[ข่าวซื้อขาย] ผีแดง-เสือใต้ รักเด็ก ! แมนฯ ยูไนเต็ด-บาเยิร์น รุมจีบ จู๊ด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์วัย 16 ปี

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แห่งศึก ​ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ตกเป็นข่าวเล็งคว้าตัว จู๊ด เบลลิงแฮม กองกลางชาว อังกฤษ วัยเพียง 16 ปีจาก เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ใน แชมเปี้ยนชิพ มาร่วมทัพใน ​ตลาดซื้อขายนักเตะ เดือนมกราคมนี้ท่ามกลางการจับตามองอย่างใกล้ชิดของ บาเยิร์น มิวนิค เช่นเดียวกัน

โดยรายงานจาก เทเลกราฟ ระบุว่า ปีศาจแดง แสดงความจริงจังในตัวแข้งวัย 16 ปีรายนี้ถึงขนาดมอบหมายให้ ไมค์ ฟีแลน ผู้ช่วยผู้จัดการทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ไปส่องฟอร์มการเล่นของเจ้าตัวในเกมที่ เบอร์มิงแฮม ปราชัยต่อ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2-3 ที่ เซนต์แอนดรูวส์ เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน

สื่อดังกล่าวยังชี้ว่านอกจาก แมนฯ ยูไนเต็ด แล้วยังมีแมวมองจากทั้งใน พรีเมียร์ลีก และ บุนเดสลีกา ไม่ต่ำกว่า 10 รายร่วมจับตาฟอร์มการเล่นของ เบลลิงแฮม ในเกมดังกล่าวอีกด้วยซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นแมวมองจากบิ๊กทีมอย่าง บาเยิร์น มิวนิค จาก เยอรมนี

ทั้งนี้ แม้เจ้าตัวจะมีอายุได้เพียง 16 ปีแต่ก็ได้กลายเป็นคีย์แมนในทีม เบอร์มิงแฮม เรียบร้อยเมื่อสามารถออกสตาร์ทเป็นตัวจริงให้กับสโมสรใน 13 เกมที่ผ่านมาหลังจากที่ เบลลิงแฮม ทำสถิติเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นให้กับพวกเขาเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาในเกมเดบิวท์

สเปอร์ส 0-2 เชลซี : ชำแหละทุกประเด็นร้อนหลัง แลมพาร์ด คว่ำ มูรินโญ ในศึก พรีเมียร์ลีก

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20 นัดที่ 18

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2019

เวลาแข่งขัน 23.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

ผลการแข่งขัน ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 0-2 เชลซี

สนามท็อตแนม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม


6. คู่กลาง สเปอร์ส มิติเดียว

โชเซ มูรินโญ วางหมาก 4-2-3-1 โดยมี เอริค ดายเออร์ ประสานงานคู่กับ มุสซา ซิสโซโก้ ที่แดนกลางซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนของ สเปอร์ส โดยเฉพาะในครึ่งแรก

เห็นได้ชัดว่า ไก่เดือยทอง มีปัญหาในการเซ็ตบอลจากแดนหลังรวมทั้งการพลิกบอลที่แดนกลางเมื่อทั้ง ซิสโซโก้ และ ดายเออร์ ไม่ใช่กองกลางประเภทขึ้นบอลให้กับเพื่อนร่วมทีมโดยเฉพาะในครึ่งแรก เกมรุกของ ไก่เดือยทอง จึงทำได้แค่อาศัยจังหวะฉาบฉวยและความสามารถเฉพาะตัวของบรรดาแนวรุกซึ่งถูกจำกัดพื้นที่โดย 3 ปราการหลังตัวกลางของ สิงห์บลู ยิ่งไปกว่านั้นความเชื่องช้าของ ดายเออร์ ยังถูกการโจมตีที่รวดเร็วของ สิงโตน้ำเงินคราม เผาเครื่องจนกลายเป็นจุดอ่อนของทีม

จ่ามู พยายามแก้เกมโดยการส่งเอา คริสเตียน เอริคเซน ลงมาแทนที่กองกลางทีมชาติ อังกฤษ ตั้งแต่หลังพักครึ่งทำให้รูปเกมดูดีขึ้นมาอยู่บ้างทว่าก็เจอกับจุดเปลี่ยนเมื่อ ซน ฮึง-มิน ถูกไล่ออกในนาทีที่ 60 ทำให้พวกเขาเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน

5. ค่าโง่ ตี๋ซน

สตาร์ทีมชาติ เกาหลีใต้ ถูกตะเพิดออกจากสนามหลังจากการพิจารณาด้วย VAR แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเจ้าตัวตบะแตกพยายามใช้เท้าดีดใส่ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ จนผู้ตัดสินควักใบแดงไล่ออกจากสนาม นับเป็นบทเรียนสำหรับ ซน ที่การระบายอารมณ์ของเจ้าตัวส่งผลเสียจนทำให้ทีมไม่สามารถสร้างจุดเปลี่ยนได้ยามสกอร์ตามหลังคู่ต่อสู้ถึง 2 ประตูและจบเกมด้วยการเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด

4. การเหยียดผิวที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกต่อไป

น่าเสียดายที่เกมซึ่งได้อรรถรสอย่าง ลอนดอนดาร์บี้ คู่นี้ต้องมีเหตุการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์นักเมื่อมีแฟนบอลเจ้าถิ่นบางส่วนเหยียดผิวใส่ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ แข้งของ สิงห์บลู จนโฆษกสนามต้องประกาศให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าวถึง 3 ครั้ง

อย่างไรก็ตามทั้งทีมงานผู้ตัดสินรวมไปถึงตัวนักเตะเองก็สามารถอดทนรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างยอดเยี่ยมจนไม่มีเหตุบานปลายแต่อย่างใด

3. สิงห์บลู วางหมากมาได้อย่างยอดเยี่ยม

เกมนี้ แฟรงค์ แลมพาร์ด มีการปรับเปลี่ยนแผนการยืนมาเล่นเป็น 3-4-3 จากที่เกมก่อน ๆ ใช้ระบบ 4-3-3 มาโดยตลอด ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ กุนซือซูเปอร์แฟรงค์ ทดลองใช้แผนการนี้ในการรับมือคู่แข่งที่มีเกมรุกอันดุดันและอันตราย ซึ่งผลที่ออกมาคือมันได้ผลอย่างยอดเยี่ยมในเกมวันนี้ ทั้งแผงหลัง 3 คน ที่แพ็คกันแน่นจนแนวรุก สเปอร์ส ขยับไปไหนแทบไม่ได้ วิงแบ็คทั้งสองฝั่งก็สามารถเติมเกมขึ้นสูงได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องพะวงกับเกมรับมากเท่าใดนัก แถมกองหน้า 3 คน ที่วันนี้ดัน เมสัน เมานท์ ขึ้นไปเล่นเป็นปีก ก็ทำหน้าที่สร้างสรรค์เกมให้ทีมได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ สิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของ 3 คะแนนสำคัญของ ทัพสิงห์บลู ในศึก ลอนดอนดาร์บี้ ค่ำคืนวันนี้ ซึ่งคนที่ต้องชื่นชมมากที่สุดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คงต้องเป็น ป๋าแลมพ์ กุนซือหนุ่มไฟแรงของ สิงโตน้ำเงินคราม นั่นเอง

2. วิลเลียน โชว์ฟอร์มเทพ

หากจะหาผู้เล่น MVP สักคนในเกมวันนี้ เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องยกให้กับ วิลเลียน ปีกชาวบราซิล ของ ทัพสิงห์บลู อย่างแน่นอน เพราะนอกจากความเฉียบขาดในการจบสกอร์จนเป็นที่มาของ 2 ประตูที่ทำได้ในวันนี้แล้วนั้น ตลอดทั้งเกมเจ้าตัวยังทั้งจ่ายบอลสวย ๆ วิ่งลงไปช่วยเกมรับ ไล่บอลในแดนกลาง จนเรียกได้ว่าทำแทบจะทุกอย่างในเกมวันนี้เลยทีเดียว

1. เกมรับที่แข็งแกร่งไร้ที่ติ

วันนี้ เชลซี ส่งเซ็นเตอร์แบ็คลงมาพร้อมกันทีเดียว 3 คน นั่นคือ เคิร์ท ซูมา อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และ ฟิกาโย โทโมรี ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับแฟน ๆ สิงห์บลู หลายคนช่วงก่อนเกมจะเริ่มขึ้น แต่แล้วปรากฏว่า ทั้ง 3 คน ประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถหยุดแนวรุกที่ว่าอันตรายมากที่สุดทีมหนึ่งใน พรีเมียร์ลีก ได้อย่างอยู่หมัด ทั้ง แฮร์รี เคน ที่แทบไม่ได้บอลเลยตลอดทั้งเกม ทั้ง เดเล อัลลี ที่ไม่มีพื้นที่ให้สร้างสรรค์เกมเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญที่สุด คือ ซน ฮึง-มิน ที่เล่นไม่ออกจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ไปเล่นนอกเกมใส่ รือดิเกอร์ จนโดนใบแดงไล่ออกจากสนามไป ซึ่งไม่เพียงแต่ 3 เซ็นเตอร์อย่าง ซูมา รือดิเกอร์ และ โทโมรี เท่านั้น กัปตัน เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า และ มาร์กอส อลอนโซ เองก็ทำหน้าที่ในเกมรับได้อย่างแน่นอนลงตัว ส่วนผสมเหล่านี้เองที่ช่วยทีมเก็บคลีนชีทและคว้า 3 คะแนนในวันนี้มาได้สำเร็จ

[Player Ratings] เฮนโด้ เข้าฝัก ! ตัดเกรดแข้ง ลิเวอร์พูล เกมเชือด ฟลาเมงโก้ 1-0 ซิวแชมป์สโมสรโลก

การแข่งขัน ฟุตบอลฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ (ชิงแชมป์สโมสรโลก) นัดชิงชนะเลิศ 2019
วันแข่งขัน คืนวันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2019
เวลาแข่งขัน 00.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน ลิเวอร์พูล 0-0 ฟลาเมงโก้(ลิเวอร์พูล เอาชนะในการต่อเวลาพิเศษ 1-0)
สนาม คาลิฟา อินเตอร์เนชันแนล สเตเดี้ยม

คะแนนนักเตะ ลิเวอร์พูล

อลิสซอน เบ็คเกอร์ – 7/10

Roberto Firmino,Alisson Becker

ไม่ถูกลงโทษในจังหวะผ่านบอลผิดพลาดรวมทั้งการออกบอลช้าจนเกือบจะถูกผู้เล่นของ ฟลาเมงโก้ ฉกบอลไปได้ งัดเซฟสำคัญป้องกันลูกยิงเลียดของ กาเบรียล บาร์โบซา ไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยรวมแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่หน้าปากประตูตนเองตลอดทั้งเกม

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ – 7/10

ผ่านบอลสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมตั้งแต่ต้นเกม มีจังหวะยิงหลุดกรอบไปอย่างได้ลุ้นในครั้งแรกแต่ในเกมรับมีปัญหาในการรับมือกับ เอนริเก้ อย่างเห็นได้ชัเ

โจ โกเมซ – 8/10

ทำหน้าที่ในการป้องกันโดยรวมได้อย่างแข็งแกร่ง มีช็อตเข้าปะทะดวลกับแนวรุกของทีมจาก บราซิล อย่างเด็ดขาด

เวอร์จิล ฟาน ไดค์ – 7/10

FBL-QAT-FIFA-CLUB-WORLD-CUP-LIVERPOOL-FLAMENGO

พยายามเล่นง่ายทั้งการเซ็ตบอลจากแดนหลังและตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในการเล่นเกมรับ รับมือกับ กาบิโกล์ ได้อย่างยอดเยี่ยม

แอนดี้ โรเบิร์ตสัน – 7/10

มีช็อตทะยานเติมขึ้นไปมีส่วนร่วมกับเกมรุกที่กราบซ้ายให้เห็นสลับกับการเป็นหนึ่งในคีย์แมนป้องกันการโจมตีที่ริมเส้นของ ฟลาเมงโก้

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน – 9/10

Giorgian De Arrascaeta,Jordan Henderson

ขับเคลื่อนที่แดนกลางได้อย่างมั่นใจ แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของทีมอย่างเห็นได้ชัด วางบอลหวังผลได้ครั้งแล้วครั้งเล่าและคอยสอดซ้อนช่วยทีมยามตกเป็นฝ่ายตั้งรับได้ยอดเยี่ยม

อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน – 5/10

มีส่วนในการเร่งจังหวะเกมรุกของทีมแต่ไม่เด็ดขาดกับโอกาสในพื้นที่สุดท้ายก่อนที่จะถูกเปลี่ยนตัวออกเมื่อได้รับบาดเจ็บในช่วง 15 นาทีสุดท้าย

นาบี เกอิต้า – 6/10

พลาดโอกาสทองในช่วงต้นเกมเมื่อยิงข้ามคานออกไปไกล พยายามเคลื่อนบอลสู่แดนบนอย่างต่อเนื่องในครึ่งแรกก่อนที่จะต้องถอยลงไปช่วยทีมเมื่อตกเป็นฝ่ายตั้งรับเสียมากกว่าในครึ่งหลัง

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ – 7/10

วูบวาบในช่วงต้นก่อนที่จะเงียบหายไปสักเล็กน้อย ตามด้วยการค่อยๆ จับจังหวะของตนเองได้เมื่อเวลาผ่านไป โดยรวมสามารถกดดันแนวรับของ ฟลาเมงโก้ ได้ตามมาตรฐานของเจ้าตัว

โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน – 8/10

Roberto Firmino

ออกสตาร์ทได้อย่างดุดัน น่าเสียดายกับโอกาสทองทั้งในต้นครึ่งแรกและครึ่งหลัง ก่อนที่จะสวมบทฮีโร่พังประตูชัยให้กับทีมในช่วงต่อเวลาพิเศษ

ซาดิโอ มาเน – 7/10

ถูกประกบติดในครึ่งแรกจนแทบไม่สามารถทำผลงานได้อย่างที่เคยก่อนที่จะมีพื้นที่ให้เล่นมากกว่าเดิมในครึ่งหลัง เกือบเป็นคนเรียกจุดโทษให้กับทีมในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ตามด้วยแอสซิสต์ให้ ฟิร์มิโน ซัดชัยในการต่อเวลา

ตัวสำรอง

อดัม ลัลลานา (แทนที่ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน นาทีที่ 75) – 7/10 : ขับเคลื่อนแดนกลางได้อย่างเนียนตา

เจมส์ มิลเนอร์ (แทนที่ เกอิต้า นาทีที่ 100 ) – 6/10 : ลงมาขันแผงมิดฟิลด์ให้กระชับยิ่งขึ้นเมื่อ ฟลาเมงโก้ ตกอยู่ในสถานการณ์ต้องการประตู

ดิว็อค โอริกี (แทนที่ ฟิร์มิโน นาทีที่ 105) – 6/10 : โอริกิอุส

สไตล์ใช่ ! เวนเกอร์ ทึ่ง ซาลาห์ เริ่มเทพเหมือน เมสซี เข้าไปทุกขณะ

อาร์เซน เวนเกอร์ ขงเบ้งเลือดน้ำหอม กล่าวคำชื่นชมต่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จาก ​ลิเวอร์พูล ทีมดังในศึก พรีเมียร์ลีก ว่ามีสไตล์การเล่นและคุณสมบัติครบเครื่องจนเริ่มจะเหมือนกับ ลีโอเนล เมสซี เข้าไปทุกขณะ

​”ผมชอบพัฒนาการทางด้านเชิงลูกหนังของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในช่วง 3 ปีที่อยู่กับ ลิเวอร์พูล มากถึงมากที่สุด เพราะเขาเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดจริง ๆ” ตำนานปืนใหญ่ กล่าว

“โดยเฉพาะในเกมกับ มอนเตอร์เรย์ เมื่อกลางสัปดาห์ การสัมผัสบอลของเขามหัศจรรย์มากในแทบจะทุก ๆ จังหวะ แถมยังเล่นแบบเพลย์เมคเกอร์ได้อย่างน่าทึ่งเหลือเชื่ออีกด้วย”

“ที่ผมพูดแบบนี้ก็เพราะ ซาลาห์ สร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนและตัวเองเข้าทำบริเวณหน้ากรอบเขตโทษได้บ่อยแถมยังหลากหลายมิติจนฝ่ายตรงข้ามจับทางไม่ถูก”

“นี่คือทักษะที่มีเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ทำได้ และอยากจะบอกว่ามันช่างดูคล้ายกับสไตล์ของ ลีโอเนล เมสซี เสียเหลือเกิน โดยส่วนตัวผมชอบคนที่ยิง+แอสซิสต์ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงกล้าฟันธงว่า ซาลาห์ นี่แหละคืออีกหนึ่งแนวรุกที่มีความครบเครื่องสุดคนหนึ่งแห่งยุคสมัยแน่นอน”

ก็ผมบราซิล ! อดีตโกล์อินเตอร์ ยันชัด ฟลาเมนโก้ จะอัด หงส์ คว้าแชมป์ CWC

ฮูลิโอ เซซาร์ ตำนานมือกาวของ อินเตอร์ มิลาน ออกโรงเชียร์ทีมเก่าในบ้านเกิดอย่าง ฟลาเมงโก้ ว่าจะเอาชนะ ​ลิเวอร์พูล ยักษ์ใหญ่ในศึก พรีเมียร์ลีก ได้ในเกมนัดชิงแชมป์สโมสรโลกคืนวันเสาร์นี้ “ถึงแม้ว่า ฟลาเมงโก้ จะต้องเจอศึกหนักเพราะคู่แข่งคือ ลิเวอร์พูล แต่พวกเขาก็จะลงสนามไปด้วยความมั่นใจและสร้างโอกาสเอาชนะขึ้นมาได้สำเร็จแน่นอน” เซซาร์ กล่าว Julio Cesar Yakin Flamengo Bisa Kalahkan Liverpool – https://t.co/XatC1acNul pic.twitter.com/Xnwds6XXAH — majalaholahraga.com (@MajalahBolaID) December 20,…

[Player Ratings] เกอิต้า โดดเด่น-บ็อบบี้ ซัดชัย ! ตัดเกรดแข้ง หงส์แดง เกมเฉือนชนะ มอนเตอร์เรย์ 2-1

การแข่งขัน ฟุตบอลฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ (ชิงแชมป์สโมสรโลก) รอบรองชนะเลิศ 2019
วันแข่งขัน คืนวันพุธที่ 18 ธันวาคม 2019
เวลาแข่งขัน 00.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน มอนเตอร์เรย์ 1-2 ลิเวอร์พูล
สนาม คาลิฟา อินเตอร์เนชันแนล สเตเดี้ยม

คะแนนนักเตะ ลิเวอร์พูล


อลิสซอน เบ็คเกอร์ – 7.5/10

เซฟสวย ๆ ช่วยทีมเอาไว้ได้หลายครั้งในเกมนี้ มิฉนั้นทีมอาจโดนไปมากกว่า 3 ประตูแล้วก็เป็นได้

FBL-QAT-FIFA-CLUB-WORLD-CUP-MONTERREY-LIVERPOOL

เจมส์ มิลเนอร์ – 7/10

มีโอกาสได้เติมเกมรุกบ่อยครั้งในเกมนัดนี้ แต่ยังไม่สามารถเปิดบอลให้เข้าเป้าได้ แต่เกมรับถือว่าทำได้ดี ช่วยไล่บอลในแดนกลางให้คู่แข่งออกบอลได้ยากขึ้น

โจ โกเมซ – 6.5/10

ดูจะยังไม่นิ่งพอที่จะเป็นหัวเรือใหญ่บัญชาเกมรับของทีมได้เหมือนที่ ฟาน ไดจ์ค ทำ เพราะดูวันนี้แม้จะไม่ได้แย่อะไร แต่ก็ดูยังมีปัญหาในการรับมือกับความแข็งแกร่งของแนวรุกและลูกวางบอลยาวโต้กลับเร็วของ มอนเตอร์เรย์ อยู่พอสมควร

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน – 6.5/10

วันนี้ถูกจับมาเป็นเซ็นเตอร์แบ็คจำเป็น ฟอร์มโดยรวมก็ถือว่าไม่ได้แย่ ก็ยังยังเห็นได้ชัดว่ายังคงไม่เคยชินกับการต้องยืนเป็นปราการหลังตัวกลางในเกมนี้

แอนดี้ โรเบิร์ตสัน – 6.5/10

ค่อนข้างเงียบพอสมควรในวันนี้ บอลส่วนใหญ่ไปขึ้นเกมทางกราบขวาที่ มินเนอร์ ประจำการอยู่ซะมากกว่า

อดัม ลัลลานา – 6.5/10

บทบาทกับเกมยังมีโดดเด่นเหมือนที่ ฟาบินโญ ทำได้ แต่ก็ยังถือว่าเป็นตัวเชื่อเกมคอยต่อบอลจากหลังไปหน้าได้ดี

อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน – 7/10

มีโอกาสได้เล่นกับบอลอยู่พอสมควร ซึ่งก็สามารถสร้างสรรค์โอกาสให้ทีมได้ดีในระดับหนึ่งในวันนี้

นาบี เกอิต้า – 8/10

ฟอร์มยังถือว่าโดดเด่นพอสมควรในเกมวันนี้ มีโอการได้ลำเลียงบอล กระชากลากเลือย อยู่บ่อยครั้ง แถมยังเป็นผู้ยิงประตูขึ้นนำให้กับทีมในช่วงต้นครึ่งแรกได้อีกด้วย

FBL-QAT-FIFA-CLUB-WORLD-CUP-MONTERREY-LIVERPOOL

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ – 7.5/10

ถือเป็นหัวใจสำคัญในแดน ที่ต้องทำแทบทุกอย่าง ทั้งยิง ทั้งจ่าย ทั้งขยับหาพื้นที่ แม้วันนี้จะมี 1 แอสซิสต์จากการจ่ายบอลสุดสวยให้ เกอิต้า ในช่วงต้นเกม แต่เจ้าตัวควรจะทำได้ดีกว่านี้ในการสร้างโอกาสเมื่อได้บอลในกรอบเขตโทษ

ดิว็อค โอริกี – 6/10

บทบาทกับเกมค่อนข้างน้อย ขยับมายืนริมเส้นอยู่บ่อยครั้ง ทำให้แทบจะไม่มีโอกาสได้จบสกอร์เองเลยในวันนี้

เซอร์ดาน ชากิรี – 6.5/10

ขยับลงมาล้วงบอลต่ำหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถเค้นฟอร์มเก่งออกมาได้ จนสุดท้ายถูกเปลี่ยนตัวออกไปตั้งอต่นาทีที่ 68

ตัวสำรอง

ซาดิโอ มาเน (แทนที่ ชากิรี นาทีที่ 68) – 6/10 : มีโอกาสได้กระชากลากเลื้อยอยู่บ้างนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลกอะไรได้มากนัก

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (แทนที่ มิลเนอร์ นาทีที่ 74) – 7/10 : ลงมาในช่วง 15 นาทีสุดท้าย แต่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับทีมอย่างเห็นได้ชัด โดดยเฉพาะจากลูกเปิดสุดสวยซึ่งเป็นที่มาของประตูชัยของทีม ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

FBL-QAT-FIFA-CLUB-WORLD-CUP-MONTERREY-LIVERPOOL

โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน  (แทนที่ โอริกี นาทีที่ 85) – 7/10 : มีเวลาในสนามเพียง 5 นาที แต่นั่นก็เพียงพอที่จะสร้างปรากฎการณ์ ด้วยการลงมาเป็นซูเปอร์ซับยิงประตูชัยให้ทีมในช่วงท้ายเกม

Monterrey and Liverpool FC Semi-finals Match - FIFA Club World Cup Qatar 2019

แอสตัน วิลลา 5-0 ลิเวอร์พูล : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม คาราบาวคัพ หงส์ยังบลัด ต้านไม่ไหว

การแข่งขัน ฟุตบอล คาราบาว คัพ 2019/20 รอบ 8 ทีมสุดท้าย
วันแข่งขัน คืนวันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2019
เวลาแข่งขัน 02.45 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน แอสตัน วิลลา 5-0 ลิเวอร์พูล
สนาม วิลลา พาร์ค

ลิเวอร์พูล ส่งดาวรุ่ง บุกพ่าย แอสตัน วิลลา ยับเยิน 5-0 โดยเจ้าถิ่นได้ประตูจาก ฮูริฮาน นาทีที่ 14, บอยส์ ทำเข้าประตูตัวเองในนาทีที่ 17, โคดิยา 2 ประตูนาทีที่ 38, 45 และปิดท้ายด้วยประตูของ เวสลีย์ ในนาทีที่ 90+2 จบเกม สิงห์ผงาด ยิงไม่เลี้ยง เขี่ย หงส์แดง ตกรอบ 8 ทีมศึก คาราบาวคัพ ซีซั่นนี้ไปเป็นที่เรียบร้อย

FBL-ENG-LCUP-ASTON VILLA-LIVERPOOL

เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก ทีมเยือนดูจะมาครองบอลและเปิดเกมบุกเข้าใส่ ส่วนเจ้าบ้านก็มาตั้งรับและรอจังหวะสวนกลับอย่างใจเย็น

​ช่วงต้นเกมเป็น บรรดาดาวรุ่งหงส์แดง ที่พยายามต่อบอลหาจังหวะเข้าทำ​ แต่ก็ยังแทบไม่มีโอกาสได้จบสกอร์ที่หวังผลได้เลย

กระทั่งนาทีที่ 14 เจ้าบ้านได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากลูกฟรีคิกทางกราบขวา ฮูริฮาน เปิดบอลโค้งเข้าหาประตู ผู้เล่น วิลลา พยายามเข้าชาร์จแต่ไม่โดนบอล ทำให้ผู้รักษาประตูเสียจังหวะ บอลพุ่งเข้าประตูไป

จากนั้นเพียง 3 นาที เจ้าถิ่นมาได้ลูกที่สอง จากจังหวะสวนกลับขึ้นมาทางขวา เอลโมฮามาดี้ พยายามจะเปิดเข้ากรอบเขตโทษแต่บอลไปแฉลบ มอร์แกน บอยส์ เปลี่ยนทางเข้าประตูไป แอสตัน วิลลา นำห่าง 2-0

แม้ว่าจากนั้น ผู้มาเยือนพยายามโหมบุกอย่างหนัก แต่จังหวะจบสกอร์ยังไม่เฉียบขาดมากพอ ทำได้เพียงแค่หวาดเสียวเท่านั้น

จนในช่วงท้ายครึ่งแรก สิงห์ผงาด มาได้ประตูที่สาม จากความผิดพลาดของแผงหลัง หงส์แดง เสียบอลในแดนหลัง ก่อน โจต้า จะจ่ายทะลุให้ โคดิยา หลุดไปดวลตัวต่อตัวไม่เหลือ ในนาทีที่ 37

แถมก่อนหมดครึ่งแรกเพียงนาทีเดียว วิลลา มาได้ประตูขึ้นนำ 4-0 จาก โคดิยา คนเดิม ที่แท็บลูกเปิดของ เอลโมฮามาดี้ เข้าไปง่าย ๆ ก่อนจะจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

Jonathan Kodjia

เริ่มเกมในครึ่งเวลาหลัง ทีมเยือนยังคงพยายามครองบอลบุกอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สามารถเจาะเข้าสู่พื้นที่อันตรายได้

กลับเป็นเจ้าถิ่นที่ได้สวนกลับมาแต่ละครั้ง ได้ลุ้นจบสกอร์ทุกครั้ง แต่ดีที่ยังไม่สามารถเเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูได้

กระทั่งช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เจ้าบ้านได้โต้กลับมาอีกครั้ง เทรเซเกต์ แทงทะลุให้ เวสลีย์ หลุดเดี่ยว ก่อนจะสังหารเข้าไปให้ทีมนำห่างเพิ่มเป็น 5-0

และจบ 90 นาที ดาวรุ่งหงส์ ต้านไม่ไหว บุกพ่ายยับเยิน 5-0 ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย คาราบาวคัพ 2019-20 ไปเป็นที่เรียบร้อย

sepp van de berg

คะแนนนักเตะ ลิเวอร์พูล


ลิเวอร์พูล : เคลเลอหร์(4.5), ฮูเวอร์(5.5), บอยส์(5), ฟาน เดน เบิร์ก(5.5), กัลลาเกอร์(6), คิริเวลลา(5.5), เคน(6), เดวีย์ส(6), เอลเลียต(6), ฮิลล์(5.5), ลองสตาฟฟ์(5.5)

ตัวสำรอง : นอร์ริส(5), คลาร์กสัน(5.5), บีน(5)

Harvey Elliott

ประเด็นร้อนหลังเกม


กระดูกคนละเบอร์

แม้สถิติต่าง ๆ จะดูสูสีกันในเกมวันนี้ แถมบางอย่าง พลพรรคยังบลัดหงส์แดง ทำออกมาได้ดีกว่าเจ้าถิ่นด้วยซ้ำ แต่ว่าสกอร์ที่ออกมามันช่างดูขาดลอยจนสิ้นหวังเสียเหลือเกิน ซึ่งต้องบอกว่าไม่น่าแปลกใจอะไร นั่นก็เป็นเพราะบรรดาแข้ง แอสตัน วิลลา มีสิ่งหนึ่งที่ ทัพหนุ่นน้อยของลิเวอร์พูล ไม่มี นั่นก็คือ “ประสบการณ์” นั่นเอง

แม้อาจจะดูเหมือนไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ประสบการณ์นี่แหละที่ทำให้แข้ง สิงห์ผงาด แม้จะแก่กว่า ช้ากว่า แต่พวกเขาก็เก๋าเกมมากกว่า พวกเขารู้ว่าเวลาไหนต้องทำอะไร เจอแบบไหนต้องรับมืออย่างไร ในขณะที่บรรดาเจ้าหนูดาวรุ่งเดอะค็อป แม้จะมีทักษะยอดเยี่ยม มีพละกำลัง ความเร็ว แต่จังหวะโจมตีหรือตั้งรับ มักจะขาด ๆ เกิน ๆ อยู่เสมอ

ฉนั้นถึงแม้ความพ่ายแพ้ในวันนี้จะทำให้ ลิเวอร์พูล ตกรอบไปแบบมือเปล่าในรายการนี้ แต่เชื่อได้เลยว่า แข้งยังบลัดชุดนี้ จะได้เรียนรู้อะไรมากมายจากเกมนี้อย่างแน่นอน และมันจะเป็นบทเรียนอันล้ำค่าให้พวกเขาใช้เป็นแนวทางในการเติบโตและพัฒนาตัวเองต่อไป ที่สำคัญที่สุด มันทำให้พวกเขารู้ว่ารสชาติของทีมระดับ พรีเมียร์ลีก ของแท้มันเป็นยังไง

Herbie Kane

รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม


แอสตัน วิลลา : นีย์แลนด์, เอลโมฮามาดี้, คอนซา, เชสเตอร์, เทย์เลอร์, ลานส์บิวรี, ดักลาส ลุยซ์, โจต้า, ฮูริฮาน, เทรเซเกต์, โคดิยา

ตัวสำรอง : คาลินิค, กิลแบร์, แม็คกินน์, กรีลิช, ฮาวส์, เอล กาห์ซี, เวสลีย์

ลิเวอร์พูล : เคลเลอหร์, ฮูเวอร์, บอยส์, ฟาน เดน เบิร์ก, กัลลาเกอร์, คิริเวลลา, เคน, เดวีย์ส, เอลเลียต, ฮิลล์, ลองสตาฟฟ์

ตัวสำรอง : วินเทอร์บอททอม, เคลย์ตัน, นอร์ริส, คลาร์กสัน, บีน, สจวร์ต, บอนเนอร์

[ข่าวซื้อขาย] หมดเวลาแล้ว ! สื่อคาดหนึ่งแข้ง หงส์แดง เตรียมย้ายทีมหลังจบฤดูกาลนี้

มีรายงานว่า อดัม ลัลลานา มิดฟิลด์หน้าหล่อของ ​ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูงในศึก ​พรีเมียร์ลีก เตรียมที่จะอำลาสโมสรหลังจบฤดูกาลนี้ เจมส์ เพี๊ยซ ผู้สื่อข่าวจาก ดิ แอตเลติก สื่อไฟแรงของทางอังกฤษระบุว่า สัญญาของกองกลางวัย 31 ปี ซึ่งย้ายมาจาก เซาแธมป์ตัน เมื่อปี 2014 ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ กำลังจะหมดลงหลังจบซีซันนี้ ทำให้เจ้าตัวเตรียมแยกทางกับทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ Do you agree with this, Reds? https://t.co/tmjQ2S25oJ — Anfield Watch (@AnfieldWatch) 16 ธันวาคม 2562 ลัลลานา…

อาร์เซนอล 0-3 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เก็บตก 5 ประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก ปืนใหญ่ น่วมคารัง

ประเด็นร้อนหลังเกม


การเคลื่อนที่สอดรับระหว่างเออซิลและเพือนร่วมทีม

เมซุต เออซิล ถูกจับออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในบทบาทเพลย์เมคเกอร์หลัง ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง

แต่หลายครั้งหลายคราที่เจ้าตัวขยับออกจากตำแหน่งถอยลงไปล้วงบอลลึก แม้ว่าการเคลื่อนที่ดังกล่าวจะทำให้การเซ็ตบอลที่แนวรับมีทางเลือกมากยิ่งขึ้นแต่ช่องว่างระหว่างไลน์แนวรับของ แมนฯ ซิตี้ ที่เจ้าตัวทิ้งเอาไว้ไม่ได้มีการสอดประสานจากเพื่อนร่วมทีมแต่อย่างใด ทำให้เกมรุกของ อาร์เซนอล ไม่ปะติดปะต่อกันอย่างที่ควรจะเป็น

Mesut Ozil

ความกระตือรือล้นที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ว่าจะเป็นยามมีบอลอยู่ในการครอบครองหรือไม่มีบอลก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเป็นฝั่งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ทำได้อย่างมั่นใจและกระหายมากกว่าอย่างที่ ไอ้ปืนใหญ่ ไม่อาจเทียบได้เลยแม้แต่น้อย 

มีเพียง กาเบรียล มาร์ติเนลลี เจ้าหนูวัยเพียง 18 ปีที่แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือล้นที่อยู่ในระดับเดียวกันกับแข้งทีมเยือน นั่นจึงนับว่า เดอะกันเนอร์ส ภายใต้การคุมทีมของ เฟร็ดดี้ ลุงเบิร์ก เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตั้งแต่ทัศนติของผู้เล่นไปแล้วเรียบร้อย แม้กระทั่งประตูแล้วประตูเล่าที่ ไอ้ปืนใหญ่ เสียไปตั้งแต่ครึ่งแรกก็ไม่สามารถปลุกพวกเขาให้ตื่นจากภวังค์ได้เลย

FBL-ENG-PR-ARSENAL-MAN CITY

ทิศทางของอาร์เซนอลอย่างไรต่อดี?

ปืนโต จาก ลอนดอน กลายเป็นทีมที่ไร้ทิศทางเมื่อพวกเขาตัดสินใจปลดแม่ทัพอย่าง อูไน เอเมรี ออกกลางคันขณะที่ เฟร็ดดี้ ลุงเบิร์ก กับ แพร์ เมอร์เตซัคเกอร์ ก็ไม่อาจปรับจูนทีมให้ดีไปได้มากกว่านี้ นั่นทำให้ความคาดหวังที่สูงลิ่วของบรรดา กูนเนอร์ส สวนทางกลับความเป็นจริงอย่างเห็นได้ชัด

ในขณะนี้ พวกเขาตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องการหัวเรือใหญ่คนใหม่ของทีมเพื่อกำหนดทิศทางและแนวทางการเล่นของทีมขึ้นมาใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นคือการปรับทัศนคติของเหล่าบรรดาคีย์แมนให้ทุ่มเทเพื่อเทมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่คำถามก็คือใครจะหาญกล้ามารับเผือกร้อนที่เต็มไปด้วยความกดดันในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เป็นคนต่อไป?

Fredrik Ljungberg,Per Mertesacker,Alexandre Lacazette,David Luiz

เดอ บรอยน์ เดอะ แบก !

เกมนี้เป็นอีกเกมที่ เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งของ เรือใบสีฟ้า โชว์ฟอร์มได้แบบสุดติ่งกระดิ่งแมว ยิงไป 2 ลูกกับอีก 1 แอสซิสต์ เท่ากับว่าเจ้าตัวมีส่วนกับทุกประตูที่เกิดขึ้นในเกมวันนี้ ซึ่ง 2 ประตูที่ทำได้ ต้องบอกเลยว่า ต้องระดับโลกจริง ๆ ถึงจะยิงได้แบบนั้น แถมเกือบจะมีลูกที่สามในช่วงท้ายครึ่งแรก แต่ เลโน ยังปฏิเสธเอาไว้ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

เรื่องทักษะการจ่ายบอลทุกคนคงรู้กิตติศัพท์ของ กองกลางชาวเบลเยี่ยม รายนี้ดีอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้น เจ้าตัวก็ยังคงตอกย้ำให้เห็นกันอีกครั้งจากการจ่ายแบบนิ่ม ๆ ให้เพื่อนยิงโล่ง ๆ แถมในครึ่งหลังถ้าแนวรุกคมกว่านี้สักหน่อยคงได้บวกสกอร์แอสซิสต์เพิ่มอีกอย่างน้อย 2-3 ลูกไปแล้ว

FBL-ENG-PR-ARSENAL-MAN CITY

เรือใบ ตาม จ่าฝูง 14 แต้ม หลังผ่าน 17 เกม

จะบอกว่ามากก็ดูมาก จะบอกว่ายังตามทันก็ยังพอมีลุ้น สำหรับสถานการณ์การป้องกันแชมป์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ตอนนี้รั้งอันดับที่ 3 มี 35 คะแนน ในขณะที่จ่าฝูง ลิเวอร์พูล มี 49 คะแนน ณ ปัจจุบัน แม้แฟน ๆ เรือใบ บางคนอาจจะหมดหวังไปแล้ว แต่ต้องบอกเลยว่าขึ้นชื่อว่า พรีเมียร์ลีก เชื่อเถอะว่า มันไม่เคยมีอะไรได้มาง่าย ๆ แน่นอน

สิ่งที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้คือพยายามเอาตัวเองให้รอด ด้วยการโกยแต้มมาให้ได้มากที่สุดในอีก 21 เกมที่เหลือเหมือนที่เคยทำได้ในซีซั่นก่อน พร้อมกับลุ้นให้ หงส์แดง ที่กำลังกรอบจากการต้องทำศึกหนักหลายรายการ สะดุดขาตัวเองบ่อย ๆ ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง แน่นอนต้องลุ้นกันอีกยาวไกล สงครามยังไม่จบ ห้ามนับศพทหารกันก่อนเป็นอันขาด

FBL-EUR-C1-DINAMO ZAGREB-MAN CITY

ลิเวอร์พูล 2-0 วัตฟอร์ด : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก ที่ แอนฟิลด์

การแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019/20

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม 2019

เวลาแข่งขัน19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

ผลการแข่งขัน ลิเวอร์พูล 2-0 วัตฟอร์ด

สนามแอนฟิลด์


5. สัญญาณที่ดีของ วัตฟอร์ด

ไนเจล เพียร์สัน กลายเป็นผู้จัดการทีมของ วัตฟอร์ด คนที่ 3 เข้าไปแล้วในฤดูกาลนี้ต่อจาก ฆาบี กราเซีย และ กิเก้ ซานเชซ ฟลอเรส หลังจากทัพ แตนอาละวาด ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังเมื่อเก็บได้เพียง 9 คะแนนจนถึงเวลานี้ และมีอันดับจมอยู่ที่ท้ายตาราง

แม้ว่าปัญหาใหญ่ของพวกเขาอย่างความเด็ดขาดในการทำประตูจะยังคงแสดงให้เห็นในเกมที่ แอนฟิลด์ และบนตารางคะแนน (9 ประตูจากการลงเล่น 17 นัด) แต่รูปเกมโดยรวมของลูกทีม เพียร์สัน นั้นสามารถต่อกรกับ หงส์แดง ได้อย่างถึงพริกถึงขิง ความแข็งแกร่งและระเบียบในเกมรับทำให้เจ้าถิ่นไม่ได้เจอกับเกมง่ายอย่างที่คาด เหลือแค่เพียงสร้างความมั่นใจให้กับบรรดาผู้เล่นในแนวรุกโดยเฉพาะกับ อิสไมลา ซาร์ กับ ทรอย ดีนีย์ ให้สามารถยกระดับขึ้นมาช่วยแบ่งเบาภาระของ เจราร์ด เดวโลเฟว ขึ้นมาบ้างก็น่าจะทำให้พวกเขามีลุ้นหนีโซนตกชั้นได้สนุกในช่วงเวลาที่เหลือของซีซัน

4. ไวนัลดุม เดี้ยงก่อนคิวเตะชุก

นับเป็นแมตช์เริ่มต้นสัปดาห์มหาโหดของ ลิเวอร์พูล ที่ต้องลงแข่งขัน 4 นัดใน 3 รายการซึ่งนั่นหมายความว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องรีดเค้นศักยภาพแข้ง หงส์แดง ทุกรายภายในทีมให้สามารถทดแทนซึ่งกันและกันได้ทำให้การเสีย จินี ไวนัลดุม จากอาการบาดเจ็บเกมนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับ เร้ดแมชีน นักเมื่อพวกเขาเพิ่งจะเสีย ฟาบินโญ ไปในช่วงก่อนหน้านี้

3. อลิสซอน เก็บคลีนชีท

อลิสซอน เบ็คเกอร์ งัดเซฟสำคัญป้องกันโอกาสของจากทั้ง ซาร์, เดวโลเฟว และดูจะมีสมาธิกับเกมอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าบอลส่วนใหญ่จะอยู่ในการครอบครองของ หงส์แดง ก็ตาม แต่เมื่อทีมต้องการเขาที่หน้าปากประตู นายทวารชาว บราซิล รายนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังก่อนที่เขาจะช่วยให้ เร้ดแมชีน รักษาคลีนชีทแรกในเกมเหย้า พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ

2. ลิเวอร์พูล เอาตัวรอดได้อีกเกม

แม้ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะเป็นฝ่ายครองบอลบุกเข้าใส่ได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดทว่าหลายครั้งหลายคราที่จังหวะชี้เป็นชี้ตายในพื้นที่สุดท้ายพวกเขาไม่ได้ละเอียดมากพอจนน่าแปลกใจโดยโอกาสการสับไกแบบเหน่งๆ เกิดขึ้นแทบจะนับนิ้วได้

แต่ก็เป็นอีกครั้งที่การสวนกลับจากหน้าปากประตูตัวเองถึงฝั่งตรงข้ามกลายมาเป็นอาวุธที่ใช้เล่นงานคู่แข่งจนหงายท้องจากแดนหน้าที่รวดเร็วของพวกเขา

1. สถิติหลังเกม

  • ลิเวอร์พูล ไร้พ่ายในเกม พรีเมียร์ลีก 34 นัดเข้าไปแล้วจนถึงเวลานี้ (ชนะ 29 แพ้ 5) นับเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ต่อจาก อาร์เซนอล (49 นัด) และ เชลซี (40 นัด)
  • ไนเจล เพียร์สัน กลายเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 9 ที่ประเดิมคุมทัพดวลกับ ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ เป็นนัดแรกโดยทั้งหมด 9 คนคุมทีมปราชัยต่อ หงส์แดง ทั้งหมดโดยมีสกอร์รวม 3-19
  • ไม่เคยมีสโมสรใด้ที่ทำแต้มได้ 9 คะแนนหรือต่ำกว่านั้นหลังผ่าน 17 เกมอย่างที่ วัตฟอร์ด เก็บได้จนถึงเวลานี้สามารถรอดพ้นจากการตกชั้นไปได้ในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก
  • ทัพ เร้ดแมชีน เก็บชัยชนะเกมเหย้าใน พรีเมียร์ลีก ได้ทั้งหมด 16 นัดติดต่อกันเข้าไปแล้ว นับเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดของพวกเขานับตั้งแต่ชัยชนะ 21 นัดติดต่อกันระหว่างมกราคม-ธันวาคม 1972
  • ซาลาห์ พังประตูให้กับ ลิเวอร์พูล ไปแล้วทั้งสิ้น 84 ประตูจากการลงเล่นทั้งหมด 126 นัดเมื่อรวมทุกรายการ มากกว่าที่ หลุยส์ ซัวเรซ เคยยิงได้ 82 ประตูจากการลงเล่น 133 เกม และ วัตฟอร์ด ยังเป็นทีมที่ ซาลาห์ ใส่สกอร์ได้มากที่สุดใน 5 ลีกใหญ่ของ ยุโรป ที่จำนวน 8 ประตู