แอสตัน วิลลา 1-6 แมนฯ ซิตี้ : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก เรือใบ อัด สิงห์ผงาด เละคาบ้าน


แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกมายำใหญ่ แอสตัน วิลลา คาบ้าน 1-6 โดยได้ประตูจาก ริยาด มาห์เรซ นาทีที่ 18, 24 กาเบรียล เชซุส นาทีที่ 45 และ แฮททริกของ กุน อเกวโร ในนาทีที่ 28, 57 และ 81 ส่วนเจ้าบ้านได้ประตูตีไข่แตกจากจุดโทษของ อันวา เอล กาซี ในนาทีที่ 90 จบเกม เรือใบ สวนบทโหด บุกถล่ม วิลลา เละ 1-6

Sergio Aguero,Benjamin Mendy

เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก เป็นทีมเยือนที่ครองบอลบุกเข้าใส่อย่างหนักตามคาด ส่วนเจ้าบ้านถอยลงมาตั้งรับต่ำและรอจังหวะสวนกลับ

นาทีที่ 18 ผู้มาเยือนได้ประตูนำก่อน 0-1 จากจังหวะลากเดียวเข้าเขตโทษของ ริยาด มาห์เรซ หลอกผู้เล่น วิลลา 2 คนก่อนยิงยัดเสาแรกเข้าไป

จากนั้นไม่นาน เรือใบ มาได้ประตูที่ 2 จากจังหวะเสียบอลในเขตโทษสุดท้ายบอลกระดอนไปเข้าทาง มาห์เรซ คนเดิม ซัดจ่อ ๆ เข้าไป ในนาทีที่ 24

ทีมเยือนยังคงบุกหนักอย่างต่อเนื่องและมาได้ประตูนำห่าง 0-3 ในนาทีที่ 28 จากลูกยิงไกลสุดสวยของ กุน อเกวโร บอลพุ่งเฉียดปลายมือผู้รักษาประตูก่อนเสียบสามเหลี่ยมเข้าไป

ก่อนหมดเครึ่งแรกเพียง 1 นาที ซิตี้ มาได้ลูกที่ 4 จากจังหวะเปิดบอลโค้งสุดสวยของ เควิน เดอ บรอยน์ มาให้ เชซุส ยิงเข้าไปง่าย ๆ

และจบ 45 นาทีแรก แมนฯ ซิตี้ บุกมานำ 0-4

Sergio Aguero

เริ่มเกมในครึ่งเวลาหลัง ยังคงเป็นทีมเยือนที่บุกเข้าใส่อยู่ฝ่ายเดียวเหมือนในช่วงครึ่งแรก

นาทีที่ 57 พวกเขามาได้ประตูที่ 5 จากจังหวะที่ ซิลบา แทงเข้าเขตโทษให้ อเกวโร เตะหลบหาช่องก่อนยิงเสียบเสาสองเข้าไป

ช่วงเวลาที่เหลือดูเหมือนเจ้าบ้านจะไม่สามารถตั้งเกมของตัวเองได้เลย

กระทั่งนาทีที่ 81 อเกวโร ทำแฮททริกได้สำเร็จ จากความผิดพลาดของกองหลัง วิลลา จ่ายบอลไปติด มาห์เรซ ก่อนแทงให้ กุน หลุดไปดวลเดี่ยวกับผู้รักษาประตูและซัดเต็มข้อเข้าไป ซิตี้ บุกมานำ 0-6

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เจ้าถิ่นมาได้ลูกโทษจากจังหวะที่ กุนโดกัน ไปทำฟาวล์ เทรเซเกต์ ล้มลงไป และเป็น อันวา เอล กาซี ที่สังหารเข้าไปอย่างเฉียบขาด ตีไข่แตกได้สำเร็จ

และผู้ตัดสินก็เป่านกหวีดหมดเวลาทันที แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกมาถล่ม แอสตัน วิลลา ถึงถิ่น 1-6

Sergio Aguero,Benjamin Mendy

คะแนนนักเตะ แมนฯ ซิตี้


แมนเชสเตอร์ ซิตี้: เอแดร์ซอน(6.5), คันเซโล(7.5), สโตนส์(7), แฟร์นันดินโญ(7), เมนดี้(7), โรดริโก้(7.5), ซิลบา(8), เดอ บรอยน์(8.5), มาห์เรซ(9), เชซุส(8), อเกวโร(10)*

ตัวสำรอง: กุนโดกัน(6), โฟเด้น(6.5), โอตาเมนดี้(6)

FBL-ENG-PR-ASTON VILLA-MAN CITY

คีย์ แมน – กุน อเกวโร


คงไม่ยากที่จะหาผู้เล่นสักคนให้เป็น MVP ในเกมนัดนี้ ซึ่งนั่นก็คือ เซร์คิโอ อเกวโร หัวหอกหมายเลข 10 ที่ซัดแฮททริก กับอีก 1 แอสซิสต์ จนทำให้เจ้าตัวสามารถทำลายสถิติดาวยิงไปได้ถึง 2 รายการด้วยกัน คือ

1. ขึ้นนำเป็นผู้เล่นต่างชาติที่ทำประตูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก ที่ 177 ประตู เซงหน้า เธียร์รี อองรี ที่ทำเอาไว้ 175 ประตูไปเป็นที่เรียบร้อย

2. สร้างสถิติทำแฮททริกสูงสุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก 12 ครั้ง แซงหน้า อลัน เชียร์เรอร์ ที่ทำเอาไว้ 11 ครั้งลงได้สำเร็จ

แน่นอนว่าเจ้าตัวยังสามารถบวกสถิติเพิ่มขึ้นไปได้อีกเรื่อย ๆ ตราบใดที่ยังคงโลดแล่นบน ลีกสูงสุดของอังกฤษ อยู่แบบนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง แมนฯ ซิตี้ และคงยากที่เร็ว ๆ จะมีใครที่สามารถทำลายสถิตินี้ของ กุน ลงได้ อย่างจริงแท้แน่นอนเลยทีเดียว

Sergio Aguero

ประเด็นร้อนหลังเกม


ระดับมันคนละชั้น

คำพูดนี้ดูเหมือนจะไม่เกินกว่าความเป็นจริงแต่อย่างใด เพราะรูปเกม สถิติต่าง ๆ รวมถึงผลการแข่งขันต่างฟ้องให้เห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่า พลพรรคสิงห์ผงาด ไม่มีอะไรที่จะเอามาต่อกรกับ เรือใบสีฟ้า ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้เลยสักนิดเดียว โดยตลอด 90 นาที แมนฯ ซิตี้ พับสนามบุกชนิดที่ไม่ให้นักเตะ วิลลา ได้หายใจหายคอกันเลยทีเดียว โดนนวด โดนยำ จนน่วมไปหมด และสุดท้ายก็โนไปเหนาะ ๆ 6 ประตู ซึ่งก็น่าเสียดายที่ฟอร์มการเล่นของ เดอะซิติเซนส์ ยังขาดความสม่ำเสมอเมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อน มิฉนั้นการเบียดลุ้นแชมป์ในปีนี้ คงสนุกและเข้มข้นกว่านี้อีกหลายเท่าอย่างแน่นอน

Danny Drinkwater

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม


แอสตัน วิลลา : นีแลนด์, คอนซา, ฮาวส์, มิงส์, เอลโมฮามาดี้, ลุยซ์, ดริ้งวอเทอร์, เทย์เลอร์, ฮูริฮาน, เอล กาซี, กรีลิช

ตัวสำรอง : คาลินิค, วาซิลเลฟ, ลานส์บิวรี, เทรเซเกต์, กิลแบร์, เชสเตอร์, นาคัมบา

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เอแดร์ซอน, คันเซโล, สโตนส์, แฟร์นันดินโญ, เมนดี้, โรดริโก้, ซิลบา, เดอ บรอยน์, มาห์เรซ, เชซุส, อเกวโร

ตัวสำรอง : บราโบ, แบร์นาโด้, สเตอร์ลิง, กุนโดกัน, วอล์คเกอร์, โฟเด้น, โอตาเมนดี้

สเปอร์ส 0-1 ลิเวอร์พูล : เก็บตก 6 ประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก

6. หมดยุคสำหรับแผนรถบัส

เกมนี้เริ่มต้นมาก็เป็นไปตามคาด โชเซ มูรินโญ สั่งให้ลูกทีมลงไปตั้งรับต่ำ และเน้นลูกโยนข้ามแผงหลังคู่ต่อสู้ให้กองหน้าใช้ความเร็วในการโต้กลับ ซึ่งต้องบอกว่าดูจะไม่เวิร์คสักเท่าไหร่ในช่วงครึ่งแรก เพราะกลายเป็นว่าเปิดโอกาสให้ ลิเวอร์พูล สามารถมีพื้นที่เซ็ตบอลบุกขึ้นมาได้ง่าย เนื่องจากผู้เล่น สเปอร์ส ถอยลงมายืนต่ำ ไม่เพรสซิ่ง จึงทำให้แทบจะโดนพับสนามบุกอยู่ฝ่ายเดียวตลอดระยะเวลา 45 นาทีแรก

กระทั่งครึ่งหลัง เฮียมู เปลี่ยนแผนการเล่นมาเน้นเกมรุกมาขึ้น ทีมจึงพอจะสร้างสรรค์โอกาสเข้าทำได้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากเปลี่ยนเอา เอริค ลาเมลา กับ จิโอวานี โล เซลโซ ลงสนามมา ทำให้มิติในเกมรุกของ ไก่เดือยทอง ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แถมเกือบจะได้ประตูตีเสมออยู่หลายครั้งในช่วงท้ายเกม

5. แนวรุกไก่ใช้โอกาสสิ้นเปลือง

ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อกวาดสายตามองไปที่สถิติหลังจบเกม สเปอร์ส มีโอกาสจบสกอร์ 14 ครั้ง มากกว่าฝั่งผู้มาเยือน (13 ครั้ง) เสียอีก แต่พวกเขากลับไม่แม่นยำเอาเสียเลยในจังหวะสุดท้าย (ไก่เดือยทอง ยิงตรงกรอบ 4 ครั้งและฝั่ง หงส์แดง 7 ครั้ง)

ซน เฮือง-มิน และ ลูคัส มูรา มีโอกาสจบสกอร์ในเกมนี้มากที่สุดในทีมแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็นสกอร์ได้ โดยเฉพาะลูกที่ มูรา จ่ายให้กับ ซน ซัดโล่ง ๆ ในช่วงครึ่งหลัง แต่เจ้าตัวกลับยิงข้ามคานออกไป ทั้งทีควรจะทำได้ดีกว่านั้น อีกทั้งยังมีลูกยิงของ ลาเมลา ที่ อลิสซอน เซฟเอาไว้ได้ และลูกที่น่าจะเป็นประตูมากที่สุดคือลูกชาร์จจ่อ ๆ ของ จิโอวานี โล เซลโซ ที่ยิงหลุดเสาออกไปหน้าตาเฉย ที่กล่าวมาทั้งหมด หากพวกเขาทำได้สัก 1 จากทั้งหมดที่ว่ามา ป่านนี้คงมีแต้มอย่างน้อย 1 คะแนนแล้วในเกมวันนี้

4. สเปอร์ส ต้องการศูนย์หน้าธรรมชาติ

การขาดหายไปของ แฮร์รี เคน ในวันนี้ ทำให้ ไก่เดือยทอง ไม่มีกองหน้าธรรมชาติใช้งานเลยสักคนเดียว คนที่จะคอยพักบอล เก็บบอล ในยามที่ทีมโต้กลับด้วยลูกโยนยาว แถมสังเกตได้ว่าการขาดหัวหอกตัวเป้าทำให้เกมรุกของ สเปอร์ส ขาดมิติในการเข้าทำไปพอสมควร ซึ่งต้องถือเป็นโชคร้ายที่ เคน ก็ดันมาเจ็บก่อนหน้าเกมนี้พอดี ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่ มูรินโญ ต้องหากองหน้ามาทดแทนในกรณีดังกล่าวอย่างน้อย 1 คน เป็นการเร่งด่วนช่วงตลาดซื้อขายนักเตะเดือนมกราคมนี้ ก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกินแก้

3. ลิเวอร์พูล เดินหน้าสร้างสถิติ

พลพรรค เร้ดแมชีน ภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กลายเป็นทีมที่เดินหน้าทุบสถิติอย่างต่อเนื่องจากฟอร์มที่ร้อนแรงของพวกเขา

ชัยชนะเหนือ สเปอร์ส ของทัพ หงส์แดง ทำให้พวกเขาเป็นทีมที่เก็บแต้มได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 5 ลีกใหญ่ยุโรปหลังผ่าน 21 เกมภายในฤดูกาลเดียว (61 คะแนน) คิดเป็น 104 แต้มจากเกมลีก 38 นัดหลังสุด (ชนะ 33 เสมอ 5 แพ้ 0) มากที่สุดแซงหน้าสถิติเก่า 102 คะแนนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2018) และ เชลซี (2005)

ลูกทีมของ คล็อปป์ ยังทำสถิติไร้พ่ายในเกม พรีเมียร์ลีก 38 เกมติดต่อกันเข้าไปแล้วนับตั้งแต่การปราชัยต่อ เรือใบสีฟ้า เมื่อเดือนมกราคม 2019 นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ยังสามารถรักษาคลีนชีทใน พรีเมียร์ลีก ได้ติดต่อกัน 6 นัดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ธันวาคม 2006

2. หงส์แดง ยิ่งเล่นราศีแชมเปี้ยนยิ่งจับ

แม้จะเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล ออกไปเล่นนอกบ้าน แต่ความร้อนแรงของพวกเขาทำให้ทีมอย่าง สเปอร์ส ต้องออกสตาร์ทด้วยทัศนคติที่ไม่เสียประตูก่อนเป็นอันดับแรก เน้นโซนแนวรับที่รัดกุมเพื่อเกมสวนกลับแต่ลูกทีมของ โชเซ มูรินโญ ก็ไม่อาจต้านทาน หงส์แดง ได้อยู่

3 ประสานอย่าง ซาลาห์, มาเน และ ฟิร์มิโน ที่พยายามทะยานเข้ากรอบเขตโทษทุกครั้งเมื่อทีมตั้งเกมบุก บวกกับทางเลือกด้านกว้างจากการเติมเกมรุกที่ริมเส้นของทั้ง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ โรเบิร์ตสัน และการสอดเติมของมิดฟิลด์สามารถสร้างปัญหาให้กับแนวรับของเจ้าถิ่นอย่างเห็นได้ชัด

แม้ดีกรีความร้อนแรงของ เร้ดแมชีน จะลดลงไปบ้างในช่วงครึ่งหลัง แต่เทพีแห่งโชคก็ยังอยู่เคียงข้างพวกเขาวันยังค่ำเมื่อทัพ ลิลลีไวทส์ ทำได้แค่สร้างโอกาสเฉี่ยวหน้าปากประตูไปมาเท่านั้น

1. ช่องว่างบนตารางคะแนนที่ถูกถ่างออกไปเรื่อยๆ

นอกจาก ลิเวอร์พูล จะสามารถเก็บชัยชนะในเกมนี้ได้ คู่แข่งที่ไล่ตามมาในอันดับที่ 2 อย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ยังปราชัยต่อ เซาแธมป์ตัน คาบ้านของพวกเขาเองทำให้ หงส์แดง ทะยานหนี จิ้งจอกสีน้ำเงิน 16 คะแนนเข้าไปแล้วแถมยังลงเล่นน้อยกว่า 1 นัด ขณะที่ แมนเชสเตอร์​ ซิตี้ ในอันดับที่ 3 จะมีคิวดวลกับ แอสตัน วิลลา ในคืนวันอาทิตย์นี้

ไม่ว่าจะมองด้วยมุมที่เลวร้ายแค่ไหนก็ดูเหมือนว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ เร้ดแมชีน จะพลาดท่าปล่อยให้ถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก หลุดลอยในฤดูกาลนี้เมื่อทุกอย่างเป็นใจให้กับพวกเขาเกมแล้วเกมเล่า

สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด

ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ vs ลิเวอร์พูล : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน



ความพร้อมของทั้งสองทีม


ลิเวอร์พูล

ยังคงเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่องสำหรับทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ แม้จะส่งชุดสำรองผสมกับดาวรุ่งลงทำศึกเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ กับ เอฟเวอร์ตัน ในเกม เอฟเอ คัพ ที่ผ่านมา พวกเขาก็ยังสามารถเอาชนะมาได้ 1-0 ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้

สุดสัปดาห์นี้ ทัพหงส์แดง มีคิวต้องบุกไปเยือน สเปอร์ส ถึงลอนดอน ซึ่งน่าสนใจว่าพวกเขาจะยังคงรักษาสถิติไร้พ่ายต่อไปได้หรือไม่ แม้ว่าระยะหลังผลงานของ ไก่เดือยทอง จะไม่ดีนัก 3 เกมหลังสุดยังไม่ชนะใครในทุกรายการก็ตาม โดยเกมนี้คาดว่า คล็อปป์ จะกลับมาใช้ผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดอีกครั้ง และจะเปิดเกมบุกเข้าใส่ตามแบบที่พวกเขาถนัด แต่ยังต้องระวังความเร็วในการสวนกลับของทั้ง ซน เฮือง-มิน และ ลูคัส มูรา ที่ยังคงอันตรายทุกครั้งยามที่ได้หันเข้าหาประตู

สภาพทีมในขณะนี้ ยังมีปัญหาผู้เล่นเจ็บอยู่หลายรายทั้งทั้ง นาธาเนียล ไคลน์, นาบี เกอิต้า, เจมส์ มิลเนอร์ และ ฟาบินโญ ส่วนในรายของ โจเอล มาติป, เดยัน ลอฟเรน และ เชอร์ดาน ชากิรี ยังต้องรอดูความพร้อมก่อนเกมจะเริ่มอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อลิสซอน
กองหลัง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โกเมซ, ฟาน ไดจ์ค, โรเบิร์ตสัน
กองกลาง เฮนเดอร์สัน, ลัลลานา, ไวนัลดุม
กองหน้า ซาลาห์, ฟิร์มิโน, มาเน

​​สเปอร์ส

ผลงานเริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้นสำหรับ โชเซ มูรินโญ ที่ล่าสุดไม่ชนะใครเลยตลอด 3 นัดหลังสุด ส่วนในสัปดาห์นี้ พวกเขาต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของจ่าฝูง ลิเวอร์พูล ที่ฟอร์มขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถหยุดความร้อนแรงของพวกเขาได้เลย คาดว่าเกมในคืนวันเสาร์  เฮียมู จะมาเน้นตั้งรับ พร้อมทั้งอาศัยความเร็วในแนวรุกเจาะเกมรับอันแข็งแกร่งของ หงส์แดง แต่ต้องมาดูกันว่าเกมรับของ พลพรรคไก่เดือยทอง จะสามารถต้านทานเกมรุกอันดุดันของ 3 ประสานในแดนหน้าของ หงส์แดง ได้หรือไม่ เที่ยงคืนครึ่งห้ามพลาด

สภาพทีมก่อนแข่ง ผู้เล่นตัวหลักอย่าง แฮร์รี เคน, มุสสา ซิสโซโก้, อูโก้ ยอริส, ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล และ แดนนี โรส ยังคงมีอาการบาดเจ็บไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้แน่นอนแล้ว

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-2-3-1

ผู้รักษาประตู กาซซานิก้า
กองหลัง ออริเยร์, อัลเดอร์ไวเรลด์, ซานเชซ, แฟร์ตองเกน
กองกลาง วิงค์ส, ดายเออร์, ลูคัส, อัลลี, เซสเซยอง
กองหน้า ซน

​​


ผลงาน 5 นัดหลังสุด


ลิเวอร์พูล (ชนะ 5 เสมอ 0 แพ้ 0)

5 ม.ค. FA ลิเวอร์พูล 1-0 เอฟเวอร์ตัน
1 ม.ค. PL ลิเวอร์พูล 2-0 เชฟฯ
29 ธ.ค. PL ลิเวอร์พูล 1-0 วูล์ฟ
27 ธ.ค. PL เลสเตอร์ 4-0 ลิเวอร์พูล
22 ธ.ค. CWC ลิเวอร์พูล 1-0 ฟลาเมงโก้

สเปอร์ส (ชนะ 1 เสมอ 2 แพ้ 2)

5 ม.ค. FA มิดเดิลสโบรห์ 1-1 สเปอร์ส
1 ม.ค. PL เซาต์แธมป์ตัน 1-0 สเปอร์ส
29 ธ.ค. PL นอริช 2-2 สเปอร์ส
26 ธ.ค. PL สเปอร์ส 2-1 ไบรท์ตัน
22 ธ.ค. PL สเปอร์ส 0-2 เชลซี

เฮดทูเฮด (สเปอร์ส ชนะ 4 เสมอ 1 ลิเวอร์พูล ชนะ 0)

27/10/19 PL ลิเวอร์พูล 2-1 สเปอร์ส
02/06/19 UCL สเปอร์ส 0-2 ลิเวอร์พูล
31/03/19 PL ลิเวอร์พูล 2-1 สเปอร์ส
15/09/18 PL สเปอร์ส 1-2 ลิเวอร์พูล
14/02/18 PL ลิเวอร์พูล 2-2 สเปอร์ส

*PL = พรีเมียร์ลีก / FA = เอฟเอคัพ / CWC = ชิงแชมป์สโมสรโลก

เทพล้วน ๆ ! รูดิเกอร์ เผยชื่อ 3 สไตรเกอร์ No.9 ที่เก่งสุดแห่งยุคสมัย

อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ยอดกองหลังทีม ​เชลซี ยอมเปิดเผยแล้วว่าในสายตาของตน ยุคนี้มีสไตรเกอร์ No.9 ที่เก่งสุดอยู่ 3 คนคือ เมาโร อิคาร์ดี, แฮร์รี เคน และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

“จากมุมมองส่วนตัวนะ ถ้าถามว่า ณ เวลานี้ใครคือสไตรเกอร์ No.9 ที่เก่งสุดของโลก ผมคงเลือกขึ้นมาเพียงคนเดียวไม่ได้ เพราะมีถึง 3 รายเทพมากในระดับเดียวกันเลย” รูดิเกอร์ กล่าว

“หนึ่งคือ เมาโร อิคาร์ดี (อินเตอร์) สองคือ แฮร์รี เคน (สเปอร์ส) และสามก็ต้องเป็น เลวานดอฟสกี้ อยู่แล้ว (บาเยิร์น) ในช่วงหลายปีหลังสุดมานี้ไม่มีใครเก่งเท่าพวกเขาแน่นอน ฟันธง”

“โดยเฉพาะ เลวานดอฟสกี้ ที่หลายคนมองว่าเริ่มอายุเยอะ แต่ฟอร์มของเขากลับดีขึ้นต่อเนื่องทุกปี ผมล่ะเคารพเขามากจากใจจริง และยกให้เป็นหนึ่งในคู่ต่อสู้ที่รับมือยากสุดบนเส้นทางค้าแข้งเลย”

[OPINION] 6 แข้งจาก 6 ทีมยักษ์ใหญ่ใน พรีเมียร์ลีก ที่ควรรีบย้ายทีม เพื่อโอกาสในการลงสนามที่มากกว่า

1. ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ – วิคเตอร์ วานยามา

อายุ 28 ปี

ตำแหน่ง กองกลาง

ลงสนามในลีกไปทั้งสิ้น 2 เกมในซีซั่นนี้

กองกลางตัวรับชาว เคนยา แทบจะเรียกได้ว่าไร้ตัวตนในทีม ไก่เดือยทอง ฤดูกาลนี้ เพราะมีโอกาสลงสนามเป็นเพียงตัวสำรองให้กับทีมไปแค่ 2 เกมเท่านั้นใน พรีเมียร์ลีก แถมยังแทบจะไม่มีชื่อเป็นตัวสำรองในทีมเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่เจ้าตัวก็หายจากการบาดเจ็บหนักเมื่อซีซั่นก่อนมาแล้วก็ตาม

แม้ว่าจะเปลี่ยนกุนซือคนใหม่มาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าอนาคตของเจ้าตัวจะยังไม่ดูดีขึ้นสักเท่าไหร่ ดังนั้นทางเดียวที่เจ้าตัวจะกู้อาชีพนักฟุตบอลของตัวเองกลับมาได้ คือการต้องย้ายออกเพื่อไปหาโอกาสลงสนามทางเดียวเท่านั้น

2. อาร์เซนอล – ชโคดราน มุสตาฟี

อายุ 27 ปี

ตำแหน่ง กองหลัง

ลงสนามในลีกไปทั้งสิ้น 3 เกมในซีซั่นนี้

ชายผู้มักจะตกเป็นเป๋าของแฟนบอลทีมตัวเองเสมอทุกครั้งที่ลงสนาม ซึ่งนั่นเป็นเพราะฟอร์มตั้งแต่ซีซั่นก่อนของเจ้าตัวที่ค่อนข้างออกทะเลแบบกู่ไม่กลับ จนกระทั่งมีข่าวลือถึงการย้ายออกจากทีมตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่ในที่สุดการย้ายทีมก็ไม่เกิดขึ้น ทำให้เซ็นเตอร์แบ็คชาวเยอรมัน จำเป็นต้องอยู่กับทีมในฐานะส่วนเกินต่อไป

โดยตลอดครึ่งซีซั่นแรกนั้น เขาได้รับโอกาสลงสนามในลีกไปเพียง 3 เกมเท่านั้น แถมยังไม่มีชื่อติดทีมอยู่บ่อย ๆ ส่วนใหญ่ที่ได้รับโอกาสจะเป็นในรายการฟุตบอลถ้วยซะเป็นส่วนใหญ่ ฉนั้นคงถึงเวลาแล้วที่อดีตกองหลัง บาเลนเซีย รายนี้ ต้องทบทวนอนาคตตัวเองใหถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม และรีบตัดสินใจเสียก่อนที่ตลาดซื้อขายนักเตะจะปิดตัวลงอีกครั้ง

3. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด – มาร์กอส โรโฮ

อายุ 29 ปี

ตำแหน่ง กองหลัง

ลงสนามในลีกไปทั้งสิ้น 3 เกมในซีซั่นนี้

กองหลังทีมชาติ อาร์เจนตินา ที่มีดีกรีเป็นถึงรองแชมป์โลกปี 2014 แต่กลับไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากเท่าที่ควรภายใต้การคุมทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ที่ใช้ดาวรุ่งเป็นกำลังหลักของสโมสร นั่นจึงทำให้ในฤดูกาลนี้เจ้าตัวลงสนามให้กับทีม ปีศาจแดง ไปเพียง 3 เกมเท่านั้นใน พรีเมียร์ลีก

ซึ่งต้องบอกว่าฝีเท่าของเขานั้นมีดีมากกว่าการที่ต้องนั่งดูเพื่อนร่วมทีมบนแสตนด์ ดังนั้นการก้าวเท้าออกจาก โรงละครแห่งความฝัน อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเจ้าตัวในยามที่อายุอานาขยับใกล้เลข 3 เข้าไปทุก ๆ แบบนี้

4. เชลซี – โอลิวิเยร์ ชิรูด์

อายุ 33 ปี

ตำแหน่ง กองหน้า

ลงสนามในลีกไปทั้งสิ้น 5 เกมในซีซั่นนี้

มาถึงหัวหอกดีกรีแชมป์โลกกับทีมชาติฝรั่งเศสเมื่อปี 2018 อย่าง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่สถานการณ์ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ณ ขณะนี้เรียกได้ว่ามึดมนสุด ๆ หลังจากได้ออกสตาร์ทในเกมแรก ๆ ของซีซั่น และต่อจากนั้นเจ้าตัวแทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสสนามอีกเลยแม้แต่ในรายการฟุตบอลถ้วยภายใต้การคุมทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด

ซึ่งอย่างที่ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ กุนซือทีมตราไก่ เคยออกมาบอกว่าจะไม่มีการการันตีให้ผู้เล่นคนใดทั้งนั้น ในการจัดทีมชุดลุยศึก ยูโร 2020 กลางปีนี้ เพราะฉนั้นหาก ชิรูด์ ยังหวังจะติดทีมชุดนี้ไป เขาจำเป็นต้องได้ลงเล่นมากกว่านี้ และแน่นอนว่าไม่ใช่ที่ เดอะบริดจ์ อีกต่อไป เพราะครั้งนี้อาจจะเป็นรายการสุดท้ายในนามทีมชาติของเจ้าตัวแล้วก็เป็นได้

5. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – ฟิล โฟเด้น

อายุ 19 ปี

ตำแหน่ง กองกลาง

ลงสนามในลีกไปทั้งสิ้น 11 เกมในซีซั่นนี้

วันเดอร์คิดวัย 19 ปี ของ เรือใบสีฟ้า ที่ถูกเตรียมไว้เป็นตัวตายตัวแทนของ ดาบิด ซิลบา ในซีซั่นหน้า หลังจาก เพลย์เมกเกอร์เลือดกระทิงดุ ตัดสินใจจะอำลาทีมไปหลังฤดูกาลนี้จบลง และถึงแม้ว่าในระยะหลัง เป๊ป กวาร์ดิโอลา นายใหญ่ของทีม จะเริ่มให้โอกาสดาวรุ่งรายนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่แน่นอนว่าเขายังไม่ได้ขึ้นเป็นตัวหลักของทีมอย่างเต็มตัว

บางทีทางเลือกที่ดีกว่านั้นคือการออกไปหาประสบการณ์ลงสนามอย่างต่อเนื่องกับทีมอื่นสักทีมด้วยสัญญายืมตัว อาจจะเป็นทางเลือกที่ฟังดูดีกว่าการได้ลงบ้างนั่งบ้างอยู่ในตอนนี้ เพื่อโอกาสในการพัฒนาฝีเท้าและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่ในขณะที่ยังมีโอกาส

6. ลิเวอร์พูล – เชอร์ดาน ชากิรี

อายุ 28 ปี

ตำแหน่ง ปีก

ลงสนามในลีกไปทั้งสิ้น 5 เกมในซีซั่นนี้

บางทีนี่อาจจะถึงเวลาที่ สตาร์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ จะต้องเลือกว่าจะเป็นหัวหมาหรือหางมังกรในชิวิตการค้าแข้งที่เหลืออยู่ เพราะแน่นอนว่าหากคุณอยู่กับ ลิเวอร์พูล คุณจะมีรางวัล โทรฟี มาประดับเกียรติประวัติของคุณมากมาย แต่แน่นอนว่าคุณจะไม่ไช่ตัวเลือกแรกในการจัดตัวลงเล่นหากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ ดังเช่นในซีซั่นนี้ที่เจ้าตัวพึ่งจะได้มีโอกาสลงเล่นไปเพียง 5 เกมเท่านั่นในลีก แถมเป็นตัวจริงแค่ 2 นั่นอาจเพราะอาการบาดเจ็บที่เข้ามารบกวนอยู่เรื่อย ๆ ในช่วงก่อนหน้านี้ แถมการเข้ามาของ ทาคูมิ มินามิโนะ จะยิ่งทำให้โอกาสของเขานั้น น้อยลงไปอีกอย่างแน่นอน

ดังนั้นเจ้าตัวคงต้องเลือกระหว่าง ความสำเร็จจากการคว้าแชมป์ที่แทบไม่รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่ง หรือ ความสุขจากการได้ลงไปวาดลวดลายบนผืนหญ้าให้ทุกคนได้ประจักษ์ถึงความสามารถที่แท้จริง ถ้าเป็นคุณล่ะ คุณจะเลือกทางไหน ?

[Player Ratings] ผีแดงกร่อย-เรือใบเข้าฝัก ! ตัดเกรดแข้ง ยูไนเต็ด-ซิตี้ใน คาราบาว คัพ

การแข่งขันฟุตบอล คาราบาวคัพ 2019/20 รอบ 4 ทีมสุดท้าย นัดที่ 1วันแข่งขันคืนวันอังคารที่ 7 มกราคม 2020เวลาแข่งขัน03.00 น. ตามเวลาประเทศไทยผลการแข่งขันแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-3 แมนเชสเตอร์ ซิตี้สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด คะแนนนักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดาบิด เด เคอา – 5/10 ไม่สามารถโทษเจ้าตัวได้กับทั้ง 3 ประตูที่เสียไป โดยรวมยังสามารถช่วยงัดเซฟไม่ให้สกอร์ขาดไปมากกว่านี้ อารอน วาน-บิสซาก้า – 5/10 มีปัญหาในการรับมือ ราฮีม สเตอร์ลิง อย่างเห็นได้ชัด วิคเตอร์ ลินเดเลิฟ – 2/10…

[Match Report] ปืนใหญ่ หืดจับ ! อาร์เซนอล เปิดบ้านเฉือน ลีดส์ 1-0 เกม เอฟเอ คัพ เมื่อคืนที่ผ่านมา

การแข่งขัน ฟุตบอล เอฟเอ คัพ 2019/20 รอบที่ 3
วันแข่งขัน คืนวันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2020
เวลาแข่งขัน 02.56 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน อาร์เซนอล 1-0 ลีดส์ ยูไนเต็ด
สนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม

อาร์เซนอล หืดจับ เป็ดบ้านเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด จ่าฝูงของ เดอะ แชมเปียนชิพ ไปได้ 1-0 โดยมาได้ประตูชัยในช่วงครึ่งหลังจาก รีสส์ เนลสัน ในนาทีที่ 55 กระทั่งจบเกม ปืนใหญ่ คว้าชัยผ่านเข้าสู่รอบที่ 4 ต่อไป

David Luiz

​เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก เจ้าบ้านพยายามครองบอลบุกเข้าใส่ แต่ถูกทีมเยือนไล่บีบตั้งแต่หน้าประตูทำให้ พวกเขาไม่สามารถขึ้นเกมตามที่ถนัดได้

หลังจาก 15 นาทีแรก ผู้มาเยือนเยือนเป็นฝ่ายตั้งเกมของตัวเองได้ก่อน และเปิดเกมบุกเข้าใส่อย่างหนัก จน พลพรรคปืนใหญ่ ต้องถอยลงมาตั้งรับและไม่สามารถครองบอลบุกได้ตามที่ต้องการ

ตลอดช่วงเวลาในครึ่งแรก ทัพยูงทอง มีโอกาสขึ้นนำแทบจะนับไม่ถ้วน ทั้งจากลูกยิงของ แบมฟอร์ด ที่บอลพุ่งไปชนคาน หรือแม้แต่ลูกโฉบมาโหม่งของ อโลสกี้ แต่ มาร์ติเนซ นายทวารเจ้าถิ่นยังป้องกันเอาไว้ได้

กระทั่งจบ 45 นาทีแรก ลีดส์ ยูไนเต็ด บุกมาสร้างเซอร์ไพรส์ พับสนามบุกชนิดที่ ปืนใหญ่ ตั้งเกมไม่ติด แต่ต้องชมผู้รักษาประตูที่เซฟช่วยทีมเอาไว้ได้หลายครั้ง ทำให้สกอร์ยังคงเสมอกันที่ 0-0

Patrick Bamford

ครึ่งเวลาหลัง อาร์เซนอล แก้เกมมาเป็นอย่างดี และกลับมาเปิดเกมบุกเข้าใส่ ลีดส์ อย่างหนัก จนทีมเยือนไม่สามารถครองบอลเปิดเกมแลกได้เหมือนในช่วงครึ่งแรก

จนนาทีที่ 55 เจ้าถิ่นมาได้ประตูออกนำ จากจังหวะที่ ลากาเซ็ตต์ หลุดไปถึงสุดเส้นหลังแล้วตบกลับเข้ามา  บอลไปแฉลบกองหลังกระดอนมาเข้าทาง รีสส์ เนลสัน ยิงจ่อ ๆ เอาไปง่าย ๆ ปืนใหญ่ออกนำ 1-0

จากนั้นยังคงเป็นเจ้าบ้านที่สามารถครองบอลบุกได้ชัดเจนกว่า แต่ก็ยังไม่สามารถบวกสกอร์เพิ่มได้ ส่วนทีมเยือนเองก็แทบหาจังหวะจบสกอร์ในครึ่งหลังไม่ได้เลยเช่นกัน

กระทั่งจบ 90 นาที อาร์เซนอล เปิดบ้านเฉือนชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด ไปอย่างสนุก 1-0

FBL-ENG-FACUP-ARSENAL-LEEDS

รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม


อาร์เซนอล : มาร์ติเนซ, โฮลดิง, โซคราติส, ดาวิด ลุยซ์, โคลาซินาช, เนลสัน, ชาก้า, เกนดูซี, โอซิล, ลากาเซ็ตต์, เปเป้

ตัวสำรอง : เลโน, ซาก้า, จูลส์, มาฟโรปานอส, เซบาญอส, วิลล็อค, มาร์ติเนลลี

ลีดส์ : เมสเลอร์, เอย์ลิง, ไวท์, เบราร์ดี้, ดักลาส, กอทท์ส, คลิช, ฟิลิปส์, อโลสกี้, แฮร์ริสัน, แบมฟอร์ด

ตัวสำรอง : คาซิยา, ดัลลาส, คอสต้า, คูเปอร์, คาซีย์, เดวิส, สตีเวนส์

เชลซี 2-0 น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ : เก็บตก 4 ประเด็นร้อนหลังศึก เอฟเอ คัพ

การแข่งขันฟุตบอล เอฟเอ คัพ 2019/20 รอบที่ 3

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2020

เวลาแข่งขัน 21.01 น. ตามเวลาประเทศไทย

ผลการแข่งขัน เชลซี 2-0 น็อตติงแฮม ฟอเรสต์

สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์


4. สิงห์บลู ต้องมีการแข่งขันในทีมชุดใหญ่ที่ดุเดือดกว่านี้

แม้ น็อตติงแฮม ฟอเรตส์ จะเป็นทีมอันดับที่ 4 ในศึก แชมเปี้ยนชิพ แต่เราเชื่อเหลือเกินว่าแฟน สิงห์บลู คาดหวังให้บรรดานักเตะของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดมากกว่านี้

นักเตะอย่าง เอเมอร์สัน, มาเตโอ โควาชิช, รอสส์ บาร์คลีย์ กระทั่ง เปโดร สามารถทำได้เพียงสร้างความวูบวาบในบางจังหวะของเกมและไม่สามารถรักษาระดับความเด็ดขาดในการเล่นได้ตลอดทั้งเกม

3. ฮัดสัน-โอดอย คนละคลาส

หลังจบเกมกับ ฟอเรสต์ เกมนี้ทำให้ คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย มีส่วนเกี่ยวข้องกับประตูทั้งหมด 11 ลูกจาก 13 เกมหลังสุดที่เจ้าตัวออกสตาร์ทใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อรวมทุกรายการเข้าไปแล้ว (5 ประตู 6 แอสซิสต์)

ดาวเตะวัย 19 ปีกลายเป็นคีย์แมนของ สิงห์บลู ที่กราบขวาเมื่อสามารถเล่นงานแนวรับทีมเยือนจมเปื่อยยุ่ยและน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีของ แฟรงค์ แลมพาร์ด กับการเป็นส่วนหนึ่งของทีมตัวจริงในการโม่แข้งศึก พรีเมียร์ลีก ในช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาลไล่ล่าพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

2. ไม่แปลกใจหาก บาทชัวยี ทำได้แค่บทพระรองตลอดซีซัน

บาทชัวยี ได้รับความไว้วางใจจาก แฟรงค์ แลมพาร์ด ให้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมนี้และเจ้าตัวน่าจะต้องรอให้ แทมมี อับราฮัม หรือ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ได้รับบาดเจ็บพร้อมกับถึงจะได้โอกาสครั้งถัดไป

ศูนย์หน้าชาว เบลเยียม วัย 26 ปีได้รับบอลถวายพานให้ล่อเป้าเหน่งๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่การตัดสินใจแบบครึ่งๆ กลางๆ และความไม่เด็ดขาดพอของเจ้าตัวทำให้ไม่สามารถแปรเปลี่ยนโอกาสจำนวนมากให้เป็นประตูได้

1. เจมส์

เบียดเข้าปะทะแย่งบอลสำเร็จ 3 ครั้ง

เลี้ยงผ่านคู่แข่งสำเร็จ 3 ครั้ง

ผ่านบอลให้เพื่อนได้สับไก 3 ครั้ง

ตัวเลขด้านบนทั้งหมดคือสถิติการเล่นของ รีซ เจมส์ แบ็คขวาชาว อังกฤษ วัยเพียง 20 ปีของ สิงโตน้ำเงินคราม ในเกมนี้ เจ้าตัวกลายเป็นคีย์แมนในการขึ้นเกมของ สิงห์บลู ที่กราบขวาซึ่งสามารถสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-1 พอร์ตเวล : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม เอฟเอ คัพ เรือใบ กินนิ่ม ผ่านเข้ารอบสบายๆ

การแข่งขัน ฟุตบอล เอฟเอ คัพ 2019/20 รอบที่ 3
วันแข่งขัน คืนวันเสาร์ที่ 4 มกราคม 2020
เวลาแข่งขัน 00.31 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-1 พอร์ตเวล
สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม เอาชนะ พอร์ตเวล ไปได้แบบไม่ยากเย็น 4-1 โดยได้ประตูจาก ซินเชนโก้ นาทีที่ 19 กุน อเกวโร นาทีที่ 42 เมย์เลอร์ ฮาร์วูด-เบลลิส นาทีที่ 58 และ ฟิล โฟเด้น นาทีที่ 76 ส่วนทีมเยือนได้หนึ่งประตูจาก ทอม โป๊ป นาทีที่ 35 จบ 90 นาที เรือใบสีฟ้า คว้าชัยไปแบบนิ่ม ๆ ผ่านเข้าสู่รอบที่ 4 ต่อไป

FBL-ENG-FACUP-MAN CITY-PORT VALE

​เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก เจ้าถิ่นเป็นฝ่ายเปิดเกมบุกเข้าใส่ตามฟอร์ม ส่วนทีมเยือนถอยลงไปตั้งรับต่ำและรอจังหวะโต้กลับ

นาทีที่ 19 เรือใบสีฟ้า มาได้ประตูออกนำก่อน 1-0 จากการยิงไกลนอกกรอบของ ซินเชนโก้ บอลไปแฉลบผู้เล่น พอร์ตเวล เปลี่ยนทางเล็กน้อย บอลพุ่งเสียบมุมเข้าไป

จากนั้น เจ้าบ้านยังคงบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่องหวังเอาประตูที่สอง แต่แล้วในนาทีที่ 35 ผู้มาเยือนได้ประตูตีเสมอ 1-1 จากจังหวะโต้กลับ ดาวิด อามู หลุดขึ้นไปทางกราบขวาก่อนเปิดเข้ากลางให้ ทอม โป๊ป โฉบเข้ามาโหม่ง บอลพุ่งหนีมือ บราโบ เข้าไป

แต่จากนั้นไม่กี่นาที แมนฯ ซิตี้ มาได้ประตูออกนำอีกครั้ง จากลูกแท็บอินของ อเกวโร ที่เปิดเข้ามาให้โดย โฟเด้น ในนาทีที่ 42

และจบ 45 นาทีแรก เจ้าถิ่น ซิตี้ ออกนำอยู่ 2-1

FBL-ENG-FACUP-MAN CITY-PORT VALE

เริ่มเกมครึ่งเวลาหลัง เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยังคงสั่งให้ลูกทีมบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง และมีจังหวะที่เกือบได้ประตูอยู่หลายครั้งในช่วงต้นครั้งหลัง

กระทั่งนาทีที่ 58 เจ้าบ้านได้ประตูนำห่าง 3-1 จากจังหวะที่ กุน หลุดไปถึงสุดเส้นหลัง ก่อนจะโหม่งย้อนเข้ามาให้ สโตนส์ ยิงไปแฉลบ เบลลิส กองหลังดาวรุ่งของทีมที่เติมขึ้นมา เข้าไป

จากนั้น แมนฯ ซิตี้ ดูจะสามารถกุมทุกอย่างเอาไว้ได้ในกำมือและมาได้ลูกที่ 4 จากจังหวะที่ อังเคลิโน หลุดมาทางกราบซ้ายก่อนจะเปิดตัดเข้ากลางให้ โฟเด้น โฉบเขามายิงง่าย ๆ ในนาทีที่ 76

ช่วงเวลาที่เหลือทั้งคู่ไม่สามารถทำประตูกันเพิ่มได้ จบเกม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านเอาชนะ พอร์ตเวล ไปแบบสบาย ๆ 4-1

FBL-ENG-FACUP-MAN CITY-PORT VALE

คะแนนนักเตะ แมนฯ ซิตี้


แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : บราโบ(6.5), คันเซโล(7), สโตนส์(7.5), เบลลิส(7.5), อังเคลิโน(7), กุนโดกัน(7), ซินเชนโก้(8), โฟเด้น(8.5), ซิลบา(7), อเกวโร(8), แบร์นาโด้(7)

ตัวสำรอง : มาห์เรซ(6), ดอยล์(6)

Phil Foden

ประเด็นร้อนหลังเกม


ระดับแตกต่างกันเกินไป

เกมนี้ผลออกมาก็เป็นไปตามคาดหมาย แม้ว่าครึ่งเวลาแรก แฟน ๆ แมนฯ ซิตี้ อาจจะดูแล้วอึดอัดอยู่พอสมควร แต่หลังจากเริ่มเกมในครึ่งหลัง ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ก็พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนกว่า พวกเขาเหนือกว่าจนเรียกได้ว่าระดับมัน “คนละชั้น” เลยทีเดียว

นอกจากระดับบอลที่มีดีกรีเป็นถึงแชมป์เก่ารายการนี้และแชมป์ลีกสูงสุดแล้ว พวกเขาก็ยังคงรักษามาตรฐานเกมรุกเอาไว้ได้ตลอด 90 นาที ไม่มีผ่อนเลยแม้แต่น้อย ซึ่งแน่นอนผู้มาเยือนจาก ลีกทู ก็ยากที่จะต่อกรและรับมือได้ แม้ในครึ่งแรกจะสามารถสร้างเซอร์ไพรส์ได้พอสมควร แต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจต้านทางความแข็งแกร่งของ พลพรรคเรือใบสีฟ้าได้ จนต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด

Taylor Harwood-Bellis,Phil Foden

รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม


แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : บราโบ, คันเซโล, สโตนส์, เบลลิส, อังเคลิโน, กุนโดกัน, ซินเชนโก้, โฟเด้น, ซิลบา, อเกวโร, แบร์นาโด้

ตัวสำรอง : คาร์สัน, การ์เซีย, มาห์เรซ, ดอยล์, วอล์คเกอร์, สเตอร์ลิง, เชซุส

พอร์ตเวล : บราวน์, กิ๊บบอนส์, จอยซ์, เลกจ์, วอร์รัลล์, โป๊ป, มอนตาโน, สมิธ, อมู, เทยเลอร์, เบอร์เกสส์

ตัวสำรอง : แมดดิสัน, คอนลอน, แอตคินสัน, คัลเลน, บราวเน, เบนเนตต์, บริสลีย์

[OPINION] ย้อนรอย 6 กุนซือ พรีเมียร์ลีก ที่ฝากผลงานอันยอดเยี่ยม หลังจากเข้ามาคุมทีมระหว่างฤดูกาล

6. เดวิด มอยส์ – 2001/02

ทีม เอฟเวอร์ตัน 

ฤดูกาล 2001-02

วันที่เข้ารับงาน 14 มีนาคม 2002

นี่คือจุดเริ่มต้นของ ตำนานกุนซืออันดับ 7 อย่าง เดวิด มอยส์ ที่ก่อนหน้านั้นเจ้าตัวกำลังคุม เปรสตัน ทีมเก่าที่เจ้าตัวพึ่งจะแขวนสตั๊ดด้วยไม่กี่ปีก่อน แต่แล้วก็มีความท้าทายครั้งใหญ่ในชีวิตเข้ามาหลังจาก เอฟเวอร์ตัน ที่ขณะนั้นกุนซืออย่าง วอล์เตอร์ สมิธ ถูกปลดจากตำแหน่งไปหลังทำผลงานได้ย่ำแย่ ผ่าน 29 นัดมี 30 คะแนนรั้งอันดับที่ 16 แต่แต้มเท่ากับทีมอันดับ 18 ที่อยู่ในโซนตกชั้น

ซึ่ง มอยส์ เป็นผู้ที่ถูกเลือกให้มารับเผือกร้อนโดยมีโจทย์ว่าทีมจะต้องรอดตกชั้นให้ได้ และเข้าก็ทำได้สำเร็จ ไม่เพียงแค่นั้น ปีต่อ ๆ มา กุนซือชาวสกอตแลนด์ ยังสามารถยกระดับทีม ให้ขึ้นไปอยู่หัวตารางได้และสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับ ท็อฟฟีสีน้ำเงิน อย่างต่อเนื่องอีกกว่า 11 ปี กระทั้งย้ายไปคุม ปีศาจแดง ในปี 2013

5. แฮร์รี เร้ดแนบป์ – 2008/09

ทีม ท็อตแนม ฮอตสเปอร์

ฤดูกาล 2008-09

วันที่เข้ารับงาน 26 ตุลาคม 2008

หลังจากผลงานอันย่ำแย่ที่ ฮวนเด รามอส ทำเอาไว้เมื่อผ่านไปเพียง 11 สัปดาห์ ทัพไก่เดือยทอง ก็หล่นมารั้งอันดับบ๊วยของตารางทั้งที่มีนักเตะชื่อดังแทบจะล้นทีม นั่นจึงทำให้อดีตนายใหญ่จากเซบีญา จึงต้องถูกเตะจากเก้าอี้ไปตามระเบียบ และเป็นเสือเฒ่า แฮร์รี เร้ดแนบป์ ที่ถูกเรียกต้วเข้ามากู้สถานการณ์แทนในเดือน ตุลาคม ปี 2008 แล้วก็อย่างที่ทราบกับ เร้ดแนบป์ สามารถพาทีมจบในอันดับที่ 8 ฤดูกาลนั้น แถมตลอด 4 ปีที่คุม สเปอร์ส เขายังสามารถพาทีมจบท็อป 4 ได้ ถึง 2 ครั้ง ในปี 2010 และ 2012 จนกระทั่งแยกทางกับทีมไปในช่วงหน้าร้อนปีเดียวกันนี้

4. โรแบร์โต้ มันชินี – 2009/10

ทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ฤดูกาล 2009-10

วันที่เข้ารับงาน 19 ธันวาคม 2009

แม้ว่ากุนซือคนก่อนอย่าง มาร์ค ฮิวจ์ส ผลงานจะไม่ได้แย่อะไรมากมายนักในช่วงเวลานั้น แพ้ไปเพียงแค่ 2 จาก 21 เกม แต่ก็เสมอไปถึง 8 นัดในทุกรายการ รั้งอันดับที่ 6 หลังในลีก แต่นั่นยังไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่บอร์ดบริหารในยุคนั้นคาดหวังนัก จึงทำการปลด ฮิวจ์ส ออกจากตำแหน่งและตั้ง โรแบร์โต้ มันชินี ที่กำลังว่างงานอยู่เข้ามาทำหน้าที่แทน

แม้ในปีแรกผลงานจะยังไม่ดีมากนัก พาทีมจบเพียงอันดับที่ 5 แต่ในฤดูกาล 2011-12 เจ้าตัวก็สร้างประวัติศาสตร์ พา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกสุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1968 และรับเป็นการจุดประกายความยิ่งใหญ่ให้กับ พลพรรคเรือใบสีฟ้า มาจนถึงปัจจุบัน

3. ดาวิด โอ เลียรี – 1998/99

ทีม ลีดส์ ยูไนเต็ด

ฤดูกาล 1998-99

วันที่เข้ารับงาน 1 ตุลาคม 1998

สมัยช่วงปลายยุค 90 จนถึงต้นยุค 2000 ที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด ก้าวขึ้นมาเป็นทีมระดับหัวตารางนั้น พวกเขาต้องการยกระดับทีมขึ้นไปอีกขั้น แต่กุนซือคนเก่าอย่าง จอร์จ เกรแฮม ดูจะยังไม่ใช่คนที่ตอบโจทย์นั้นได้ พวกเขาจึงทำการปลดกุนซือชาวสกอตต์ และตั้ง ดาวิด โอ เลียรี ที่เป็นผู้ช่วยอยู่ก่อนแล้วขึ้นมารับตำแหน่งแทน ซึ่งถือว่าเจ้าตัวทำได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะช่วงเวลาเกือบ 4 ปี ที่เขานั่งเก้าอี้กุนซือนั้น ทีมยุงทอง บินสูงคว้าอันดับท็อป 4 ได้แทบจะทุกซีซั่น จนถูกขนานนามว่ายักษ์ทีมที่ 5 ใน พรีเมียร์ลีก แต่หลังจากเจ้าตัวแยกทางกับทีมในปี 2002 ลีดส์ ก็ก้าวเข้าสู่ยุคมืดเต็มตัวกระทั่งฤดูกาล 2003-04 ก็ตกชั้นไปเล่นลีกรองในที่สุด

2. เยอร์เก้น คล็อปป์ – 2015/16

ทีม ลิเวอร์พูล 

ฤดูกาล 2015-16

วันที่เข้ารับงาน 8 ตุลาคม 2015

หลังจากเกมลีกฤดูกาล 2015-16 เริ่มไปได้เพียง 2 เดือนเศษ ผลงานของ หงส์แดง ในขณะนั้นก็ดูไม่ดีเอาเสียเลย ด้วยการหล่นมาอยู่อันดับที่ 10 มี 12 คะแนนจากการลงเล่น 8 เกม ทำให้กุนซือคนเก่าอย่าง แบรนเดน ร็อดเจอร์ส ปลิวตกเก้าอี้ไปตามระเบียบ และทีมก็ได้เปิดตัว เยอร์เก้น คล็อปป์ เป็นกุนซือคนใหม่ในอีกไม่กี่วันต่อมา แม้ว่า ซีซั่นแรก อดีตกุนซือดอร์ทมุนด์ จะยังทำผลงานได้ไม่ดีนักโดยการคว้าอัน 8 หลังจบฤดูกาล แต่บอร์ดเองก็ยังคงไว้วางใจให้เวลาเจ้าตัวสร้างทีมขึ้นมาเรื่อย ๆ และหลังจากนั้น ทัพเร้ดแมทชีน ก็ไม่เคยหลุดจากท็อป 4 อีกเลย ภายใต้การคุมทีมของ คล็อปป์ แถมผลงานยังดีขึ้นเรื่อย ๆ กวาดแชมป์รายการใหญ่ ๆ มากมาย จนการเป็นยอดทีมที่ดีที่สุดของโลกทีมหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปัจจุบัน

1. อาร์แซน เวงเกอร์ – 1996/97

ทีม อาร์เซนอล

ฤดูกาล 1996-97

วันที่เข้ารับงาน 1 ตุลาคม 1996

และแล้วก็มาถึงหนึ่งกุนซือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของ พรีเมียร์ลีก อย่าง อาร์แซน เวงเกอร์ ที่รับงานเป็นกุนซือ ทัพไอ้ปืนใหญ่ ต่อจาก สจ๊วต ฮิวสตัน ที่แม้พึ่งจะถูกตั้งให้มาคุมทีม แต่ผลงานดูจะย่ำแย่ตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาล บอร์ดบริหารในขณะนั้นจึงไม่รอช้ารีบหากุนซือคนใหม่เข้ามาก่อนที่จะสายเกินไป และสุดท้ายก็ไปได้ตัวยอดกุนซือชาวฝรั่งเศส รายนี้ที่กำลังคุมทีม นาโกยา แคมปัส ในเจลีกประเทศญี่ปุ่น กลับมาสู่ยุโรปอีกครั้ง

ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทำให้แฟน ๆ เดอะกันเนอร์ส ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย พาทีมจบอันดับ 3 ในซีซั่นแรกที่เข้ามาทำหน้าที่ จนกระทั่งผ่านร้อนผ่านหนาวกับสโมสรอย่างยาวนานเกือบ 22 ปี คว้าแชมป์ราการต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะตำนานแชมป์ไร้พ่ายในปี 2003/04 ที่ยังไม่มีใครสามารถทำได้เลยจนถึงทุกวันนี้