พีคชัวร์ ! ซิลแวสต์ ชี้สาเหตุที่ทำให้ มาร์กซิยาล จะระเบิดฟอร์มเทพอีกครั้ง

มิคาเอล ซิลแวสต์ อดีตกองหลังตัวแกร่งของ ​แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยืนยันว่าที่ อองโตนี มาร์กซิยาล กลับมาระเบิดฟอร์มอันร้อนแรงได้อีกครั้งก็เพราะทีมมี บรูโน เฟอร์นันเดส คอยสร้างสรรค์เกมรุกให้นั่นเอง

“ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มาร์กซิยาล ใช้โอกาสที่ได้รับจากโค้ชได้อย่างคุ้มค่าสุด ๆ แล้ว เพราะนอกจากจะยิงประตูสำคัญต่อเนื่องยังมีฟอร์มการเล่นน่าประทับใจอีกด้วย” ซิลแวสต์ กล่าว

“ผมสังเกตเห็นว่าจังหวะการเคลื่อนที่ในกรอบเขตโทษและความเฉียบขาดตอนสับไกยิงมีพัฒนาการสูงกว่าแต่ก่อนชัดเจน และปัจจัยที่ช่วยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้จริง ๆ ก็คือการเข้ามาของ บรูโน เฟอร์นันเดส ล้วน ๆ เลย”

“ในเมื่อคุณเป็นกองหน้าที่มีพรสวรรค์สูงอยู่แล้ว พอได้เพื่อนที่สร้างสรรค์โอกาสจ่ายบอลดี ๆ อยู่ด้วยจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะเห็น มาร์กซิยาล กลับมาระเบิดฟอร์มแจ่มเหมือนช่วงย้ายมาใหม่ ๆ อีกครั้งหนึ่ง”

BREAKING ! มิเคล อาร์เตต้า กุนซือ อาร์เซนอล ติดเชื้อไวรัสโควิด-19

มิเคล อาร์เตต้า กุนซือ ​สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล แห่งศึก ​ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ มีผลการตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นบวก จากการเปิดเผยของต้นสังกัด

ผลของอาการป่วยดังกล่าวของ อาร์เตต้า ทำให้เกมระหว่าง ไอ้ปืนใหญ่ พบกับ ไบรท์ตัน วันเสาร์นี้จะถูกเลื่อนออกไป ขณะที่ พรีเมียร์ลีก นัดประชุมหารือกับพวกเขาในวันศุกร์นี้

“มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าผิดหวัง” นายใหญ่วัย 37 ปีกล่าว “ผมเข้าตรวจหาเชื้อไวรัสหลังจากรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก อย่างไรก็ตาม ผมจะกลับไปทำงานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะได้รับอนุญาต”

ทั้งนี้ เดอะกันเนอร์ส จะใช้มาตรการกักตัวทีมงานที่เกี่ยวข้องหลัง อาร์เตต้า มีผลตรวจเป็นบวก ซึ่งรวมไปถึงนักเตะในทีมชุดใหญ่ของพวกเขาอีกด้วย

ขณะที่รายงานจาก บีบีซี ระบุว่าสโมสรใน พรีเมียร์ลีก ทั้ง 20 ทีมจะประชุมหาทางออกร่วมกันและมีความเป็นไปได้ที่ทางเลือกเลื่อนการแข่งขันทั้งหมดสุดสัปดาห์นี้ออกไปจะถูกยกไปหารือในที่ประชุมดังกล่าว

ในคืนเดียวกันก่อนหน้านี้ แบรนดอน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีม เลสเตอร์ ซิตี้ ก็ได้ให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการระบุว่ามีลูกทีมของเขา 3 รายที่ต้องสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จนต้องถูกกักตัวเรียบร้อยและเรียกร้องให้เลื่อนเกมการแข่งขันในสุดสัปดาห์นี้ออกไป แต่ยังไม่มีการยืนยันการเลื่อนโปรแกรมจาก พรีเมียร์ลีก แต่อย่างใด

ขณะที่ แบ็งฌาแม็ง เมนดี้ แบ็คซ้ายของ ​แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องถูกกักตัวจากเพื่อนร่วมทีมหลังจากที่สมาชิกครอบครัวของเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหลังแสดงอาการที่มีความเป็นไปได้ว่าจะติดเชื้อไวรัสดังกล่าว

ลิเวอร์พูล (2) 2-3 (4) แอตฯ มาดริด : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกม แชมเปี้ยนส์ลีก หงส์แดง พ่ายตกรอบ


ประเด็นร้อนหลังเกม


อาเดรียน ยังไว้ใจไม่ได้

เกมนี้แม้ อาเดรียน จะแทบไม่เจองานหนักเลยในเวลา 90 นาที แต่ก็พอจะสังเกตุเห็นได้ว่า นายทวารเลือดกระทิงดุ รายนี้ ดูจะยังไม่นิ่งพอในเกมใหญ่ที่มีความกดดันสูงแบบนี้ เพราะในหลาย ๆ จังหวะไม่ว่าจะเป็นลูกยิงของ ชูเอา ฟิลิกซ์ ที่ดูเหมือนน่าจะรับติดมือง่าย ๆ เจ้าก็ดูเหมือนจะไม่มั่นใจ จึงเลือกปัดออกไป ซึ่งดันไปเข้าทางของ อังเคล คอร์เรอา แต่ยังดีที่ยังตามไปบล็อคลูกยิงซ้ำเอาไว้ได้ทัน

และจังหวะที่ไม่น่าให้อภัยมากที่สุด คือจังหวะเปิดเกมที่ควรจะต้องทำได้ดีกว่านั้น แต่กลับเตะไปเข้าทาง ชูเอา ฟิลิกซ์ ดื้อ ๆ แถมลูกยิงของ ยอเรนเต้ ลูกนั้นก็ไม่ได้หนีจากมือเขาเท่าใดนัก ถ้าหากพุ่งสุดตัวไปปัด น่าจะเซฟลูกนั้นได้ไม่ยาก แต่เจ้าตัวกลับแค่ทิ้งตัวล้มลงไปเฉย ๆ ซึ่งก็ไม่รูเหมือนกันว่าลื้น หรือในเสี้ยววินาทีนั้นคิดว่ายังไงรับไม่ทันแล้วจึงไม่ได้พุ่งทะยานออกไป แต่สิ่งที่บอกได้อย่างหนึ่งคือ ถ้าเป็น อลิสซอน ละก็ ลูกนี้ปัดได้สบาย ๆ อย่างแน่นอน

Adrian

โอบลัค ต่างหากของจริง

หากเทียบกันระหว่างผู้รักษาประตูของทั้งสองทีมในเกมนี้ คงจะเห็นความแตกต่างค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว ซึ่งมันดันเป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาชี้ผลการแข่งขันในเกมนี้ได้ เพราะถ้า โอบลัค ไม่เซฟอุตลุดขนาดนี้ ทีมตราหมี คงโดนอย่างน้อย 4-5 ประตูไปแล้ว ในทางกลับกัน อาเดรียน ที่งานเบากว่าอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเซฟลูกยิงของ แอตฯ มาดริด ได้ดีกว่านี้ ผลการแข่งขันคงไม่ออกมาในลักษณะนี้แน่นอน

แต่อย่างไรก็ตาม ต้องชื่นชมความสุดยอดของ แยน โอบลัค นายด่านชาวสโลวิเนีย วัย 27 ปี ที่วันนี้เซฟจนมือเป็นระวิง โดยเฉพาะลูกยิงของ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน ที่อย่างน้อยควรจะต้องเป็นประตูสักลูก แต่มือกาวรายนี้กลับป้องกันเอาไว้ได้ทั้งหมดจนจบด้วยการเข้ารอบไปแบบหล่อ ๆ ในค่ำคืนวันนี้

FBL-EUR-C1-LIVERPOOL-ATLETICO

หงส์แดง ไร้ทีเด็ดบนม้านั่งสำรอง

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า 11 ผู้เล่นตัวจริงของ ลิเวอร์พูล ชุดนี้ สุดยอดขนาดไหน แต่เมื่อทีมต้องการความเปลี่ยนแปลงหรือใครสักคนที่จะลงมาสร้างความแตกต่างจากบนม้านั่งสำรอง กลับไม่มีใครที่สามารถทดแทน หรือทำได้ดีกว่า 11 ตัวจริงเลยแม้แต่คนเดียว

หลายครั้งที่เรามักจะเห็น โอริกี้ ลัลลานา มินามิโนะ มิลเนอร์ ลงมาในยามที่ทีมต้องการประตู ซึ่งต้องบอกเลยว่าทั้งสี่คนยังไม่อยู่ในจุดที่จะคาดหวังอะไรได้ขนาดนั้น ซึ่งแตกต่างกับ แอตฯ มาดริด ที่บนม้านั่งมีทั้ง อัลบาโร โมราต้า ยานนิค คาร์ราสโก้ โทมัส เลอมาร์ หรือแม้แต่ มาร์กอส ยอเรนเต้ ที่แม้จะฟอร์มไม่ดีมากมาย แต่ก็พร้อมจะลงมาสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้ เหมือนในวันนี้ที่ทั้ง 3 ประตูล้วนมาจากผู้เล่นตัวสำรองทั้งหมด จนเรียกได้ว่าเข้ารอบมาได้เพราะ “ซุเปอร์ซับ” อย่างแท้จริง

Divock Origi

สถิติหลังเกมที่น่าสนใจ

  • จากความปราชัยในครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ ลิเวอร์พูล ในยุคของ เยอร์เกน คล็อปป์ แพ้ในฟุตบอลยุโรปให้กับคู่แข่งทั้งสองเกม เหย้าและเยือน (รอบน็อคเอาท์)

  • หงส์แดง แพ้ในฟุตบอลยุโรปที่ แอนฟิลด์ เป็นครั้งแรกในยุคของ เยอร์เกน คล็อปป์ โดยครั้งล่าสุดที่พวกเขาแพ้ในบ้านรายการยุโรปคือเมื่อเดือน ตุลาคมปี 2014

  • ความพ่ายแพ้ในวันนี้ เป็นการตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกนับจากปี 2006 ซึ่งก่อนหน้านั้น (ปี 2005) พวกเขาก็พึ่งจะคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จเช่นเดียวกัน

  • แอตเลติโก มาดริด ชนะในรายการนี้รอบน็อคเอาท์ได้ 5 จากทั้งหมด 6 เกม ที่พวกเขาเป็นฝ่ายเอาชนะคู่แข่งได้ก่อนในเกมแรก

  • เกมนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่มีการยิงกันถึง 4 ประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษ

  • เกมนี้เป็นการเล่นในช่วงต่อเวลาเป็นครั้งแรกในรายการนี้ของ พลพรรคเร้ดแมทชีน นับจากปี 2008 ที่พ่ายให้กับ เชลซี ในรอบรองชนะเลิศ

  • หากนับตั้งแต่ปี 2017/18 เป็นต้นมา ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ ผู้รักษาประตูทำพลาดจนเสียประตูมากที่สุดในรายการนี้ (4 ครั้ง – อาเดรียน 1 / คาริอุส 3)

  • มาร์กอส ยอเรนเต้ เป็นนักเตะคนที่สองในประวัติศาสตร์ของทีม แอตฯ มาดริด ที่สามารถลงมาทำ 2 ประตู จากการเป็นตัวสำรองในถ้วยใบนี้ได้ ต่อจาก กุน อเกวโร ในปี 2009

  • เกมนี้ประตูของ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน เป็นการยิงประตูแรกที่ แอนฟิลด์ ในรอบ 20 เกมรวมทุกรายการ นับตั้งแต่ยิงได้ครั้งล่าสุดคือเมื่อเดือน เมษายน ปี 2019

  • 4 จาก 5 ประตูของ จินี ไวจ์นัลดุม ใน แชมเปี้ยนส์ลีก เกิดขึ้นในรอบน็อคเอาท์ และเป็นการโหม่งทำประตูถึง 3 ลูกด้วยกัน
  • ซีซั่นนี้ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน มีส่วนกับการทำประตูใน แชมเปี้ยส์ลีก ไปแล้ว 4 ครั้ง (ยิง 3 แอสซิสต์ 1) ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่มากที่สุดของเจ้าตัวเท่ากับปี 2014/15
Diego Simeone

[Match Report] อิลิซิช เหมา 4 เม็ด ! อตาลันต้า บุกเข่น บาเลนเซีย 4-3 (4-8) ฉลุย 8 ทีม แชมเปี้ยนส์ลีก

อตาลันต้า กรุยทางสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายของศึก ​ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หลังบุกไปเอาชนะ บาเลนเซีย ถึงถิ่น เมสตายา สเตเดี้ยม 3-4 จากการเหมาทั้งหมด 4 ประตูของ โจซิป อิลิซิช (สกอร์รวม อตาลันต้า 8-4 บาเลนเซีย)

เกมที่ เมสตายา แข่งขันภายใต้สนามปิดไร้แฟนบอลภายใต้วิกฤตไวรัสโคโรนาระบาดในทวีปยุโรป และเป็นเกมที่ ไอ้ค้างคาว ต้องการประตูอย่างน้อย 3 ลูกเพื่อการผ่านเข้าสู่รอบต่อไปหลังปราชัยต่อ อตาลันต้า มาก่อน 4-1 ในเลกแรก

อย่างไรก็ตาม เริ่มต้มเกมมาได้เพียง 3 นาที ผู้มาเยือนก็ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 อย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 3 จากลูกจุดโทษโดย อิลิซิช หลังจากที่เจ้าตัวถูกสกัดล้มลงในกรอบ ก่อนที่จะลุกขึ้นสังหารลูกโทษไม่พลาด

เควิน กาเมโร ไล่ตีตื้นให้ บาเลนเซีย สกอร์เป็น 1-1 ในนาทีที่ 21 จากการฉวยโอกาสฉกลูกเคลียร์บอลไม่ขาดที่กรอบเขตโทษของทีมเยือนก่อนจะส่งบอลสู่ก้นตาข่ายสำเร็จ

ช่วงท้ายครึ่งแรก อิลิซิช มาเรียกจุดโทษให้กับ อตาลันต้า ได้อีกครั้งเมื่อถูกกองหลังของ ค้างคาว บอดี้เช็คในกรอบเขตโทษล้มลง ผู้ตัดสินพิจารณาจาก VAR ก่อนชี้เป้าและ อิลซิช สังหารประตู 2-1 ไม่พลาดก่อนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ดังกล่าว

เจ้าถิ่นออกสตาร์ทครึ่งหลังอย่างมีความหวังเมื่อมาได้ประตู 2-2 ตั้งแต่นาทีที่ 51 จากลูกโหม่งในระยะเผาขนของ กาเมโร คนเดิม ก่อนที่ เฟร์ราน ตอร์เรส จะหลุดเดี่ยวไปกระดกข้ามหัว มาร์โก้ สปอร์ติเอลโล เป็นประตู 3-2 ในนาทีที่ 67

ทว่าในอีก 4 นาทีถัดมา อิลิซิช ก็ซัดแฮตทริคสำเร็จเป็นประตู 3-3 จากการยิงเลียดบริเวณหัวกระโหลก ก่อนที่อิลิซิช เจ้าเก่าจะสังการในกรอบเขตโทษด้วยซ้ายตอกฝาโลงเป็น 4-3 ในนาทีที่ 82

แอร์เบ ไลป์ซิก พบ สเปอร์ส : พรีวิว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ลิงค์ถ่ายทอดสดฟุตบอล


ข้อมูลการแข่งขัน



ความพร้อมของทั้งสองทีม


แอร์เบ ไลป์ซิก

ดาโยต์ อูปาเมคาโน สามารถกลับมามีชื่อช่วยทีมอีกครั้งหลังพลาดการลงเล่นในเกมแรกเมื่อติดโทษแบน คาดการณ์ว่าปราการหลังวัย 21 ปีจะได้ออกสตาร์ทแทนที่ อีธาน อัมปาดู ในแนวรับ อย่างไรก็ตาม ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ จะไม่สามารถใช้งาน วิลลี ออร์บาน, อิบราฮิมา โคนาเต้, ไทเลอร์ อดัมส์ และ เควิน แคมเปิล ได้จากอาการบาดเจ็บ

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 3-4-1-2

ผู้รักษาประตู กูลาสชี
กองหลัง คลอสเตอร์มันน์, อูปาเมคาโน, ฮัลส์เทนเบิร์ก
กองกลาง มูคิเอเล, ไลเมอร์, ซาบิตเซอร์, อังเจลิโญ
เอ็นคุนคู
กองหน้า แวร์เนอร์, ชิค

ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์

แฮร์รี เคน, มุสซา ซิสโซโก้ และ ซน ฮึง-มิน ยังคงไม่พร้อมที่จะลงสนามให้กับทีมของ โชเซ มูรินโญ ในเกมนี้ โดยคาดการณ์ว่า จ่ามู จะจัดทัพเน้นเกมรับหวังผลการโจมตีจากจังหวะสวนกลับเร็ว

มีความเป็นไปได้สูงที่ แซร์จ ออริเยร์ กับ เบน เดวีส์ จะได้ออกสตาร์ทเป็นฟูลแบ็คทั้ง 2 ฝั่งหลังได้พักมาในเกมที่พวกเขาเสมอกับ เบิร์นลีย์ 1-1 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 5-4-1

ผู้รักษาประตู ยอริส
กองหลัง ออริเยร์, ซานเชซ, ดายเออร์, อัลเดอร์ไวเรลด์, เดวีส์
กองกลาง ลูคัส, โล เซลโซ, วิงค์ส, เบิร์กไวน์
กองหน้า อัลลี

 


ผลงาน 5 นัดหลังสุด


แอร์เบ ไลป์ซิก (ชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 0)

7 มีนาคม บุนเดสลีกา โวล์ฟสบวร์ก 0 : 0 ไลป์ซิก เสมอ
1 มีนาคม บุนเดสลีกา ไลป์ซิก 1 : 1 เลเวอร์คูเซน เสมอ
23 กุมภาพันธ์ บุนเดสลีกา ชาลเก้ 0 : 5 ไลป์ซิก ชนะ
20 กุมภาพันธ์ แชมเปี้ยนส์ลีก สเปอร์ส 0 : 1 ไลป์ซิก ชนะ
15 กุมภาพันธ์ บุนเดสลีกา ไลป์ซิก 3 : 0 แวร์เดอร์ เบรเมน ชนะ

สเปอร์ส (ชนะ 0 เสมอ 1 แพ้ 4)

8 มีนาคม พรีเมียร์ลีก เบิร์นลีย์ 1 : 1 สเปอร์ส เสมอ
5 มีนาคม เอฟเอ คัพ สเปอร์ส 1 : 2(1 : 1) นอริช แพ้
1 มีนาคม พรีเมียร์ลีก สเปอร์ส 2 : 3 วูล์ฟส แพ้
22 กุมภาพันธ์ พรีเมียร์ลีก เชลซี 2 : 1 สเปอร์ส แพ้
20 กุมภาพันธ์ แชมเปี้ยนส์ลีก สเปอร์ส 0 : 1 ไลป์ซิก แพ้

เฮดทูเฮด (แอร์เบ ไลป์ซิก ชนะ 1 เสมอ 0 สเปอร์ส ชนะ 0)

20 กุมภาพันธ์ 2020 แชมเปี้ยนส์ลีก สเปอร์ส 0 : 1 ไลป์ซิก

สถิติจาก OPTA


  • เกมที่ เร้ด บูลล์ อารีนา จะเป็นเกมที่ แอร์เบ ไลป์ซิก ต้อนรับการมาเยือนของ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เป็นครั้งแรก และนับเป็นสโมสรจาก อังกฤษ ทีมแรกที่บุกมาเล่นที่นี่ในประวัติศาสตร์การแข่งขันทัวร์นาเมนต์ยุโรป

  • สเปอร์ส ปราชัยในเกมเยือนในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เพียงแค่ 1 นัดจาก 5 เกมหลังสุด (ชนะ 2 เสมอ 2) โดยความพ่ายแพ้ดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมเยือน บาเยิร์น มิวนิค ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มฤดูกาลนี้ (1-3)

  • หาก แอร์เบ ไลป์ซิก เข่น สเปอร์ส ผ่านรอบนี้ไปได้จะทำให้พวกเขากรุยทางสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์ ยุโรป เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของพวกเขานับตั้งแต่ที่ทะลุสู่รอบดังกล่าวในศึก ยูฟ่า ยูโรปาลีก ซีซัน 2017/18 แต่ต้องอกหักตกรอบด้วยน้ำมือของ มาร์กเซย์

  • ไก่เดือยทอง ถูกเขี่ยตกรอบในทัวร์นาเมนต์ ยุโรป 8 จาก 10 ครั้งหลังสุดเมื่อปราชัยในเกมเลกแรก ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพลิกสถานการณ์ได้สำเร็จเกิดขึ้นในเกมรอบรองชนะเลิศกับ อาแจ็กซ์ เมื่อซีซันก่อน (0-1 ในเลกแรก และ 3-2 ในเลกที่ 2) ก่อนที่จะปราชัยต่อ ลิเวอร์พูล ในนัดชิงชนะเลิศ

  • 4 ประตูของ ไลป์ซิก จาก 5 ลูกหลังสุดใน แชมเปี้ยนส์ลีก มาจากลูกจุดโทษและเป็นการซัดลูกจุดโทษติดต่อกัน 3 ประตูเข้าไปแล้ว มีเพียง บาร์เซโลนา ทีมเดียวเท่านั้นที่ได้ประตูจากลูกจุดโทษมากกว่า 4 ประตูใน แชมเปี้ยนส์ลีก (5 ประตูในฤดูกาล 2011/12)

  • ความพ่ายแพ้ของ สเปอร์ส ใน แชมเปี้ยนส์ลีก 3 นัดในฤดูกาลนี้มาจากการพบกับทีมจาก เยอรมนี (2 นัดกับ บาเยิร์น มิวนิค และ 1 นัดกับ ไลป์ซิก) มีเพียง ลีดส์ ยูไนเต็ด เท่านั้นที่ปราชันต่อทีมจากชาติเดียวกันมากกว่าพวกเขา (5 นัดต่อทีมจาก สเปน ในฤดูกาล 2000/01)

  • โชเซ มูรินโญ ผู้จัดการทีม สเปอร์ส ไม่สามารถพาทีมคว้าชัยได้เลยในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก 7 นัดหลังสุดในรอบน็อคเอาท์ (เสมอ 4 แพ้ 3) นับตั้งแต่ที่เขาพา เชลซี สอย ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 2-0 เมื่อเดือนเมษายน 2014 และ 2 ครั้งล่าสุดที่ทีมของ จ่ามู ปราชัยในเลกแรกของรอบน็อคเอาท์คาบ้าน พวกเขาถูกเขี่ยตกรอบทั้งหมด (เชลซี กับ บาร์เซโลนา ในซีซัน 2005/06 และ เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลนา ในฤดูกาล 2010/11)

  • ติโม แวร์เนอร์ กองหน้าของ แอร์เบ ไลป์ซิก ยังไม่สามารถทำประตูในเกมเหย้า ยูซีแอล ได้เลยทั้ง 6 นัดฤดูกาลนี้จากความพยายามทั้งหมด 22 ครั้ง ทว่าหัวหอกวันเดอร์คิดทีมชาติ เยอรมนี ซัลโวในเกมเยือน 7 ลูกจากการสับไกทั้งหมด 14 ครั้ง

  • มูรินโญ พาทีมที่เขาคุมทัพ ปราชัยในเกมเยือนของศึก แชมเปี้ยนส์ลีก 7 จากทั้งหมด 9 นัดที่ เยอรมนี (ชนะ 2) นับว่ามากที่สุดในเกมเยือนต่อหนึ่งประเทศ โดยคิดเป็นสัดส่วนความพ่ายแพ้ 30 เปอร์เซ็นต์ต่อความพ่ายแพ้ทั้งหมดในรายการนี้ (7/23)

  • ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ กลายเป็นผู้จัดการทีมที่อายุน้อยที่คุมทีมใน แชมเปี้ยนส์ลีก รอบน็อคเอาท์ (32 ปี 211 วันในเลกแรกกับ สเปอร์ส) ทำลายสถิติเดิมของ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ กับ โมนาโก เมื่อซีซัน 2003/04 (35 ปี 147 วัน)

แล้วทุกคนจะซูฮก ! กูรูชี้ ซิตี้ ต้องคว้าถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก เพื่อเป็นทีมที่ดีกว่า หงส์แดง

เจมี โอฮารา อดีตนักเตะของ​ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ และกูรูวิจารณ์ลูกหนังของอังกฤษกล่าวว่า หาก ​แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมที่ดีกว่า ​ลิเวอร์พูล ในซีซันนี้พวกเขาต้องทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จให้ได้

ในขณะที่ หงส์แดง กำลังเข้าใกล้การได้แชมป์ ​พรีเมียร์ลีก สมัยแรกของพวกเขา โดยทำแต้มทิ้งห่างทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา แชมป์เก่าเมื่อซีซันที่แล้วออกไปถึง 25 คะแนน แมนฯ ซิตี้ ก็เพิ่งจะคว้าแชมป์ ลีกคัพ มาครองได้สำเร็จ และพวกเขาตั้งเป้าหมายสูงสุดในซีซันนี้ด้วยการเป็นแชมป์ยุโรปสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสรให้ได้

โอฮารา มองว่าแม้ ลิเวอร์พูล กำลังจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในซีซันนี้ แต่หากว่า เดอะซิติเซ้นส์ สามารถครองถ้วย ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ได้จะทำให้พวกเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมที่ดีกว่าอย่างแน่นอน โดยได้กล่าวถึงเรื่องนี้กับ ทอล์คสปอร์ต ว่า

“แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเป็นทีมที่ดีกว่า ลิเวอร์พูล ในซีซันนี้ถ้าพวกเขาคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ และพวกเขายังมีโอก่าสคว้า 3 แชมป์ในซีซันนี้อีกด้วย (ลีกคัพ, เอฟเอคัพ, ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก) ซึ่งมันจะกลายเป็นซีซันที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ” อดีตมิดฟิลด์ ไก่เดือยทอง ระบุ

ลิเวอร์พูล 2-1 บอร์นมัธ : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก

4. บอร์นมัธ ดีไม่สุด

แม้เกมรับของ บอร์นมัธ จะไม่เด็ดขาดมากพอที่จะรับมือกับแนวรุกของ ลิเวอร์พูล อย่างที่ แอตเลติโก มาดริด หรือ วัตฟอร์ด เคยทำได้ แต่แนวรุกของพวกเขาก็สร้างความกดดันให้กับ หงส์แดง อย่างเห็นได้ชัด

คัลลัม วิลสัน ที่มักเคลื่อนที่ลงต่ำมีส่วนร่วมกับการช่วยไล่บอลที่แดนกลางก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนทำประตูเบิกร่อง ทว่าความผิดพลาดส่วนบุคคลของ แจ็ค ซิมพ์สัน ที่ดันเสียบอลหน้าปากประตูของตนเองก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมให้ทีมถูกตีเสมอในช่วงกลางครึ่งแรกก่อนที่พวกเขาจะเป๋เสียประตูที่ 2 ในอีกไม่กี่อึดใจให้หลัง

 

3. คัลลัม วิลสัน ปั่นป่วนแนวรับ เร้ดแมชีน

กองหน้าชาว อังกฤษ​ วัย 28 ปีสามารถต่อกรกับแนวรับอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ โจ โกเมซ ได้อย่างน่ประทับใจแม้ว่าเพื่อนร่วมทีมของเขาจะไม่สามารเปิดป้อนบอลสร้างสรรค์โอกาสได้บ่อยครั้งนักก็ตาม

วิลสัน กลายเป็นศูนย์กลางของแนวรุก เชอร์รีส์ แทบทุกครั้งที่พวกเขาเดินหน้าล่าประตู และจะเป็นส่วนสำคัญในการดิ้นรนหนีพื้นที่ตกชั้นในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล รวมทั้งการติดทัพ ทรีไลอ้อนส์ ไปลุยศึก ยูโร 2020 ในช่วงซัมเมอร์นี้

2. หงส์แดง คัมแบ็คเปลี่ยนโมเมนตัม

กลายเป็นเกมที่ เจมส์ มิลเนอร์ ที่ออกสตาร์ทในตำแหน่งแบ็คซ้ายแทนที่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือล้นอย่างต่อเนื่อง ต่างจาก โจ โกเมซ​ ซึ่งถูก คัลลัม วิลสัน ฉวยโอกาสชิงบอลในแนวรับก่อนเป็นเหตุให้เสียประตูแรก

หงส์แดง ยังดูจะออกอาการเป๋ต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงต้นเกมเมื่อเป็นลูกทีมของ เอ็ดดี้ ฮาว ที่สร้างโอกาสได้เด็ดขาดมากกว่า แต่ท้ายที่สุด ความเด็ดขาดของ ซาดิโอ มาเน, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และวิสัยทัศน์ของ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ก็ช่วยเปลี่ยนโมเมนตัมของเกมได้ในที่สุด

1. ฟาน ไดค์ คีย์แมน

แม้ว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ ซาดิโอ มาเน จะมีชื่ออยู่บนพาดหัวในฐานะที่เป็นผู้ยิงประตูให้ทีมเก็บชัยชนะในเกมนี้ แต่เซ็นเตอร์แบ็คอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ กลายเป็นรากฐานสำคัญของเกมที่ทำให้ หงส์แดง สามารถซิว 3 แต้มจาก บอร์นมัธ ได้

ปราการหลังทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ ได้ 1 แอสซิสต์เมื่อเป็นคนผ่านบอลทะลุช่องให้กับ มาเน พังประตูแซงขึ้นนำ 2-1 และกลายเป็นประตูชัยในที่สุด

ลิเวอร์พูล พบ บอร์นมัธ : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ลิงค์ถ่ายทอดสดฟุตบอล


ข้อมูลการแข่งขัน



ความพร้อมของทั้งสองทีม


ลิเวอร์พูล

ไม่น่าเชื่อว่าทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ จะมีวันร้าย ๆ กับเขาเช่นกัน ด้วยการแพ้ 3 จาก 4 เกมหลังสุดในทุกรายการ โดยล่าสุดพวกเขาบุกไปพ่าย เชลซี ตกรอบ เอฟเอ คัพ เป็นที่เรียบร้อย

สุดสัปดาห์นี้ หงส์แดง มีคิวเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ บอร์นมัธ ทีมอันดับ 18 ที่กำลังดิ้นรนอย่างสุด ๆ เพื่อหนีการตกชั้น แถมยังพึ่งจะยันเสมอ เชลซี มาได้เมื่อสัปดาห์ก่อนอีกด้วย เกมนี้คาดว่า คล็อปป์ จะกลับมาใช้ทีมชุดที่ดีที่สุดลงสนามอีกครั้ง หลักจากที่ตัวหลักบางคนได้พักไปในเกมกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องมาลุ้นกันว่าแดนกลางของ พลพรรคเร้ดแมทชีน จะสามารถชนกับความแข็งแกร่งในแผงมิดฟิลด์ของผู้มาเยือนได้หรือไม่ วันเสาร์นี้รู้กัน

สภาพทีมก่อนลงทำการแข่งขัน จะยังไม่สามารถใช้งาน เนธาน ไคลน์ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ เซอร์ดาน ชากิรี ที่ยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ได้ในเกมนี้ ส่วนผู้เล่นตัวหลักรายอื่น ๆ ฟิตเต็มที่พร้อมเป็นตัวเลือกให้ เยอร์เกน คล็อปป์ ในเกมนี้ทั้งหมด

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-3-3

ผู้รักษาประตู อลิสซอน
กองหลัง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โกเมซ, ฟาน ไดค์, โรเบิร์ตสัน
กองกลาง อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน, ฟาบินโญ, ไวนัลดุม
กองหน้า ซาลาห์, ฟิร์มิโน, มาเน

​​บอร์นมัธ

แม้ฟอร์มในช่วงหลังจะไม่ดีเท่าใดนักจนอันดับร่วงลงมาอยู่ในโซนตกชั้น แต่เกมล่าสุดพวกเขาก็เกือบจะคว้า 3 แต้มจาก เชลซี มาได้ชนิดที่โดนตีเสมอในช่วงท้ายเกมอย่างน่าเสียดาย

มาที่เกมวันเสาร์นี้ พวกเขาต้องรับศึกหนักอีกครั้งด้วยการออกไปเยือนถิ่น แอนฟิลด์ รังเหย้าของ ลิเวอร์พูล ซึ่งเกมแรกที่พบกันใน ไวทัลลิตี้ สเตเดี้ยม พวกเขาโดนอัดเละคาบ้าน 0-3 แต่ชั่วโมงนี้ต้องบอกฟอร์มของ หงส์แดง เองกำลังอยู่ในช่วงขาดความมั่นใจ เพราะงั้นจึงพอมีโอกาสที่พวกเขาอาจจะบุกมามีแต้มติดมือกลับไปได้ในวันนี้

สภาพทีม ณ ปัจจุบัน จะยังไม่สามารถใช้งาน เดวิด โบรกส์, ชาลี แดเนียลส์ และ คริส เมปแฮม ที่ยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่ได้เป็นที่แน่นอนแล้ว

คาดการณ์ 11 ตัวจริง : 4-4-2

ผู้รักษาประตู แรมส์เดล
กองหลัง สมิธ, คุก, อาเก้, ริโก้
กองกลาง กอสลิง, เลอร์มา, บิลลิง, เฟรเซอร์
กองหน้า คัลลัม วิลสัน, คิง

​​ผลงาน 5 นัดหลังสุด


ลิเวอร์พูล (ชนะ 2 เสมอ 0 แพ้ 3)

4 มี.ค.. FA เชลซี 2-0 ลิเวอร์พูล
1 มี.ค.. PL วัตฟอร์ด 3-0 ลิเวอร์พูล
25 ก.พ. PL ลิเวอร์พูล 3-2 เวสต์แฮม
19 ก.พ. UCL แอตฯ มาดริด 1-0 ลิเวอร์พูล
16 ก.พ. PL นอริช 0-1 ลิเวอร์พูล

บอร์นมัธ (ชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 3)

29 ก.พ. PL บอร์นมัธ 2-2 เชลซี
22 ก.พ. PL เบิร์นลีย์ 3-0 บอร์นมัธ
9 ก.พ. PL เชฟฯ ยูไนเต็ด 2-1 บอร์นมัธ
1 ก.พ. PL บอร์นมัธ 2-1 แอสตัน วิลลา
28 ม.ค. FA บอร์นมัธ 1-2 อาร์เซนอล

เฮดทูเฮด (ลิเวอร์พูล ชนะ 5 เสมอ 0 บอร์นมัธ ชนะ 0)

07/12/19 PL บอร์นมัธ 0-3 วัตฟอร์ด
09/02/19 PL ลิเวอร์พูล 3-0 บอร์นมัธ
08/12/18 PL บอร์นมัธ 0-4 ลิเวอร์พูล
14/04/18 PL ลิเวอร์พูล 3-0 บอร์นมัธ
17/12/17 PL บอร์นมัธ 0-4 ลิเวอร์พูล

*PL = พรีเมียร์ลีก / FA = เอฟเอ คัพ/ UCL = ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก


สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ


  • 5 นัดหลังสุดที่ทั้งคู่พบกัน ลิเวอร์พูล สามารถเอาชนะไปได้ทั้งหมด โดยยิงได้ถึง 17 ลูกและไม่เสียเลยแม้แต่ประตูเดียว

  • 16 เกมในทุกรายการที่ทั้งสองทีมเคยพบกัน บอร์นมัธ ชนะไปได้เพียงเกมเดียวเท่านั้น (ชนะ 1 เสมอ 3 แพ้ 12) เมื่อเดือน ธันวาคม ปี 2016

  • 5 เกมหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก ที่ทั่งคู่พบกัน หงส์แดง เอาชนะด้วยการยิง 3 ประตูขึ้นไปทั้งสิ้น โดยทีมล่าสุดที่เอาชนะคู่แข่งทีมเดิมในเกมลีก 6 นัดติดต่อกัน และยิงได้มากกว่า 2 ประตูทุกเกม คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน ในช่วงปี 1902-05

  • พลพรรคเดอะค็อป ยิงประตูใส่ บอร์นมัธ ได้ถึง 17 ประตูติดต่อกันโดยที่ไม่เสียเลยแม้แต่ลูกเดียว ซึ่งในประวัติศาสตร์สโมสร ครึ้งเดียวที่พวกเขา ยิงประตูคู่แข่งทีมเดิมติดต่อกันได้มากกว่าคือ ช่วงปี 2002-11 (26 ประตู ยิงใส่ เวสต์บรอมวิช)

  • ทีมเยือน ไม่เคยบุกมาเอาชนะทีมจาก เมอร์ซีย์ไซด์ ได้เลยตลอดในเกมลีก 8 นัดที่ผ่านมา (ชนะ 0 เสมอ 1 แพ้ 7) มีเพียงทีมเดียวที่ไม่เคยบุกมาชนะมากกว่าพวกเขาคือ ฮัลล์ ซิตี้ (10 เกม)

  • ลิเวอร์พูล ไม่แพ้เกมลีกใน แอนฟิลด์ มาแล้ว 54 นัดติดต่อกัน (ชนะ 44 เสมอ 10 แพ้ 0) โดยเป็นการเอาชนะได้ 21 ครั้งหลังสุด ซึ่งหากพวกเขาเอาชนะในเกมนี้ จะทำสถิติชนะติดต่อกันในบ้านมากที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก ทันที

  • บอร์นมัธ แพ้ 8 จาก 9 เกมหลังสุดที่ออกไปเยือนคู่แข่งในลีก (ชนะ 1 เสมอ 0 แพ้ 8)

  • หงส์แดง ไม่เคยแพ้ใครในเกมลีก 2 นัดติดต่อกันตั้งแต่ปี 2015 ภายใต้ยุคของ แบรนเดน ร็อดเจอร์

  • ทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ เสียประตูในสองเกมลีกหลังสุด เทียบเท่ากับ 14 นัดก่อนหน้านั้นใน พรีเมียร์ลีก (5 ประตู)

  • โม ซาลาห์ ยิงประตูได้ทุกนัดที่ลงสนามพบกับ บอร์นมัธ (5 นัดติดต่อกัน) และทำไปได้ 7 ประตูด้วยกัน

  • 13 จาก 15 ประตูของ ซาลาห์ เป็นการยิงใน แอนฟิลด์ ทั้งหมด

ดาร์บี้ เคาน์ตี้ 0-3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม เอฟเอ คัพ ผีแดง บุดเชือด แกะ

การแข่งขัน ฟุตบอล เอฟเอ คัพ 2019/20
วันแข่งขัน คืนวันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2020
เวลาแข่งขัน 02.45 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน ดาร์บี้ เคาน์ตี้ 0-3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สนาม ไพรด์ พารค์ สเตเดี้ยม

ประเด็นร้อนหลังเกม


รูปเกมที่ค่อนข้างขาดลอย

เริ่มต้นเกมด้วยความคึกคักสำหรับบรรดาแข้งของ ดาร์บี้ ที่เปิดเกมบุกเข้าใส่ผู้มาเยือนได้แบบไม่กลัวบารมีใด ๆ แต่หลังจากผ่าน 15 นาทีแรก ปีศาจแดง เริ่มตั้งเกมของตัวเองได้ พวกเขาก็โหมบุกเข้าใส่เจ้าถิ่นคืนอย่างหนัก แถมวันนี้ต้องบอกว่าแข้งของ แมนฯ ยูไนเต็ด ค่อนข้างเฉียบขาดพอสมควร นั่นจึงเป็นที่มาของ 2 ประตูในช่วง 45 นาทีแรก

เริ่มเกมในครึ่งเวลาหลัง พลพรรคแกะเขาเหล็ก ยังคงพยายามบุกเพื่อเอาประตูตีไข่แตกให้ได้ แต่เมื่อมีโอกาสแล้วทำไม่ได้ ก็ถูกทีมเยือนสำเร็จโทษด้วยการยิงประตูที่ 3 จาก โอเดียน อิกาโล ในนาทีที่ 70 เป็นการปิดเกมแบบกลาย ๆ เพราะหลังจากนั้น ผู้เล่นเจ้าบ้านดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรมแล้ว ซึ่งช่วงท้ายเกมพวกเขาก็พอจะมีโอกาสได้ลุ้นประตูคืนอยู่บ้างแต่ต้องชม โรเมโร ที่ยังปัดป้องเอาไว้ได้ทั้งหมดอย่างยอดเยี่ยม จนกระทั่งจบ 90 นาที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าตั๋วเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายไปพบ นอริช ที่พึ่งคว่ำ สเปอร์ส มาได้หมาด ๆ เมื่อวันก่อน

Wayne Rooney

มาร์กซิยาล เตรียมตกกระป๋อง
​เกมนี้ต้องบอกว่า โอเดียน อิกาโล ดูจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับทีมได้เกือบจะ 100% แล้ว ทั้งความเข้าใจเกม การรับส่งบอลที่ค่อนข้างรู้ใจ ทำให้จังหวะบุกดูค่อนข้างจะไหลลื่น การขยับหาพื้นที่ หรือแม้แต่การวิ่งดึงตัวประกบ ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว นอกจากนั้นหัวหอกวัย 30 ปีรายนี้ ยังสามารถเก็บบอล พักบอลแล้วจ่ายต่อให้เพื่อนเล่นได้อีกต่างหาก และสิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือความเฉียคมดูจะเหลือกินสบาย ๆ ขอแค่มีโอกาส

​ต้องมาดูกันว่าฟอร์มในนัดนี้ของเจ้าตัวนั้น จะสามารถเอาชนะใจ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ได้หรือไม่ในการเบียดแย่งตำแหน่ง 11 ตัวจริงกับ อ็องโตนี มาร์กซิยาล ที่ไม่ว่าจะดูยังไงก็คงไม่พัฒนาไปมากกว่านี้ได้แล้ว…

FBL-ENG-FACUP-DERBY-MAN UTD

ลองให้ โรเมโร เป็นมือ 1 ดูใหม ?
​เข้าใจว่าแฟนบอล ปีศาจแดง หลายคนก็ยังคงหนุนหลัง เด เคอา อยู่แม้ช่วงหลังจะฟอร์มตกลงไปบ้างก็ตาม โดยหลายคนพยายามบอกว่าทำไมไม่นึกถึงตอนที่เขาท็อปฟอร์มแบกทีมมาได้จนถึงทุกวันนี้ แล้วพอฟอร์มดรอปเลยจะจับนั่งยาวไม่ให้ลงเล่นแบบนี้ มันลืมบุญคุณกันชัด ๆ

​เอิ่ม… ในใจก็อยากจะบอกว่า ฟุตบอล มันไม่มีเรื่องของบุญคุณอะไรทั้งนั้นหรอกนะ ว่ากันตามผลงานทั้งนั้นแหละ ต่อให้คุณโชวฟอร์มเทพทำเพื่อทีมมามากแค่ไหน วันหนึ่งมันก็ต้องหมดยุคของคุณอยู่ดี มันเป็นเรื่องปกติ ! เพราะงั้นชั่วโมงนี้ผลงานก็พอจะเห็น ๆ กันอยู่แล้ว แถม โรเมโร ก็ไม่ใช่ระดับไก่กาที่จะไว้ใจกันไม่ได้เลยซะทีไหน ก็ในเมื่อของที่ใช้อยู่มันเริ่มเสื่อมคุณภาพ จะลองเปลี่ยนมาใช้อีกอันหนึ่งที่มีอยู่แล้ว มันก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร ใช่ไหมละ ?

Sergio Romero

ผี จ่อดวล นอริช ! สรุปผลการจับสลากประกบคู่ เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย

เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้จับสลากประกบคู่เรียบร้อยโดยแชมป์เก่าอย่าง ​แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะบุกไปเยือน นิวคาสเซิล ที่ เซนต์เจมส์ พาร์ค ขณะที่หาก ​แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กรุยทางผ่าน ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ในรอบที่ 4 ซึ่งจะแข่งขันกันในคืนวันพฤหัสบดีไปได้พวกเขาจะได้ออกไปเยือน นอริช ซิตี้ ที่หักด่านผ่าน ​ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ มาได้อย่างเซอร์ไพรส์

นอกจากนั้น เลสเตอร์ ซิตี้ จะเปิดรัง คิงพาวเวอร์ สเตเดี้ยม ดวลกับ เชลซี และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด จะปักหลักต้อนรับการมาเยือนของ ​อาร์เซนอล โดยจะเริ่มต้นแข่งขันกันในวันที่ 21 มีนาคมนี้ 

สรุปผลการจับสลากประกบคู่ เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย

เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด vs อาร์เซนอล
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด vs แมนเชสเตอร์ ซิตี้
นอริช ซิตี้ vs ดาร์บี้ เคาน์ตี้ หรือ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เลสเตอร์ ซิตี้ vs เชลซี