรก จึงหายไปแทบทั้งหมด ราวกับเป็นคนละทีมยังไงยังงั้นเลยทีเดียว

FBL-EUR-C3-ASTANA-MANUTD

“เมสซี ลินการ์ด” ยิงประตูได้แล้ว !

วันนี้ 1 ใน 3 นักเตะระดับ ซีเนียร์ที่ได้รับโอกาสลงสนามมาคุมน้อง ๆ นั่นก็คือ เจสซี ลินการ์ด ซุเปอร์สตาร์ขวัญใจแฟน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนนี้นี่เอง

ซึ่งวันนี้ที่บอกว่าเป็น เมสซี ลินการ์ด ก็เพราะบทบาทที่ได้รับ ให้เป็นทุกอย่างของทีมเหมือนที่ ลิโอเนล เมสซี ตัวจริงทำให้กับ บาร์เซโลนา ในทุก ๆ นัดที่ลงสนาม เกมนี้ก็เช่นกัน กัปตันลินการ์ด วิ่งขึ้น วิ่งลง ทั่วสนาม ทั้งคอยต่อบอล สร้างสรรค์เกม ลากเลื้อย ยิงไกล ที่สำคัญสามารถปลดล็อกประตูได้แล้วจากลูกยิงนอกกรอบในนาทีที่ 10 ของเกม ถึงแม้ว่าทักษะของเขาจะไม่โหดเหมือน เมสซี ตัวจริง แต่วันนี้ต้องบอกเลยว่า ลินการ์ด คือคนบัญชาเกมรุกให้กับ ปีศาจแดง ตัวจริง !

FBL-EUR-C3-ASTANA-MANUTD

บาเลนเซีย 2-2 เชลซี : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม

การแข่งขัน ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019/20 รอบแบ่งกลุ่ม
วันแข่งขัน คืนวันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2019
เวลาแข่งขัน 00.55 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน บาเลนเซีย 2-2 เชลซี
สนาม เมสตายา
ถ่ายทอดสด DAZN

ประเด็นร้อนหลังเกม


วันนี้ สิงห์บลู ทำบุญมาดี

แม้จะจบด้วยสกอร์ 2-2 ในเกมนี้ แต่หากใครได้ติดตามชมเกม ต้องบอกเลยว่า แม้รูปเกมจะสูสี อีกทั้งยังครองบอลเหนือกว่าเล็กน้อย แต่จังหวะจบสกอร์ที่ได้น้ำได้เนื้อ ส่วนมากจะเป็นของเจ้าถิ่น บาเลนเซีย ซะเป็นส่วนใหญ่

ทั้งจังหวะชาร์จจ่อ ๆ ของทั้ง โกเมซ และ โรดริโก้ แถมลูกจุดโทษของ ปาเรโฆ ที่พลาดแบบชนิดที่ไม่สมควรให้อภัย แถมยังมีจังหวะ VAR ที่ให้เป็นประตูจากลูกที่ พูลิซิช ยิงขึ้นนำ 2-1 ซึ่งก็ก้ำกึ่งแบบสุด ๆ แต่สุดท้ายก็ได้เป็นประตูไปแบบ งง ๆ แน่นอนว่านี่แหละคือเสน่ของฟุตบอล คนเล่นดีไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชนะเสมอไป แต่คนที่ทำประตูได้มากกว่าต่างหาก คือผู้ชนะบนสังเวียนสีเขียวแห่งนี้

Valencia CF v Chelsea FC: Group H - UEFA Champions League

อาการบาดเจ็บของ อับราฮัม

เกมนี้มีข่าวร้ายสำหรับ พลพรรคสิงโตน้ำเงินคราม คือ การที่หัวหอกตัวเก่งอย่าง แทมมี อับราฮัม ได้รับบาดเจ็บบริเวณสะโพกจนเดินแทบไม่ไหว ต้องเปลี่ยนตัวออกไปตั้งแต่ช่วงพักครึ่ง ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วนั้นอาการจะร้ายแรงมากแค่ไหน หรือว่าต้องพักรักษาตัวนานเท่าใด

แฟน ๆ สิงห์บลู ก็ทำได้แค่ภาวนาหวังว่าเจ้าตัวจะไม่เป็นอะไรมาก เพราะว่าช่วงนี้กำลังเป็นช่วงสำคัญทั้งในรายการนี้ และใน พรีเมียร์ลีก ที่ทั้งสองรายการยังต้องเน้นผลการแข่งขันแทบจะทุกเกม แต่หากมองในแง่ดี ก็อาจจะเป็นการขยับให้ มิชี บัทชัวยี ได้มีโอกาสแจ้งเกิด ยิงประตูถล่มทลาย ได้เฉิดฉายกับเขาบ้างก็แล้วกัน 

FBL-C1-EUR-VALENCIA-CHELSEA

ลุ้นเข้ารอบจนถึงนัดสุดท้าย

จนถึงตอนนี้ ทัพสิงห์บลู ยังไม่สามารถการันตีการเข้ารอบต่อไปในรายการนี้ได้ ซึ่งยังเหลือเกมในมืออีก 1 นัดด้วยกันสำหรับทั้งสามทีมที่มีคะแนนนำ นั่นคือ อาแจ็กซ์ เชลซี และ บาเลนเซีย โดยเกมต่อไป บาเลนเซีย ที่มี 8 คะแนนเท่ากับ เชลซี จะต้องบุกไปเยือน อาแจ็กซ์ ที่ประเทศ เนเธอร์แลนด์ ส่วน ทีมสิงโตน้ำเงินคราม จะเจองานเบากว่าที่เพราะจะได้เล่นในบ้านรับการมาเยือนของ ลีลล์ ที่ตกรอบไปแบบ 100 เปอร์เซนต์แล้ว

ซึ่งก็ต้องมาลุ้นกันในกลุ่มนี้ ว่า 2 ทีมใดจะผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายไปได้ อังคาร ที่ 11 ธันวาคม นี้ รู้กัน แฟน สิงห์บลู ห้ามพลาดเป็นอันขาด

FBL-C1-EUR-CHELSEA-PRESSER

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs ชัคตาร์ โดเนทส์ค : รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริง

รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เอแดร์ซอน, คันเซโล, แฟร์นันดินโญ, โอตาเมนดี้, อังเจลิโน, โรดริโก้, กุนโดกัน, เดอ บรอยน์, แบร์นาโด้, สเตอร์ลิง, เชซุส

ตัวสำรอง : คาร์สัน, วอล์คเกอร์, สโตนส์, ซิลบา, เมนดี้, มาห์เรซ, โฟเด้น

ชัคตาร์ โดเนทส์ค เปียตอฟ, โดโด้, คริฟท์ซอฟ, มาทเวียนโก้, อิสไมลี, อัล แพทริค, สเตปาเนนโก้, เตเต้, โควาเลนโก้, โคโนพลิยานก้า, โมราเอส

นัดเปิดซิง ! เปิดสถิติ 9 เกมเดบิวต์ จาก 8 สโมสร ของชายที่ชื่อ โชเซ มูรินโญ

1. เบนฟิก้า – จุดเริ่มต้นที่ไม่น่าจดจำ

วันที่ 23 กันยายน 2000

ผลการแข่งขัน เบนฟิก้า 0-1 เบาวิสต้า

หลังจากเป็นมือขวาของ ยอดผู้จัดการทีมในยุคนั้นอย่าง เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน และ หลุยส์ ฟาล กัล จนสะสมประสบการณ์มาได้พอสมควร และแล้วก็ถึงวันที่กุนซือ เดอะสเปเชียลวัน จะได้คุมทีมอย่างเต็มตัวเสียที

ซึ่งทีมแรกที่ที่ให้โอกาสเจ้าตัวนั่นก็คือ เบนฟิก้า ทีมดังในลีก โปรตุเกส บ้านเกิดของเขานั่นเอง โดยเกมแรกที่เขาคุมทีมข้างสนามอย่างเต็มตัวนั้น น่าเสียดายที่ต้องจบด้วยความปราชัย 0-1 ต่อ เบาวิสต้า จากลูกยิงของ ดูด้า ต้นแต่ช่วงต้นเกม

แค่นั้นไม่พอ จ่ามู ของเราคุมทีมในลีกไปได้เพียง 6 เกมเท่านั้นก็ต้องออกจากตำแหน่งไป ซึ่งดูจะเป็นการเริ่มต้นที่ไม่สวยหรูเอาซะเลยในฐานะการเป็นผู้จัดการทีมครั้งแรกของเขา

2. ไลเรีย – ฉายแววกุนซือดาวรุ่ง

วันที่ 7 เมษาายน 2001

ผลการแข่งขัน ไลเรีย 2-0 สปอติง ลิสบอน

หลังจากออกจาก เบนฟิก้า ได้ประมาณ 4 เดือน เดอะสเปเชียลวัน ก็ได้รับงานใหม่จากทีม ยูนิอัล ไลเรีย ทีมในลีก โปรตุเกส เช่นเคย แต่ที่ต่างไปจากเดิมนั่นคือการที่ เฮียมู สามารถประเดิมสนามเกมแรกด้วยการพาทีมเปิดบ้านเอาชนะ สปอตติง ลิสบอน ทีมยักษ์ใหญ่ใน ลีกโปรตุกีส สมัยนั้นได้ถึง 2-0

และในปีนั้นเอง เขาสามารถพา ไลเรีย จบอันดับที่ 5 ในลีก ซึ่งเป็นอันดับที่สูงที่สุดที่เคยทำได้ในประวัติศาสตร์สโมสรเลยทีเดียว

3. ปอร์โต้ – แจ้งเกิดและพาทีมไปอยู่จุดสูงสุด

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2002

ผลการแข่งขัน ปอร์โต้ 2-1 มาริติโม

จุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่แห่งยุคของ โชเซ มูรินโญ ได้เริ่มขึ้นเมื่อ ปอร์โต้ ทีมยักใหญ่ของลีกแดนฝอยทอง เห็นแววเฉิดฉายในตัวผู้จัดการทีมหนุ่มไฟแรงของทีม ยูนิอัล ไลเรีย จึงได้ทำการดึงตัวมานั่งเก้าอี้กุนซือในช่วงต้นปี 2002

เกมแรกที่ มูรินโญ ประเดิมสนามกับต้นสังกัดใหม่ นั่นคือเกมที่ ปอร์โต้ เปิดบ้านเฉือนชนะ มาริติโม ไปได้ 2-1 ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็สร้างประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กับทีมมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2004 ได้สำเร็จ

4. เชลซี – ความท้าทายใหม่ในต่างแดน

วันที่ 15 สิงหาคม 2004

ผลการแข่งขัน เชลซี 1-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ ปอร์โต้ ก็ถึงคราวที่ เฮียมู ของเราจะต้องออกมาผจญภัยในต่างแดนกับอย่างคนอื่น ๆ เขาบ้าง โดยเป็น เชลซี ที่ขณะนั้น มหาเศรษฐีอย่าง โรมัน อับราโมวิช พึ่งจะเข้ามาทำการเท็คโอเวอร์ทีมได้เพียงปีเดียว จัดการกระชากตัว เดอะสเปเชียลวัน ออกจากโปรตุเกส มาคุมทีม สิงห์ไฮโซ ในช่วงหน้าร้อนปี 2004

เกมแรกของ จ่ามู กับ สิงห์บลู นั้น คือการพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มี เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นั่งเก้าอี้กุนซือในเกมนัดเปิดสนามของ พรีเมียร์ลีก ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของ สิงโตน้ำเงินคราม 1-0 จากประตูชัยของ ไอเดอร์ กุดยอห์นเซน และจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จ

5. อินเตอร์ มิลาน – ชูถ้วยยุโรปอีกครั้งที่ อิตาลี

วันที่ 30 สิงหาคม 2008

ผลการแข่งขัน อินเตอร์ มิลาน 1-1 ซามพ์โดเรีย

หลังจากแยกทางกับ สิงโตน้ำเงินคราม ในฤดูกาล 2007-08 เฮียมู เลือกย้ายมาหาความท้าทายใหม่อีกครั้งที่ อิตาลี กับทีม อินเตอร์ มิลาน ทีมยักใหญ่ในศึก กัลโช เซเรียอา

โดยเกมแรกที่เจ้าตัวประเดิมคุมทีมข้างสนามให้กับทัพงูใหญ่นั้น ผลออกมาไม่สวยเท่าใดนัก เพราะทำได้แค่เสมอกับ ซามพ์โดเรีย 1-1 แต่อย่างไรก็ตามจุดจบของซีซั่นนั้นพวกเขาสามารถคว้าแชมป์กัลโช ได้ในที่สุด รวมถึงปีต่อมา มูรินโญ สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าทริปเบิลแชมป์ กับ อินเตอร์ มิลานได้สำเร็จ ซึ่งนั้นเป็นการสัมผัสถ้วยบิ๊กเอียร์เป็นครั้งที่สองตลอดอาชีพกุนซือของเขา

6. เรอัล มาดริด – ก้าวสู้บัลลังก์ ราชันชุดขาว

วันที่ 29 สิงหาคม 2010

ผลการแข่งขัน เรอัล มาดริด 0-0 เรอัล มายอร์ก้า

หลังจากประสบความสำเร็จสูงสุดกับ ทีมงูใหญ่ ในฤดูกาล 2009-10 ราชันชุดขาวที่กำลังหากุนซือคนใหม่อยู่ในขณะนั้น ก็ได้ทำการคว้าตัวกุนซือ เดอะสเปเชียลวัน จาก อิตาลี ส่งตรงมายัง ลาลีกา สเปน ในช่วงซัมเมอร์ปี 2010

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ เฮียมู ออกสตาร์ทเกมแรกได้ไม่สวยหรูเท่าไดนัก โดยทำได้เพียงเสมอกับ มายอร์ก้า ไปแบบไร้สกอร์ 0-0 ซึ่งต้องบอกว่าตลอด 3 ปีในถิ่น ซานติเอโก้ เบอร์นาเบว เจ้าตัวดูจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรกับ เรอัล มาดริด เพราะทำได้เพียง คว้าแชมป์ลาลีกา และ โคปา เดล เรย์ อย่างละ 1 สมัยเท่านั้น

7. เชลซี – หวนคืนสู่ ลอนดอน อีกครั้ง

วันที่ 18 สิงหาคม 2013

ผลการแข่งขัน เชลซี 2-0 ฮัลล์ ซิตี้

หลังจากแยกทางกับ เรอัล มาดริด ในช่วงกลางปี 2013 เชลซี ในขณะนั้นกำลังมองหากุนซือที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทน ราฟา เบนิเตซ ที่ปฏิเสธจะรับงานคุมทีมแบบถาวร หลังพาทีมคว้าแชมป์ ยูโรปาลีก ได้ในฤดูกาลก่อน นั่นทำให้ เสี่ยหมี โรมัน อับราโมวิช ยอมกลืนน้ำลายตัวเอง ดังตัว มูรินโญ มานั่งเก้าอี้กุนซือ ทีมสิงโตน้ำเงินคราม อีกครั้ง ในฤดูกาล 2013-14

ประเดิมเกมแรกหนนี้ จ่ามู ก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง ด้วยการอัด ฮัลล์ ซิตี้ ไปสบาย ๆ 2-0 แต่แม้ว่าซีซั่นแรกที่กลับมาเป็นกุนซือให้ สิงห์บลู รอบนี้นั้น จะไม่จบด้วยการเป็นแชมป์ใด ๆ แต่ปีต่อมาพวกเขาจัดการคว้าดับเบิลแชมป์ได้สำเร็จ ก่อนปลายปี 2015 จะถูกเสี่ยหมีสั่งปลดฟ้าผ่าอีกครั้ง เนื่องจากทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ และลือว่าว่ามีปัญหาภายในทีมกับนักเตะหลายคนจนถึงขนาดหลายคนออกมาวิเคราะห์กันว่า ที่ฟอร์มห่วยก็เพราะ “นักเตะเล่นไล่โค้ชชัดๆ”

8. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด – จุดประกายความหวัง ปีศาจแดง

วันที่ 16 สิงหาคม 2016

ผลการแข่งขัน บอร์นมัธ 1-3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

หลังจากถูกไล่ออกจากถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นครั้งที่สองตั้งแต่ช่วงเดือน ธันวาคม ปี 2015 เฮียมู ก็ไม่รับงานที่ใดอีกเลยจนกระทั่งกลางปี 2016 และเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ได้ตัวยอดกุนซือที่ตอนนี้เปลี่ยนฉายาให้กับตัวเองใหม่จาก เดอะสเปเชียลวัน เป็น เดอะแฮปปี้วัน ไปคุมทีมเป็นที่เรียบร้อย

ซึ่งเกมแรกกับ ปีศาจแดง เฮียมู ก็สร้างความหวังให้กับ แฟน ๆ เร้ดเดวิลส์ ทันที ด้วยการบุกไปถล่ม บอร์นมัธ 1-3 แถมซีซั่นแรกของเขากับ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังจบด้วยการรั้งอันดับสองในลีก พร้อมทั้งคว้าแชมป์ ยูโรปาลีก และ อีเอฟแอลคัพ มาครองได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นทีมก็กลับเข้าสู่ขาลงอีกครั้งในฤดูกาลถัดมา จนมาถูกปลดออกจากตำแหน่งในเดือน ธันวาคม ปี 2018

9. ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ – กู้วิกฤต ไก่เดือยทอง

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2019

ผลการแข่งขัน เวสต์แฮม 2-3 ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์

ท่ามกลางช่วงเวลาอันมึดมนของ พลพรรคไก่เดือยทอง แดเนียล เลวีย์ ประธานสโมสร ได้สร้างเซอร์ไพรส์สองต่อด้วยการปลด เมาริซิโอ โปเช็ตติโน ออกแบบสายฟ้าแลบ พร้อมกับแต่งตั้ง เฮียมู เข้ามารับตำแหน่งแทนหลังจากนั้นภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง

โดยเกมแรกของ น้ามู ก็อย่างที่ทราบกันด้วยการพาทีมบุกไปเฉือนชนะ เวสต์แฮม หวุดหวิด 2-3 ซึ่งก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่พวกเขาอาจจะกลับมาคืนฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง ภายใต้การคุมทีมของ โค้ชระดับตำนานที่มีนามว่า โชเซ มูรินโญ

[Match Report] ครึ่งหลังบุกมันส์ ! ปีศาจแดง บุกเจ๊า ดาบคู่ 3-3 พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันอาทิตย์


การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20 นัดที่ 13
วันแข่งขัน วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2019
เวลาแข่งขัน 23.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน

เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด VS แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

สนาม บรามอลล์เลน

เชฟฟิลดิ์ ยูไนเต็ด ออกนำไปก่อน 2-0 ก่อนจะมาโดนแซงขึ้นนำเป็น 2-3 โมเมนต์ตั้มทำท่าจะเข้าทาง ปีศาจแดง เป็นฝ่ายคว้าชัยแต่แล้วเจ้าบ้านก็มาได้ประตูตีเสมอ 3-3 ช่วงท้ายเกมในนาทีที่ 90 ได้สำเร็จ

เจ้าบ้าน เชฟฟิดล์ ออกนำไปก่อน 1-0 จากจังหวะทิ้งยาวขึ้นหน้า มุสเซ่ ใช้ความขยันไล่บีบ ฟิล โจนส์ แย่งบอลมาได้ ก่อนจ่ายย้อนกลับมาให้ จอร์จ บัลด็อค ยิงไปติดเซฟ เด เกอา แต่โชคดีบอลเด้งกลับมาโดนขา จอห์น เฟล็ค ที่วิ่งตามมาเข้าประตูไป

John Fleck,John Lundstram

จากนั้นในนาที 23 จอห์น เฟล็ค แย่งบอลมาได้จาก อันเดรส เปร์เรร่า แบบดื้อ ๆ ก่อนแทงต่อให้ เดวิด แม็คโกลดริค ตะบันยิงเต็มข้อแต่ตรงตัว เด เกอา รับเอาไว้ได้สบาย ๆ

รูปเกมในครึ่งแรกเป็น เชฟฟิดล์ ที่ทำได้ดีกว่า ไล่กดดันทีมเยือน ปีศาจแดง ได้ตลอด แต่ไม่สามารถบวกสกอร์ทิ้งห่างได้ ก่อนจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 1-0

เริ่มเกมครึ่งหลัง โซลชา เปลี่ยน 1 ตำแหน่งทันที ส่ง เจสซี่ ลินการ์ด ลงมาแทน ฟิล โจนส์ เพิ่มมิติในเกมรุก

ครึ่งหลังเริ่มมา 3 นาที ปีศาจแดง ได้ลุ้นบ้างจากจังหวะ มาร์คัส แรชฟอร์ด โยกตัดเข้ากลางแล้วส่องไกลทันทีแต่บอลแรงเหินข้ามคานออกไป

จากนั้น 4 นาทีถัดมา เจ้าบ้านมาบวกเพิ่มเป็น 2-0 จนได้ จากจังหวะ มุสเซ่ แย่งบอลมาได้จาก เปร์เรร่า แล้วฝากไปให้ จอห์น ลุนสแตรม แทงต่อให้ มุสเซ่ บรรจงยิงนอกกรอบบอลพุ่งเรียดเสียบโคนเสาเข้าไปอย่างสวยงาม

Lys Mousset

ปีศาจแดง ตีไข่แตกได้สำเร็จ ในนาที 72 จากจังหวะ แดเนี่ยล เจมส์ เปิดเข้าไปลุ้นในเขตโทษแนวรับ เชฟฟิดล์ เคลียร์ไม่ขาดบอลเลยมาถึง แบรนดอน วิลเลี่ยน วิ่งมายิงแบบไม่ต้องจับส่งบอลซุกก้นตาข่าย

จากนั้น นาที 76 และ 79 แมนฯ ยูไนเต็ด ตีเสมอได้สำเร็จ 2-2 และขึ้นนำเป็น 2-3 ลูกตีเสมอจากจังหวะ มาร์คัส แรชฟอร์ด เปิดบอลเข้าไปในเขตโทษน้ำหนักดีมาก เมสัน กรีนวู้ด แหย่เท้าส่งบอลซุกก้นตาข่ายเข้าไป ประตูแซงนำเป็น 2-3 มาร์กซิยาล แทงบอลให้ เจมส์ หลุดเข้าไปในเขตโทษก่อนจ่ายย้อนหลังกลับมาให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด แปง่าย ๆ เข้าไป

Marcus Rashford

เจ้าบ้านสู้ไม่ถอยลุยต่อจนมาได้ประตูตีเสมอท้ายเกมในนาที 90 คัลลั่ม โรบินสัน ที่ลงมาเป็นจัวสำรอง ดึงบอลหลอกในเขตโทษ แล้วจ่ายต่อให้ แม็คเบิร์นนีย์ แต่งบอลด้วยหน้าขาก่อนตวัดยิงทันที เด เกอา เซฟเกือบได้แต่เอาไม่อยู่ ประตูนี้หยุดดู VAR เนื่องจากมองว่าจังหวะแต่งบอลของ แม็คเบิร์นนีย์ เหมือนบอลจะไปโดนแขน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ตัดสินชี้ให้เป็นประตูตีเสมอ

จากนั้นไม่มีสกอร์เพิ่มจบเกมการแข่งขัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกมาเจ๊ากับ เชฟฟิดล์ ยูไนเต็ด 3-3 แบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน


รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม

เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด : ไซมอน มัวร์, คริส บาชาม, ฟิล จากีลก้า, แจ็ค โอคอนเนลล์, เอ็นดา สตีเวนส์, จอห์น เฟล็ค, โอลิเวอร์ นอร์วูด, จอห์น ลุนสแตรม, จอร์จ บัลด็อค, เดวิด แม็คโกลดริค, ลีส มูสเซต์

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ดาบิด เด เคอา, ฟิล โจนส์, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, อารอน วาน-บิสซากา, เฟร็ด, แบรนดอน วิลเลียมส์, อันเดรียส เปเรยร่า, แดเนี่ยล เจมส์, อองโตนี มาร์กซิยาล, มาร์คัส แรชฟอร์ด