ลิเวอร์พูล vs วัตฟอร์ด : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน


การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม 2019
เวลาแข่งขัน 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน ลิเวอร์พูล vs วัตฟอร์ด
สนาม แอนฟิลด์
ถ่ายทอดสด True Premier Football HD 1, True ID

ความพร้อมของทั้งสองทีม


ลิเวอร์พูล

ยังคงฟอร์มร้อนแรงไม่เลิกจริง ๆ สำหรับลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่ล่าสุดบุกอัด ซัลซ์บวร์ก ถึง ออสเตรีย 0-2 ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ

สุดสัปดาห์นี้ พวกเขามีคิวลงเล่นใน แอนฟิลด์ พบกับทีมบ๊วยของตารางอย่าง วัตฟอร์ด ที่พึ่งจะเปลี่ยนกุนซือคนใหม่มาหมาด ๆ เป็นหนที่สองในซีซั่นนี้ ซึ่งคราวนี้เป็น ไนเจล เพียร์สัน กุนซือเลือดผู้ดีอังกฤษ ที่เกมแรกประเดิมสนามด้วยการยันเสมอ คริสตัล พาเลช ได้ 0-0 เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน แต่การได้เล่นใน แอนฟิลด์ ทำให้เกมนี้ไม่น่าจะเป็นงานยากสำหรับ พลพรรคหงส์แดง ในคืนวันเสาร์นี้

สภาพทีมในขณะนี้ จะยังไม่สามารถใช้งาน นาธาเนียล ไคลน์, โจเอล มาติป และ ฟาบินโญ ที่ยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้ ส่วนรายของ เดยัน ลอฟเรน และ อดัม ลัลลานา ต้องรอดูความพร้อมก่อนเกมจะเริ่มต้นอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อลิสซอน
กองหลัง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โกเมซ, ฟาน ไดค์, โรเบิร์ตสัน
กองกลาง เฮนเดอร์สัน, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, ไวนัลดุม
กองหน้า ซาลาห์, ฟิร์มิโน, มาเน

วัตฟอร์ด

ฟอร์มยังคงย่ำแย่อย่างต่อเนื่องสำหรับทัพ แตนอาละวาด ที่ไม่ชนะใครติดต่อกัน 4 นัดรวด จนต้องปลดกุนซือคนเก่าอย่าง กิเก้ ฟลอเรส ออกไป และตั้งกุนซือคนใหม่อย่าง ไนเจล เพียร์สัน ที่ดูผลงานในนัดแรกแม้จะยังไม่ถึงกับชนะ แต่อย่างน้อยก็ยังเก็บ 1 แต้มในบ้านได้สำเร็จเมื่อสุดสัปดาห์ก่อน

สภาพทีม ณ ขณะนี้ ทอม เคลฟเวอร์รีย์, โฆเซ โฮเลบาส และ แดนนี เวลเบ็ค ยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ ไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้ในเกมนี้แน่นอนแล้ว

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-5-1

ผู้รักษาประตู ฟอสเตอร์
กองหลัง ฟีมีเนีย, คาบาเซเล, ดอว์สัน, มาซินา
กองกลาง ดูกูเร, กาปู, ซาร์, เปเรย์รา, เดวโลเฟว,
กองหน้า ดีนีย์

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


ลิเวอร์พูล (ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 0)

11 ธ.ค. UCL ซัลซ์บวร์ก 0-2 ลิเวอร์พูล
7 ธ.ค. PL บอร์นมัธ 0-3 ลิเวอร์พูล
5 ธ.ค. PL ลิเวอร์พูล 5-2 เอฟเวอร์ตัน
30 พ.ย. PL ลิเวอร์พูล 2-1 ไบรท์ตัน
28 พ.ย. UCL ลิเวอร์พูล 1-1 นาโปลี

วัตฟอร์ด (ชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 3)

7 ธ.ค. PL วัตฟอร์ด 0-0 คริสตัล พาเลซ
5 ธ.ค. PL เลสเตอร์ ซิตี้ 2-0 วัตฟอร์ด
1 ธ.ค. PL เซาต์แธมป์ตัน 2-1 วัตฟอร์ด
23 พ.ย. PL วัตฟอร์ด 0-3 เบิร์นลีย์
9 พ.ย. PL นอริช 0-2 วัตฟอร์ด

ฮดทูเฮด : ลิเวอร์พูล ชนะ 4 เสมอ 1 วัตฟอร์ด ชนะ 0

28/02/19 PL ลิเวอร์พูล 5-0 วัตฟอร์ด
24/11/18 PL วัตฟอร์ด 0-3 ลิเวอร์พูล
18/03/18 PL ลิเวอร์พูล 5-0 วัตฟอร์ด
12/08/17 PL วัตฟอร์ด 3-3 ลิเวอร์พูล
02/05/17 PL วัตฟอร์ด 0-1 ลิเวอร์พูล

*PL = พรีเมียร์ลีก / UCL = ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • 7 เกมหลังสุดที่ทั้งสองทีมพบกัน ลิเวอร์พูล เอาชนะได้ถึง 6 เกม (ชนะ 6 เสมอ 1 แพ้ 0) ยิงได้ทั้งหมด 25 เสียไปเพียง 4 ประตูเท่านั้น

  • หลังจาก ปี 1999 ที่ วัตฟอร์ด บุกไปชนะที่ แอนฟิลด์ ได้ 1-0 พวกเขาไม่ชนะอีกเลยตลอด 5 เกมหลังที่ออกไปเยือน หงส์แดง โดยเสียไปถึง 20 ประตู และยิงได้เพียงประตูเดียวเท่านั้น

  • 3 เกมหลังสุดที่ทั้งคู่พบกันในบ้านของ ลิเวอร์พูล จบด้วยชัยชนะของเจ้าถิ่น 6-1, 5-0 และ 5-0 ซึ่งในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก ยังไม่เคยมีทีมใดชนะคู่แข่งในบ้าน 4 เกมติดต่อกันและยิงได้ถึง 5 ประตูในทุกนัด

  • พลพรรคเดอะค็อป ชนะในบ้าน 15 นัดติดต่อกันแล้วในปัจจุบัน ซึ่งสถิติที่พวกเขาทำเอาไว้สูงที่สุดอยู่ที่ 21 นัดติดต่อกันในปี 1972

  • ทัพแตนอาละวาด ทำสถิติแพ้ทีมที่เป็นจ่าฝูง ณ วันที่พบกันมาแล้ว 12 เกมติดต่อกัน นับตั้งแต่ปี 1986

  • วัตฟอร์ด ทำประตูในเกมลีกฤดูกาลนี้ไม่ได้ 9 จาก 16 เกม ส่วน ลิเวอร์พูล เป็นทีมเดียวที่ยิงประตูได้ทั้ง 16 นัดในซีซั่นนี้ ซึ่งสถิติที่ทำไว้สูงสุดของพวกเขาต้องย้อนกลับไปในปี 1933-34 ที่ยิงได้ทุกนัดตลอด 21 เกมแรกของฤดูกาล

  • หงส์แดง ยิงประตูขึ้นนำคู่แข่งในปีนี้ไปได้ทั้งหมด 10 ประตู ซึ่งมากกว่าจำนวนประตูที่ ทีมแตนอาละวาด ทำได้ทั้งหมดในซีซั่นนี้ (9 ประตู)

  • โม ซาลาห์ มีส่วนร่วมกับการทำประตูถึง 7 ครั้ง ตลอด 4 เกมหลังสุดที่ทั้งสองทีมพบกัน (ยิง 6 แอสซิสต์ 1) ซาดิโอ มาเน มีส่วนร่วม 8 ครั้ง ตลอด 5 นัดหลัง (ยิง 5 แอสซิสต์ 3) ส่วน โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน ทีส่วนกับการทำประตูทั้งสิ้น 8 ครั้ง จาก 6 เกมหลังสุดที่ทั้งคู่พบกัน (ยิง 5 แอสซิส 3)

[ข่าวซื้อขาย] เขาจะมาหรอ ! บาร์นส์ เผยชื่อแข้งเพียงหนึ่งเดียวที่ หงส์ จะซื้อในเดือนมกราคม

จอห์น บาร์นส์ ตำนานแข้งทีม ​ลิเวอร์พูล ยักษ์ใหญ่ในศึก พรีเมียร์ลีก ยืนยันว่าถ้าหาก เจอร์เกน คล็อปป์ จะซื้อผู้เล่นใหม่เข้ามาเสริมทัพหงส์แดงในช่วง​ตลาดซื้อขายนักเตะหน้าหนาว ต้องเป็น ลีโอเนล เมสซี คนเดียวเท่านั้น “ด้วยความที่ ลิเวอร์พูล เป็นทีมใหญ่ที่มีผู้คนให้ความสนใจอยู่มากมายทั่วโลก ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกขายข่าวลือในช่วงใกล้ตลาดซื้อ-ขายเปิดม่านขึ้นแบบนี้” ปีกนิลกาฬ กล่าว ‘If Liverpool could get Messi that’d be great!’ – Liverpool don’t need to sign anyone, says Barnes…

บาเยิร์น มิวนิค 3-1 สเปอร์ส : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก นัดสุดท้าย กลุ่ม บี

การแข่งขัน ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019/20 รอบแบ่งกลุ่ม นัดที่ 6
วันแข่งขัน คืนวันพุธที่ 12 ธันวาคม 2019
เวลาแข่งขัน 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลแข่งขัน บาเยิร์น มิวนิค 3-1 ท็อตแนม ฮอตสเปอร์
สนาม อลิอันซ์ อารีนา

ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ บุกพ่าย บาเยิร์น มิวนิค ยอดทีมจาก บุนเดสลีกา 3-1 โดยทีมเยือนได้ประตูจาก ไรอัน เซสเซยอง ในนาทีที่ 20 ส่วนเจ้าถิ่นได้ประตูจาก คิงสลีย์ โคม็อง นาทีที่ 14 โธมัส มุลเลอร์ นาทีที่ 45 และปิดท้ายด้วยลูกยิงสุดสวยของ ฟิลิปเป้ คูตินโญ ในนาทีที่ 64 จบเกม เสือใต้คว้าชัย 6 เกมติดในรอบแบ่งกลุ่ม จับมือกับ สเปอร์ส เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป

FBL-EUR-C1-BAYERN MUNICH-TOTTENHAM

เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก เป็นเจ้าถิ่นที่ดูจะครองบอลได้เหนือกว่า แต่ทีมเยือนเองก็มารอจังหวะทำเกมโต้กลับอยู่เช่นกัน

ช่วงสิบนาทีแรกเป็น เสือใต้ ที่ครองบอลบุกเข้าใส่ได้ชัดเจนกว่า กระทั่งนาทีที่ 14 พวกเขาได้ประตูออกนำ 1-0 จากจังหวะที่ นาบรี จ่ายทะลุเข้าเขตโทษแต่บอลไปแฉลบผู้เล่น สเปอร์ส มาเข้าทาง โคม็อง ยิงโล่งๆ เข้าไป​

แต่จากนั้นไม่กี่นาที ทีมเยือนมาได้ประตูตีเสมอ 1-1 จากจังหวะที่ โล เซลโซ จ่ายบอลไปแฉลบกองหลังเจ้าถิ่น มาเข้าทาง เซสเซยอง ซัดเต็มข้อผ่านตัว นอยเออร์ เข้าไปในนาทีที่ 20

เกมดูเหมือนจะจบครึ่งเวลาแรกไปด้วยผลเสมอ แต่แล้ว บาเยิร์น มาได้ประตูที่สอง โดย มุลเลอร์ จากจังหวะ ซ้ำลูกยิงของ เดวีย์ แบ็คซ้ายดาวรุ่งที่ยิงไปชนเสา ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งแรก

และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์ 2-1

FBL-EUR-C1-BAYERN MUNICH-TOTTENHAM

เริ่มเกมในครึ่งหลัง ดูเหมือนเจ้าบ้านจะเน้นครองบอลมากขึ้น นั่นทำให้ ผู้มาเยือนจากอังกฤษ แทบไม่มีโอกาสได้ทำเกมบุกขึ้นไปลุ้นประตูได้เหมือนในครึ่งแรก

​และนาทีที่ 64 แชมป์เก่าจากเยอรมัน มาได้ประตูที่สามจากจังหวะปั่นโค้ง ๆ เสียบเสาเข้าไปของ คูตินโญ ให้ทีมนำห่าง 3-1

จากนั้นช่วงเวลาที่เหลือเป็น ทัพเสือใต้ ที่ครองเกมเอาไว้ได้แทบจะทั้งหมด แม้ ไก่เดือยทอง จะมีโอกาสได้โต้กลับอยู่บ้างแต่ก็ทำได้แค่หวาดเสียวเท่านั้น

จนกระทั่งจบเกม ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ บุกมาพ่าย บาเยิร์น มิวนิค ถึงถิ่น 3-1

FBL-EUR-C1-BAYERN MUNICH-TOTTENHAM

คะแนนนักเตะทั้งสองทีม


บาเยิร์น มิวนิค: นอยเออร์(7), เดวีย์ส(8.5), บัวเต็ง(7), มาร์ติเนซ(7), ปาวาร์(7), คิมมิช(7.5), ติอาโก้(7.5), คูตินโญ(8.5)*, เปริซิช(7), โคม็อง(7), นาบรี(7.5)

ตัวสำรอง :  กอเร็ทซ์กา(5.5), เซิร์คซีย์(5.5), มุลเลอร์(7.5)

สเปอร์ส : กาซซานิก้า(7.5)*, วอร์คเกอร์-ปีเตอร์(6), อัลเดอร์ไวเรลด์(6), ฟอยธ์(6.5), โรส(6), ดายเออร์(5.5), ซิสโซโก้(5.5), เอริคเซน(6), โล เซลโซ(6.5), เซสเซยอง(7), ลูคัส(6)

ตัวสำรอง :  สคิปป์(5.5), ซน(6), วานยามา(5)


คีย์แมน


​สเปอร์ส – เปาโล กาซซานิก้า

เรียกได้ว่าวันนี้แทบขะเป็นนักเตะของ ไก่เดือยทอง ที่ได้บอลมากที่สุดในทีมเลยก็ว่าได้ เพราะจากพายุเกมรุกที่ยิงเอา ๆ ถ้าไม่ได้ กาซซานิก้า ในเกมนี้ คงอาจโดนสัก 7-8 ลูกเหมือนเกมในนัดแรกที่โดนถล่มยับคาบ้านมาแล้วก็เป็นได้

Paulo Gazzaniga

บาเยิร์น มิวนิค – ฟิลิปเป้ คูตินโญ

เพลย์เมกเกอร์หมายเลข 10 ของทีมที่วันนี้เป็นหัวใจในเกมรุกให้กับ ทัพเสือใต้ ที่ลูกยิงไกลของเจ้าตัวยังคงพึ่งพาได้เสมอจริง ๆ รวมถึงในเกมนี้ที่กดเอา ๆ แต่ต้อวชื่นชมผู้รักษาประตูของทีมเยือนที่ยังเซฟลูกยิงสวย ๆ ของเจ้าตัวเอาไว้ได้หลายครั้งด้วยกัน

FBL-EUR-C1-BAYERN MUNICH-TOTTENHAM

ประเด็นร้อนหลังเกม


สองทีมจูงมือกันเข้ารอบ

แม้เกมนี้จะจบด้วยชัยชนะของ บาเยิร์น มิวนิค แต่อย่างไรก็ตามทั้งคู่การันตีการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายตั้งแต่เกมนัดที่ 5 ของกลุ่มแล้ว ดังนั้นผลแพ้ชนะในเกมนี้จึงไม่มีผลอะไรมากนักต่อการเข้าสู่รอบต่อไปของทั้งสองทีม

แต่อันดับที่ 3 ที่จะได้โควต้าไปเล่น ยูโรปาลีก ในกลุ่มนี้นั้น ยังต้องลุ้นกันถึงนัดสุดท้าย ระหว่าง โอลิมเปียกอส ที่ต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของ เร้ดสตาร์ เบลเกรด ในเกมสุดท้าย และผลจบด้วยชัยชนะของ เจ้าถิ่นจากกรีซ จึงทำให้พวกเขามีเพิ่มเป็น 4 คะแนน ในขณะที่ เร้ดสตาร์ ที่ก่อนหน้านี้รั้งอันดับที่สาม ต้องตกรอบไปในฐานะทีมบ๊วยของกลุ่ม

[Match Report] สิงห์ ตบเท้าเข้ารอบ ! เชลซี เปิดบ้านเฉือนชนะ ลีลล์ 2-1 เข้ารอบในฐานะอันดับ 2 ของกลุ่ม

การแข่งขัน ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019/20 รอบแบ่งกลุ่ม นัดที่ 6
วันแข่งขัน คืนวันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2019
เวลาแข่งขัน 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน เชลซี 2-1 ลีลล์
สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์

เชลซี ทำสำเร็จ ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการเปิดรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ เฉือนชนะ ลีลล์ ไปได้ 2-1 โดยได้ประตูจาก แทมมี อับราฮัม ในนาทีที่ 19 และ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ในนาทีที่ 35 ส่วนทีมเยือนมาได้ประตูตีไข่แตกจาก โลอิค เรมี นาทีที่ 78 จบเกม สิงห์บลู จูงมือ บาเลนเซีย เข้ารอบ ส่วน อาแจ็คซ์ ที่แพ้คาบ้าน ต้องตกลงไปเล่นในศึก ยูโรปาลีก ต่อไป 

FBL-EUR-C1-CHELSEA-LILLE

​เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก เป็นเจ้าถิ่นที่ทำได้ดีกว่าค่อนข้างชัดเจน ทั้งการครองบอล และโอกาสเข้าทำ

ช่วง 15 นาทีแรก สิงห์บลู พยายามบุกเข้าใส่อย่างหนักเพื่อหวังเอาประตูออกนำให้ได้ กระทั่งนาทีที่ 19 พวกเขาก็ทำสำเร็จจากจังหวะที่ วิลเลียน กระชากไปบอลไปสุดเส้นหลัง ก่อนเปิดกลับเข้ามาให้ อับราฮัม แท็บอินเข้าไปง่าย ๆ ให้ทีมขึ้นนำ 1-0

จากนั้นดูเหมือนเจ้าถิ่นจะผ่อนเกมลงเล็กน้อย เน้นที่การครองบอลให้ผู้มาเยือนเข้ามาไล่เพื่อเปิดพื้นที่ ซึ่งก็หาโอกาสจบสกอร์ได้หลายครั้งทั้งจาก เอเมอร์สัน ที่ยิงไปติด ผู้รักษาประตู และ พูลิซิช ที่ยิงเฉียดเสาออกไป

ซึ่งในนาทีที่ 35 ทัพสิงโตน้ำเงินคราม มาได้ประตูที่สองจากลูกเตะมุม เอเมอร์สัน เปิดเข้าไปและเป็น อัซปิลิกวยต้า โฉบเข้ามาโหม่งโล่ง ๆ เข้าไปให้ทีมนำห่าง 2-0 โดยจบ 45 นาทีแรกที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไปด้วยสกอร์นี้

Cesar Azpilicueta

เริ่มเกมในครึ่งหลัง เริ่มต้นยังคงเป็นเจ้าบ้านที่เปิดเกมบุกใส่ดังเช่นในครึ่งแรกและมีโอกาสสองจังหวะซ้อนจาก พูลิซิช และ วิลเลียน แต่ยิงไปติดเซฟ ผู้รักษาประตูทั้งสองครั้ง

จากนั้นดูเหมือน สิงห์บลู จะผ่อนเกมลงมาเล็กน้อย แต่ทีมเยือนเองก็ดูไม่มีทีท่าจะตั้งเกมบุกเข้าใส่เพื่อเอาประตูตีใข่แตกได้

กระทั่งนาทีที่ 78 ลีลล์ มาได้ประตูตีตื้นจากจังหวะที่ แบมบ้า เปิดยัดเข้าไปบริเวณจุดโทษ และเป็น เรมี ที่ยิงประตูทีมเก่า บอลเสียบคานเข้าไป เกปา หมดสิทธิเซฟ ช่วยให้ทีมไล่มาเป็น 2-1

จากนั้นเจ้าบ้านเน้นครองบอลเพื่อป้องกันไม่ให้เสียประตูเพิ่ม ส่วนทีมเยือนก็ยังพอมีโอกาสจากจังหวะหลุดขึ้นไปทางกราบขวาของ เรมี แต่ยิงบดไปเข้าซอง เกปา พลาดโอกาสตีเสมอไป

จนกระทั่งจบ 90 นาที เชลซี เปิดบ้านเอาชนะ ลิลล์ 2-1 เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จในฐานะที่สองของกลุ่ม เอช ส่วน อาแจ็กซ์ ที่แพ้คาบ้านให้กับ บาเลนเซีย ต้องตกไปเล่นใน ยูโรปาลีก ซีซั่นนี้

Loic Remy

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม


เชลซี : เกปา, เอเมอร์สัน, ซูมา, รือดิเกอร์, อัซปิลิกวยต้า, ก็องเต้, โควาซิช, จอร์จินโญ, วิลเลียน, พูลิซิช, อับราฮัม

ตัวสำรอง : กาบาเยโร, คริสเตนเซน, เจมส์, เมานท์, บาร์คลีย์, โอดอย, บัทชัวยี

ลีลล์ : แมญอง, เพยด์, ติอาโก้, กาเบรียล, ซีลิค, ไมอา, อารูโค, ซูมาเร, ยาซิซี, เซก้า, เรมี

ตัวสำรอง : เลโอนาร์โด, อิโคเน, บราดาริค, ฟอนเต้, ซานเชส, ออซิเมนห์, แบมบ้า

[Match Reports] เอาจริงครึ่งหลัง ! อาร์เซนอล บุกเชือด เวสต์แฮม 1-3 เกมพรีเมียร์ลีก คืนวันจันทร์

การแข่งขัน ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน คืนวันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2019
เวลาแข่งขัน 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน เวสต์แฮม 1-3 อาร์เซนอล
สนาม ลอนดอน สเตเดี้ยม

อาร์เซนอล บุกเชือด เวสต์แฮม ไปอย่างสนุก 1-3 โดนได้ประตูจาก กาเบรียล มาร์ติเนลลี นาทีที่ 60 นิโคลาส เปเป้ นาทีที่ 66 และ โอบาเมยอง ยิงปิดท้าย นาทีที่ 69 ส่วน เวสต์แฮม ได้ประตูจาก แองเจโล อ็อกบอนนา นาทีที่ 38 จบเกม ปืนใหญ่ ยิงคืน 3 ลูกรวด คว้าชัยเป็นเกมแรกใรอบหลาย ๆ เกมได้สำเร็จ

Pierre-Emerick Aubameyang,Nicolas Pépé

​เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก ทีมเยือนดูจะครองบอลได้เหนือกว่าเล็กน้อยในช่วงต้นเกม แต่ยังแทบหาจังหวะเจาะเข้าพื้นที่สุดท้ายของเจ้าถิ่นไม่ได้เลย

ซึ่งเจ้าบ้านเองก็มาตั้งรับอย่างใจเย็น รอจังหวะที่ผู้มาเยือนพลาดและสวนกลับชนิดที่ได้น้ำได้เนื้อกว่าอย่างชัดเจน

และดูเหมือน ทัพปืนใหญ่ จะยังไม่สามารถตั้งเกมของตัวเองได้เลย มีความผิดพลาดให้เห็นอยู่แทบจะทุกจังหวะ กระทั้งนาทีที่ 38 เวสต์แฮม ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะ เปิดบอลเข้าไปลุ้นในกรอบเขตโทษและเป็น อ็อกบอนนา เซ็นเตอร์แบ็คที่โฉบเข้ามาโหม่ง บอลไปแฉลบผู้เล่น อาร์เซนอล เปลี่ยนทางเข้าไป

และจบ 45 นาทีแรกด้วยสกอร์ขึ้นนำของ ทีมขุนค้อน 1-0

Angelo Ogbonna,Robert Snodgrass

เริ่มเกมในครึ่งหลัง ทีมเยือนพยายามบุกเข้าใส่มากขึ้นเพื่อหวังเอาประตูตีเสมอ กระทั่งนาทีที่ 60 พวกเขาก็ทำได้สำเร็จ จากการต่อบอลขึ้นไปทางกราบซ้าย ก่อน โคลาซินาช จะตบเข้ากลางให้ มาร์ติเนลลี ยิงโล่ง ๆ เข้าไป

หลังจากได้ประตูตีเสมอ พลพรรคเดอะกันเนอร์ส ก็ดูเหมือนจะมีกำลังใจมากขึ้น และอีก 6 นาทีต่อมา ทีมเยือนพลิกแซงขึ้นนำ 1-2 ได้สำเร็จ จากจังหวะที่ เปเป้ รับบอลจาก โอบาเมยอง ทางขวา ก่อนล็อกตัดเข้าในและปั่นด้วยซ้ายเข้าไปอย่างสุดสวย

และแม้เจ้าถิ่นพยายามจะทวงประตูคืน แต่ก็ดูเหมือนเกมรุกของพวกเขาก็ดูซ็อตไปซะเฉย ๆ กระทั้งนาทีที่ 69 พวกเขามาเสียประตูที่สาม จากจังหวะสวนกลับ เปเป้ รับบอลทางกราบขวา และยกบอลข้ามแผงหลังไปให้ โอบาเมยอง วอลเล่จ่อ ๆ ไม่เหลือ อาร์เซนอล นำห่าง 1-3

จากนั้นช่วงเวลาที่เหลือ ทั้งสองทีมต่างเปิดเกมบุกแลกกันอย่างสนุก แต่ก็ไม่สามารถทำประตูเพิ่มเติมกันได้ ทำให้จบ 90 นาที ปืนใหญ่ พลิกแซงครึ่งหลัง 1-3 เป็นชัยชนะนัดแรกสำหรับ เฟรดดริก ลุงเบิร์ก ในฐานะกุนซือของ อาร์เซนอล

Nicolas Pépé,Pierre-Emerick Aubameyang,Granit Xhaka,Gabriel Martinelli

รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม


เวสต์แฮม: มาร์ติน, เฟรเดริกส์, บัลบูเอนา, อ็อกบอนนา, เครสส์เวลล์, ไรซ์, โนเบิล, สน็อดกราสส์, ฟอร์นัลส์, อันแดร์ซอน, อันโตนิโอ

ตัวสำรอง : โรแบร์โต้, มัสซูอากู, ซาบาเลต้า, ซานเชซ, ฮัลเลอร์, ฮอลแลนด์, ดิยอป

อาร์เซนอล : เลโน, แมตแลนด์-ไนล์, แชมเบอร์ส, โซคราติส, เทียร์นีย์, ชาก้า, ตอร์เรย์รา, เปเป้ เออซิล, โอบาเมยอง, มาร์ติเนลลี

ตัวสำรอง : มาร์ติเนซ, ดาวิด ลุยซ์, เกนดูซี, โคลาซินาช, เนลสัน, ซาก้า, ลากาเซ็ตต์

ขอโม้หน่อย ! โอเล เสียดายลูกทีมน่าจะยิง ซิตี้ พรุนกว่านี้

โอเล กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม ​แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดใจหลังเกมที่พาลูกทีมบุกไปเอาชนะ ​แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกม ​พรีเมียร์ลีก เมื่อคืนวันเสาร์ว่า ในช่วงชั่วโมงแรกของเกมเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง และน่าจะทำประตูได้มากกว่านี้

“ตั้งแต่เริ่มเกม เราโดดเด่นมาก เราเล่นเกมรุกทุกครั้งที่ได้บอล เราควรจะทำได้ 3 หรือ 4 หรือ 5 ประตูขึ้นไป นั่นเป็นบททดสอบของลูกทีมของผมเพราะพวกเขาเล่นกันได้ดีมากในวันนี้”

“เราลงเล่นกับทีมที่ผมคิดว่ามีโค้ชที่ดีที่สุดในโลก เป็นทีมที่ดีที่สุด ซึ่งมันยากมากในการเล่นกับพวกเขา พวกเขาเปิดฉากลุยทุกพื้นที่ แต่เราก็เล่นกันได้ยอดเยี่ยมในครึ่งแรก โดยเฉพาะในช่วงหนึ่งชั่วโมงแรกของเกม มันเจ๋งมาก มีทั้งความยอดเยี่ยม ความเร็ว และการเล่นบอลเกมบุก”

“มันไม่ใช่แค่ไดเร็กฟุตบอลหรือการเล่นบอลโยนยาว เรายังเล่นบอลกับพื้น มีการเปลี่ยนเกมเร็ว ผมรู้สึกปลื้มกับลูกทีมมาก พวกเขาสมควรจะได้รับชัยชนะแล้ว” โซลชา กล่าว

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-2 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลัง แมนเชสเตอร์ดาร์บี้

6. ซิตี้ ไม่ได้ไร้เทียมทาน

ปีศาจแดง เป็นอีกทีมที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เรือใบสีฟ้า ภายใต้การคุมทีมของ เป๊บ กวาร์ดิโอลา ไม่ใช่ทีมที่ไร้เทียมทานแต่อย่างใด

แม้ แมนฯ ซิตี้ จะเป็นฝ่ายที่สามารถครองบอลมากกว่าอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่เสียงนกหวีดเริ่มต้นเกม แต่วินัยของเกมรับ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็สามารถยันบรรดาแนวรุกมหาประลัยของเจ้าถิ่นได้อย่างแข็งแกร่ง ก่อนใช้จังหวะฉาบฉวยสวนกลับเร็วเมื่อ ซิตี้ เสียบอลกลางทางโดยมีคีย์แมนอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ แดเนียล เจมส์ ถ่างแผงหลังของพลพรรค ซิตีเซนส์ ที่ริมเส้นทั้ง 2 ฝั่งโดยมี อองโตนี มาร์กซิยาล ปักหลักโจมตีคู่เซ็นเตอร์แบ็ค

เกมยิ่งเข้าทาง ผีแดง เมื่อพวกเขาพัง 2 ประตูใส่ ซิตี้ ได้ตั้งแต่ครึ่งแรกก่อนที่จะสามารถยันพวกเขาได้อยู่เกือบตลอดครึ่งหลัง

5. ปัญหาไม่หยุดหย่อนของ เป๊บ

จอห์น สโตนส์ กลายเป็นแข้งคีย์แมนคนล่าสุดที่ตามรอยทั้ง ไอเมอริค ลาปอร์ต และ เซร์คิโอ อเกวโร ถูกโรคเดี้ยงเล่นงาน

โดย สโตนส์ ได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามตั้งแต่นาทีที่ 59 ของเกมแทนที่โดย นิโกลาส์ โอตาเมนดี้ ทำให้ทีมเหลือแค่เพียง โอตาเมนดี้ เท่านั้นที่เป็นเซ็นเตอร์แบ็คอาชีพโดยมี เอริค การ์เซีย ดาวรุ่งวัย 18 ปีเป็นกำลังเสริม และแม้พวกเขาจะมี แฟร์นันดินโญ​ กับ โรดริโก ที่สามารถถอยลงมาประจำการในตำแหน่งดังกล่าวได้แต่ก็น่าเป็นกังวลแทน เป๊บ ไม่น้อยเมื่อทีมต้องเจอกับวิกฤตแข้งเดี้ยงในช่วงที่โปรแกรมชุกที่สุดของฤดูกาล

4. ช่องว่างที่ยากจะกวดทัน

ผลจากความพ่ายแพ้ของ แมนฯ ซิตี้ ในเกมนี้และชัยชนะของ ลิเวอร์พูล เหนือ บอร์นมัธ ในช่วงก่อนหน้าทำให้ เรือใบสีฟ้า ถูกทิ้งห่างไปแล้วถึง 14 คะแนนหลังจบแมตช์เดย์ 16

ในขณะที่ หงส์แดง ดูยิ่งเล่นพวกเขายิ่งมั่นใจแต่ ซิตี้ กลับไม่สามารถรักษาความต่อเนื่องเอาไว้ได้ ส่วนผสมที่ดูใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบบนหน้ากระดาษกลับถูกเล่นงานเกมแล้วเกมเล่า แต้มที่พวกเขาทำหล่นหายยิ่งถูกคู่แข่งในการแย่งลุ้นแชมป์ถ่างช่องว่างออกไปอีกจนตำแหน่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก ไม่ได้อยู่ในกำมือของพวกเขาอีกต่อไป

3. แรชฟอร์ด กับความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม

เห็นได้ชัดผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในสนามโดยเฉพาะในครึ่งแรกไม่ใช่ใครนอกจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด หัวหอกหมายเลข 10 ของทีม ปีศาจแดง ที่ดูฟอร์มดีขึ้นผิดหูผิดตาทีเดียวในหลาย ๆ เกมที่ผ่านมา โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดจากเจ้าตัวนอกจากความเร็ว ความคล่องตัวแล้วนั้น ความมั่นใจดูเหมือนจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้จากสีหน้าแววตาของเจ้าตัว ที่บ่งบอกเป็นนัยว่ามีอยู่เต็มเปี่ยม ณ เวลานี้ สังเกตได้จากวันนี้ จะกล้าเล่น กล้าเลี้ยง และจังหวะจบสกอร์ก็ทำได้ดีเป็นพิเศษ ดูไปก็มีความคล้ายกับ คริสเตียโน โรนัลโด้ ขึ้นทุกวัน ๆ ซึ่งนั่นคงเป็นผลมาจากการฝึกซ้อมอย่างหนัก บวกกับความมั่นใจในช่วงนี้ เลยทำให้อะไร ๆ ก็ออกมาดูดีไปเสียหมด แฟน ๆ ก็คงได้แต่หวังว่า เจ้าตัว จะคงฟอร์มการเล่นแบบนี้เอาไว้ให้ได้ตลอดทั้งปี ไม่ใช่แค่ 3 วันดี 4 วันไข้ เหมือนที่ผ่าน ๆ มา

2. เกมโต้กลับยังคงอันตรายสุด ๆ เสมอ

อย่างที่ทราบกันดีว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มักจะทำได้ดีเมื่อเจอกับทีมใหญ่ ๆ นั่นก็เป็นเพราะ พวกเขาจะได้เล่นเกมที่พวกเขาถนัดที่สุด ซึ่งก็คือ การโต้กลับโดยอาศัยความเร็วของผู้เล่นในแนวรุกนั่นเอง และวันนี้ผลการแข่งขันที่ออกมาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นกันอีกครั้งว่า มันก็คงยังได้ผลยอดเยี่ยม แม้ว่าคู่แข่งตรงหน้าจะเป็นถึง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า ก็สามารถไม่รอดจากความเร็วขั้นสุดของทั้ง แรชฟอร์ด เจมส์ หรือแม้แต่ มาร์กซิยาล ไปได้ แต่ก็ต้องชมเกมรับในวันนี้ ที่ช่วยกันหยุดเกมรุกที่ว่ากันว่าดุดันที่สุดทีมหนึ่งของโลกเอาไว้ได้ เพราะนั่นก็เป็นหัวใจสำคัญของเกมโต้กลับเช่นกัน ถ้าเกมรับไม่แน่น การสวนกลับก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อทั้งสองอย่างลงตัวทั้งรุกและรับ ผลที่ออกมาก็เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นกันในเกมนี้

1. ปีศาจแดง ขยับขึ้นสู่หัวตารางแล้ว

จาก 3 คะแนนเหนือ เรือใบสีฟ้า ในเกมวันนี้ ทำให้ทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ มีเพิ่มเป็น 24 คะแนน ขยับขึ้นมารั้งอันดับที่ 5 เป็นที่ชั่วคราวแล้ว โดยมีแต้มห่างจาก เชลซี ทีมอันดับที่ 4 อยู่เพียง 5 คะแนนเท่านั้น หลังจาก สิงห์บลู สะดุดพ่าย เอฟเวอร์ตัน 3-1 ไปก่อนหน้าเกมนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่แน่นอน ฟอร์มของ ปีศาจแดง ก็ยังคงไว้ใจอะไรไม่ได้ แม้จะชนะ เชลซี สเปอร์ส หรือแม้แต่ แมนฯ ซิตี้ มาแล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าพวกเขาก็แพ้ได้แม้แต่ เวสต์แฮม บอร์นมัธ หรือแม้แต่ นิวคาสเซิล เพราะงั้นยังวางใจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น คงต้องดูกันไปยาว ๆ อย่างที่เขาว่ากันว่า สงครามยังไม่จบ จงอย่าพึ่งนับศพทหาร นั่นเอง

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน



ความพร้อมทั้ง 2 ทีม


แมนเชสเตอร์ ซิตี้

อิลคาย กุนโดกัน คัมแบ็คจากการติดโทษแบนเป็นหนึ่งในตัวเลือกให้กับ เป๊บ กวาร์ดิโอลา ที่แดนกลางโดยคาดการณ์ว่า จอห์น สโตนส์ และ แบ็งฌาแม็ง เมนดี้ จะรีเทิร์นกลับมาเป็นตัวจริงในแนวรับโดยมี ไคล์ วอล์คเกอร์ เบียดกับ ชูเอา คันเซโล ในตำแหน่งแบ็คขวา ขณะที่ ดาบิด ซิลบา, แบร์นาโด้ ซิลวา และ ริยาด มาห์เรซ จะขับเคี่ยวกันที่ตำแหน่งตัวรุกฝั่งขวา

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู เอแดร์ซอน
กองหลัง วอล์คเกอร์, สโตนส์, แฟร์นันดินโญ, เมนดี้
กองกลาง เดอ บรอยน์, โรดริโก้, ซิลบา
กองหน้า แบร์นาโด้, เชซุส, สเตอร์ลิง

แมน​เชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ปอล ป็อกบา จะยังไม่สามารถลงช่วยทีมในศึก แมนเชสเตอร์ดาร์บี้ ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ได้จากปัญหาอาการบาดเจ็บ ขณะที่ อองโตนี มาร์กซิยาล ยังคงเดี้ยงและมีสิทธิ์จะชวดลงสนามเป็นเกมที่ 2 ติดต่อกันแต่ ปีศาจแดง จะได้ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ และ เนมานยา มาติช กลับมาเป็นตัวเลือกที่แดนกลาง

ลุค ชอว์ จะได้ขับเคี่ยวแย่งตำแหน่งกับ แอชลีย์ ยัง ที่ตำแหน่งแบ็คซ้ายโดยมี แบรนดอน วิลเลียมส์ สแตนด์บายอยู่บนม้านั่งสำรอง

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-2-3-1

ผู้รักษาประตู เด เคอา
กองหลัง วาน-บิสซาก้า, ลินเดเลิฟ, แม็คไกวร์, ชอว์
กองกลาง แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด
เจมส์, ลินการ์ด, แรชฟอร์ด
กองหน้า กรีนวูด

​​


ผลงาน 5 นัดหลังสุด


แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 1)

4 ธันวาคม พรีเมียร์ลีก เบิร์นลีย์ 1 : 4 แมนฯ ซิตี้ ชนะ
30 พฤศจิกายน พรีเมียร์ลีก นิวคาสเซิล 2 : 2 แมนฯ ซิตี้ เสมอ
27 พฤศจิกายน แชมเปี้ยนส์ลีก แมนฯ ซิตี้ 1 : 1 ชัคตาร์ เสมอ
24 พฤศจิกายน พรีเมียร์ลีก แมนฯ ซิตี้ 2 : 1 เชลซี ชนะ
10 พฤศจิกายน พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล 3 : 1 แมนฯ ซิตี้ แพ้

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 1)

5 ธันวาคม พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 2 : 1 สเปอร์ส ชนะ
1 ธันวาคม พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 2 : 2 แอสตัน วิลลา เสมอ
28 พฤศจิกายน ยูโรปาลีก แอสตานา 2 : 1 แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้
24 พฤศจิกายน พรีเมียร์ลีก เชฟฟิลด์ ยูฯ 3 : 3 แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอ
10 พฤศจิกายน พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 3 : 1 ไบรท์ตัน ชนะ

เฮดทูเฮด (แมนฯ ซิตี้ ชนะ 3 เสมอ 0 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 2)

25 เมษายน 2019 พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 0 : 2 แมนฯ ซิตี้
11 พฤศจิกายน 2018 พรีเมียร์ลีก แมนฯ ซิตี้ 3 : 1 แมนฯ ยูไนเต็ด
7 เมษายน 2018 พรีเมียร์ลีก แมนฯ ซิตี้ 2 : 3 แมนฯ ยูไนเต็ด
10 ธันวาคม 2017 พรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด 1 : 2 แมนฯ ซิตี้
21 กรกฎาคม 2017 ไอซีซี แมนฯ ยูไนเต็ด 2 : 0 แมนฯ ซิตี้

สถิติจาก Opta ที่น่าสนใจ


  • มีเพียง เชลซี เท่านั้นที่สามารถคว่ำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกม พรีเมียร์ลีก (18 นัด) มากกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (15 นัด) โดยชัยชนะใน 10 เกมดังกล่าวเกิดขึ้นใน 8 ปีหลังสุด คิดเป็น 67 เปอร์เซ็นต์ของการพบกันทั้งหมด

  • ปีศาจแดง ปราชัยในเกมเยือนรัง ซิตี้ 4 นัดหลังสุด (ชนะ 2 เสมอ 1) หนึ่งในนั้นเป็นการพ่ายแพ้ต่อ เรือใบสีฟ้า 1-3 ที่สนามแห่งนี้เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

  • ชัยชนะ 3-1 และ 2-0 ของพลพรรค ซิตีเซนส์ เหนือ เร้ดเดวิลส์ เมื่อซีซันก่อนนับเป็นการทำสถิติเป็นทีมแรกที่คว่ำ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ห่างอย่างน้อย 2 ประตูทั้งไปและกลับได้เป็นทีมแรกต่อจาก ลิเวอร์พูล ที่เคยทำไว้ 4 เกมติดต่อกันเมื่อปี 1978-1979

  • ซิตี้ คว้าชัยชนะในเกมเหย้า พรีเมียร์ลีก ทั้งหมด 24 นัดจาก 27 เกมหลังสุด (เสมอ 1 แพ้ 2) โดยเป็นการยิงประตูคู่แข่งทั้งสิ้น 81 ลูก มีเพียง 1 นัดเท่านั้นใน 27 แมตช์ดังกล่าวที่พวกเขาไม่สามารถยิงประตูได้

  • แมนฯ ยูไนเต็ด มีสถิติเก็บชัยชนะในเกมเยือนบนลีกได้เพียง 1 นัดเท่านั้นจาก 11 เกมหลังสุด (เสมอ 4 แพ้ 6) และไม่สามารถรักษาคลีนชีทได้ 12 เกมติดต่อกันเข้าไปแล้ว โดยครั้งสุดท้ายที่พวกเขาโดนส่องประตูในเกมเยือนติดต่อกันมากกว่านี้เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 1986 ที่ 15 เกม

  • อย่างไรก็ตาม ปีศาจแดง ไร้พ่ายในการพบกับบิ๊กซิกซ์บนเวที พรีเมียร์ลีก 5 นัดติดต่อกัน (ชนะ 2 เสมอ 3) โดย 4 เกมในนั้นเกิดขึ้นในฤดูกาลนี้

  • พลพลรรค เร้ดเดวิลส์ ภายใต้การคุมทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชา เก็บชัยชนะในเกมเยือนบนลีกได้ 7 นัดโดยที่ 7 สโมสรดังกล่าวมีค่าเฉลี่ยอันดับบนตารางคะแนนอยู่ในที่ 14

  • เป๊บ กวาร์ดิโอลา สามารถพา ซิตี้ คว่ำ ยูไนเต็ด 4 จาก 6 เกมใน พรีเมียร์ลีก (เสมอ 1 แพ้ 1) มีเพียงอดีตกุนซือของ เรือใบสีฟ้า อย่าง เลส แม็คโดวอลล์ (7/24) และ โจ เมอร์เซอร์ (5/10) ที่คุมทัพ ซิตีเซนส์ สอย ปีศาจแดง ลงได้มากกว่า เป๊บ

  • กาเบรียล เชซุส ปืนฝืดใน เอติฮัด สเตเดี้ยม 10 นัดหลังสุดเมื่อรวมทุกรายการนับตั้งแต่ที่เขาซัลโวใส่ ชาลเก้ ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และการพังประตู 11 ลูกนับตั้งแต่นั้นเกิดขึ้นในการลงเล่นเป็นทีมเยือน

  • มาร์คัส แรชฟอร์ด มีส่วนเกี่ยวข้องกับ 14 ประตูจาก 13 เกมหลังสุดของ ปีศาจแดง ในการลงเล่นที่ อังกฤษ (12 ประตู 2 แอสซิสต์)

[Match Report] ปืนใหญ่ ยังไม่ฟื้น ! โดน ไบรท์ตัน อัดคาบ้าน 1-2 ในเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อคืนที่ผ่านมา

อาร์เซนอล เปิดบ้านพ่าย ไบรท์ตัน 1-2 โดย ปืนใหญ่ ได้ประตูจาก อเล็กซองเดร์ ลากาเซ็ตต์ ในนาทีที่ 50 ส่วน ทีมเยือน ได้ประตูจาก อดัมส์ เว็บสเตอร์ นาทีที่ 36 และ นีล โมปาย นาทีที่ 80 จบเกม พลพรรคนกนางนวล สร้างเซอร์ไพรส์ บุกมาโค่น อาร์เซนอล ถึงบ้าน 1-2

Hector Bellerín

​เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก เจ้าถิ่นดูจะครองบอลได้เหนือกว่าเล็กน้อยในช่วง 10 นาทีแรก

จากนั้นทีมเยือนดูเหมือนจะเริ่มตั้งเกมได้ นอกจากนั้นพวกเขายังสามารถต้านทานเกมรุกของ ปืนใหญ่ ได้อย่างยอดเยี่ยม แถมมีลูกโต้กลับที่ได้ลุ้นประตูได้หลายครั้ง

กระทั่งผ่านครึ่งชัวโมงแรก ผู้มาเยือนดูจะหาจังหวะจบสกอร์ที่ชัดเจนได้มากกว่า และยิงประตูออกนำได้สำเร็จในนาทีที่ 36 จากลูกเตะมุม กองหลังเจ้าบ้านสะกัดไม่ขาด บอลไปเข้าทาง อดัมส์ เว็บสเตอร์ ยิงจ่อ ๆ เข้าไป ให้ ไบร์ทตัน ขึ้นนำ 0-1

จากนั้นแม้เจ้าบ้านจะมีโอกาสได้ลุ้นประตูตีเสมออยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่เฉียบขาดมากพอ ทำให้จบ 45 นาทีแรก ทีมเยือนสร้างเซอร์ไพรส์ บุกมานำ 0-1

เริ่มเกมในครึ่งหลัง พลพรรคปืนใหญ่ ดูจะเปิดเกมบุกเข้าใส่มากขึ้นหวังเอาประตูคืนให้ได้

Alexandre Lacazette

นาทีที่ 50 เจ้าบ้านตีเสมอได้เป็น 1-1 จากลูกเตะมุม เออซิล เปิดโค้งเข้าไปที่เสาแรก ก่อนจะเป็น อเล็กซองเดร์ ลากาเซ็ตต์ ที่โฉบเข้าไปโหม่ง บอลลอยเสียบเสาสองเข้าไป 

จากนั้นเจ้าบ้านมีโอกาสส่งบอลเข้าประตูไปอีกครั้งจากลูกยิงของ ดาวิด หลุยซ์ แต่ VAR จับได้ว่าเป็นจังหวะล้ำหน้าก่อน จึงพลาดโอกาสได้ประตูขึ้นนำไป

ช่วงเวลาที่เหลือต่างฝ่ายต่างเปิดเกมบุกเข้าใส่กัน จนกระทั่งนาทีที่ 80 แฟนบอลใน เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ต้องเงียบสงัดอีกรอบ เมื่อผู้มาเยือนขึ้นนำอีกครั้ง จาก นีล โมปาย ที่โหม่งลูกเปิดของ อารอน มอย เข้าไปง่าย ๆ ช่วยให้ทีมออกนำ 1-2 ในช่วงท้ายเกม

แม้เจ้าบ้านจะมีโอกาสตีเสมอในช่วงเวลาที่เหลือ แต่ แม็ทธิว ไรอัน ยังสามารถป้งกันจังหวะสำคัญ ๆ ช่วยทีมเอาไว้ได้

สุดท้ายจบ 90 นาที อาร์เซนอล พ่ายคาบ้าน ต่อ ไบรท์ตัน 1-2

Neal Muupay

รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม


อาร์เซนอล : เลโน, เบเยริน, โซคราติส, ดาวิด ลุยซ์, โคลาซินาช, ชาก้า, ตอร์เรย์รา, วิลล็อค, เออซิล, โอบาเมยอง, ลากาเซ็ตต์

ตัวสำรอง : มาร์ติเนซ, เนลสัน, เทียร์นีย์, เกนดูซี, เปเป้, แชมเบอร์ส, มาร์ติเนลลี

ไบรท์ตัน : ไรอัน, อัลซาเต้, ดังค์, เว็บสเตอร์, เบิร์น, กรอสส์, สตีเฟนส์, พร็อพเพอร์, โมปาย, มอย, คอนนอลลี

ตัวสำรอง : บัตทอน, ดัฟฟี, เบอร์นาโด้, มอนโตยา, ทรอสซาร์ด, บิสซูมา, เมอร์เรย์

ลิเวอร์พูล 5-2 เอฟเวอร์ตัน : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังศึก เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้

การแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019/20

วันแข่งขันคืนวันพุธที่ 4 ธันวาคม 2019

เวลาแข่งขัน03.15 น. ตามเวลาประเทศไทย

ผลการแข่งขัน ลิเวอร์พูล 5-2 เอฟเวอร์ตัน

สนามแอนฟิลด์


4. เตรียมบอกลา มาร์โก้ ซิลวา?

ผลจากความพ่ายแพ้ของ เอฟเวอร์ตัน ภายใต้การคุมทีมของ มาร์โก้ ซิลวา ในศึก เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ ต่อ ลิเวอร์พูล อย่างขาดลอย 5-2 พร้อมกับที่ เซาแธมป์ตัน เอาชนะ นอริช ซิตี้ 2-1 ทำให้ทัพ ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน ถูกพลพรรค นักบุญ แซงพ้นจากโซนอันตรายพร้อมกับถีบ เดอะบลูส์ หล่นไปอยู่ในอันดับที่ 18 หลังผ่านเกมที่ 15 ของฤดูกาล

สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งทำให้เก้าอี้ของ ซิลวา ร้อนจนลุกเป็นไฟและเมื่อสอดสายตาดูคิวเตะ 3 เกมถัดไปในลีกที่พวกเขาต้องเจองานหนักกับทั้ง เชลซี (เหย้า) ต่อด้วย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เยือน) และ อาร์เซนอล (เหย้า) ก็ดูจะเป็นการยากเหลือเกินที่นายใหญ่ชาว โปรตุเกส จะรักษาสถานภาพการเป็นกุนซือของ เดอะบลูส์ ได้อยู่

3. ไร้ ซาลาห์, ฟิร์มิโน และ เฮนโด้ ไม่มีปัญหา

เยอร์เก้น คล็อปป์ จัดทีมอย่างเซอร์ไพรส์ด้วยการดร็อปตัวหลักทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน อยู่บนม้านั่งสำรองทั้งที่เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่อุณหภูมิของเกมดุเดือดเลือดพล่าน แต่แล้วบรรดาแข้งตัวแทนของบรรดาคีย์แมนดังกล่าวก็พากันงัดฟอร์มโชว์นายใหญ่ชาว เยอรมนี ชนิดที่ไม่ต้องให้ถึงมือพวกตัวความหวังแต่อย่างใดเมื่อ ดิว็อค โอริกี ซัลโว 2 ประตู แม้แต่ เซอร์ดาน ชากิรี ก็มีชื่อบนสกอร์บอร์ดกับเขาด้วยอีก 1 ครั้ง

นับเป็นการเรียกความมั่นใจที่ดีของบรรดาแข้งสำรองดังกล่าวเปิดหัวคิวเตะชุกชุมในเดือนธันวาคมที่พวกเขาจะต้องมีบทบาทมากยิ่งขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมาของฤดูกาลอย่างแน่นอน

2. โอริกี โชว์คลาส

ดิว็อค โอริกี มีชื่อเป็นผู้ทำ 2 ประตูในเกมนี้ไล่ตั้งแต่ช็อตสปรินท์ขึ้นไปรับลูกจ่ายคิลเลอร์พาสของ ซาดิโอ มาเน ในช่วงต้นเกมก่อนจะแตะหนี จอร์แดน พิคฟอร์ด อย่างเยือกเย็นและจบสกอร์สู่ก้นตาข่ายโล่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะซัลโวประตูถัดมาจากการเกี่ยวลูกวางยาวของ เดยัน ลอฟเรน นิ่มนวลราวกับมีตะขอที่เท้าขวาตามด้วยการสังหารประตูที่ 2 อย่างเด็ดขาด

1. มาเน ไร้เทียมทาน

ในวันที่ ซาลาห์ กับ ฟิร์มิโน ถูกโรเตชันดร็อปเป็นตัวสำรอง แต่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังไม่กล้าพอจะถอด ซาดิโอ มาเน แข้ง หงส์แดง ที่ฟอร์มการเล่นคงเส้นคงวาที่สุดในฤดูกาลนี้ออกจากทีมชุด 11 ตัวจริง และการตัดสินใจดังกล่าวของนายใหญ่ชาว เยอรมนี ก็ไม่ผิดพลาดเมื่อดาวเตะทีมชาติ เซเนกัล กลายเป็นคีย์แมนมีส่วนสำคัญการพาทีมไล่ขโยกคู่แข่งร่วมเมืองแทบตลอดทั้งเกม

มาเน แผลงฤทธิ์ตั้งแต่ต้นเกมเมื่อจ่ายคิลเลอร์พาสให้ โอริกี สังหารประตูเบิกร่อง ตามด้วยการแอสซิสต์ในจังหวะคล้ายคลึงกันให้ ชากิรี ซัลโวประตู 2-0 เจ้าตัวยังใช้ความรวดเร็วสร้างปัญหาให้กับแนวรับของ ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน อย่างต่อเนื่องและมีชื่อเป็นคนพังประตู 4-1 ก่อนจบครึ่งแรกไม่กี่อึดใจ