เชลซี 2-0 ลิเวอร์พูล : เก็บตก 5 ประเด็นร้อนหลังเกม เอฟเอ คัพ สิงห์ เชือด หงส์ เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย

การแข่งขัน ฟุตบอล เอฟเอ คัพ 2019/20
วันแข่งขัน คืนวันอังคารที่ 4 มีนาคม 2020
เวลาแข่งขัน 02.45 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน เชลซี 2-0 ลิเวอร์พูล
สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์

ประเด็นร้อนหลังเกม


ความเป็นไปของเกม

เกมนี้ทั้งสองทีมต่างส่งผู้เล่นชุดผสมระหว่างตัวหลักและดาวรุ่งลงสนาม ซึ่งเริ่มเกมเป็น หงส์แดง ที่ดูเหมือนจะทำได้ดีกว่าเล็กน้อย แต่หลังจาก สิงห์บลู ตั้งเกมบุกของตัวเองได้ทั้งคู่ก็แลกหมัดกันได้อย่างสนุกสูสี จนเป็นเจ้าบ้านเชลซี ที่ได้ประตูออกนำก่อนจากความผิดพลาดของนักเตะ ลิเวอร์พูล ซึ่งจากนั้นทีมเยือนเองก็พยายามบุกหนักเพื่อหวังเอาประตูคืน แต่ยังไม่เฉียบขาดกันมากพอ ทำให้จบ 45 นาทีแรก สิงโตน้ำเงินครามออกนำก่อน 1-0

เริ่มเกมในครึ่งหลัง เชลซี ปรับหมากโดยการถอยลงมาตั้งรับ และปล่อยให้ผู้มาเยือนโหมบุกเข้าใส่ และมันก็ได้ผลแทบจะในทันที เมื่อพวกเขาได้ประตูที่ 2 จากการสวนกลับเร็วตั้งแต่ช่วงต้น ซึ่งหลังจากนั้นเกมก็ดูเหมือนจะอยู่ในความควบคุมของ สิงโตน้ำเงินคราม ทั้งหมด โดย ลิเวอร์พูล เองก็พยายามบุกแต่ทำยังไงก็ไม่สามารถเจาะแนวรับอันแข็งแกร่งของ เชลซี ได้เลย แถมยังโดนลูกโต้กลับเล่นงานอยู่เรื่อย ๆ จนจบ 90 นาที ไปด้วยชัยชนะของ สิงห์บลู แบบเอกฉันท์ ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายต่อไป

FBL-ENG-FACUP-CHELSEA-LIVERPOOL

หงส์แดง เล่นต่ำกว่ามาตรฐาน

ต้องบอกเลยว่ารูปเกมของ ลิเวอร์พูล ในวันนี้นั้นเรียกได้ว่า “แพ้ราบคาบ” แม้ว่าจะครองบอลบุกได้ แต่ไม่สามารถทำอันตรายแนวรับของ เชลซี ได้เลย โดยเฉพาะครึ่งเวลาหลัง เพราะถ้าพวกเขาคม ๆ กันกว่านี้สักหน่อย ผลการแข่งขันคงไม่ออกมาขาดเช่นนี้ แถมแนวรับในวันนี้ทั้ง ฟาน ไดจ์ค โกเมซ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟาบินโญ ต่างโชว์ฟอร์มได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่พวกเขาทำเอาไว้อยู่พอสมควร เมื่อหน้าไม่ยิง แล้วหลังก็ดันไม่เหนี่ยวอีก สภาพก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น ๆ กันนั่นแหละ

Fabinho

ทีเด็ดเกมโต้กลับของ สิงห์บลู

อย่างที่กล่าวไป เกมนี้โอกาสส่วนใหญ่ของ เชลซี มาจากจังหวะสวนกลับ โดยเฉพาะในครึ่งเวลาหลัง ที่ หงส์แดง โหมบุกเข้าใส่ ทำให่แผงหลังลอยสูงเปิดพื้นที่ด้านหลังไว้ค่อนข้างเยอะ จึงเป็นจุดที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด เลือกใช้ในการโจมตีแนวรับอันแข็งแกร่งของ ลิเวอร์พูล ในเกมเมื่อคืนนี้

เหล่าบรรดาแข้งสิงโตน้ำเงินคราม ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี เพราะสามารถตั้งรับได้อย่างเหนี่ยวแน่น และในขณะเดียวกันก็สามารถเล่นงานคู่แข่งโดยอาศัยความเร็ว ความแข็งแกร่งในการสวนกลับ ขาดแต่เพียงอย่างเดียวนั่นคือความเฉียบขาด มิฉนั้นพวกเขาอาจจะชนะได้มากถึง 4-5 ประตูไปแล้วก็เป็นได้

Ross Barkley

สองดาวรุ่งจากทั้งสองทีม ฉายแววโดดเด่น

เกมนี้อาจจะเป็นเกมแจ้งเกิดของ 2 ดาวรุ่งอย่าง บิลลี กิลมอร์ ของ เชลซี และ เนโก วิลเลียมส์ ของ ลิเวอร์พูล อย่างเป็นทางการก็ว่าได้

โดยรายของ วิลเลียมส์ แบ็คขวาทีมชาติเวลส์ วัย 18 ปี หากใครได้ติดตามดู หงส์แดง ในรายการฟุตบอลถ้วย ก็คงจะเคยเห็นหนุ่มน้อยรายนี้ ลงมาวาดลวดลายในสนามอยู่บ่อย ๆ ซึ่งในระยะหลังรวมถึงเกมวันนี้ต้องบอกเลยว่า ฟอร์มเจ้าตัวค่อนข้างจะโดดเด่นมาก ๆ ด้วยทักษะเบสิก ความเร็ว และเซนต์บอลที่ดูจะเก่งเกินวัย คาดว่าเร็ว ๆ นี้ ลิเวอร์พูล คงจะมี “นิว เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์” แจ้งเกิดอีกรายอย่างแน่นอน

neco williams,Mason Mount

ส่วนฟาก เชลซี ก็มี บิลลี กิลมอร์ กองกลางดาวรุ่งชาวสกอตแลนด์วัย 18 ปี เช่นกัน ที่เกมนี้ดูแล้วนึกว่ามี เอ็นโกโล ก็องเต้ มายืนเป็นตัวรับ เพราะเจ้าตัวมีทั้งพละกำลังและความขยัน วิ่งขึ้น-ลง เติมเกมรุก ช่วยเกมรับ ตลอด 90 นาที แถมเบสิกของหนุ่มน้อยรายนี้ก็ไม่ธรรมดา นิ่งและเยือกเย็นเกินอายุ จนสามารถคุมเกมในแดนกลางเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัดในนัดนี้

Billy Gilmour

เกปา กลับมาแล้ว !

ช่วงหลังหากใครได้มีโอกาสติดตามดู เชลซี จะทราบดีว่าปัจจุบัน เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ได้เสียตำแหน่งผู้รักษาประตูมือ 1 ในทีมให้กับ วิลลี กาบาเยโร ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะฟอร์มในช่วงหลังของนายทวารดีกรีทีมชาติสเปนรายนี้ นับว่าออกทะเลไปไกลขึ้นทุกวัน ๆ แถมมักจะมีความผิดพลาดที่ไม่น่าเกิดขึ้นให้เห็นกันบ่อย ๆ จนถึงกับมีข่าวว่า แลมพาร์ด พร้อมจะโละเขาออกจากทีมหน้าร้อนนี้

แต่ดูจากฟอร์มเมื่อคืน อาจจะถึงกับทำให้ ป๋าแลมพ์ ต้องกลับมาทบทวนครุ่นคิดกันเลยทีเดียวว่า จะใช้ใครเป็นมือ 1 ของทีมดี เพราะอย่างทีเห็น เกมนี้ เกปา มีจังหวะเซฟสวย ๆ อย่างน้อย 5 ครั้งรวมทั้งจังหวะมหัศจรรย์ที่เจ้าตัวโชว์เซฟ 3 ดอกติดต่อกันแบบหล่อ ๆ และพาทีมเขารอบแบบสวย ๆ 

ต้องมาลุ้นกันว่าจากผลงานในนัดนี้จะสามารถเปลี่ยนใจ กุนซือซูเปอร์แฟรงค์ ได้หรือไม่ และเจ้าตัวจะรักษาฟอร์มแบบนี้เอาไว้ได้อีกนานไหม รวมถึงอนาคตในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ จะเป็นอย่างไร ซัมเมอร์นี้คงได้รู้กัน

FBL-ENG-FACUP-CHELSEA-LIVERPOOL

เรอัล มาดริด 2-0 บาร์เซโลนา : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกม ลาลีกา เอล กลาซิโก้ ราชัน เปิดบ้านคว้าชัย

การแข่งขัน ลาลีกาสเปน ฤดูกาล 2019/20 
วันแข่งขัน คืนวันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2020
เวลาแข่งขัน 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน เรอัล มาดริด 2-0 บาร์เซโลนา
สนาม ซานติเอโก เบอร์นาเบว

เรอัล มาดริด เป็ดบ้านอัด บาร์เซโลนา 2-0 โดยมาได้ประตูในช่วงครึ่งเวลาหลังทั้งหมดจาก วินิซิอุส จูเนียร์ นาทีที่ 71 และ มาเรียโน ดิอาซ นาทีที่ 90+3 จบเกม ราชันชุดขาว เปิดรังสอย เจ้าบุญทุ่ม 2-0 แซงขึ้นมาเป็นจ่าฝูงใน ลาลีกา ได้สำเร็จ

FBL-ESP-LIGA-REAL MADRID-BARCELONA

เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก ​ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามตั้งเกมของตัวเองและเปิดเกมบุกเข้าใส่กัน แต่ยังคงหาจังหวะลุ้นประตูกันไม่ได้ในช่วง 10 นาทีแรก

เจ้าบ้านดูจะเป็นฝ่ายครองเกมบุกเข้าใส่ได้มากกว่าในช่วงต้น และมีจังหวะได้ลุ้นก่อนจากลูกยิงของ เบนเซมา และ โครส แต่บอลยังโด่งข้ามคานออกไปทั้งสองครั้ง

ด้านผู้มาเยือนกว่าจะตั้งเกมติดและหาจังหวะจบสกอร์ครั้งแรกได้ต้องรอจนผ่าน 20 นาทีแรกไปแล้ว โดยได้ลุ้นจากจังหวะต่อบอลเข้าเขตโทษและเป็น กรีซมันน์ ที่ได้ซัดเต็ม ๆ แต่บอลเหินข้ามคานออกไป

ผ่านครึ่งชั่วโมงแรกของเกม ทั้งสองฝ่ายต่างมีโอกาสเข้าทำพอ ๆ กันทั้งจากจังหวะยิงไกลของ โครส และจังหวะได้ยิงด้วยขวาของ เมสซี แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะเป็นประตูได้

โอกาสที่ไกลเคียงจะเป็นประตูมากที่สุดเป็นของทีมเยือนถึง 2 ครั้งในเวลาห่างกันไม่นาน จากจังหวะที่ อาร์ตู และ เมสซี หลุดเดียว แต่ยังยิงไปติดเซฟของ ธิโบต์ กูร์ตัวส์ ทั้งสองครั้ง

ซึ่งช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมยังทำอะไรกันไม่ได้ จบ 45 นาทีแรกเสมอกันไปแบบไร้สกอร์ 0-0

FBL-ESP-LIGA-REAL MADRID-BARCELONA

เริ่มเกมในครึ่งหลังเป็นทีมเยือนที่ครองบอลได้มากกว่า แต่จังหวะที่ชัดเจนกลับเป็นของเจ้าถิ่น จากลูกปั่นนอกกรอบของ อิสโก้ บอลโค้งเตรียมจะเสียบใต้คาน แต่ แตร์-สเตเก้น ยังบินมาปัดออกไปได้

หลังจากนั้นเป็นเจ้าบ้านที่ครองบอลบุกบ้าง และได้โอกาสลุ้นอีกครั้งจาก อิสโก้ คนเดิม ที่โหม่งผ่านมือ สเตเก้น ไปแล้วแต่ ปิเก้ ยังมาเคลียร์บอลออกจากเส้นได้ทัน

กระทั่งนาทีที่ 71 ราชันชุดขาว ได้ประตูอกนำ 1-0 จากจังหวะหลุดเข้าเขตโทษของ วินิซิอุส จูเนียร์ ก่อนจะยิงไปแฉลบ ปิเก้ เปลี่ยนทางเข้าไป

ช่วงเวลาที่เหลือต่างฝ่ายต่างพยายามบุกเพื่อหวังเอาประตู แต่ก็ทำได้แค่เกือบเท่านั้น

แต่แล้วช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เจ้าบ้านมาได้ประตูปิดกล่อง 2-0 จากจังหวะหลุดเดี่ยวของ มาเรียโน ดิอาซ ก่อนจะยิงสวนตัว สเตเก้น เข้าไป

ทำให้จบเกม เรอัล มาดริด เปิดบ้านเอาชนะ บาร์เซโลนา ไปได้ 2-0 เบียดขึ้นมาเป็นจ่าฝูงได้สำเร็จ

FBL-ESP-LIGA-REAL MADRID-BARCELONA

เรอัล มาดริด


คะแนนนักเตะ

11 ผู้เล่นตัวจริง : กูร์ตัวส์(8), คาบาฮาล(8), รามอส(7.5), วาราน(7), มาเซโล(7.5), กาเซมิโร(8), บัลบาเด้(7), โครส(7), อิสโก้(7.5), วินิซิอุส(7.5), เบนเซมา(7)

ตัวสำรอง : โมดริช(6), วาซเกวซ(6), ดิอาซ(6.5)


คีย์แมน – กาเซมิโร

เรียกได้ว่าปิดทองหลังพระอย่างแท้จริงสำหรับ มิดฟิลด์ตัวรับชาวบราซิล ที่วันนี้คอยไล่ประกบ ลิโอเนล เมสซี ซะจนอยู่หมัด แถมทักษะเบสิกในการเล่นกับบอลยังยอดเยี่ยม มีความเร็ว ความแข็งแกร่ง และเข้าปะทะได้อย่างไร้ที่ติ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังที่ทีมบีบพื้นที่สูง เจ้าตัวจะคอยวิ่งไล่บีบในแดนกลางตลอดเวลา แถมยังเก็บตกจังหวะสองได้บ่อยครั้ง

FBL-ESP-LIGA-REAL MADRID-BARCELONA

ประเด็นหลังเกม

การแก้เกมของ ซีดาน

เกมนี้เห็นได้ชัดเลยว่าครึ่งแรกและครึ่งหลังเป็นหนังคนละม้วนจริง ๆ โดยครึ่งแรก ราชัน ชุดขาว เปิดพื้นที่ให้ บาร์เซโลนา ได้เซ็ตบอลบุกค่อนข้างเยอะโดยพวกเขาถอยลงมาตั้งรับต่ำ นั่นทำให้ บาร์ซ่า สามารถหาจังหวะเข้าทำได้ค่อนข้างบ่อยและการสวนกลับเร็วจึงทำได้ค่อนข้างยาก

กระทั้ง 45 นาทีหลัง ซีดาน แก้เกมด้วยการสั่งให้ลูกทีมไล่บีบสูงตั้งแต่หน้าปากประตูของทีมเยือน และมันได้ผลอย่างยอดเยี่ยม เพราะทัพเจ้าบุญทุ่ม ไม่สามารถแก้เพลสได้เลย แถมยังเสียบอลในแดนตนเองบ่อยครั้ง ทำให้ ราชันชุดขาว หาโอกาสเข้าทำได้ชัดเจนมากขึ้นและเป็นที่มาของ 3 คะแนนอันล้ำค่าในเกมวันนี้

FBL-ESP-LIGA-REAL MADRID-BARCELONA

บาร์เซโลนา


คะแนนนักเตะ

11 ผู้เล่นตัวจริง : แตร์-สเตเก้น(7), เซเมโด้(7.5), ปิเก้(7.5), อุมติตี้(7), อัลบา(7), บุสเกต(7), เดอ ยอง(6.5), อาร์ตู(7), เมสซี(6.5), วิดัล(6), กรีซมันน์(6.5)

ตัวสำรอง : เบรธเวต(6), ราคิติช(5.5), ฟาติ(5.5)


คีย์แมน – ลิโอเนล เมสซี

เป็นอีกหนึ่งวันที่ “เมจิก แมน” แผลงฤทธิ์ไม่ออก ทั้งที่มีโอกาสหลุดเดียวแบบเหน่ง ๆ หลายครั้ง ซึ่งน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แถมวันนี้ยังถูกผู้เล่นของเจ้าบ้านประกบติดหนึบ จนแทบจะไม่มีพื้นที่ให้เล่นเลย บอลมาปุ๊บถึงตัวปั๊บตลอด แถมวันนี้ยังดูไม่เข้าใจกับเพื่อนร่วมทีมเท่าใดนัก จังหวะการขยับ การให้บอล ยังดูขาด ๆ เกิน ๆ อยู่หลายครั้ง

Lionel Messi

ประเด็นหลังเกม

2 ประตูจากความโชคร้าย

จริงอยู่ที่เกมนี้ เรอัล มาดริด ดูจะเป็นฝ่ายที่มีจังหวะการเข้าทำค่อนข้างชัดเจนกว่า โดนเฉพาะในช่วงครึ่งเวลาหลัง แต่ต้องบอกว่า 2 ประตูที่ ราชันชุดขาว ได้มาในวันนี้นั้น มีโชคเป็นส่วนประกอบทั้งสองประตู

ประตูแรก จังหวะที่ วินิซิอุส หลุดเดียวเข้าไปชนิดที่มุมยิงเหลือไม่มากแล้ว แต่ ปิเก้ ดันเข้ามาบล็อค ทำให้บอลเปลี่ยนทางชนิดที่ สเตเก้น ได้แต้มองบอลลอยผ่านหน้าไป

ส่วนประตูที่สองในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ มาเรียโน ดิอาซ ก็เป็นการหลุดเดียวในลักษณะเดียวกัน ที่มุมปิดแทบจะไม่เหลือแล้ว แถมเจ้าตัวดูจะลื่นในจังหวะที่วางเท้ายิง ซึ่งกลับกลายเป็นดี เพราะทำให้บอลกระดอนกับพื้นเด้งข้ามแขนของ แตร์-สเตเก้น เข้าไปแบบดื้อ ๆ

Mariano,Samuel Umtiti,Andre Ter Stegen

วัตฟอร์ด 3-0 ลิเวอร์พูล : เก็บตก 5 ประเด็นร้อนหลัง หงส์แดง ประเดิมพ่ายศึก พรีเมียร์ลีก

5. ความเป็นไปของเกม

พลพรรค วัตฟอร์ด ออกสตาร์ทด้วยการถอยลงต่ำทั้งแนวรับและแผงมิดฟิลด์ ตั้งรับลึกเพื่อรอจังหวะสวนกลับเร็ว ด่าน 2 ชั้นของทัพ แตนอาละวาด และวินัยในแดนหลังทำให้ ลิเวอร์พูล เจอกับความยากลำบากในการเจาะผ่านปราการของพวกเขา แต่เกมเคาท์เตอร์ของเจ้าบ้านไม่ได้สร้างความกดดันให้กับเจ้าบ้านเท่าไหร่นักในครึ่งแรก และจบลงด้วยการยิงไม่ตรงกรอบเลยทั้งคู่ใน 45 นาทีแรก

ขณะที่ครึ่งหลัง รูปเกมยังคงเป็นเช่นเดิม น่าแปลกใจเล็กน้อยที่ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่สามารถยกระดับการเล่นอย่างที่พวกเขาเคยทำได้ กระทั่งความผิดพลาดในเกมรับของทั้ง เดยัน ลอฟเรน, เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เกิดขึ้นในจังหวะต่อเนื่องพร้อมกันจนเป็นเหตุให้เสียประตูแรกให้กับ อิสไมลา ซาร์

ทีมเยือนยังคงไม่ตื่นจากภวังค์แม้จะเสียประตูไปก่อน เพียงแค่ไม่กี่อึดใจถัดมา บอลฉาบฉวยจากแดนกลางของ วัตฟอร์ด ส่งให้ ซาร์ หลุดเข้าไปดวลหนึ่งต่อหนึ่งกับ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ก่อนจะยิงหนีห่างเป็น 2-0 และปิดท้ายด้วยความผิดพลาดของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ส่งคืนกลับหลังพลาดเป็นเหตุให้เสียประตู 3-0 ในที่สุด

4. ความกระตือรือล้นของ ลิเวอร์พูล ที่ขาดหาย

เกมของ ลิเวอร์พูล ดูจะช็อตตั้งแต่นักเตะในสนามไปจนถึง เยอร์เก้น คล็อปป์ ผู้เป็นโค้ช ความเด็ดขาด ความดุดัน และความแน่นอนที่พวกเขาเคยทำได้แทบหาไม่เจอ

แอ็คชันของนายใหญ่ชาว เยอรมัน ที่เคยเห็นตะโกนโหวกเหวกโวยวายใส่ลูกทีมที่ข้างสนามยามรูปเกมไม่ได้อย่างใจไม่มีให้เห็น แนวรุกลูกทีมของเขาทำได้ไม่ลื่นไหล และฟูลแบ็คทั้ง 2 ข้างที่เคยกลายเป็นอาวุธลับของทีมไร้เรดาร์ในการครอสบอล

ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นคือเกมรับที่แผงแบ็คโฟร์เรียงคิวกันหลุดฟอร์มไม่เว้นแม้กระทั่ง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่พลาดเต็มๆ ในจังหวะเสียประตูแรก และการยืนตำแหน่งป้องกันการเสียประตูที่ 2

3. สดุดี วัตฟอร์ด

แม้ว่าจะเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล ฟอร์มบู่มากที่สุดนัดหนึ่งของฤดูกาลแต่ทั้งหลายทั้งปวงต้องยกเครดิตให้กับ วัตฟอร์ด ที่มีวินัยในเกมรับอย่างยอดเยี่ยม ขณะที่ในเกมรุก พวกเขาก็สามารถฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของ หงส์แดง ได้สำเร็จเช่นกัน

ที่ต้องยกนิ้วให้คือ 2 แนวรุกอย่าง อิสไมลา ซาร์ และ ทรอย ดีนีย์ ที่สลับกันปั่นป่วนแบ็คโฟร์ เร้ดแมชีน อย่างต่อเนื่อง

2. หรือ หงส์แดง จะออกอาการเป๋?

ย้อนรอยกลับไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ลิเวอร์พูล เพิ่งจะปราชัยต่อ แอตเลติโก มาดริด ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยสกอร์ 1-0 ขณะที่เกม พรีเมียร์ลีก นัดที่ผ่านมาพวกเขาก็ทำได้ไม่เด็ดขาดอย่างเคยแม้จะเอาตัวรอดเก็บ เวสต์แฮม ได้ด้วยสกอร์ 3-0

ความพ่ายแพ้ต่อ วัตฟอร์ด ในเกมนี้ทำให้ เร้ดแมชีน พบกับความปราชัย 2 จาก 3 นัดหลังสุดเข้าไปแล้ว ขณะที่เกมนัดถัดไปพวกเขามีคิวบุกไปเยือน เชลซี ในศึก เอฟเอ คัพ ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ กลางสัปดาห์นี้เป็นงานหนักรออยู่

1. สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ

  • วัตฟอร์ด กลายเป็นทีมแรกใน พรีเมียร์ลีก ที่สามารถคว่ำ ลิเวอร์พูล ลงได้นับตั้งแต่มกราคม 2019 ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำได้ นับเป็นการยุติสถิติชนะติดต่อกัน 18 ของ หงส์แดง และสถิติไร้พ่ายในลีกสูงสุด 44 นัด
  • ความพ่ายแพ้ 0-3 ของ เร้ดแมชีน นับเป็นการปราชัยด้วยสกอร์มากที่สุดของทีมในฐานะจ่าฝูง นับตั้งแต่ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แพ้ต่อ ลิเวอร์พูล 1-4 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2015
  • ชัยชนะของ แตนอาละวาด เหนือ หงส์แดง ในเกมนี้นับเป็นชัยชนะของทีมโซนหนีตกชั้นที่มีต่อทีมจ่าฝูงได้มากที่สุดนับตั้งแต่ที่ เลสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-0 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1985
  • นอกจากนี้ เดอะฮอร์เน็ตส์ ยังสามารถคว่ำทีมในสถานะจ่าฝูงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1982/83 โดยเป็นการล้ม หงส์แดง ได้ในซีซันดังกล่าวด้วยสกอร์ 2-1
  • ลิเวอร์พูล ไม่สามารถยิงประตูในเกม พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2019 (0-0 กับ เอฟเวอร์ตัน) ยุติสถิติยิงประตูติดต่อกันในลีก 36 เกม
  • ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อนในเกมลีก 2 นัดหลังสุด พวกเขาไม่เคยเป็นฝ่ายตามหลังคู่แข่งมาก่อนเลยใน 15 นัดก่อนหน้านี้
  • หงส์แดง มีสถิติเสียประตูมากกว่า 2 ลูกใน 2 นัดติดต่อกันในลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ธันวาคม 2016 และเสียประตูมากถึง 5 ประตูในเกม 2 นัดล่าสุด เทียบเท่ากับจำนวนประตูทั้งหมดที่เสียไปใน 14 เกมก่อนหน้านี้
  • ไนเจล เพียร์สัน ผู้จัดการทีมของ วัตฟอร์ด กลายเป็นผู้จัดการทีมชาว อังกฤษ คนแรกที่คว่ำ ลิเวอร์พูล ในศึก พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ที่ แซม อัลลาร์ไดซ์ ทำได้กับ คริสตัล พาเลซ เมื่อเดือนเมษายน 2017
  • ลิเวอร์พูล มีสถิติยิงเข้ากรอบได้เพียงครั้งเดียวในเกม พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2019 (เสมอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-0)

แทบร้อง ! โอบา เผยความรู้สึกหลังพลาดโอกาสทองจนปืนพ่ายตกรอบ ยูโรปาลีก

ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง กัปตันทีม ​อาร์เซนอล ยอมรับว่ารู้สึกผิดหวังมากกับการพ่าย โอลิมเปียกอส ตกรอบ ยูโรปาลีก รอบ 32 ทีมสุดท้ายไปแบบน่าผิดหวัง

“ผมคงไม่สามารถพูดอะไรอย่างอื่นได้อีกนอกจากคำว่า ผิดหวังสุด ๆ เพราะเราเองก็คาดไม่ถึงว่าเกมนี้มันจะยากถึงขนาดทำให้ตกรอบได้เลย” โอบา กล่าว

“คือความจริง อาร์เซนอล ก็ไม่น่าแพ้แบบนี้หรอก การโดนยิงประตูตัดสินตอนนาทีสุดท้ายของช่วงต่อเวลาพิเศษนี่มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเลย ถามว่า โชคร้ายหรอ ? ก็ถูกส่วนนึง”

“การที่ผมพลาดโอกาสจบสกอร์ไปแบบไม่น่าให้อภัยก็เป็นเรื่องร้ายแรงที่รู้สึกแย่และอยากขอโทษเพื่อน ๆ มาก แต่ถึงกระนั้นก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วเช่นกัน ไม่ขอแก้ตัวใด ๆ อีก”

[Match Report] ปืน ร่วง ยูโรปาลีก ! อาร์เซนอล พ่าย โอลิมเปียกอส คาบ้าน 1-2 (2-2) ปิ๋วตามกฎอเวย์โกล

การแข่งขัน ฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรปาลีก 2019/20 รอบ 32 ทีมสุดท้าย เลกที่ 2
วันแข่งขัน คืนวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2020
เวลาแข่งขัน 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน อาร์เซนอล 1-2 โอลิมเปียกอส
สกอร์รวม 2-2
โอลิมเปียกอส ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยกฎอเวย์โกล
สนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม

​อาร์เซนอล กระเด็นตกรอบศึก ​ยูฟ่า ยูโรปาลีก รอบ 32 ทีมสุดท้ายเมื่อเปิดรัง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ปราชัยต่อ โอลิมเปียกอส ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-2 ทำให้จบเกมการแข่งขันด้วยผลสกอร์รวม 2-2 และถูกเขี่ยตกรอบด้วยกฎประตูทีมเยือน

เกมออกสตาร์ทด้วยการครอบครองบอลที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดของ ไอ้ปืนใหญ่ แต่พวกเขาทำได้แค่ป้วนเปี้ยนไปมาที่หน้าปากประตูของผู้มาเยือนจาก กรีซ โดยเฉพาะ นิโกลาส์ เปเป้ ที่วูบวาบทางฝั่งซ้ายและในกรอบเขตโทษแต่บอลในพื้นที่สุดท้ายของเจ้าตัวกลับทำได้อย่างน่าผิดหวัง

Alexandre Lacazette

เดอะกันเนอร์ส สามารถส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จก่อนหมดครึ่งแรกไม่กี่อึดใจเมื่อลูกครอสเลียดของ บูคาโย ซาก้า ที่กราบซ้ายไปถึง อเล็กซองดร์ ลากาเซ็ตต์ แท็ปอินในระยะเผาขนแต่ผู้กำกับเส้นยกธงให้เป็นลูกล้ำหน้าไปเสียก่อน

FBL-EUR-C3-ARSENAL-OLYMPIAKOS

เจ้าบ้านมาถูกลงโทษในที่สุดนาทีที่ 53 จากลูกเตะมุมที่เป็น ปาปู ซิสเซ ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คเติมขึ้นไปทะยานโหม่งเต็มหัวชนิดที่ แบร์นด์ เลโน หมดสิทธิ์เซฟเป็นสกอร์ขึ้นนำ 1-0 ช่วงเวลาปกติที่เหลือลูกทีมของ มิเคล อาร์เตต้า พยายามเร่งเกมเพื่อทวงประตูคืนแต่ไม่สำเร็จทำให้เกมจบลงด้วยสกอร์รวม 1-1 และต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที

FBL-EUR-C3-ARSENAL-OLYMPIAKOS

ทีมเยือนตั้งรถบัสอุดเกมอย่างเหนียวแน่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่ทำนบของพวกเขาก็มาพังทลายเอาในนาทีที่ 113 จากการเคลียร์ลูกครอสที่กรอบ 6 หลาไม่ขาด บอลเข้าทางปืน ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ตีลังกายิงที่เสาแรกตุงตาข่าย เป็นประตูตีเสมอ 1-1 และทำให้สกอร์รวม อาร์เซนอล ขึ้นนำ 2-1

FBL-EUR-C3-ARSENAL-OLYMPIAKOS

เกมทำท่าจะจบด้วยชัยชนะของ เดอะกันเนอร์ส อีกไม่กี่อึดใจในช่วงท้าย แต่แล้ว โอลิมเปียกอส ก็มาได้ประตูแซงขึ้นนำ 2-1 จากจังหวะต่อเนื่องเก็บตกลูกเตะมุมที่แถวสองของ จอร์จิโอส มาซูราส ที่กราบขวาก่อนโยนให้ ยูสเซฟ เอล อราบี หลุดกับดักล้ำหน้าแท็ปอินโล่งๆ ในกรอบเขตโทษผ่านมือ เลโน บอลไปซุกที่ก้นตาข่ายและจบเกมไปด้วยสกอร์ดังกล่าว


รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม

อาร์เซนอล : เลโน, เบเยริน, มุสตาฟี, ดาวิด ลุยซ์, ซาก้า, เซบาญอส, ชาก้า, โอบาเมยอง, เออซิล, เปเป้, ลากาเซ็ตต์

ตัวสำรอง : มาร์ติเนซ, โซคราติส, เมตเแลนด์-ไนลส์, ตอร์เรย์รา, วิลล็อค, เกนดูซี, มาร์ติเนลลี

โอลิมเปียกอส : ซา, เอลอับเดลาอุย, บา, ซิสเซ, ซิมิคัส, กิลเฮร์ม, คามารา, บูชาลาคิส, รานด์เยโลวิช, วัลบูเอนา, เอล อราบี

คืบหน้า ลิเวอร์พูล-แวร์เนอร์, แมนฯ ยูไนเต็ด เกือบได้ เดวีย์: สรุปข่าวฟุตบอลประจำวันที่ 26 กุมภาพันธ์

1. สื่อเผย 2 เงื่อนไขหาก หงส์ อยากได้ตัว แวร์เนอร์

สื่อเมืองผู้ดีตีข่าวเกี่ยวกับ เงื่อนไขที่ ลิเวอร์พูล จะคว้าตัว ติโม แวร์เนอร์ กองหน้าเนื้อหอมของทีม แอร์เบ ไลป์ซิก ทีมดังในศึก บุนเดสลีกา ในช่วงซัมเมอร์ที่จะถึงนี้ว่าว่า มีเพียง 2 เงื่อนไขง่าย ๆ เท่านั้น คือ

1. หงส์แดง ต้องจ่ายค่าฉีกสัญญาที่ราว 50 ล้านปอนด์

2. สามารถการันตีตำแหน่งตัวจริงในทีมได้

หากสามารถบรรลุ 2 เงื่อนไขดังกล่าว เจ้าตัวก็พร้อมจะบินมาเซ็นสัญญาเป็นนักเตะในสังกัดของ เยอร์เกน คล็อปป์ ในทันที

2. มาเน เผย สาเหตุที่ทำให้ตนโชว์ฟอร์มเทพในปีนี้

ซาดิโอ มาเน ออกมาเผยกับสื่อ ถึงสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในซีซั่นนี้ ว่า “อันดับหนึ่งเลยคือเพื่อนร่วมทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เขาคือที่สุดจริง ๆ คอยแอสซิสต์ให้กับพวกเราในแดนหน้าได้มากกว่าเราจ่ายบอลให้กันเองเสียอีก แถมยังรู้ใจกันชนิดที่แค่ผมออกตัว เขาก็รู้แล้วว่าจะต้องจ่ายแบบไหน”

ล่าสุดเจ้าหนูเทรนท์ พึ่งจะทำแอสซิสต์ที่ 13 และ 14 ไปในเกมที่ ลิเวอร์พูล พลิกแซงชนะ เวสต์แฮม 3-2 และหนึ่งในนั้นคือการจ่ายให้กับ มาเน ยิงประตูชัยในช่วงท้ายเกม

3. เมนดี้ อาจพลาดเกมเปิดบ้านต้อนรับ เรอัล มาดริด นัดที่สอง

เบนฌาแมง เมนดี้ แบ็คซ้ายตัวหลักของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีโอกาสจะพลาดการลงสนามในเกมที่ เรือใบสีฟ้า จะเปิดรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม ต้อนรับการมาเยือนของ เรอัล มาดริด ในเกมที่สอง หากคืนนี้เจ้าตัวได้รับใบเหลืองอีกหนึ่งใบในเกมวันนี้ตามกฎใหม่ของทาง ยูฟ่า ที่กำหนดว่า หากนักเตะคนใดได้รับใบเหลือครบ 3 ใบ จะถูกแบนในเกมนัดต่อไปแบบอัตโนมัติทันที

4. เร้ดแนปป์ ชี้ เชซุส ไม่ควรถูกเก็บเป็นอาวุธลับที่ เบอร์นาเบว

เจมี เร้ดแนปป์ วิเคราะห์การจัดตัวลงสนามในเกมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะพบกับ เรอัล มาดริด พร้อมบอกเอาไว้ว่า กาเบรียล เชซุส ไม่ควรจะถูกเก็บเป็นอาวุธลับในคืนวันนี้

“พวกคุณอาจนึกไม่ถึงว่า เชซุส เป็นคนที่ชอบเล่นเกมเยือนมาก ๆ รู้อะไรไหม ตั้งแต่เขาย้ายมาเล่นใน พรีเมียร์ลีก เจ้าตัวทั้งยิงทั้งจ่ายในเกมเยือนมากกว่าตอนที่เล่นใน เอติฮัด เสียอีก เอาให้ชัด ๆ 17 ประตูในซีซั่นนี้ 12 ลูกมาจากเกมที่ออกไปเยือนทั้งหมด ดูอย่างเกมกับ เลสเตอร์ เมือสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสิ เพราะงั้นเกมนี้ผมว่า เป๊ป ไม่ควรเก็บเขาเอาไว้บนม้านั่งแล้วล่ะ หากต้องการให้เขาฉายแววเต็มที่ คุณต้องปล่อยให้เขาลงเล่นเต็ม 90 นาที”

5. ยังคงไร้วี่แวว ป็อกบา กับ แรชฟอร์ด ที่ แคร์ริงตัน

วันนี้บรรดานักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างพากันกลับมาลงซ้อมที่ แคร์ริงตัน ตามตารางเพื่อที่จะลงทำศึก ยูฟ่า ยูโรปาลีก วันพฤหัสบดีนี้ ในเกมที่จะเปิดบ้านต้อนรับ คลับ บรูซ หลังจากที่เสมอกันไป 1-1 ในนัดแรก

โดย สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และ อักเซล ตวนเซเบ้ กลับมาซ้อมแบบเต็มรูปแบบได้อีกครั้งหลังจากที่ทั้งคู่พึ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บมาก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังคงไม่มีวี่แววของ 2 แข้งตัวเก่งอย่าง พอล ป็อกบา และ มาร์คัส แรชฟอร์ด รวมถึง ลี แกรนท์ นายทวารมือ 3 ในการลงซ้อมในวันนี้

6. ปีศาจแดง เสียดาย พลาดโอกาสเซ็น อัลฟอนโซ เดวีย์

อัลฟอนโซ เดวีย์ แบ็คซ้ายดาวรุ่งชาวแคนนาดา ของ บาเยิร์น มิวนิค ที่กำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในปัจจุบัน ด้วยการระเบิดฟอร์มเก่งในเกมที่ เสือใต้ บุกมาถล่ม เชลซี ถึงถิ่น 0-3 เมื่อคืนที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ในเดือน มกราคม ปี 2018 เดวีย์ เคยถูกดึงตัวมาทดสอบฝีเท้าที่ แคร์ริงตัน กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นเวลา 3 สัปดาห์ด้วยกัน ซึ่งในขณะนั้นเจ้าตัวอายุเพียง 17 ปี แต่ก็สามารถก้าวขึ้นไปติดทีมชาติ แคนนาดา ชุดใหญ่ได้เป็นที่เรียบร้อย จนกระทั่งเป็น บาเยิร์น มิวนิค ที่ได้ตัวไปร่วมทีมเมื่อต้นปี 2019

โดยเจ้าตัวเคยออกมากล่าวเกี่ยวกับการย้ายทีมว่า “มีหลายสโมสรติดต่อเข้ามา แต่ บาเยิร์น เป็นทีมที่ชัดเจนที่สุด พวกเขามีแผนที่ชัดเจนว่าจะวางผมไว้ตรงไหน และผมต้องทำอะไรยังไง มันจึงตัดสินใจได้ไม่ยากในการเลือกจุดหมายที่จะไป ณ เวลานั้น”

7. โจ โคล ชี้ จอร์จินโญ คือสาเหตุให้ เชลซี พ่าย บาเยิร์น

โจ โคล อดีตสตาร์ของ เชลซี ออกมาให้ทัศนะเกี่ยวกับความปราชัยของต้นสังกัดเก่าต่อยักษ์ใหญ่จาก บุนเดสลีกา อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ว่า

“ผมมองว่าในเกมนี้ จอร์จินโญ ดูจะฟอร์มหลุดมากเกินไป แน่นอนเขาเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม แต่วันนี้เขาเล่นไม่ออกเลย นั่นจึงทำให้แนวรุกของ บาเยิร์น สามารถเซ็ตบอลตรงกลางสนามได้อย่างง่ายดาย แต่อย่างว่า ทางเลือกของทีมมีจำกัด และวันนี้ จอร์จี้ เองก็ดันไม่สามารถรับมือกับแนวรุกของ เสือใต้ ได้เลย”

8. แลมพ์ ชม โควาซิช ฟอร์มเข้าฝัก แม้โดนอัด 0-3

แฟรงค์ แลมพาร์ด กุนซือหนุ่มของ เชลซี ออกมากล่าวชื่นชม มาเตโอ โควาชิช กองกลางชาวโครเอเชีย ของทีมว่า เป็นคนที่ทำผลงานได้ดีแม่ทีมจะพ่ายขาดลอยถึง 0-3

“ผมว่าอย่างน้อยวันนี้ โควาชิช ก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม เขาสามารถรับมือกับยอดนักเตะระดับโลกของ บาเยิร์น มิวนิค ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ แถมยังคอยต่อบอล คอยเชื่อเกมกับเพื่อนร่วมทีมอยู่ตลอด แม้ว่าคืนนี้จะไม่ใช่วันของเรา แต่สำหรับ โควาชิช ผมมองว่าเขาเล่นได้อย่างสุดยอดในเกมวันนี้”

9. เวงเกอร์ เผน สาเหตุที่ นาบรี้ ไม่เกิดที่ อาร์เซนอล

อาแซน เวงเกอร์ อดีตนายใหญ่ระดับตำนานของ อาร์เซนอล ออกเผยกับสื่อหลังเกมที่ บาเยิร์น มิวนิค บุกมาเอาชนะ เชลซี ได้ถึงถิ่น 0-3 ซึ่ง แซร์จ นาบรี้ อดีตเด็กปั้นของเขาระเบิดฟอร์มเก่ง ทำได้ 2 ประตูในเกมนี้ว่า

“แน่นอน นาบรี้ เป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม เขาเป็นคนที่มีพละกำลังเหลือเฟือ มีความเร็ว ความแข็งแกร่ง แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งของเขาคือเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความอดทนต่อสถานการณ์ต่าง ๆ เท่าใดนัก สมัยที่อยู่กับเรา ผมพยายามจะส่งเขาเพื่อไปหาประสบการณ์กับ เวสต์บรอมวิช แต่เจ้าตัวไม่โอเคกับทางเลือกนั้น ทำให้สุดท้าย นาบรี้เลือกที่จะย้ายกลับบ้านเกิดไปเล่นกับ เบรเมน ในปี 2016”

10. สเปอร์ส สนใจ ดาวรุ่งต่างดาว

ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ตกเป็นข่าวว่ากำลังให้ความสนใจ มาร์ค คูคูเรลลา ปีกซ้ายวัย 21 ปีของ บาร์เซโลนาที่ถูกส่งตัวให้ เคตาเฟ ยืมตัวไปใช้งานในฤดูกาลนี้ ซึ่งดาวรุ่งเลือดกระทิงดุ สามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งทางกราบซ้ายตั้งแต่แบ็คไปจนถึงกองหน้า โดยซีซั่นนี้เจ้าตัวลงสนามใน ลาลีกา ไปแล้วทั้งสิ้น 21 เกม ทำได้ 1 ประตูกับอีก 5 แอสซิสต์ คาดว่าหนุ่มน้อยรายนี้จะมีค่าตัวอยู่ที่ราว 14 ล้านปอนด์ด้วยกัน

[Player Ratings] อลอนโซ ใบแดง ! ตัดเกรดแข้ง สิงห์บลู เกมโดน บาเยิร์น บุกอัดคาบ้าน 0-3

การแข่งขัน ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019/20 รอบ 16 ทีมสุดท้าย
วันแข่งขัน คืนวันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2020
เวลาแข่งขัน 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน เชลซี 0-3 บาเยิร์น มิวนิค
สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์

คะแนนนักเตะ เชลซี


วิลลี กาบาเยโร – 7/10

ถือว่าโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงครึ่งแรก ด้วยการเซฟลูกยิงสวย ๆ เอาไว้ได้หลายครั้ง ส่วน 3 ประตูที่เสียไปนั้น เรียกได้ว่ายังไงเจ้าตัวก็หมดสิทธิป้องกันได้

Wilfredo Caballero

เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า – 6/10

เกมรับทำได้ดีในช่วงต้นเกม แต่ในครึ่งหลังดับมาพลาดลื่นล้มมีส่วนทำให้เสียประตูแรก แถมดูจะมีปัญหาในการรับมือกับความเร็วของตัวรุกริมเส้นฝั่งซ้ายของทีมเยือนพอสมควร

อันเดรส คริสเตนเซน – 5/10

ดูจะฟอร์มหลุดไปพอสมควร โดยเฉพาะในจังหวะเข้าปะทะ ที่สะกัดบอลพลาดจนมีส่วนทำให้ทีมเสียถึง 2 ประตูในครึ่งหลัง

อันโตนิโอ รือดิเกอร์ – 5.5/10

ค่อนข้างดูหลวมในการป้องกัน มีปัญหาในการรับมือกับ โทมัส มึลเลอร์ และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ แทบจะตลอดทั้งเกม

มาร์กอส อลอนโซ – 6.5/10

ครึ่งแรกเติมเกมรุกได้อย่างโดดเด่น แถมมีโอกาสเกือบเป็นผู้ยิงขึ้นนำให้กับทีมในช่วงท้ายครึ่งแรก แต่พอเริ่มครึ่งหลังเจ้าตัวแทบจะหายไปจากเกมโดยสิ้นเชิง เห็นอีกทีคือจังหวะที่โดนใบแดงไล่ออกจากสนามในช่วงท้ายเกม

Marcos Alonso

รีซ เจมส์ – 6/10

วันนี้เล่นผิดฟอร์มอยู่บ้าง ดูเหมือนจะขาดความมั่นใจไปเล็กน้อย

จอร์จินโญ – 6/10

โดนใบเหลืองชนิดที่ไม่น่าต้องโดน ทำให้เกมหน้าเจ้าตัวจะหมดสิทธิลงสนามช่วยทีม นอกจากนั้นวันนี้เกมรับยังทำได้ไม่ดีพอ โดนทั้ง ติเอโก้ และ มึลเลอร์ พลัดกันเล่นงานตลอดในช่วงครึ่งเวลาหลัง

มาเตโอ โควาซิช – 6.5/10

คอยเชื่อมเกมในแดนกลาง มีจังหวะต่อบอลสวย ๆ บ้าง แต่โดยรวมบทบาทกับเกมยังค่อนข้างน้อยในวันนี้

รอสส์ บาร์คลีย์ – 5.5/10

เล่นไม่ออกเลยในเกมนี้ มีโอกาสได้เล่นกับบอลอยู่บ้างในช่วงต้นเกม แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก

เมสัน เมานท์ – 6.5/10

หาพื้นที่ค่อนข้างดี มีโอกาสได้ลุ้นมากที่สุดในทีมวันนี้ แต่จังหวะสุดท้ายยังตัดสินใจได้ไม่ดีพอ มิฉนั้นอาจมีชื่อเป็นผู้ทำประตูไปแล้ว

FBL-EUR-C1-CHELSEA-BAYERN

โอลิวิเยร์ ชิรูด์ – 6/10

เก็บบอลได้ดีพอสมควร แต่ยังแทบไม่มีโอกาสได้พลิกบอลเข้าไปในพื้นที่อันตรายของทีมเยือนเลยในเกมวันนี้

ตัวสำรอง

แทมมี อับราฮัม (แทนที่ ชิรูด์ นาทีที่ 61) – 5.5/10 : ลงมายังแทบไม่มีโอกาสได้ยิงเลย แถมการตัดสินใจจัังหงะสุดท้าย และ การขยับหาพื้นที่ ก็ทำได้ไม่ค่อยดีในเกมวันนี้

วิลเลียน (แทนที่ บาร์คลีย์ นาทีที่ 61) – 6/10 : ลงมาสร้างควาหวือหวาในเกมรุกทางกราบขวาได้ดีพอสมควร

เปโดร (แทนที่ อัซปิลิกวยต้า นาทีที่ 73) – 5.5/10 : มีโอกาสได้เลี้ยงไปกับบอลหลายครั้งในช่วงท้ายเกม แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างอะไรได้มากนัก

[Player Ratings] หนูเทรนท์ 9/10 ! ตัดเกรดแข้ง ลิเวอร์พูล เกมคัมแบ็คดับ เวสต์แฮม 3-2


คะแนนนักเตะ ลิเวอร์พูล

อลิสซอน เบ็คเกอร์ – 7/10

น่าจะทำได้ดีกว่านี้ในจังหวะเสียประตูแรก รักษาสมาธิได้ดีป้องกันโอกาสของ มิเคล อันโตนิโอ ได้ รวมทั้งยังปฎิเสธลูกยิงลุ้นตีเสมอของ จาร์ร็อด โบเวน ในช่วงท้ายเกมสำเร็จ

Łukasz Fabiański,Trent Alexander-Arnold

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ – 9/10

จบเกมด้วยการทำ 2 แอสซิสต์แบบที่น่าจะเป็น 3 หาก ซาดิโอ มาเน ไม่ถูกจับล้ำหน้าไปก่อน มีบทบาทกับเกมในการขึ้นเกมรุกที่กราบขวาตลอดทั้งเกมและเกือบตะบันไกลสุดสวยเป็นประตูอีกด้วย

โจ โกเมซ – 5/10

พลาดให้ อันโตนิโอ เกือบได้โอกาสล่อเป้า มีปัญหาในการรับมือลูกกลางอากาศของทีมเยือนและมีส่วนกับการเสียประตูทั้ง 2 ลูกของทีม เติมขึ้นไปยิงไกลในช่วงท้ายจนเป็นที่มาของการได้ประตูชัยของ หงส์แดง

เวอร์จิล ฟาน ไดค์ – 7/10

Pablo Fornals,Virgil Van Dijk

ไม่ได้ถูกกดดันในเกมรับมากนัก เติมขึ้นไปมีส่วนร่วมกับการเซ็ตบอลเริ่มเกมรุกและได้โหม่งลุ้นทำประตูในจังหวะเซ็ตพีซจนเกือบทำประตูให้ทีมได้

แอนดี้ โรเบิร์ตสัน – 7/10

วิ่งขึ้นลงที่กราบซ้ายทั้งเกมไม่มีหมดจนได้แอสซิสต์ให้กับ ซาลาห์ พังประตู 2-2

ฟาบินโญ – 7/10

ไม่ได้เจอกับงานหนักที่แดนกลางนักเมื่อ เวสต์แฮม ตั้งรับลึกรอจังหวะสวนกลับแต่ยังทำได้ดีในจังหวะที่ทีมต้องการเขาตัดเกมที่แดนกลาง

จินี ไวนัลดุม – 7/10

โหม่งพังประตูแรกให้กับทีมตั้งแต่ช่วงต้นแต่หลังจากนั้นไม่ได้มีบทบาทกับเกมรุกของทีมนักแต่สามารถยกระดับของตนเองได้ในครึ่งหลัง

นาบี เกอิต้า – 5/10

ได้รับบอลก่อนที่จะไปถึงในพื้นที่สุดท้ายแต่บอลจากเจ้าตัวไม่สามารถหวังผลได้จนถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ – 6/10

Mohamed Salah

ไม่ได้มีบทบาทกับเกมนักเมื่อถูกจับตายแต่ยังเคลื่อนที่หาพื้นที่ว่างอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งเกม ก่อนที่จะเป็นคนยิงประตูตีเสมอ 2-2 ให้กับทีม

โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน – 6/10

ประสานงานกับ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้ไหลลื่น มีช็อตช่วยเกมรับที่น่าประทับใจหลายครั้งแต่พลาดโอกาสทองในการทำประตู 2 ครั้งในครึ่งหลัง

ซาดิโอ มาเน – 7/10

มีจังหวะวูบวาบที่กราบซ้ายให้เห็นอยู่บ้างแต่ไม่ได้บอลมากนักก่อนที่จะเป็นคนยิงประตูชัยในช่วงท้ายเกม

ตัวสำรอง

อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน (แทนที่ เกอิต้า นาทีที่ 57) – 7/10 : ลงมาช่วยให้ทีมกระตือรือล้นที่แดนหน้าอย่างเห็นได้ชัด มีจังหวะตะบันไกลได้ลุ้น 1 ครั้ง

โจเอล มาติป (แทนที่ มาเน นาทีที่ 90) – N/A : แพ็คแนวรับในช่วงท้าย

ลิเวอร์พูล พบ เวสต์แฮม : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด


ข้อมูลการแข่งขัน



ความพร้อมของทั้งสองทีม


ลิเวอร์พูล

เยอร์เก้น คล็อปป์ จะไม่สามารถใช้งาน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มิดฟิลด์กัปตันทีมที่ได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อแฮมสตริงมาจากเกมที่พวกเขาปราชัยต่อ แอตเลติโก มาดริด ในศึก ​ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ ซาดิโอ มาเน ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามหลังพักครึ่งในเกมดังกล่าวจะได้กลับมาเป็นตัวจริงให้กับ หงส์แดง อีกครั้ง
คาดการณ์ว่า นาบี เกอิต้า, อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน และ โจเอล มาติป จะเบียดแย่งตำแหน่งและมีสิทธิ์ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมนี้

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อลิสซอน
กองหลัง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โกเมซ, ฟาน ไดค์, โรเบิร์ตสัน
กองกลาง อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน, ฟาบินโญ, ไวนัลดุม
กองหน้า ซาลาห์, ฟิร์มิโน, มาเน

 

​​เวสต์แฮม

ไรอัน เฟรเดริกส์ จะไม่สามารถลงช่วยทัพ ขุนค้อน ได้หลังได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ในเกมที่พวกเขาปราชัยต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-0 เมื่อวันพุธที่ผ่านมาแต่พวกเขาจะได้ เฟลิเป้ แอนเดอร์สัน กลับมาช่วยทีม ขณะที่แข้งใหม่อย่าง จาร์ร็อด โบเวน ที่ เดอะแฮมเมอร์ส เพิ่งคว้าตัวมาร่วมทัพเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาจะมีชื่อเป็นตัวเลือกบนม้านั่งสำรอง

คาดการณ์ว่า มานูเอล ลานซินี กับ เซบาสเตียน ฮัลเลอร์ จะเบียดกับแย่งตำแหน่งตัวจริงที่แดนหน้า

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 3-5-2

ผู้รักษาประตู ฟาเบียนสกี้
กองหลัง ดิออป, อ็อกบอนนา, เครสส์เวลล์
กองกลาง สน็อดกราสส์, ไรซ์, โนเบิล,​ ซูเช็ค, มาซูอากู
กองหน้า อันโตนิโอ, ฮัลเลอร์

ผลงาน 5 นัดหลังสุด


ลิเวอร์พูล (ชนะ 4 เสมอ 0 แพ้ 1)​​

19 กุมภาพันธ์ แชมเปี้ยนส์ลีก แอต มาดริด 1 : 0 ลิเวอร์พูล แพ้
16 กุมภาพันธ์ พรีเมียร์ลีก นอริช 0 : 1 ลิเวอร์พูล ชนะ
5 กุมภาพันธ์ เอฟเอ คัพ ลิเวอร์พูล 1 : 0 ชรูวส์บิวรี ชนะ
1 กุมภาพันธ์ พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล 4 : 0 เซาแธมป์ตัน ชนะ
30 มกราคม พรีเมียร์ลีก เวสต์แฮม 0 : 2 ลิเวอร์พูล ชนะ

เวสต์แฮม (ชนะ 0 เสมอ 1 แพ้ 4)

20 กุมภาพันธ์ พรีเมียร์ลีก แมนฯ ซิตี้ 2 : 0 เวสต์แฮม แพ้
1 กุมภาพันธ์ พรีเมียร์ลีก เวสต์แฮม 3 : 3 ไบรท์ตัน เสมอ
30 มกราคม พรีเมียร์ลีก เวสต์แฮม 0 : 2 ลิเวอร์พูล แพ้
25 มกราคม เอฟเอ คัพ เวสต์แฮม 0 : 1 เวสต์บรอม แพ้
23 มกราคม พรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ 4 : 1 เวสต์แฮม แพ้

เฮดทูเฮด (ลิเวอร์พูล ชนะ 4 เสมอ 1 เวสต์แฮม ชนะ 0)

30 มกราคม 2020 พรีเมียร์ลีก เวสต์แฮม 0 : 2 ลิเวอร์พูล
5 กุมภาพันธ์ 2019 พรีเมียร์ลีก เวสต์แฮม 1 : 1 ลิเวอร์พูล
12 สิงหาคม 2018 พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล 4 : 0 เวสต์แฮม
24 กุมภาพันธ์ 2018 พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล 4 : 1 เวสต์แฮม
5 พฤศจิกายน 2917 พรีเมียร์ลีก เวสต์แฮม 1 : 4 ลิเวอร์พูล

สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • ​ลิเวอร์พูล มีสถิติคว่ำ เวสต์แฮม ในการพบกันที่ แอนฟิลด์ บนเวที พรีเมียร์ลีก 2 นัดหลังสุดและสามารถใส่สกอร์ได้เกมละ 4 ประตู

  • ขุนค้อน สามารถเก็บชัยชนะได้เพียง 1 นัดจากเกมเยือนในลีก 46 นัดหลังสุดกับ หงส์แดง (3-0 เมื่อ สิงหาคม 2015 ภายใต้การคุมทีมของ สลาเวน บิลิช) และพวกเขายังไม่สามารถยิงประตูได้ถึง 31 เกมจาก 46 นัดดังกล่าว

  • เดอะแฮมเมอร์ส มีสถิติใช้เวลากับสกอร์ขึ้นนำในเกมเยือน เร้ดแมชีน ที่ แอนฟิลด์ 126 นาทีเท่านั้นจากทั้งหมด 23 นัดใน พรีเมียร์ลีก โดยที่ 87 นาทีจาก 126 นาทีดังกล่าวเกิดขึ้นในแมตช์ที่พวกเขาเอาชนะ หงส์แดง 3-0 เมื่อปี 2015

  • เวสต์แฮม มีสถิติเก็บชัยชนะได้เพียง 2 นัดจากการพบกับทีมจ่าฝูงในเกมเยือนทั้งหมด 41 เกม (เสมอ 8 แพ้ 31) โดยเป็นเกมที่พวกเขาคว่ำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 เมื่อปี 2007 และ 2-1 ต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2015

  • ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ คว้าชัยในเกม พรีเมียร์ลีก 17 นัดติดต่อกันเข้าไปแล้ว ตามหลังสถิติสูงสุดของ แมนฯ ซิตี้ เพียงนัดเดียวเท่านั้น (18 เกม)

  •  ลิเวอร์พูล ยังมีสถิติเก็บชัยชนะในเกมเหย้า พรีเมียร์ลีก 20 นัดติดต่อกัน ยิงได้ 58 ลูก และเสียไปเพียง 12 ประตูเท่านั้น ชัยชนะอีกเพียงนัดเดียวจะนับเป็นการเทียบเท่าสถิติยาวนานที่สุดบนลีกสูงสุดอังกฤษที่ หงส์แดง เคยทำได้ระหว่าง มกราคม ถึง ธันวาคม 1972 ที่ 21 นัดติดต่อกันภายใต้การคุมทีมของ บิลล์ แชงค์ลีย์
  • เร้ดแมชีน เก็บแต้มใน พรีเมียร์ลีก ไปแล้ว 76 คะแนนหลังผ่าน 26 เกม ชัยชนะอีกเพียงแค่ 1 นัดจะทำให้พวกเขาเก็บคะแนนได้เทียบเท่ากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลที่พวกเขาคว้าเทรเบิลแชมป์ในฤดูกาล 1998/99

เลสเตอร์ ซิตี้ 0-1 แมนฯ ซิตี้: เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก เรือใบสีฟ้า บุกเฉือน จิ้งจอก

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกมาเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ไปได้แบบหืดจับ 0-1 โดยมาได้ประตูชัยจากตัวสำรองอย่าง กาเบรียล เชซุส ในนาทีที่ 80 และจบ 90 นาที เรือใบสีฟ้า บุกมาคว้า 3 คะแนนกลับบ้านไปได้สำเร็จ

FBL-ENG-PR-LEICESTER-MAN CITY

เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรกเป็นทีมเยือนที่ครองบอลบุกได้มากกว่าเล็กน้อย ซึ่งทางด้านเจ้าถิ่นก็ดูจะพยายามหาจังหวะเซ็ตบอลทำเกมบุกตอบโต้ขึ้นมาบ้างเช่นกัน

ช่วงต้นเกมเป็น เลสเตอร์ ที่มีโอกาสได้ลุ้นก่อนจากจังหวะหลุดเดี่ยวของ เจมี วาร์ดี้ แต่เจ้าตัวยิงไปชนเสาอย่างน่าเสียดาย

ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น ทางฝั่งผู้มาเยือนเองก็มีโอกาสได้ลุ้นเช่นกัน จากลูกยิงของ ริยาด มาห์เรซ แต่ ชไมเคิล ยังเซฟเอาไว้ได้

ตลอดครึ่งเวลาแรกทั้งสองทีมต่างหาโอกาสลุ้นประตูกันได้หลายครั้งแต่ยังไม่สามารถเบิกสกอร์แรกได้ ทั้งจังหวะที่ กุนโดกัน ได้ซัดจ่อ ๆ แต่ยังยิงไปติดผู้รักษาประตู หรือในจังหวะฟรีคิกที่ เจมส์ แมดดิสัน ปั่นบอลเกือบจะเสียบเข้ามุมอยู่แล้วแต่ เอแดร์ซอน ยังบินมาปัดออกไปได้

กระทั่งจบ 45 นาทีแรก ยังทำอะไรกันไม่ได้ เสมอกันอยู่ 0-0

Brendan Rodgers,Kasper Schmeichel

เริ่มเกมในครึ่งเวลาหลัง ทั้งสองทีมยังคงพยายามเดินหน้าเปิดเกมบุกเข้าใส่กัน แต่ดูจะเป็นทางด้าน เรือใบสีฟ้า ที่ทำได้ชัดเจนกว่า และเกือบได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะได้กดของ เควิน เดอ บรอยน์ ซึ่ง ชไมเคิล ก็ยังคงเซฟเอาไว้ได้

นาทีที่ 60 แมนฯ ซิตี้ มาได้ลูกจุดโทษ จากการทำแฮนด์บอลในกรอบเขตโทษของ เดนิส ปราท และเป็น กุน อเกวโร รับหน้าที่สังหาร แต่ยังคงยิงไปติดเซฟของ ชไมเคิล อีกเช่นเคย

จากนั้นไม่นาน อเกวโร ได้โอกาสส่องอีกครั้ง และก็ยังเป็น ชไมเคิล ที่ปฏิเสธลูกยิงเอาไว้ได้

กระทั่งนาทีที่ 80 ทีมเยือนมาได้ประตูออกนำ 0-1 จากจังหวะที่ มาห์เรซ ลากเดี่ยวขึ้นมา ก่อนจ่ายทะลุมาให้ กาเบรียล เชซุส ตัวสำรอง ยิงสวนตัว ชไมเคิล เข้าไป

จากนั้นทั้งคู่ไม่สามารถบวกประตูกันเพิ่มได้ จบเกม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกมาเฉือนชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ไปได้ 0-1

Gabriel Jesus,Riyad Mahrez

คะแนนนักเตะ แมนฯ ซิตี้


แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เอแดร์ซอน(7.5), วอล์คเกอร์(7), แฟร์นันดินโญ(7), ลาปอร์ต(7), เมนดี้(7), โรดริโก้(7), เดอ บรอยน์(7), กุนโดกัน(6.5), แบร์นาโด้(6.5), มาห์เรซ(7.5)*, อเกวโร(6)

ตัวสำรอง : โอตาเมนดี(6), เชซุส(7)

Riyad Mahrez

คีย์แมนในวันนี้ – แคสเปอร์ ชไมเคิล


ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณกันมากมายสำหรับนายด่านชาวเดนมาร์ก ที่วันนี้โชว์การเซฟสวย ๆ ช่วยทีมไปได้ถึง 6 ครั้งตลอดทั้งเกม นั่นรวมถึงการเซฟลูกจุดโทษของ กุน อเกวโร ในช่วงครึ่งหลัง แต่น่าเสียดายที่มาโดนยิงช่วงท้ายเกมจากทีเด็ดซุเปอร์ซับอย่าง กาเบรียล เชซุส ไม่ฉนั้นเจ้าตัวคงจะหล่อมากกว่านี้อีกหลายเท่าในฐานะการเดอะแบกของทัพจิ้งจอกสยามในเกมวันนี้

FBL-ENG-PR-LEICESTER-MAN CITY

ประเด็นหลังเกม


ตัวชี้วัดผลการแข่งขัน

เกมนี้ต้องบอกว่าเป็นเกมระดับคุณภาพอีกหนึ่งนัดในซีซั่นนี้ ที่ทั้งสองทีมต่างเปิดเกมบุกในสไตล์ของตัวเองเข้าใส่กันแทบจะตลอด 90 นาที แม้ว่าโอกาสของ แมนฯ ซิตี้ จะมากกว่าเล็กน้อยโดยเฉพาะในครึ่งเวลาหลัง แต่ว่าเกมรุกของเจ้าบ้านเลสเตอร์ ก็สามารถสร้างความกดดันให้กับแนวหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้อยู่เรื่อย ๆ ตลอดเกมเช่นเดียวกัน

แต่สิ่งที่แตกต่างกันในวันนี้คือความเฉียบขาดในการจบสกอร์ ทั้งที่โอกาสของทีม จิ้งจอกสยาม ก็เกือบจะชัดเจนพอ ๆ กับของผู้มาเยือนเรือใบสีฟ้า แต่พวกเขากลับปล่อยโอกาสทั้ง 10 ครั้งในเกมนี้หลุดลอยไปทั้งหมดอย่างน่าเสียดาย ในทางกลับกัน พลพรรคเรือใบ ก็ไม่ได้เฉียบขาดมากไปกว่ากันมากนัก แต่ยังดีที่ได้ตัวทีเด็ดที่ถูกเปลี่ยนเข้ามาเป็นซุเปอร์ซับอย่าง กาเบรียล เชซุส เจาะตะข่ายในช่วงท้ายเกม ชนิดที่ แคสเปอร์ ชไมเคิล คงจะเป็นคนที่เสียดายมากที่สุดเพราะอุตส่าปัดป้องเอาไว้ได้เป็นเวลาเกือบ 80 นาทีด้วยกัน !

แต่อย่างที่กล่าวไป เกมระดับท็อปแบบนี้ ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยสามารถนำมาชี้วัดผลการแข่งขันได้ ซึ่ง เลสเตอร์ ซิตี้ คงต้องกลับไปทำการบ้านในเรื่องของคว่าเฉียบขาดในการจบสกอร์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลังที่ทีมเริ่มฟอร์มแผ่วลงมาค่อนข้างเยอะพอสมควร แม้จะมีแต้มห่างจากอันดับที่ 5 ถึง 10 คะแนน แต่ก็ยังเหลือเกมที่ต้องเล่นอีก 11 นัด ดังนั้นจะยังประมาทไม่ได้ หากไม่ต้องการมาลุ้นให้เหนื่อยในช่วงท้ายซีซั่นที่เหลือนับจากนี้

FBL-ENG-PR-LEICESTER-MAN CITY

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม


แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เอแดร์ซอน, วอล์คเกอร์, แฟร์นันดินโญ, ลาปอร์ต, เมนดี้, โรดริโก้, เดอ บรอยน์, กุนโดกัน, แบร์นาโด้, มาห์เรซ, อเกวโร

ตัวสำรอง : บราโบ, สโตนส์, ซิลบา, โอตาเมนดี้, เชซุส, คันเซโล, โฟเด้น

เลสเตอร์ ซิตี้ : ชไมเคิล, ริคาร์โด้, อีแวนส์, โซยุนชู, ฟุคส์, ชิลเวลล์, ปราท, ติเลอมองส์, แมดดิสัน, อิเฮียนาโช, วาร์ดี้

ตัวสำรอง : วอร์ด, จัสติน, มอร์แกน, เจมส์, อัลไบรท์ตัน, เปเรซ, บาร์นส