เชลซี พบ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน



ความพร้อมของทั้งสองทีม


เชลซี

ทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด กำลังอยู่ในช่วงขาล’ ล่าสุดเปิดบ้านพ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป 0-2 นั่นเท่ากับว่าพวกเขาไม่ชนะใครในลีกมาแล้ว 4 เกมติดต่อกัน

สุดสัปดาห์นี้ พลพรรคสิงห์บลู ต้องเจองานยากอีกครั้งด้วยการเปิดบ้านทำศึกลอนดอนดาร์บี้ ต้อนรับการมาเยือนของ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ที่ฟอร์มในลีกกำลังร้อนแรง แถม ณ ปัจจุบัน ไก่เดือยทอง มีแต้มไล่จี้ตามหลังพวกเขาเพียง 1 คะแนนเท่านั้น เพราะงั้นหาก สิงโตน้ำเงินคราม พ่ายแพ้ในเกมนี้ จะทำให้ สเปอร์ส ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 4 แทนที่พวกเขาในทันที

สภาพความพร้อมก่อนลงสนาม สิงห์ไฮโซ จะยังไม่สามารถใช้งาน เอ็นโกโล ก็องเต้ ที่ได้รับบาดเจ็บในเกมพบกับ ปีศาจแดง ได้ ส่วนในรายของ รูเบน ลอฟตัส-ชีค แทมมี อับราฮัม และ คริสเตียน พูลิซิช ยังต้องรอดูความพร้อมก่อนเกมจะเริ่มอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู กาบาเยโร
กองหลัง อัซปิลิกวยต้า, คริสเตนเซน, รือดิเกอร์, เจมส์
กองกลาง โควาชิช, จอร์จินโญ, เมานท์
กองหน้า วิลเลียน, ชิรูด์, เปโดร

​​สเปอร์ส

แม้ผลงานใน พรีเมียร์ลีก จะสามารถโกยแต้มได้เป็นกอบเป็นกำ แต่เกมล่าสุด พลพรรคไก่เดือยทอง เปิดบ้านโดน ไลป์ซิก บุกมาอัดถึงบ้าน 0-1 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

วันเสาร์นี้ทีมของ โชเซ มูรินโญ มีคิวต้องบุกไปเยือนถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ รังเหย้าของ เชลซี ในศึก ลอนดอนดาร์บี้ โดยเป็นเกมสำคัญที่มีอันดับที่ 4 ของตารางเป็นเดิมพัน หากพวกเขาเอาชนะในเกมนี้จะแซงขึ้นไปรั้งอันดับ 4 แทนที่ สิงห์บลู ในทันที ต้องมาดูกันว่าความพ่ายแพ้นัดสำคัญเมื่อกลางสัปดาห์จะส่งผลต่อฟอร์มการเล่นของผู้เล่น สเปอร์ส มากน้อยแค่ไหนในเกมวันนี้

สภาพทีม ณ ปัจจุบัน พวกเขาประสบปัญหาผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บโดยเฉพาะ 2 ตัวความหวังอย่าง แฮร์รี เคน และ ซน เฮือง-มิน ที่จะไม่สามารถลงสนามในเกมนี้ได้อย่างแน่นอนแล้ว รวมถึง ฮวน ฟอยต์ และ มุสซา ซิสโซโก้ เองก็ยังคงต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บหมดสิทธิลงช่วยทีมในเกมนี้เช่นกัน

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-2-3-1

ผู้รักษาประตู ยอริส
กองหลัง ออริเยร์, อัลเดอร์ไวเรลด์, ซานเชซ, ทังกันก้า
กองกลาง วิงค์ส, ดายเออร์
​เบิร์กไวจ์น, อัลลี, โล เซลโซ
กองหน้า ลูคัส

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


เชลซี (ชนะ 1 เสมอ 2 แพ้ 2)

18 ก.พ. PL เชลซี 0-2 แมนฯ ยูไนเต็ด
1 ก.พ. PL เลสเตอร์ 2-2 เชลซี
26 ม.ค. FA ฮัลล์ 1-2 เชลซี
22 ม.ค. PL เชลซี 2-2 อาร์เซนอล
19 ม.ค. PL นิวคาสเซิล 1-0 เชลซี

สเปอร์ส (ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 1)

20 ก.พ. UCL สเปอร์ส 0-1 ไลป์ซิก
12 ก.พ. PL แอสตัน วิลลา 2-3 สเปอร์ส
6 ก.พ. FA สเปอร์ส 3-2 เซาต์แธมป์ตัน
2 ก.พ. PL สเปอร์ส 2-0 แมนฯ ซิตี้
25 ม.ค. FA เซาต์แธมป์ตัน 1-1 สเปอร์ส

ฮดทูเฮด : เชลซี ชนะ 3 เสมอ 0 สเปอร์ส ชนะ 2

22/12/19 PL สเปอร์ส 0-2 เชลซี
28/02/19 PL เชลซี 2-0 สเปอร์ส
25/01/19 EFL เชลซี 3-1 สเปอร์ส
09/01/19 EFL สเปอร์ส 1-0 เชลซี
25/11/18 PL สเปอร์ส 3-1 เชลซี

*PL = พรีเมียร์ลีก / FA = เอฟเอ คัพ / EFL = คาราบาว คัพ / UCL = ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • 2 เกมหลังที่ทั้งคู่พบกันใน พรีเมียร์ลีก เป็น เชลซี ที่เอาชนะได้ทั้ง 2 เกม โดยครั้งล่าสุดที่พวกเขาเอาชนะ สเปอร์ส 3 นัดติดต่อกันในลีกได้ ต้องย้อนกลับไปในปี 2006 ที่ขณะนั้นผู้จัดการทีม เชลซี คือ โชเซ มูรินโญ

  • ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ชนะเพียง 1 จาก 33 เกมในทุกรายการที่บุกมาเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์ (ชนะ 1 เสมอ 11 แพ้ 21)

  • 5 นัดหลังสุดที่ทั้งสองทีมพบกันในเกม พรีเมียร์ลีก สเปอร์ส เอาชนะไปได้ถึง 3 เกม ซึ่ง 23 เกมที่พบกันในลีกก่อนหน้านั้น ไก่เดือยทอง เอาชนะ เชลซี ได้เพียงเกมเดียวเท่านั้น (ชนะ 1 เสมอ 9 แพ้ 13)

  • สิงโตน้ำเงินคราม แพ้ในบ้านไปแล้ว 7 เกมในซีซั่นนี้รวมทุกรายการ มีเพียงปี 1985/86 เท่านั้นที่พวกเขาแพ้ในบ้านมากกว่าปัจจุบัน (8 เกม)

  • สิงห์บลู ไม่ชนะใครในเกมลีกมาแล้ว 4 เกมติดต่อกัน โดยครั้งล่าสุดที่ไม่ชนะใน พรีเมียร์ลีก มากกว่า 4 เกมต้องย้อนกลับไปในปี 2012 (7 เกม)

  • ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ชนะเกมเยือนบนลีกสูงสุดไปแล้ว 499 เกม หากพวกเขาชนะในเกมนี้ จะเป็นทีมที่ 7 ที่ชนะเกมเยือนครบ 500 นัดถัดจาก ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เอฟเวอร์ตัน, แอสตัน วิลลา และ เชลซี

  • แฟรงค์ แลมพาร์ด คุมทีมเอาชนะ สเปอร์ส ของ โชเซ มูรินโญ มาได้ในเกมแรกเมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา มีเพียงกุนซือคนเดียวในโลกที่สามารถเอาชนะ 2 เกมแรกในการดวลกับทีมของ มูรินโญ ได้ นั่นคือ เจมมี ปาเชโก้ กุนซือทีม เบาวิสต้า ในปี 2001

  • มีเพียง อาร์แซน เวงเกอร์ (106) และ แฮร์รี เร้ดแนปป์ (39) ที่ชนะในเกม พรีเมียร์ลีก ลอนดอนดาร์บี้ มากกว่า โชเซ มูรินโญ (37 เกม)

โอลิมเปียกอส 0-1 อาร์เซนอล : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ยูโรปาลีก รอบ 32 ทีม ปืนใหญ่ บุกเฉือนคว้าชัย

การแข่งขัน ฟุตบอลยูฟ่า ยูโรปาลีก 2019/20 รอบ 32 ทีมสุดท้าย
วันแข่งขัน คืนวันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ 2020
เวลาแข่งขัน 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน โอลิมเปียกอส 0-1 อาร์เซนอล
สนาม คาไรสกาคิส สเตเดี้ยม

ประเด็นร้อนหลังเกม


ความเป็นไปของเกมที่ชวนหลับเอาง่าย ๆ

เกมนี้เจ้าบ้านเริ่มต้นได้หวือหวากว่าเล็กน้อย ด้วยการเกือบจะได้ประตูขึ้นนำถึง 2 ครั้งตั้งแต่ในช่วง 5 นาทีแรก แต่เป็นโชคดีของทีมเยือนจากอังกฤษ ที่เจ้าถิ่นยังไม่เฉียบขาดมากพอ บวกกับ เลโน ที่ยังช่วยป้องกันเอาไว้ได้ จากนั้น พลพรรคปืนใหญ่ เริ่มตั้งเกมของตัวเองได้ ก็เริ่มหาจังหวะครองบอลบุกขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังแทบหาจังหวะเข้าทำที่ลุ้นประตูไม่ได้มากนักตลอด 45 นาทีแรก จะมีที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือจังหวะที่ ลากาแซ็ตต์ ยิงหลุดเสาออกไปเท่านั้น

ในครึ่งหลังทั้งสองทีมต่างยังคงเล่นในลักษณะเดิม ค่อนข้างจะเล่นเซฟ ไม่เสียประตูเอาไว้ก่อน แถมเกมรุกของทั้งคู่ยังขาด ๆ เกิน ๆ กันทั้งสองฝ่าย ทำให้บอลข้ามไปข้ามมาบริเวณกลางสนามซะส่วนใหญ่ ช่วงนี้หากใครง่วง ๆ อยู่ก็อาจถึงขึ้นหลับเอาได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว กระทั่งช่วงท้ายเกมเป็น อาร์เซนอล ที่เฉียบขาดมากกว่า มาได้ประตูชัยขณะที่เวลาเหลือไม่ถึง 10 นาที จากประตูโทนของ ลากาแซ็ตต์ และแม้หลังจากนั้น พวกเขาจะมีโอกาสบวกประตูเพิ่ม แต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้าบจบเกมไปด้วยสกอร์ 0-1 ก่อนจะกลับไปเล่นในบ้านในนัดต่อไป

Pierre-Emerick Aubameyang,Mathieu Valbuena

เกมรุกของ ปืนใหญ่ ที่ดู งง ๆ เหมือนไม่ค่อยได้ซ้อมกันมา

เกมนี้ต้องบอกเลยว่าเกมรุกของ อาร์เซนอล พึ่งจะมาดูมีน้ำมีนวลในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม เพราะช่วงเวลาก่อนหน้านั้น พวกเขายังแทบไม่มีโอกาสได้ยิงเข้ากรอบคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ แถมการต่อบอล การวิ่งหาจังหวะและพื้นที่เข้าทำ ยังดูขาด ๆ เกิน ๆ เหมือนไม่เข้าใจกันไปซะหมด

จะบอกว่าเป็นเพราะไม่ใช่ผู้เล่นชุดใหญ่ก็คงไม่ใช่ เพราะขาดไปแค่ เออซิล เพียงคนเดียวเท่านั้นในวันนี้ แถมบางช่วงบางจังหวะทำเกมกันไม่ได้ ต่อบอลกันไม่ติด จนต้องถอยลงมาตั้งรับต่ำ และรอจังหวะวางยาวสวนกลับแทน ถ้ากลับไปเล่นในลีกแล้วยังสภาพแบบนี้ บอกได้คำเดียวเลยนะครับ ยับ ! สถานเดียว

FBL-EUR-C3-OLYMPIAKOS-ARSENAL

ซาก้า โดดเด่นเกินวัย

เหมือนกับว่าหลาย ๆ เกมในช่วงหลัง ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง จะเริ่มมีคนช่วยแบกทีมอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวรุ่งพุ่งแรงที่โดนระเห็จมาเล่นเป็นแบ็คซ้ายจำเป็น แล้วก็ดันเล่นได้ดีอย่าง บูกาโย ซาก้า ที่สร้างสรรค์เกมรุกทางกราบซ้ายได้มันถึงใจ ด้วยทักษะเบสิกขั้นสูง แถมมีความเร็วและความคล่องตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่ซีซั่นนี้เจ้าตัวจะจัดการซัดไปแล้ว 3 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์ ให้กับทีมเป็นที่เรียบร้อยด้วยวัยเพียง 18 ปีเท่านั้น แถมวันนี้ยังสร้างสรรค์เกมได้อย่างโดดเด่น พร้อมกับ 1 แอสซิสต์ ช่วยให้ทีมคว้าชัยมาได้ในที่สุด 

เห็นอย่างนี้แฟน ๆ ปืนใหญ่คงจะอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง ที่อย่างน้อยก็มีเด็กสร้างของสโมสรก้าวขึ้นมาเป็นอนาคตใหม่ให้กับทีมได้ แต่ก็ต้องระวัง ! ช่วงนี้มีข่าวลือว่าหลายทีมยักษ์ใหญ่กำลังจ้องดางรุ่งรายนี้ตาเป็นมัน ถ้าไม่รีบต่อสัญญารั้งตัวเอาไว้ละก็ อาจจะโดนทีมอื่นโฉบเอาตัวไปดื้อ ๆ ก็ได้นะ บอกไว้ก่อน…

FBL-EUR-C3-OLYMPIAKOS-ARSENAL

[OPINION] เรนัน โลดี้ : แบ็คแซมบ้าอนาคตไกล แห่ง เอสตาดิโอ เมโทรโปลิตาโน

หลังจบเกม ​ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่ ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา แน่นอนว่ามีประเด็นให้พูดถึงมากมาย หนึ่งในเรื่องราวนั้นที่เราจะหยิบยกมาขยายในวันนี้ นั่นคือการฉายแววโดดเด่นของ แบ็คซ้ายดาวรุ่งดีกรีทีมชาติบราซิล นามว่า เรนัน ออกุสโต โลดี ดอส ซานโดส หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “เรนัน โรดี้”

โลดี้ หนุ่มน้อยวัย 21 ปี พึ่งจะถูก แอตเลติโก้ มาดริด กระชากตัวจาก แอตเลติโก้ พาราเนนเซ ในลีกบ้านเกิด มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

โดยก่อนหน้าที่จะย้ายมาค้าแข้งในแดนกระทิงดุนั้น เรนัน เติบโตมาจากทีมเยาวชนของ พาราเนนเซ ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2018 และพัฒนาฝีเท้าจนกลายเป็นตัวหลักของทีมได้ในระยะเวลาไม่นานหลังจากนั้น ซึ่งเจ้าตัวลงสนามให้กับต้นสังกัดเดิมไปทั้งสิ้น 50 เกมพร้อมผลงาน 4 ประตูกับอีก 8 แอสซิสต์ ด้วยกัน

FBL-RECOPA-RIVER-PARANAENSE

กับ ทัพตราหมี เจ้าตัวโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นตั้งแต่เกมแรกที่ประเดิมสนาม ด้วยการโดนใบแดงไล่ออกไปตั้งแต่ครึ่งเวลาแรก ในเกมที่เปิดบ้านเฉือนชนะ เกตาเฟ ไป 1-0 แต่หลังจากนั้น เจ้าหนูรายนี้ ก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่ามีดีพอในถิ่น เอสตาดิโอ เมโทรโปลิตาโน แห่งนี้ ด้วยผลงานที่ดุดันเกินวัย มีทั้งความเร็ว ความคล่องตัว ไปกับบอลได้ดี บวกกับทักษะสไตล์แซมบ้าที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้ได้รับความไว้วางใจจาก ดิเอโก้ ซิเมโอเน ให้ยืนเป็นแบ็คซ้ายอันดับหนึ่งของทีมในทันทีตั้งแต่ย้ายเข้ามา

ในนามทีมชาติ กุนซืออย่าง ติเต้ เองก็จับตาดูฟอร์มของ หนุ่มน้อยรายนี้มาพักใหญ่แล้วเช่นกัน กระทั่งตัดสินใจเรียกตัวมาติดทีมชาติและลงประเดิมสนามครั้งแรกในเกมอุ่นเครื่องกับ เซเนกัล เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ปีก่อน ซึ่งจนถึงบัดนี้เจ้าตัวติดทีมชาติมาแล้วทั้งสิ้น 4 เกม ทำไปได้ 2 แอสซิสต์ด้วยกัน

จากผลงานทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ทำให้ก่อนเกมที่ ตราหมี จะลงฟาดแข้งกับ หงส์แดง เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ดาวรุ่งรายนี้ถูกตั้งคำถามว่าเขาดีพอที่จะหยุดเกมรุกทางกราบขวาของ ลิเวอร์พูล ที่เป็นจุดทำการของ ​โม ซาลาห์ ซูเปอร์สตาร์ชาวอียิปต์ และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็คขวาที่ฟอร์มร้อนแรงสุด ๆ ในชั่วโมงนี้ ได้จริงหรือ ?

ตอนนี้ทุกคนคงได้คำตอบกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะนอกจากเบสิกต่าง ๆ และทักษะเฉพาะตัว ที่สามารถรับมือกับแนวรุกของผู้มาเยือนได้อย่างสูสี ความเก๋าเกมยังเป็นอีกจุดหนึ่งที่เจ้าตัวทำได้โดดเด่นเกินอายุเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นจังหวะอ่านเกมและลูกล่อลูกชนต่าง ๆ ที่ปั่นประสาททำให้ ซาลาห์ และ ฟิร์มิโน ถึงกับหัวร้อนเสียสมาธิกับเกมไปได้หลายจังหวะ จนสุดท้ายแผลงฤทธิ์ไม่ออกตามที่เห็นกัน

Mohamed Salah, Renan Lodi

ดูแล้วก็รู้สึกอุ่นใจแทน สาวกทีมตราหมี ที่มักจะได้แบ็คซ้ายคุณภาพดีเข้ามาแทนทีตัวเก่าที่โรยราไปตลอดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น โลดี้, ลูคัส เออนานเดซ, กิลเออร์เม ซิเกรา และ ฟิลิปเป้ หลุยส์ ซึ่งก็ต้องมาดูกันว่า เรนัน โลดี้ กับเส้นทางในถิ่น ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน แห่งนี้นั้นจะไปสิ้นสุดลงที่ใด แต่ที่แน่ ๆ หากสามารถรักษาฟอร์มการเล่นและพัฒนาขึ้นไปอีกได้ รับรองว่าแฟน ๆ ทีมชาติบราซิล คงจะได้เห็น “นิว มาร์เซโล” ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้อย่างแน่นอน…

แอตฯ มาดริด 1-0 ลิเวอร์พูล : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หงส์แดง บุกพ่าย ตราหมี !

การแข่งขัน ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019/20 รอบ 16 ทีมสุดท้าย
วันแข่งขัน คืนวันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2020
เวลาแข่งขัน 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน แอตฯ มาดริด 1-0 ลิเวอร์พูล
สนาม ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน

ประเด็นร้อนหลังเกม


ความเป็นไปของเกม

หงส์แดง โชคร้ายที่ถูกยิงขึ้นนำเร็วตั้งแต่ 4 นาทีแรก ในขณะที่พวกเขายังตั้งเกมของตัวเองไม่ได้ จุดนี้จึงเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้ แอตฯ มาดริด สามารถคุมเกมให้เป็นไปอย่างที่พวกเขาต้องการ ด้วยการปล่อยให้ หงส์แดง เซตบอลไปมาและพวกเขาก็ถอยลงมาตั้งรับและรอจังหวะสวนกลับตลอด 45 นาทีแรก ซึ่งต้องบอกว่าได้ผลค่อนข้างดีเลยทีเดียว

กระทั่งในครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล พยายามปรับรูปแบบการเข้าทำให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็พอจะมีโอกาสลุ้นอยู่บ้างแต่แนวรุกยังไม่เฉียบคมกันมากพอ ส่วนทางเจ้าบ้านเองก็ยังคงเน้นเกมรับแบบเดียวกับในครึ่งแรก แถมจังหวะสวนกลับของพวกเขาถือว่ากดดันแนวรับผู้มาเยือนได้ค่อนข้างดี จนกระทั่งจบ 90 นาที ตราหมี ทำสำเร็จคว้าชัยไปได้ก่อนในเกมแรก

Atletico Madrid v Liverpool FC - UEFA Champions League Round of 16: First Leg

วันที่แบ็คสองข้างของ หงส์แดง เล่นไม่ออก

ตลอดซีซั่นที่ผ่านมาต้องบอกเลยว่าทีเด็ดการเข้าทำของ ลิเวอร์พูล อย่างหนึ่ง ก็คือการวางบอลจากแบ็คทั้งสองด้าน ไม่ว่าจะเป็น  เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ หรือ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ที่มักจะมีชื่อเป็นผู้ทำแอสซิสต์ได้อยู่บ่อย ๆ ในฤดูกาลนี้

แต่ในค่ำคืนที่ผ่านมานั้น ต้องบอกว่าเราแทบไม่เห็นลูกเปิดสวย ๆ จากริมเส้นทั้งสองข้างเลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยเฉพาะจากฟูลแบ็คทั้ง 2 คน ที่ปกติแล้วมักจะมีทีเด็ดในยามที่เกมตรงกลางไม่สามารถเจาะคู่แข่งได้ แต่พอขาดในส่วนนี้ไป จึงส่งผลให้เกมรุกของ หงส์แดง ในวันนี้ดูเล่นได้ค่อนข้างต่ำกว่ามาตรฐานไปหมด แน่นอนว่าส่วนหนึ่งต้องชมแทคติกของ ซิเมโอเน ที่วางแผนมาได้อย่างยอดเยี่ยม แต่อีกส่วนที่ต้องตำหนิบรรดาแนวรุกรวมถึงแบ็คทั้งสองฝั่งที่วันนี้เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นด้วยเช่นกัน

Trent Alexander Arnold

เกมรับสุดแกร่งของของทัพตราหมี

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าจุดเด่นของ แอตเลติโก มาดริด ที่มี ดิเอโก้ ซิเมโอเน คุมทีมนั้น คือเกมรับที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ก่อนเกมจะเริ่มจึงเป็นที่พูดถึงกันมากพอสมควรว่าเกมรุกที่ดุดันของ หงส์แดง จะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเจอกับแนวรับอันแน่นปึกของ ทัพตราหมี ในเกมนี้

ซึ่งผลก็ออกมาอย่างที่เห็นคือ แนวรุกของ ลิเวอร์พูล แทบจะสร้างความกดดันให้กับแนวรับของ แอตฯ มาดริด ไม่ได้เลย ทำได้เพียงเคาะบอลไปมารอบนอกกรอบเขตโทษ การเจาะเข้าพื้นที่ตรงกลางแทบจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากมีผู้เล่นของเจ้าบ้านยืนสกรีนอยู่เป็นแนวถึง 2 ชั้น แถมวันนี้ลูกโยนจากริมเส้นก็ดันไม่ทำงานเสียอีก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในวันนี้สร้างโอกาสเข้าทำได้ค่อนข้างน้อย และจบด้วยความปราชัยในที่สุด

Felipe,Stefan Savic

ถึงจะแพ้ แต่โกาสยังเปิดกว้าง

แม้เกมนัดนี้จะจบด้วยความพ่ายแพ้ของ ลิเวอร์พูล แต่สกอร์ที่ตามเพียงแค่ 1 ประตู กับการจะได้กลับไปเล่นในบ้านนั้น ก็ยังพอจะมีโอกาสอยู่พอสมควรสำหรับทัพ หงส์แดง ซึ่งก็ต้องมาดูกันว่ากว่าจะถึงวันนั้น คล็อปป์ จะกลับไปทำการบ้านที่ดูแล้วมีค่อนข้างเยอะในเกมวันนี้อย่างไร

แต่แน่นอนว่าจะประมาทไม่ได้เช่นกัน เพราะหากพวกเขาเสียประตูแม้แต่ประตูเดียว งานที่ต้องทำจะหนักเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวในทันที เพราะจำเป็นต้องยิงให้ขาดเนื่องจากกฎอเวย์โกล ดังนั้นต้องบอกเลยว่าโอกาสยังคงเปิดกว้างจริง ๆ สำหรับทั้งสองทีม โดยเฉพาะฝั่ง เร้ดแมทชีน ที่ปีก่อนเคยโดนนำห่างถึง 3 ลูกในเกมแรก แต่ก็ยังสามารถพลิกนรกกลับมาเข้ารอบได้ ฉนั้นแค่ประตูเดียวในเกมนี้ จึงยังไม่สามารถฟันธงใด ๆ ได้ทั้งสิ้นว่าใครจะได้ไปต่อในศึกครั้งนี้

เพราะงั้นเกมชี้ชะตา คืนวันพุธที่ 12 มีนาคม ห้ามพลาดเด็ดขาด !

Tottenham Hotspur v Liverpool - UEFA Champions League Final

แอตฯ มาดริด พบ ลิเวอร์พูล : พรีวิว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีม, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน


การแข่งขัน ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019/20 รอบ 16 ทีมสุดท้าย
วันแข่งขัน คืนวันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2020
เวลาแข่งขัน 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน แอตฯ มาดริด พบ ลิเวอร์พูล
สนาม ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน
ถ่ายทอดสด DAZN

ความพร้อมของทั้ง 2 ทีม


แอตเลติโก้ มาดริด

ทีมของ ดิเอโก้ ซิเมโอเน ฟอร์มในช่วงหลังไม่ค่อยดีนัก ชนะเพียงเกมเดียวจาก 7 นัดหลังสุดในทุกรายการ แถมสถานการณ์ใน ลาลีกา ก็คงยังต้องลุ้นเหนื่อยสำหรับโควต้า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปีหน้า โดยปัจจุบันรั้งอันดับที่ 4 ของตาราง แต่มีคะแนนห่างจากอันดับ 8 อยู่เพียง 3 คะแนนเท่านั้น 

ส่วนในรายการนี้ ทีมตราหมี เข้ารอบมาในฐานะรองแชมป์ของ กลุ่ม ดี ซึ่งพวกเขาจับฉลากมาพบกับแชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล ที่ตอนนี้ฟอร์มกำลังร้อนแรงสุด ๆ โดยคืนวันอังคารนี้พวกเขาจะได้เล่นในบ้านก่อนในนัดแรก คาดว่านายใหญ่ชาวอาร์เจนไตน์ จะส่งผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดลงสนามหลังจากพักตัวหลักบางรายในเกมที่เสมอ บาเลนเซีย เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

สภาพทีมก่อนลงสนาม ยังมีปัญหาตัวผู้เล่นหลักบาดเจ็บอยู่ทั้ง ชูเอา ฟิลิกซ์ คีแรน ทริปเปียร์ ที่จะลงสนามในเกมนี้ไม่ได้แน่นอนแล้ว ส่วนในรายของ เฮคตอร์ เฮอร์เรรา และ ดิเอโก้ คอสต้า นั้น ยังต้องรอดูความพร้อมก่อนเกมจะเริ่มอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-4-2

ผู้รักษาประตู โอบลัค
กองหลัง เวอร์ซัลจ์โก้, ซาวิช, ฟิลิเป้, โลดี
กองกลาง คาร์ราสโก้, ยอเรนเต้, โทมัส, ซาอูล
กองหน้า คอร์เรอา, โมราต้า

ลิเวอร์พูล

จ่าฝูงในศึก พรีเมียร์ลีก ฟอร์มยังร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบุกไปเอาชนะ นอริช ทีมบ๊วยของตารางมาได้อย่างหวุดหวิด 0-1 แต่นั่นก็เพียงที่จะทำให้ทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ เข้าใกล้แชมป์ลีกมากขึ้นไปทุกที ๆ

กลางสัปดาห์นี้ ทัพหงส์แดง มีคิวจะต้องบุกไปเยือน แอตเลติโก้ มาดริด ถึงถิ่น เอสตาดิโอ เมโทรโปลิตาโน ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรก ซึ่งในรายการนี้ พวกเขาเข้ามาด้วยการเป็นแชมป์จาก กลุ่ม อี โดยมี นาโปลี ตามเข้ามาเป็นอันดับที่สอง เกมนี้คาดว่า คล็อปป์ จะกลับมาใช้นักเตะชุดที่ดีที่สุดลงสนามอย่าง ซาดิโอ มาเน และ ฟาบินโญ ที่ได้ลงสนามเพียง 30 นาทีในเกมลีกเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

สภาพความพร้อม ณ ปัจจุบัน จะยังไม่สามารถใช้งาน เนธาน ไคล์น และ เชอร์ดาน ชากิรี ที่ยังบาดเจ็บอยู่ได้ เพียงสองรายเท่านั้น ส่วนผู้เล่นหลักรายอื่น ๆ ฟิตพร้อมลงสนามในเกมนี้ทั้งหมด

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อลิสซอน
กองหลัง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โกเมซ, ฟาน ไดค์, โรเบิร์ตสัน
กองกลาง เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ, ไวนัลดุม
กองหน้า ซาลาห์, ฟิร์มิโน, มาเน

​​


ผลงาน 5 นัดหลังสุด


แอตฯ มาดริด (ชนะ 1 เสมอ 2 แพ้ 2)

15 ก.พ. LL บาเลนเซีย 2-2 แอตฯ มาดริด
9 ก.พ. LL แอตฯ มาดริด 1-0 กรานาด้า
1 ก.พ. LL เรอัล มาดริด 1-0 แอตฯ มาดริด
26 ม.ค. LL แอตฯ มาดริด 0-0 เลกาเนส
24 ม.ค. CDR ลีโอเนซา 2-1 แอตฯ มาดริด

ลิเวอร์พูล (ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 0)

16 ก.พ. PL นอริช 0-1 ลิเวอร์พูล
5 ก.พ. FA ลิเวอร์พูล 1-0 ชรูวส์บิวรี
1 ก.พ. PL ลิเวอร์พูล 4-0 เซาต์แธมป์ตัน
29 ม.ค. PL เวสต์แฮม 0-2 ลิเวอร์พูล
26 ม.ค. FA ชรูวส์บิวรี 2-2 ลิเวอร์พูล

เฮดทูเฮด (แอตฯ มาดริด ชนะ 3 เสมอ 1 ลิเวอร์พูล ชนะ 1)

03/08/17 FL ลิเวอร์พูล 1-2 แอตฯ มาดริด
30/04/10 UEL ลิเวอร์พูล 2-1 แอตฯ มาดริด
23/04/10 UEL แอตฯ มาดริด 1-0 ลิเวอร์พูล
08/08/09 FL ลิเวอร์พูล 1-2 แอตฯ มาดริด
05/11/08 UCL ลิเวอร์พูล 1-1 แอตฯ มาดริด

*PL = พรีเมียร์ลีก / FA = เอฟเอ คัพ / LL = ลาลีกา / CDR = โคปา เดล เรย์ / UCL = ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก / UEL = ยูฟ่า ยูโรปาลีก / FL = กระชับมิตร


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • สถิติการพบกันทั้งหมด 4 ครั้งของทั้งสองทีมในฟุตบอลยุโรปค่อนข้างสูสี โดยจบด้วยการชนะทีมละ 1 และเสมอกันไป 2 ครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม แอตเลติโก้ มาดริด เคยเอาชนะ ลิเวอร์พูล เข้ารอบในศึก ยูโรปาลีก รอบรองชนะเลิศ เมื่อปี 2009/10 และจบด้วยการเป็นแชมป์ในปีนั้น

  • ทั้งคู่เคยพบกันใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เพียง 2 ครั้งเท่านั้น ในปี 2008/09 รอบแบ่งกลุ่ม และจบด้วยผลเสมอ 1-1 ทั้งสองเกม

  • ลิเวอร์พูล ไม่ชนะในถ้วยยุโรปเมื่อบุกไปเยือนทีมจาก สเปน มาแล้ว 5 นัดติดต่อกัน (ชนะ 0 เสมอ 1 แพ้ 4) ชัยชนะในแดนกระทิงดุครั้งล่าสุดต้องย้อนไปในปี 2008/09 ในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่บุกไปเอาชนะ เรอัล มาดริด มาได้ 0-1

  • หงส์แดง มีสถิติที่ดีในการพบกับทีมจาก สเปน ในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบน็อคเอาท์ทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา (2006/07 เสมอ บาร์เซโลนา 2-2 เข้ารอบด้วยกฏประตูทีมเยือน / 2008/09 เอาชนะ เรอัล มาดริด รวม 5-0 / 2018/19 ชนะ บาร์เซโลนา รวม 4-3)

  • เกมเดียวที่ พลพรรคเร้ดแมทชีน เคยมาเล่นที่ ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน คือเกมรอบชิงชนะเลิศ กับ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เมื่อปีที่แล้ว และจบด้วยชัยชนะ 2-0

  • นับจากปี 2013/14 ทีมตราหมี ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ รายการนี้ได้ถึง 6 จากทั้งหมด 7 ฤดูกาล ซึ่งก่อนหน้านี้ปี 1992/93 จนถึง 2012/13 พวกเขาผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาได้เพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้นในรอบ 20 ปี

  • ลิเวอร์พูล เอาชนะเกมเยือนในถ้วยใบนี้มาแล้ว 3 นัดติดต่อกัน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทำได้นับตั้งแต่ปี 1984

  • แอตเลติโก้ มาดริด ไม่เคยแพ้ในบ้านเลยแม้แต่ครั้งเดียวใน แชมเปี้ยนส์ลีก รอบน็อกเอาท์ นับตั้งแต่ ดิเอโก้ ซิเมโอเน เข้ามาคุมทีม (12 เกม ชนะ 8 เสมอ 4 แพ้ 0 เสียไปเพียง 2 ประตูเท่านั้น)

  • เกมนี้จะเป็นนัดที่ 50 ของ อัลบาโร โมราต้า ในถ้วยใบนี้ โดยเจ้าตัวทำไปแล้วทั้งสิ้น 14 ประตู ซึ่ง 7 จาก 14 ลูกนั้น เป็นการยิงในรอบน็อคเอาท์

  • นับตั้งแต่ปี 2017/18 ซาดิโอ มาเน ยิงใน แชมเปี้ยนส์ลีก รอบน็อคเอาท์ ไปทั้งสิ้น 10 ประตู จากทั้งหมด 14 เกมที่ลงสนาม มีเพียง คริสเตียโน โรนัลโด้ เพียงรายเดียวเท่านั้น ที่ยิงได้มากกว่าในช่วงเวลาดังกล่าว (11 ประตู)

  • นับตั้งแต่ปี 2017/18 โม ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน เป็นนักเตะที่ลงเล่นในรายการนี้มากกว่าทุกคนในทีม (31 จากทั้งหมด 32 เกม) โดยมีเพียงนัดเดียวที่ทั้งคู่พลาดการลงสนามไปคือเกมที่เปิดบ้านชนะ บาร์เซโลนา 4-0 เมื่อซีซั่นก่อน 

อาร์เซนอล 4-0 นิวคาสเซิล : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกมที่ เอมิเรตส์ ปืนใหญ่ ทุบ สาลิกาดง ยับ !

การแข่งขัน ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2020
เวลาแข่งขัน 23.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน อาร์เซนอล 4-0 นิวคาสเซิล
สนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม

ประเด็นร้อนหลังเกม


ความเป็นไปของเกม

เกมนี้ในช่วงครึ่งแรก ต้องบอกเลยว่าอึกอัดพอสมควรสำหรับสาวกปืนใหญ่ เพราะรูปเกมดูยังตื้อ ๆ ตัน ๆ เหมือนกับหลาย ๆ นัดที่ผ่านมา แถมยังโดนแนวรุกของ นิวคาสเซิล ทั้ง อัลล็อง แซงต์-มักซีแม็ง วาเลนติโน ลาซาโร หรือแม้แต่ หัวหอกจอมบอดอย่าง โจลินตอน เล่นงานอย่างหนักในช่วงต้นเกมจนเกือบจะเสียประตูอยู่หลายครั้ง แต่โชคดีที่บรรดาแข้ง สาลิกาดง ไม่ได้พกความเฉียบขาดกันมาด้วยในวันนี้ เลยทำให้รอดจากการถูกเจาะตาข่ายมาได้จนถึง 45 นาทีหลัง

กระทั่งครึ่งทางที่เหลือ ต้องชมการแก้เกมของ มิเกล อาร์เตต้า ที่กระตุ้นให้ลูกทีมกลับมาเล่นกันแบบคึกตักมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนมาได้ 2 ประตูติดกันตั้งแต่ช่วงต้น ทำให้พวกเขาเล่นง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะหลังจากที่ทีมเยือนจำเป็นต้องบุกเพื่อเอาประตูคืน พลพรรคปืนใหญ่ มีพื้นที่ให้สร้างสรรค์เกมมากกว่าในช่วงครึ่งแรกเยอะพอสมควร และแน่นอนเมื่อทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของพวกเขาแล้ว 2 ประตูในช่วงท้ายเกมจึงตามติดกันมาแบบง่าย ๆ ชิล ๆ จนกระทั่งจบเกมด้วย 3 คะแนนอย่างสวยหรูในสัปดาห์นี้

Mesut Ozil

เปเป้ ฟอร์มอย่างโหด !

วันนี้ นิโคลาส เปเป้ ได้รับโอกาสให้ลงสนามเป็นตัวจริงแทนที่ กาเบรีบล มาร์ติเนลลี ดาวรุ่งชาวบราซิลเลียน ที่กำลังทำผลงานได้ค่อนข้างดีในช่วงที่ผ่านมา

ในช่วงครึ่งแรก แม้จะยังไม่ได้โอกาสเล่นกับบอลมากนัก แต่ก็ดูจะเป็นคนที่สามารถเจาะทะลวงแนวรับของทีมเยือนได้ดี เพราะกองหลังของ นิวคาสเซิล ดูจะมีปัญหาในการรับมือกับ ความเร็ว ความคล่องตัว ของเขาอยู่พอสมควร กระทั่งในช่วงครึ่งหลัง เปเป้ ก็ได้ตอบแทนความไว้วางใจของ อาร์เตต้า ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการระเบิดฟอร์มเทพ กระชากลากเลื้อยกระจาย โดยแทบจะไม่เสียการครอบครองบอลเลย แถมยังมีเครดิตด้วยการยิง 1 แอสซิตส์อีก 2 รับรางวัล แมน ออฟ เดอะแมทช์ ไปแบบหล่อ ๆ ในเกมวันนี้ ซึ่งคงจะเป็นการเรียกความมั่นใจของเจ้าตัวกลับมาได้มากพอสมควรนับจากนี้ไป

Arsenal FC v Newcastle United - Premier League

โควต้า แชมเปี้ยนส์ลีก อาจไม่ไกลเกินฝัน

7 คะแนน คือช่องว่างระหว่าง อาร์เซนอล กับ ทีมอันดับ 4 อย่าง เชลซี ณ เวลานี้ ซึ่ง สิงห์บลู จะลงสนามพบกับ ปีศาจแดง ในคืนวันจันทร์ แน่นอนว่ามีโอกาสที่ สิงโตน้ำเงินคราม จะพลาดท่าทำแต้มหล่นในเกมนี้สูงเช่นกัน แถมด้วยฟอร์มที่ไม่คงเส้นคงวาเท่าใดในช่วงนี้ ทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด จึงพร้อมที่จะทำแต้มหลุดมือได้ตลอดในช่วงเวลาที่เหลือ แถม เรือใบสีฟ้า ยังมีโอกาสสูงที่จะโดนแบนห้ามลงทำการแข่งขันฟุตบอลถ้วยยุโรปในปีหน้า นั่นจะทำให้โควต้าจะตกเป็นของทีมอันดับที่ 5 ของตารางในทันที เมื่อฤดูกาลนี้สิ้นสุดลง

ดังนั้นหาก พลพรรคปืนใหญ่ รักษาฟอร์มการเล่นแบบวันนี้เอาไว้ได้ และคว้าชัยไปได้เรื่อย ๆ โอกาสก็ยังคงเปิดกว้างเสมอ จึงขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้วว่า 12 เกมที่เหลือต่อจากนี้ ทัพเดอะกันเนอร์ส จะทะยานขึ้นไปได้ไกลแค่ไหนในซีซั่นนี้ และท้ายที่สุดจะสามารถคว้าตั๋วไปล่าถ้วยบิ๊กเอียร์ในปีหน้าได้หรือไม่ คงต้องติดตามลุ้นกันไปยาว ๆ

Mikel Arteta

นอริช ซิตี้ 0-1 ลิเวอร์พูล : ชำแหละ 5 ประเด็นร้อนหลังศึก พรีเมียร์ลีก คืนวันเสาร์

5. ความเป็นไปของเกม

หลังเสียงนกหวีดเริ่มต้นเกมที่ แคร์โรว์ โร้ด รูปเกมเป็นไปตามคาดเมื่อ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายครอบครองบอลไล่ขโยกเข้าใส่ นอริช ซิตี้ อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการประสานงานที่แดนกลางจากการขับเคลื่อนของ นาบี เกอิต้า- โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดยมี เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เติมขึ้นไปสนับสนุนที่กราบชวาคอยครอสบอลเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่ทัพ นกขมิ้น อาศัยการตั้งรับอย่างมีวินัยเพื่อรอจังหวะสวนกลับเร็วโดยมี ท็อดด์ คานท์เวลล์ เป็นตัวพลิกบอลและ ตีมู ปุ๊กกี้ เป็นทีเด็ดที่แดนหน้า

เกมรับของ เดอะคานารีส์ ทำได้อย่างยอดเยี่ยมจนสามารถรักษาสกอร์ 0-0 ได้อยู่ในครึ่งแรก จบโมเมนตัมของเกมช่วงกลางครึ่งหลังมาอยู่กับพวกเขาเมื่อ อเล็กซานเดอร์ เท็ตเทย์ ตะบันไกลจากนอกกรอบไปชนโคนเสาอย่างจัง แต่เสียงปลุกเร้าของกองเชียร์เจ้าถิ่นก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อ ซาดิโอ มาเน ลุกจากม้านั่งสำรองลงไปสร้างความวูบวาบที่ริมเส้นฝั่งซ้ายก่อนจะพังประตูชัยให้กับ หงส์แดง ในที่สุด

4. ยกนิ้วให้แนวรับ นอริช

แม้ทีมของ แดเนียล ฟาร์เค จะจมอยู่ในอันดับบ๊วยบนตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก แต่นับว่าแนวรับของ เดอะคานารีส์ เล่นได้อย่างมีระเบียบวินัยตลอดทั้ง 78 นาทีก่อนที่จะเสียประตู

เซ็นเตอร์แบ็คเจ้าของปลอกแขนกัปตันทีมอย่าง แกรนท์ ฮานลีย์ ทำหน้าที่ผู้นำในแดนหลังของเจ้าถิ่นแทบจะสมบูรณ์แบบเมื่อดักเก็บพายุเกมรุกของทีมเยือนไว้ได้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าทำนบจะมาแตกเอาในช่วงท้ายเกมก็ตาม

สถิติของ แกรนท์ ฮานลีย์:

  • แย่งบอลจากคู่ต่อสู้สำเร็จมากที่สุดในสนาม 5 ครั้ง (ร่วมกับ อเล็กซานเดอร์ เท็ตเทย์)
  • เคลียร์บอลพ้นอันตราย 5 ครั้ง (มากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 จากนักเตะทั้งหมด)

3. เฮนโด้ แผลงฤทธิ์เมื่อมี ฟาบินโญ คัดท้าย

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ออกสตาร์ทด้วยการรับบทบาทยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวต่ำคอยเก็บกวาดบอลก่อนที่จะไปถึงแนวรับรวมทั้งการขับเคลื่อนเกมรุกจากกลางไปหน้า เจ้าตัวทำได้น่าพอใจในระดับหนึ่งทว่าเขายิ่งโดดเด่นมากขึ้นกว่าดิมในครึ่งเวลาหลังและกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมนี้

ฟาบินโญ ถูกส่งลงสนามแทนที่ จินี ไวนัลดุม ในนาทีที่ 60 ซึ่งกองกลาง บราซิเลียน ลงไปยืนต่ำแทนที่ เฮนโด้ ขณะที่กองกลางชาว อังกฤษ ขยับสูงขึ้นมากกว่าเดิมโดยที่แนวรับของ นอริช ถอยร่นไปแพ็คเกมอย่างแน่นหนา

ผลพวงจากการปรับแท็คติกของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ทำให้กัปตันทีม หงส์แดง มีส่วนร่วมกับเกมรุก รวมทั้งยังมีพื้นที่ให้เล่นมากขึ้นกว่าเดิมจนเจ้าตัวกลายเป็นคนแอสซิสต์วางบอลยาวให้ มาเน หลุดเข้าไปพังประตูให้ทีมคว้าชัยในท้ายที่สุด

2. มาเน สวมบทพระเอก

แม้ว่า ซาดิโอ มาเน เพิ่งจะจากอาการบาดเจ็บและมีชื่อเป็นเพียงตัวสำรองในเกมนี้แต่ท้ายที่สุดเจ้าตัวก็ถูก เยอร์เก้น คล็อปป์ เข็นลงสนามแทนที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน ในครึ่งเวลาหลัง ก่อนจะนำไปสู่จุดเปลี่ยนของเกมในท้ายที่สุด

เห็นได้ชัดว่าดาวเตะทีมชาติ เซเนกัล สามารถยกระดับเกมรุกของ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะที่กราบซ้ายได้ลงตัวยิ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อมีการประสานงานที่ลงตัวกับเพื่อนร่วมทีมก่อนที่เจ้าตัวจะได้จังหวะสมบูรณ์แบบเมื่อรับบอลวางยาวจาก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หลุดเข้าไปยิงประตูชัยให้กับทีมสำเร็จ

1. สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ

  • ลิเวอร์พูล ทำสถิติเก็บชัยชนะใน พรีเมียร์ลีก ติดต่อกัน 17 เกมเข้าไปแล้ว เหลือการคว้าชัยอีกเพียงแค่เกมเดียวก็จะเทียบเท่าสถิติสูงสุดตลอดกาลของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ทำได้ 18 เกมระหว่างเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2017
  • หงส์แดง เป็นฝ่ายทำประตูได้ก่อน นอริช ในการพบกันบนเวที พรีเมียร์ลีก 14 เกมหลังสุด ทำให้พวกเขาทำสถิติการเป็นฝ่ายยิงประตูได้ก่อนเทียบเท่าสถิติสูงสุดของ เชลซี ที่ยิงใส่ พอร์ทสมัธ 14 เกมเท่ากัน
  • ทักนกขมิ้น สามารถเก็บชัยชนะได้เพียง 1 นัดจาก 13 เกมหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก (เสมอ 5 แพ้ 7) และไม่สามารถยิงประตูติดต่อกันในลีก 2 นัดได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2019
  • ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถรักษาคลีนชีทในลีกสูงสุด 10 นัดจาก 11 เกมหลังสุดโดยก่อนหน้านี้ 11 เกมพวกเขาไม่เสียประตูเพียง 1 แมตช์เท่านั้น
  • ซาดิโอ มาเน พังประตูที่ 100 ในสำหรับการลงเล่นที่ อังกฤษ เมื่อรวมทุกรายการ (25 ประตูให้กับ เซาปธมป์ตัน และ 75 ประตูสำหรับ ลิเวอร์พูล)
  • นอกจากนี้ยังนับเป็นประตูที่ 57 ของ มาเน ในยูนิฟอร์ม หงส์แดง บนเวที พรีเมียร์ลีก แต่เป็นประตูแรกของเขากับทีมในฐานะตัวสำรอง
  • จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้แอสซิสต์เป็นครั้งที่ 5 ใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ มีเพียงซีซํน 2014/15 และ 2013/14 เท่านั้นที่เจ้าตัวทำแอสซิสต์ได้มากกว่านี้ (9 และ 7 ครั้งตามลำดับ)
  • เร้ดแมชีน จบครึ่งแรกใน 2 เกมล่าสุดด้วยผลไร้สกอร์ นับเป็นเพียง 2 นัดจากทั้งหมด 24 เกมในลีกเท่านั้นในซีซันนี้ที่จบลงด้วยสกอร์ 0-0
  • นอริช ไม่สามารถยิงตรงกรอบในครึ่งแรกเป็นครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของ แดเนียล ฟาร์เค นอกจากนี้ยังนับเป็นครั้งแรกเมื่อรวมเกมลีกทุกระดับของพวกเขานับตั้งแต่การพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนเมษายน 2014

เชลซี พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน



ความพร้อมของทั้งสองทีม


เชลซี

ฟอร์มยังค่อนข้างไม่แน่นอนสำหรับทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ล่าสุดพวกเขาไม่ชนะใครในลีกมาแล้ว 3 เกมติดต่อกัน โดยสัปดาห์นี้ ทัพสิงโตน้ำเงินคราม ต้องพบกกับงานหนักอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เกมแรก สิงห์ไฮโซ บุกไปพ่ายมายับเยินถึง 4-0 คาดว่าเกมนี้กุนซือ ซูเปอร์แฟรงค์ จะเล่นอย่างรัดกุมมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแบบเดียวกันกับเกมนัดเปิดสนามที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อเดือน สิงหาคม ที่ผ่านมา

สภาพความพร้อมก่อนลงเล่น จะยังไม่สามารถใช้งาน รูเบน ลอฟตัส-ชีค และ คริสเตียน พูลิซิช ที่ยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ได้ แถมยังต้องรอลุ้นความฟิตของ แทมมี อับราฮัม และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ว่าจะพร้องลงเล่นในเกมวันจันทร์นี้หรือไม่

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อาร์ริซาบาลากา
กองหลัง อัซปิลิกวยต้า, คริสเตนเซน, รือดิเกอร์, อลอนโซ
กองกลาง ก็องเต้, จอร์จินโญ, เมานท์
กองหน้า วิลเลียน, อับราฮัม, ฮัดสัน-โอดอย

​​แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ด้านทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ เองก็ไม่ชนะใครในลีกมาแล้ว 3 เกมติดเช่นกัน โดยเกมนัดหลังสุดทำได้เพียงเสมอกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ในบ้านแบบไร้สกอร์ 0-0 เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยวันจันทร์นี้ พวกเขามีคิวต้องบุกไปเยือนถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ รังเหย้าของ เชลซี ที่ล่าสุดพึ่งจะบุกมาเอาชนะได้ 1-2 ในเกม คาราบาว คัพ เมือเดือนตุลาคมปีก่อน

สภาพทีมก่อนลงทำการแข่งขัน ยังคงมีผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บอยู่หลายรายด้วยกัน ทั้ง พอล ป็อกบา มาร์คัส แรชฟอร์ด และ สกอตต์ แมคโทมิเนย์ ส่วนแข้งใหม่อย่าง โอเดียน อิกาโล ยังต้องรอดูความฟิตก่อนเกมจะเริ่มอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-2-3-1

ผู้รักษาประตู เด เคอา
กองหลัง วาน-บิสซาก้า, ลินเดเลิฟ, แม็คไกวร์, ชอว์
กองกลาง อันเดรียส, เฟร็ด
​เจมส์, บรูโน, กรีนวูด
กองหน้า มาร์กซิยาล

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


เชลซี (ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 1)

1 ก.พ. PL เลสเตอร์ 2-2 เชลซี
26 ม.ค. FA ฮัลล์ 1-2 เชลซี
22 ม.ค. PL เชลซี 2-2 อาร์เซนอล
19 ม.ค. PL นิวคาสเซิล 1-0 เชลซี
11 ม.ค. PL เชลซี 3-0 เบิร์นลีย์

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 2)

2 ก.พ. PL แมนฯ ยูไนเต็ด 0-0 วูล์ฟส์
30 ม.ค. EFL แมนฯ ซิตี้ 0-1 แมนฯ ยูไนเต็ด
26 ม.ค. FA ทรานเมียร์ 1-6 แมนฯ ยูไนเต็ด
23 ม.ค. PL แมนฯ ยูไนเต็ด 0-2 เบิร์นลีย์
19 ม.ค. PL ลิเวอร์พูล 2-0 แมนฯ ยูไนเต็ด

ฮดทูเฮด : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ 3 เสมอ 2 เชลซี ชนะ 0

31/10/19 EFL เชลซี 1-2 แมนฯ ยูไนเต็ด
11/08/19 PL แมนฯ ยูไนเต็ด 4-0 เชลซี
28/04/19 PL แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 เชลซี
19/02/19 FA เชลซี 0-2 แมนฯ ยูไนเต็ด
20/10/18 PL เชลซี 2-2 แมนฯ ยูไนเต็ด

*PL = พรีเมียร์ลีก / EFL = คาราบาว คัพ / FA = เอฟเอ คัพ


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • 17 นัดหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก ที่ทั้งสองทีมเจอกันในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ เชลซี แพ้ไปเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น (ชนะ 10 เสมอ 6 แพ้ 1)

  • หากนัดนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชนะได้ จะเป็นการเอาชนะ เชลซี ในเกมลีกทั้งไปและกลับได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1987-88

  • ซีซั่นนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด บุกมาเอาชนะที่ เดอะบริดจ์ มาแล้ว 1 ครัั้งในเกม คาราบาว คัพ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทีมล่าสุดที่สามารถบุกเอาชนะ เชลซี ที่สนามแห่งนี้ได้ 2 เกมในฤดูกาลเดียว คือ ลิเวอร์พูล ในปี 2011-12

  • เกมนี่จะเป็นครั้งที่ 11 ในลีกที่ทั้งคู่พบกันในคืนวันจันทร์ ซึ่ง 10 นัดที่ผ่านมา ปีศาจแดง ไม่เคยจบด้วยความพ่ายแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว (ชนะ 6 เสมอ 4 แพ้ 0)

  • สิงโตน้ำเงินคราม ไม่ชนะใน พรีเมียร์ลีก มาแล้ว 3 นัดติดต่อกัน โดยครั้งล่าสุดที่พวกเขาไม่ชนะในลีก 4 เกมติดกัน ต้องย้อนกลับไปในปี 2016

  • พลพรรคเร้ดเดวิลส์ เก็บได้เพียง 4 จากทั้งหมด 15 คะแนน ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2020 ซึ่งมีเพียง คริสตัล พาเลซ ทีมเดียวเท่านั้นที่ทำได้น้อยกว่าพวกเขา (3 คะแนน)

  • ทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ทำประตูในเกมลีกไม่ได้มาแล้ว 3 นัดติดต่อกัน ซึ่งครั้งหลังสุดที่ทีมทำประตูไม่ได้ใน พรีเมียร์ลีก ติดต่อกัน 4 นัด ต้องย้อนกลับไปในปี 1989

  • 8 จาก 13 ประตูในลีกของ แทมมี อับราฮัม เป็นการยิงให้ เชลซี ขึ้นนำคู่แข่ง ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดานักเตะ พรีเมียร์ลีก ทุกคนซีซั่นนี้

สุญญากาศ ! อาเดรียน เผยช่วงเวลาหลังออกจากขุนค้อน-ก่อนเซ็นซบหงส์ | 90min

อาเดรียน นายทวารจอมเก๋าของ ​ลิเวอร์พูล จ่าฝูงในศึก พรีเมียร์ลีก เปิดเผยแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนบ้างในช่วงเวลาหลังย้ายออกจาก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จนถึงก่อนเซ็นสัญญากับทัพหงส์แดงแบบเซอร์ไพร์ส 

“ตอนผมตัดสินใจว่าจะไม่ต่อสัญญาใหม่กับ เวสต์แฮม มันเป็นอะไรที่ดราม่าสุด ๆ ในชีวิตแล้ว เพราะนอกจากจะอยู่กับทีมนั้นมานานมาก ทางบอร์ดฯ ก็ยื่นข้อเสนออยู่ยาวอีก 3 ปีมาให้เซ็นพอดีด้วย” อาเดรียน กล่าว

“อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ซีซั่นนั้นผมไม่ได้ลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก เลยแม้แต่นัดเดียวจนเกิดความรู้สึกว่าตัวเองอาจไม่มีค่าสำหรับสโมสรแห่งนั้นอีกแล้ว การย้ายออกน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสุด แต่ยอมรับว่าเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน”

“ตลอดช่วงซัมเมอร์ ความรู้สึกของผมคือเหมือนมีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้องตลอดเวลา เพราะเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่น ๆ ทำงานกันสนุกตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังแอบเชื่อในลางสังหรณ์ว่าจะต้องมีทีมชั้นนำยื่นข้อเสนอให้แน่นอน และแล้วก็เป็น ลิเวอร์พูล ที่ติดต่อเข้ามาทันเวลา”

“คนของสโมสรโทรมาหาผมช่วงปลายเดือนกรกฎาคมพร้อมยืนยันว่ากำลังจะขาย ซิมง มินโญเลต์ หลังจากนั้นพวกเราก็เซ็นสัญญากันอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบเลยล่ะ”

[OPINION] ความเป็นไปได้ของ ลีโอเนล เมสซี กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

‘ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ในโลกของฟุตบอล’ ประโยคนี้ไม่รู้ว่าใครกล่าวเอาไว้ แต่นับตั้งแต่ที่โลกลูกหนังอ้าแขนต้อนรับโลกธุรกิจอย่างเต็มตัว หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่น่าเกิดขึ้นในวงการลูกกลม ๆ มีลมอยู่ข้างในก็ได้ทำให้แฟนบอลทั้งโลกอ้าปากค้างกันมาแล้ว

อาจจะรวมไปถึงกรณีของ ​ลีโอเนล เมสซี และ บาร์เซโลนา

เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมามีข่าวแพลมออกมาจากฝั่ง คัมป์นู ว่ายอดนักเตะอันดับหนึ่งของโลกมีเรื่องมีราวไม่พอใจสโมสรต้นสังกัดของตนเป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากบทสัมภาษณ์ของ เอริค อบิดัล ผู้อำนวยการกีฬาที่บอกว่า สาเหตุที่ทีมล้มเหลวในช่วงที่ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เป็นเฮดโค้ชนั้นเพราะมีนักเตะบางคนไม่มีความเป็นมืออาชีพ

พ่อหนุ่มลีโอได้ยินแบบนั้นก็ขึ้นสิครับ เพราะแฟนบอลทั้งโลกรู้ดีว่านักเตะคนใดที่มีอิทธิพลมากที่สุดในทีม และสามารถชี้เป็นชี้ตายเทรนเนอร์แต่ละคนได้

เล่นเอา โฆเซป มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสรถึงกับต้องโร่วิ่งเคลียร์ใจทั้งสองฝ่าย จนสุดท้ายก็ดูเหมือนว่าจะจูบปากสงบศึกกันได้

แต่แม้ศึกจะสงบ แต่อารมณ์มันก็ยังกรุ่น ๆ อยู่ในทรวง นักข่าวก็เลยพยายามโยงเรื่องความบาดหมางนี้มาทาง พรีเมียร์ลีก เพราะทางนี้มีนายเก่าที่ชื่อ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่นั่งยิ้มหวานดูสถานการณ์ของอดีตศิษย์รักอยู่แบบห่าง ๆ

Pep Guardiola

ว่าแล้วก็มีการจับแพะชนแกะว่า ด้วยความบาดหมางครั้งนี้อาจจะสร้างรอยร้าวขึ้นในใจของดาวเตะอาร์เจนไตน์ขึ้นมาและคนที่จะสมานแผลนั้นได้ดีที่สุดก็คือ ยอดกุนซือของ ​แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นี่แหล่ะ

แต่จะว่าไปมันก็คงไม่ใช่การจับแพะชนแกะแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ เพราะเมื่อพิจารณาความเป็นไปได้แล้ว หาก เมสซี จะย้ายออกจากถิ่น คัมป์นู ก็คงเป็น เอติฮัด สเตเดี้ยม ที่มีความพร้อมทุกอย่างรองรับ

เงินค่าเหนื่อยมหาศาลขนาดไหนก็มีจ่าย ค่าตัวระดับไหนก็เรียกมา แถมทีมยังพร้อมที่จะประสบความสำเร็จอยู่ทุกปี พร้อมด้วยทีมงานคุณภาพที่ยกกันมาจากแคว้นคาตาลันนอกจาก เป๊ป แล้วยังมี เฟร์ราน โซเรียโน และ ซิกิ เบกิริสไตน์ ซึ่ง 3 คนนี้สนิทสนมกับ เมสซี และครอบครัวเป็นอย่างดี

บวกกับปมด้อยเรื่องแชมป์ ​ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วย ทำไมพวกเขาจึงจะไม่ต้อนรับกองหน้า บาร์ซา กันล่ะ

ในเมื่อทางฝั่งอังกฤษพร้อมอ้าแขนต้อนรับอย่างเต็มที่ ทีนี้ฝั่งสเปนจะว่าอย่างไร

แม้จะเคลียร์ปัญหากันได้แล้ว แถมยังมีข่าวว่า อบิดัล ก็อยากจะเอาใจสตาร์บัลลงดอร์ 6 สมัยด้วยการดึง ​เนย์มาร์ กลับมาร่วมทีมให้คึกคักเพื่อล่าแชมป์ทั้งในและนอกประเทศ

Josep Maria Bartomeu,Quique Setien,Eric Abidal

แต่ลึก ๆ มันมีอะไรมากกว่านั้น ทั้งเรื่องของรอยร้าวระหว่างนักเตะและบอร์ดบริหารในการปลด บัลเบร์เด้ การแต่งตั้ง กีเก้ เซเตียน เรื่องที่ไม่สามารถหากองหน้าตัวใหม่มาร่วมทีมในช่วงเดือนมกราคม และคำถามเกี่ยวกับความทะเยอทะยานของสโมสรในช่วงหลัง

หากสังเกต ‘ภาษากาย’ ของ เมสซี ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาดูเจ้าตัวเหนื่อย ๆ และสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลายามที่ลงสนาม นั่นเป็นเพราะการเป็น ‘เดอะแบก’ ของทีมและความล้มเหลวในฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาที่ทำให้เขาตกเป็นเป้าโดนวิจารณ์อยู่เสมอ

และเมื่อพิจารณาเรื่องการเสริมทัพนับตั้งแต่ที่ขาย เนย์มาร์ ให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ชนิดเป็นสถิติโลก พวกเขายังไม่เคยคว้าดาวเตะชื่อก้องมาแทนที่ช่องว่างตรงนั้นได้เลย ไล่กันมาตั้งแต่ ฟิลิปเป้ คูตินโญ, อุสมาน เดมเบเล และล่าสุด อองตวน กรีซมันน์ ทั้ง 3 คนนี้ บาร์โตเมว หวังที่จะมาแทนที่การจากไปของสตาร์บราซิเลียน แต่ท้ายที่สุดแล้ว 2 คนแรกต้องตีตราว่าล้มเหลวอย่างเต็มตัว ส่วน กรีซมันน์ ก็ไม่แน่ใจว่าเขาผ่านจุดสูงสุดของอาชีพกับ แอตเลติโก้ มาดริด ไปหรือยัง

ดังนั้นเมื่อการเสริมทัพไม่ได้เรื่อง เมสซี ก็ต้องแบกทีมกันต่อไป พร้อมกับสีหน้าที่ดูเหนื่อยหน่ายกับทิศทางของสโมสร

อย่างไรก็ตามแม้จะมีปัญหาดังที่กล่าวมานี้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่ากองหน้าวัย 32 ปียังไม่เคยหลุดปากเรื่องการย้ายทีมแต่อย่างใด

เหมือนคนอยู่บ้านเดียวกัน เห็นหน้ากันบ่อย ๆ ทำอะไรซ้ำ ๆ เดิม ๆ อยู่ทุกวัน มันก็ต้องเบื่อเป็นธรรมดา แต่ถ้ามีอะไรให้ตื่นเต้นเข้ามาบ้าง ชีวิตก็อาจจะกลับมาสดในซาบซ่าเหมือนเดิม

Lionel Messi

บาร์เซโลนา ก็เช่นกัน

ดังนั้นเมื่อมีข่าว เมสซี กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ท่านประธานที่เคารพอย่าง บาร์โตเมว จึงไม่รอช้าที่จะกางโปรเจ็คในซัมเมอร์นี้ให้กับยอดกองหน้าขวัญใจชาวคาตาลันได้เห็นว่า นี่น้อง ปีหน้าที่เอาจริงแล้วนะ

และยิ่งสัญญาของเจ้าตัวกำลังจะหมดลงในฤดูกาลหน้า บอร์ดบริหารยิ่งต้องเร่งทำอะไรซักอย่างเพื่อรั้งดาวเตะอันดับหนึ่งตลอดกาลของพวกเขาเอาไว้ให้ได้ ทั้งการเจรจาเรื่องสัญญาใหม่ การเสริมทัพชนิดอลังการดาวล้านดวง การหากุนซือที่มีดีกรีและชื่อชั้นที่ดีกว่าลุงเซเตียน พร้อมกับตั้งเป้ากลับไปสู่การเป็นเจ้ายุโรปอีกครั้งก่อนแขวนสตั๊ด

ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยที่กล่าวมาทุกอย่างแล้ว ข่าวกับ แมนฯ ซิตี้ ก็อาจจะเป็นแค่น้ำจิ้มหรือเป็นผงชูรสให้อาหารมันมีรสชาติน่ารับประทานเท่านั้นเอง

เมสซี ย่อมรู้ดีว่าการย้ายทีมในวัยใกล้ปลดเกษียณเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ โดยเฉพาะการย้ายไปเล่นกับลีกสุดหินอย่าง ​พรีเมียร์ลีก คงไม่ใช่ความคิดที่ดีซักเท่าไหร่ในช่วงบั้นปลายชีวิตค้าแข้ง เพราะจะว่าไปสภาพร่างกายของเขาในช่วงหลังก็ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก

ประกอบกับทุกคนที่ คัมป์นู ยังมองว่าเจ้าตัวคือ ‘เบอร์หนึ่ง’ ทั้งในและนอกสนาม ทำไมจะต้องไปเริ่มต้นใหม่อะไรให้มันยุ่งยาก สู้รอดูโปรเจ็คใหม่ของทีมดีกว่า เพราะเชื่อว่าระดับ บาร์เซโลนา แล้วฟุบแค่ไม่กี่ปีเดี๋ยวก็กลับมายิ่งใหญ่ได้ถ้าทุกอย่างมันลงล็อก

หรือจะลองทาบทาม เป๊ป กวาร์ดิโอลา กลับมารำลึกวันวานยังหวานอยู่ แบบนั้นน่าจะเวิร์คที่สุดแล้ว

FBL-EUR-C1-GER-ESP-BAYERN-BARCELONA