ยังมีความหวัง ! ยูฟ่า วางแผนเตะ แชมเปี้ยนส์ลีก-ยูโรปาลีก ภายในเดือนสิงหาคม

การแข่งขันฟุตบอล ​ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ ​ยูโรปาลีก เริ่มมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะจัดการแข่งขันภายในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้หลังจากการหารือระหว่างสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) กับ 55 ประเทศสมาชิกในเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ ยูฟ่า ได้แจงต่อสมาชิกว่ายังคงมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถกลับมาจัดการแข่งขันกันอีกครั้งในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน กรกฎาคม ถึงเดือนสิงหาคม

โดยรายงานล่าสุดจาก บีบีซี ชี้ว่าการหารือดังกล่าวได้มีความคืบหน้าไปกับแผนการจบโปรแกรมลีกภายในวันที่ 31 กรกฎาคมซึ่งการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ยุโรปจะถูกจัดขึ้นหลังจากนั้นแต่ ยูฟ่า ยังคงไม่ได้ชี้ขาดถึงแผนการใดๆ พร้อมกับยังเว้นที่ว่างให้ทางเลือกอื่นๆ ภายใต้สถานการณ์ในภาคพื้นยุโรปที่ไม่แน่นอนจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมไปถึงยังมีความเป็นไปได้ว่าการแข่งขันฤดูกาลนี้อาจไม่สามารถจบลงได้ตามโปรแกรม

อย่างไรก็ตาม สื่อดังกล่าวชี้ว่าอาจมีการยกเลิกมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศอย่างช้าที่สุดคือเดือนสิงหาคม ซึ่งจะทำให้การเดินทางไปแข่งขันของทีมฟุตบอลอาชีพในรายการฟุตบอลยุโรปมีความเป็นไปได้มากขึ้น

จากเงื่อนไขดังกล่าวทำให้พวกเขามีแผนที่จะจัดแข่งรอบ 8 ทีมสุดท้ายและรอบ 4 ทีมสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์ แชมเปี้ยนส์ลีก กับ ยูโรปาลีก จาก 2 เลกเหลือเพียง 1 เลก รวมไปถึงความยืดหยุ่นในการจัดแข่งขันลีกภายในแต่ละประเทศยืดออกไปถึงเดือนสิงหาคมด้วยเช่นกัน

ยังไง ! ลูกากู เผยแข้ง เซเรีย อา พาเหรดป่วยตั้งแต่เดือนมกราคม

โรเมลู ลูกากู กองหน้าทีมชาติ เบลเยียม ของ อินเตอร์ มิลาน เปิดเผยข้อมูลกับแช็ทในอินสตาแกรมว่าบรรดานักเตะใน กัลโช เซเรีย อา ต่างทยอยล้มป่วยตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมาโดยมีอาการเชื่อมโยงกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนา

“นักเตะของ อินเตอร์ 23 รายจากทั้งหมด 25 คนป่วยด้วยอาการไอและมีไข้ตั้งแต่ช่วงต้นปี” ลูกากู เผย “แต่พวกเราทั้งหมดได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ สคริเนียร์ เกือบจะหมดสติในสนามจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกระหว่างแข่งขันด้วยซ้ำ”

“ตอนนั้นพวกเราได้รับอนุญาตให้พักผ่อนเป็นเวลา 1 สัปดาห์เมื่อเดือนมกราคม แต่เมื่อกลับจากช่วงดังกล่าวเพื่อนร่วมทีม 23 จากทั้งหมด 25 คนมีอาการป่วย ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ”

“ตอนที่พวกเราอบอุ่นร่างกาย ตัวผมเองยังรู้สึกว่าตัวร้อนผิดปกติทั้งที่ไม่เคยเป็นไข้มาหลายปี หลังเกมนั้นเรามีแผนทานอาหารค่ำร่วมกับ พูม่า สปอนเซอร์ของเรา แต่ผมไม่สามารถไปร่วมได้และตรงกลับบ้านเพื่อพักผ่อนทันที”

[NOSTALGIA] ย้อนรอย 10 ดีลแข้งระดับโลกที่เกือบย้ายไปร่วมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด

1. พอล แกสคอยน์

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1988 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พยายามอย่างหนักหน่วงเพื่อจะเซ็นสัญญาคว้าตัวดาวรุ่งพุ่งแรงในยุคนั้นอย่าง พอส แกสคอยน์ จาก นิวคาสเซิล มาร่วมทัพแต่บอร์ดบริหารของทัพ ปีศาจแดง ปฎิเสธที่จะจ่ายค่าเหนื่อยให้กับ แกสคอยน์ ในระดับที่เขาพึงพอใจขณะที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แสดงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าเขาได้โน้มน้าวใจให้ แกสซา เซ็นสัญญากับทีมอย่างแน่นอนเรียบร้อย

เฟอร์กี้ ใช้เวลาช่วงปิดฤดูกาลพักร้อนที่ มอลต้า พร้อมกับความคาดหวังว่าเจ้าหนู แกสคอยน์ ในเวลานั้นจะเปิดตัวกับทีมอย่างแน่นอนเมื่อเขากลับ อังกฤษ แต่แล้วป๋าก็ได้รับโทรศัพท์สุดเซอร์ไพรส์ที่แจ้งว่าเขาได้เลือกเซ็นสัญญากับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ แทนที่

แกสซา กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ของทีมชาติ อังกฤษ ในยุค 90 พร้อมกับการสรรเสริญว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของทัพ สิงโตคำราม แต่น่าเสียดายที่เขาสามารถคว้าเกียรติยศในระดับสโมสรได้เพียงแชมป์ เอฟเอ คัพ 1 สมัย, แชมป์ สกอตติช พรีเมียร์ ดิวิชัน 2 สมัย และ สกอตติช คัพ กับ สกอตติช ลีกคัพ อีกอย่างละ 1 สมัยเท่านั้น

2. จอห์น เทอร์รี

จอห์น เทอร์รี เติบโตขึ้นมากลายเป็น ‘มิสเตอร์ เชลซี’ หลังจากที่เขาย้ายไปร่วมถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ตั้งแต่ยังเป็นนักเตะเยาวชน แต่เขาใกล้เคียงสุดๆ ที่จะได้เป็น ‘มิสเตอร์ ยูไนเต็ด’ หาก ปีศาจแดง ไม่พลาดการคว้าตัวเขา

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1995 ที่ เทอร์รี เป็นมิดฟิลด์วัย 14 ปีสังกัดอคาเดมีของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เขาได้รับการเชื้อเชิญให้เยี่ยมชม โอลด์ แทรฟฟอร์ด ระหว่างการหารือในดีลย้ายทีม เจ้าหนู เทอร์รี ในเวลาดังกล่าวยังได้ลงเล่นให้กับ ผีแดง ภายใต้สัญญาทดสอบฝีเท้าอีกด้วย แต่ท้ายที่สุดก็กลายเป็น สิงห์บลู ที่ปิดดีลแข้งรายนี้ได้ในที่สุด

3. ซีเนดีน ซีดาน

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มักเป็นคนที่ตัดสินใจการเซ็นสัญญาคว้าแข้งใหม่หลายๆ ดีลของ แมนฯ ยูไนเต็ด  แต่ปี 1996 อาจจะเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขาเมื่อปฎิเสธการเซ็นสัญญา ซีเนดีน ซีดาน ที่ยังคงเป็นเพียงแค่ดาวรุ่งพุ่งแรงจาก บอร์โดซ์

เอริค คันโตนา ในสังกัด ผีแดง เวลานั้นพยายามโน้มน้าว เฟอร์กี้ ให้เซ็นสัญญารุ่นน้องเพื่อนร่วมชาติสู่ โรงละครแห่งความฝัน หลังจากทีมงานแมวมองได้ให้ข้อมูลดังกล่าวแก่นายใหญ่ชาว สก็อต อย่างไรก็ตาม ป๋ามีความเห็นว่าไม่มีที่ว่างให้กับ ซีดาน ในแผงมิดฟิลด์แต่อย่างใดเมื่อมี คันโตนา ที่เขาวางแผนจะจับลงเล่นในบทบาทเดียวกันอยู่ โชคร้ายที่ คันโตนา แขวนสตั๊ดเพียงอีก 1 ปีให้หลังส่วน ซีดาน กลายเป็นแข้งที่ติดทำเนียบหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของโลกกับ ยูเวนตุส, เรอัล มาดริด และทีมชาติ ฝรั่งเศส ในเวลาต่อมา

4. อลัน เชียเรอร์

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด  ไม่เพียงแต่พลาดการเซ็นสัญญา ซีดาน เมื่อปี 1996 พวกเขายังคว้าน้ำเหลวกับดีล อลัน เชียเรอร์ เมื่อครั้งที่ยังเป็นศูนย์หน้าของ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในปีเดียวกันอีกด้วย

เชียเรอร์ เปิดเผยว่าเขาเกือบที่จะย้ายไปร่วมทัพ ปีศาจแดง ก่อนที่จะเซ็นสัญญากับ นิวคาสเซิล ที่สามารถโน้มน้าวให้เขาจรดปากกากับทีมได้สำเร็จเมื่อทัพ สาลิกาดง เป็นสโมสรที่เขาเชียร์มาตั้งแต่ยังเด็ก

ท้ายที่สุด ฮ็อตช็อต สามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ พรีเมียร์ลีก

5. โรนัลโด้

ในปีเดียวกับที่ แมนฯ​ ยูไนเต็ด พลาดดีล ซีดาน, เชียเรอร์ พวกเขายังมีเอี่ยวที่จะซิว โรนัลโด้ เมื่อครั้งที่เจ้าตัวค้าแข้งอยู่กับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน อีกด้วย

อิล ฟิโนเมโน ในเวลานั้นเพิ่งจะสร้างปรากฎกาณ์ใน เอเรดิวิซี เนเธอร์แลนด์ เป็นฤดูกาลแรกแต่ยังนับว่าเป็นเพียงลีกระดับรองเมื่อเทียบกับ พรีเมียร์ลีก ช่วงเดียวกัน ต้นสังกัดของ โรนัลโด้ ตั้งราคาแข้งรายนี้ไว้ที่ 20 ล้านปอนด์ซึ่งเป็นสถิติโลกในเวลาดังกล่าวทำให้ เร้ดเดวิลส์ ถอยกรูดแทบจะในทันทีและกลายเป็น บาร์เซโลนา ที่ได้ลายเซ็นแข้งรายนี้ในที่สุดก่อนที่เจ้าตัวจะกลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดของยุคสมัย

6. โรนัลดินโญ

เมื่อครั้งที่ เดวิด เบ็คแฮม ย้ายจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สู่ เรอัล มาดริด เมื่อปี 2003 ทิ้งช่องว่างในตำแหน่งแข้งตัวรุกริมเส้นให้กับทีมของ เฟอร์กี้ โดยป๋าเล็งที่จะซิวตัว เหยินน้อย ซึ่ง​เวลานั้นท็อปฟอร์มกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ใน ลีกเอิง

ปัญหาคือพวกเขาเจอกับคู่แข่งอย่าง บาร์เซโลนา ที่เจ็บแค้นเมื่อไม่สามารถบรรลุข้อตกลงซิวตัว เบ็คส์ จาก ผีแดง ได้ ทัพอาซูลกรานา จึงเร่งเครื่องใส่เกียร์ 5 เต็มที่เพื่อคว้า โรนัลดินโญ สู่รัง คัมป์นู ขณะที่ ปีศาจแดง จบลงด้วยดีล เคลแบร์สัน ตามด้วย คริสเตียโน โรนัลโด้ ในเวลาต่อมา

7. ราฮีม สเตอร์ลิง

ราฮีม สเตอร์ลิง ในปี 2010 มีสถานะเป็นหนึ่งในดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดแห่งยุคของ อังกฤษ กับวัยเพียง 15 ปีภายใต้อคาเดมีของ ควีนส์ พาร์ค เรนเจอร์ส

ไบรอัน แม็คแคลร์ ผู้อำนวยการอดาเดมีของ ปีศาจแดง ในเวลานั้นถึงกับเดินทางไปเช็คฟอร์มของ สเตอร์ลิง ในทีมเยาวชนของ คิวพีอาร์ ด้วยตนเอง ทว่ากลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่อาศัยความเร็วสายฟ้าแลบยื่นข้อเสนอตัดหน้าและปิดดีลได้สำเร็จเพียงอีกไม่กี่วันให้หลัง

เร้ดเดวิลส์ ยังคงตกเป็นข่าวโยงกับ สเตอร์ลิง ในช่วงโค้งสุดท้ายของเจ้าตัวกับถิ่น แอนฟิลด์ แต่แล้วพวกเขาก็พลาดดีลนี้เป็นหนที่ 2 เมื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้  ตัดสินใจทุ่มเงินมหาศาลซิวเขาไปร่วมทัพในที่สุด

8. โรเบิร์ต เลวานดอสฟกี้

ในฤดูกาล 2011/12 โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ กลายเป็นหนึ่งในดาวยิงพุ่งแรงที่สุดของยุโรปกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และกลายเป็นแข้งเนื้อหอมที่สุดซึ่งทุกทีมต่างหวังได้ไปครอบครอง เช่นเดียวกับ แมนฯ ยูไนเต็ด

“กับ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน น่ะ ผมได้พูดคุยกับเขาหลังจากได้ใช้เวลา 2 ปีที่ ดอร์ทมุนด์ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมคิดหนักว่าจะย้ายไปซบ ปีศาจแดง” เลวานดอฟสกี้ เล่าความหลัง “สาเหตุก็เพราะเป็น เฟอร์กูสัน และเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด “

ทว่าท้ายที่สุด เสือเหลือง ก็บอกปัดข้อเสนอของ เร้ดเดวิลส์ และกลายเป็น โรบิน ฟาน เพอร์ซี ที่กลายเป็นหัวหอกคนใหม่ในเวลาดังกล่าวแทนที่

9. เอเด็น อาซาร์

หลังจากที่ อาซาร์ กลายเป็นคีย์แมนของ ลีลล์ ในฤดูกาล 2011/12 เจ้าตัวได้รับขนมจีบจากบิ๊กทีมทั่วยุโรป รวมไปถึง ยูไนเต็ด เองด้วย

แต่อย่างที่เรารู้ เชลซี ซึ่งได้คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในซีซันดังกล่าวเร่งเครื่องปิดดีลซิวเจ้าตัวสู่รัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ มาได้ โดย เร้ดเดวิลส์ หันไปคว้า ชินจิ คางาวะ แทนที่

10. โทนี โครส

เชื่อว่าสาวก เร้ดเดวิลส์ ดีใจเป็นลิงโลดเมื่อบอร์ดบริหารแยกทางกับ เดวิด มอยส์ ในตำแหน่งกุนซือเมื่อปี 2014 แต่ผลพวงจากความเป็นไปดังกล่าวทำให้ดีลระหว่างพวกเขากับ โทนี โครส ต้องล่มลงไป

โครส ใกล้ที่จะย้ายสู่รัง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ถึงขนาดที่ตกลงเงื่อนไขทั้งหมดได้เรียบร้อยแต่เมื่อ มอยส์ ถูกปลดออกจากตำแหน่ง มิดฟิลด์ชาว เยอรมัน ก็ไม่ได้ความเคลื่อนไหวใดๆ จาก ปีศาจแดง อีกเลยและเป็น เรอัล มาดริด ที่ได้ลายเซ็นของเจ้าตัวไปครอง

เป้าหมายผีแดง ! วิลเชียร์ เผยชื่อดาวรุ่งที่เก่งสุดในพรีเมียร์ลีก ณ ปัจจุบัน

แจ็ค วิลเชียร์ มิดฟิลด์เชิงสูงของ ​เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ยืนยันว่าแข้งเป้าหมายของปีศาจแดงอย่าง ดีแคลน ไรซ์ คือดาวรุ่งที่เก่งสุดบนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ณ ปัจจุบัน

“สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากสุดในวงการฟุตบอลตอนนี้ก็คือ พรีเมียร์ลีกของเรามีนักเตะดาวรุ่งเก่ง ๆ กำลังทำผลงานโดดเด่นอยู่หลายคนจนนับไม่ถ้วน” หนูแจ็ค เปิดประเด็นหลังแฟน ๆ ถามผ่าน IG

“แต่ถ้าถามว่าใครเก่งสุดในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น ? คำตอบชัดเจนสุด ๆ ว่าเป็น ดีแคลน ไรซ์ ซึ่งพวกเราซ้อมร่วมกันทุกวันจนผมแน่ใจว่าไม่มีดาวรุ่งคนไหนเก่งได้เท่านี้อีกแล้ว”

“ผมมั่นใจว่า ดีแคลน จะเติบโตขึ้นไปเป็นยอดนักเตะได้ตามแนวทางของตัวเอง พรสวรรค์ที่เขามีอยู่นั้นสูงจนน่าเหลือเชื่อ มีเท้าซ้าย-เท้าขวาที่ทรงประสิทธิภาพ แถมยังนิสัยดีมากอีกด้วย ฉันรักนายนะเจ้าหนู !”

[OPINION] ธิอาโก้ อัลคันทารา ฮีโร่ผู้ปิดทองหลังพระของ บาเยิร์น มิวนิค

สำหรับโลกแห่งฟุตบอลโดยเฉพาะในยุคหลัง ๆ ผู้คนมักจะตัดสินความเก่งและความดังของเหล่านักเตะกันด้วยสถิติเป็นหลัก โดยให้ความสำคัญที่จำนวนประตู, แอสซิสต์ จากนั้นค่อยมองหาตัวเลขจากผลงานด้านอื่น ๆ ตามลำดับ

ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ต้องยอมรับว่าสถิติต่าง ๆ เหล่านี้สามารถชี้วัตผความสามารถของนักฟุตบอลได้ค่อนข้างเที่ยงตรงมากทีเดียว แต่ขณะเดียวกันมันก็ไปลดทอนคุณค่าในตัวผู้เล่นบางกลุ่มซึ่งผลงานของพวกเขาเอามาวัดเป็นตัวเลขไม่ได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกกองหน้าหรือมิดฟิลด์ตัวรุกมักจะได้รับรางวัลส่วนตัวใหญ่ ๆ และมีชื่อเสียงโด่งดังมากกว่าตำแหน่งอื่น ๆ นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ยังมีนักฟุตบอลอีกมากมายหลายคนที่สร้างผลงานโดดเด่นเอาไว้ในแต่ละเกม แม้มันอาจจะวัดเป็นตัวเลขไม่ได้แต่สำหรับคนที่ตามดูการแข่งขันอย่างจริงจังจะเห็นภาพชัดเจนว่าพวกเขาเหล่านั้นทรงอิทธิพลต่อรูปเกมมากจนทีมขาดไปแทบไม่ได้เลย

Thiago

และพระเอก “ผู้ปิดทองหลังพระ” ที่เราอยากจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ ธิอาโก้ อัลคันทารา มิดฟิลด์ตัวเชื่อมเกมของ บาเยิร์น มิวนิค นั่นเอง

เชื่อเถอะว่าคอบอลส่วนใหญ่คงคุ้นชื่อเสียงเรียงนามของกลางรับทัพเสือใต้คนนี้ดีอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขามีความสำคัญต่อทีมมากขนาดไหน ซึ่งอาจเป็นเพราะตำแหน่งและบทบาทหน้าที่ ส่งผลให้เจ้าตัวไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนักหากเทียบกับเหล่าตัวรุกอย่าง เลวานดอฟสกี้, มุลเลอร์ หรือแม้แต่ กนาบรี ที่เดี๋ยวนี้เองก็ยังถูกยกขึ้นเป็นกระแสตามหน้าสื่อบ่อยกว่าด้วยซ้ำ

เราจึงอยากหยิบยกเอาเรื่องราวของ ธิอาโก้ อัลคันทารา มาเล่าให้ฟังกันสักหน่อย เผื่อว่าใครจะจำเอาไว้คุยกับเพื่อนฝูงในวงสนทนาประสาลูกหนัง ก็ถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

ถ้าพร้อมแล้ว ! เลื่อนตามลงไปทัศนาได้เลย !!

จากเด็กปั้นของ ลามาเซีย สู่ความท้าทายใหม่ในทีม บาเยิร์น มิวนิค

หากใครผ่านการเล่นเกม FM หรือ Football Manager มาในช่วงปี 2007-2008 น่าจะรู้จักเด็ก “เทพ FM” ของ บาร์เซโลนา ที่สมัยนั้นมีอายุเพียงแค่ 16 ปี ถือสองสัญชาติ (บราซิล-สเปน) และสำคัญคือดึงตัวมาได้แบบฟรี ๆ ตั้งแต่เปิดเซฟใหม่ (แม้จะจีบยากสักหน่อยก็ตาม)

จั่วหัวกันมาขนาดนี้แล้วก็ไม่ต้องสืบเลยว่าเป็น ธิอาโก้ อัลคันทารา พระเอกของเราในวันนี้แน่นอน

และนอกจากจะมีชื่อเสียงโด่งดังมากในหมู่เกมเมอร์สายฟุตบอลแล้ว ชีวิตจริงของ ธิอาโก้ เองก็ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน เพราะเขาคือลูกชายของอดีตนักเตะชื่อดังอย่าง มาซินโญ กลางรับผู้เคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกับทีมชาติบราซิลเมื่อปี 1994

ด้วยพรสวรรค์ที่สืบทอดมาตามขีดจำกัดสายเลือดทำให้สต๊าฟฟ์โค้ชของ ลามาเซีย ตั้งความหวังเอาไว้อย่างสูงว่าจะปั้น ธิอาโก้ ขึ้นเป็นอนาคตใหม่ให้กับ บาร์เซโลนา ได้แน่นอน

แต่เส้นทางชีวิตของเขาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบทั้งหมด เพราะไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่เจ้าตัวดันมาเติบโตเอาในยุคที่ ซาบี เฮอร์นันเดซ, อันเดรส อิเนียสต้า, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ กำลังพีคสุด ๆ กันอยู่พอดีจนส่งผลให้ไม่สามารถสอดแทรกขึ้นมาเป็นตัวจริงบนแผงมิดฟิลด์ทัพต่างดาวได้ตามที่ตัวเองและหลาย ๆ คนคาดหวังไว้

Thiago Alcantara

อย่างไรก็ตาม ธิอาโก้ ก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไรทั้งนั้น และมุ่งมั่นพิสูจน์ตัวเองต่อไปกับทีมชุดเล็ก จนได้รับโอกาสติดทีมชาติสเปนชุด U-21 ซึ่งเจ้าตัวคือคีย์แมนผู้พาทัพกระทิงดุคว้าแชมป์เยาวชนยุโรปมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ด้วยผลงานการซัดแฮตทริกใส่ อิตาลี ในรอบชิงฯ

เมื่อชีวิตมันต้องก้าวเดินต่อไป ธิอาโก้ กลับมาคิดทบทวนถึงการออกแบบเส้นทางค้าแข้งให้ตัวเองใหม่หมดอีกครั้ง เพราะในเมื่อเก่งขนาดนี้แล้วจะมาโดนดองยาวอยู่ในถิ่นคัมป์นูตลอดไปก็ไม่ใช่เรื่องถูกสักเท่าไหร่ แม้จะรักทีม บาร์เซโลนา ขนาดไหนก็ตาม

สุดท้ายเขาตัดสินใจพาตัวเองย้ายออกไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยค่าตัวแค่ 25 ล้านยูโรเมื่อปี 2013 โดยมี เป๊ป กวาร์ดิโอลา ลูกพี่เก่าที่ตอนนั้นคุมทัพเสือใต้อยู่เป็นผู้ติดต่อขอซื้อเองโดยตรง


FBL-GER-BUNDESLIGA-DORTMUND-BAYERN MUNICH

ไม่ง่ายกว่าจะกลายมาเป็นกระดูกสันหลังของทัพเสือใต้

ถึงแม้ ธิอาโก้ จะได้ร่วมงานกับเทรนเนอร์ที่รู้ใจอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา และถูกส่งลงเปิดตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาลแรกของตัวเอง แต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะหลังจากที่ทำผลงานน่าประทับใจมาตลอดครึ่งปี จู่ ๆ ก็ดวงแตกได้รับบาดเจ็บรุนแรงบริเวณหัวเข่าจนต้องพักยาวร่วมปี

แน่นอนว่าทีมใหญ่อย่าง บาเยิร์น ไม่สามารถเสียเวลารอนักเตะเพียงคนเดียวไปเปล่า ๆ ได้ ฉะนั้นระหว่างที่ ธิอาโก้ พักรักษาตัวอยู่ เป๊ป ก็ยกระดับความแกร่งให้ทัพเสือใต้ไปเรื่อย ๆ ทั้งในเรื่องของแท็คติกและตัวผู้เล่น ซึ่งพอหายเจ็บกลับมา จึงได้รับผลกระทบด้านลบอย่างรุนแรงต่อเส้นทางค้าแข้งเต็ม ๆ เลยทีเดียว

Thiago

อย่างไรก็ตาม ธิอาโก้ เป็นนักฟุตบอลประเภทที่มีความมุ่งมั่นสูงกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว เขาจึงทำงานหนักต่อเนื่องและพยายามพิสูจน์ตัวเองทุกครั้งที่ได้รับโอกาสโดยไม่เคยปริปากบ่นเลยแม้แต่นิดเดียว แม้จะถูกส่งลงสนามในฐานะตัวสำรองของเพื่อนฝูงในช่วงครึ่งหลังแบบต่อเนื่องทุกนัดก็ตาม”

หลังจากที่เคาะสนิมจนหลุดหมด ฟอร์มเก่ง ๆ เริ่มกลับมา ความมั่นใจก็พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วยทำให้ ธิอาโก้ เริ่มกล้าแสดงให้โลกเห็นถึงพรสวรรค์ที่แท้จริง ซึ่งก็คือการเลี้ยงบอลทะลุทะลวงจากกลางสนามเข้าสู่กรอบเขตโทษฝ่ายตรงข้ามอย่างอันตราย ซึ่งมันจุดประกายให้ เป๊ป มองเห็นว่าจะทำยังไงให้ใช้งานได้จนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

จนสุดท้าย ธิอาโก้ ก็กลายเป็นตัวจริงที่ไม่เคยหลุดจากทีมอีกเลย


Thiago Alcantara

ธิอาโก้ คือศิลปินลูกหนังตัวจริง

เพื่อนร่วมทีม บาเยิร์น มิวนิค รวมถึงแฟน ๆ ต่างทราบดีว่า ธิอาโก้ มีสไตล์การเล่นบอลสวยงามน่าประทับใจเพราะมีสายเลือดแซมบ้าไหลเวียนอยู่ในตัว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนหลงรักเพลงแข้งของเขามากสุดก็คืออิทธิพลที่มีต่อรูปเกมยามไม่ได้เป็นผู้ครองบอลนี่แหละ

อย่างที่รู้กันดีว่านอกเหนือจากทักษะด้านการเล่นกับลูกฟุตบอลแล้ว ยังมีองค์ประกอบสำคัญอื่น ๆ อีกมากมายหลายอย่างที่เป็นตัวชี้วัดว่าใครเก่ง-ไม่เก่งอย่างไรบ้าง ซึ่งคุณสมบัติที่โดดเด่นมากของ ธิอาโก้ ก็คือเรื่องการยืนตำแหน่งนี่แหละ

เขามักจะอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอราวกับมองเห็นอนาคตว่าเพื่อนจะทำอะไร ? ขยับไปทางไหน ? คู่แข่งจะบุกมาตามช่องไหน ? ส่งบอลขึ้นหน้ากันอย่างไร ?

Jorginho,Thiago

ผลคือ ธิอาโก้ กลายเป็นคนที่มีส่วนร่วมกับทั้งเกมรุกและเกมรับมากที่สุดในทีมเกือบจะทุกแมตช์ และด้วยความที่การเล่นของเขาทำให้เพื่อนได้เปรียบฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน จึงทำให้ต้องลงสนามตลอดหากไม่สุดวิสัยจริง ๆ

ดาวเตะทีมชาติสเปนคนนี้ฉลาดหลักแหลมมากพอจะผสมผสานทักษะสุดพริ้วของตัวเองเข้ากับระเบียบวินัยจนได้ออกมาเป็นสไตล์การเล่นที่มีเอกลักษณ์สุด ๆ เพราะขณะตั้งรับเขาคือด่านสำคัญที่ช่วยกรองให้งานของเหล่าผู้เล่นกองหลังง่ายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

ส่วนเกมรุก ธิอาโก้ ถูกวางให้เป็นตัวเริ่มเปิดฉากมาตั้งแต่ยุคสมัยที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยังรับงานกุนซืออยู่ ซึ่งเจ้าตัวสามารถทำให้ทั้งบทบาทของ Deep Lying Playmaker ผู้วางบอลจากแนวลึกขึ้นหน้าอย่างมีประสิทธิภาพแม่นยำ แถมยังเลี้ยงตะลุยเข้าสู่พื้นที่สุดท้ายได้ด้วยตัวเองอีกต่างหาก เรียกว่าบุกมาแต่ละที สร้างพื้นที่ให้เพื่อนคนอื่น ๆ และป่วนกองหลังฝ่ายตรงข้ามจนพินาศได้พร้อมกันเลย

และทั้งหมดที่ว่ามานั้น ธิอาโก้ ไม่เคยลืมที่จะใส่ลีลาสวยงามสร้างความบันเทิงเริงใจแก่ผู้ชมเอาไว้ด้วย

ฉะนั้นหากใครสังเกตเห็นรูปแบบของ ธิอาโก้ ที่มีอิทธิพลต่อเกมของ บาเยิร์น มิวนิค อย่างแท้จริงล่ะก็ บอกได้คำเดียวว่า “นักเล่นเขารู้กัน”

Thiago Alcantara

แข่งต่อให้จบ-ปัดตกวันเดดไลน์ปิดซีซัน ! สรุปประเด็นจากที่ประชุมฟุตบอล พรีเมียร์ลีก

สโมสรฟุตบอลในศึก​ พรีเมียร์ลีกอังกฤษ มีท่าทีในที่ประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่ายังคงเห็นชอบที่จะแข่งตามโปรแกรมที่เหลือทั้งหมดจนจบฤดูกาล โดยอาจต้องบีบเกมทั้งหมด 92 นัดที่เหลือให้เกิดขี้นภายในกรอบเวลา 40 วัน แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปถึงกำหนดการดังกล่าวแต่อย่างใด

ลีกอาชีพแดนผู้ดีได้หยุดการแข่งขันชั่วคราวจากผลกระทบของวิกฤตไวรัสโคโรนา ซึ่งหนึ่งในข้อเสนอของที่ประชุมคือการตั้งเดดไลน์วันปิดลีกไว้ที่ 30 มิถุนายน แต่ข้อเสนอดังกล่าวถูกปัดตกไปเนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่เห็นว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการกำหนดวันเดดไลน์แต่อย่างใด

“บรรดาสโมสรได้หารือถึงแผนงานหลากหลายภายใต้สถานการณ์ที่ซับซ้อนเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ที่กำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกันในขณะนี้” โฆษก พรีเมียร์ลีก เปิดเผยข้อมูล

“การประชุมในวันนี้เป็นโอกาสที่ทำให้ได้มาถกกันถึงความเป็นไปได้ในการจัดโปรแกรมรูปแบบต่าง การแข่งขันให้จบตามโปรแกรมฤดูกาล 2019/20 ยังคงเป็นเป้าหมายของเรา แต่ในเวลานี้ยังไม่สามารถระบุวันที่แน่ชัดได้เมื่อสถานการณ์ โควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบ”

ขณะที่เมื่อวันพฤหัสบดีทีผ่านมา รัฐบาลอังกฤษได้ขยายมาตรการปิดเมืองไปอีก 3 สัปดาห์เพื่อหยุดจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีรายงานว่ากระทรวงวัฒนธรรมแดนผู้ดีได้ส่งสัญญาณให้ พรีเมียร์ลีก หารือเกี่ยวกับแผนงานในอนาคตเรียบร้อย

ในที่ประชุมดังกล่าวยังได้มีการพูดถึงประเด็นชุดตรวจหาเชื้อ โควิด-19 กับการตรวจนักฟุตบอลว่าจำเป็นที่จะต้องให้มีใช้งานกับประชาชนทั่วไปอย่างทั่วถึงเสียก่อนจึงจะนำมาใช้กับบรรดาพ่อค้าแข้งได้

ส่วนประเด็นข้อเสนอการกำหนดเดดไลน์ของวันปิดลีกไว้ที่ 30 มิถุนายนนั้นมาจากเหตุผลที่ว่าสัญญาของนักเตะบางรายที่กำลังจะหมดลงในซีซันนี้จะสิ้นสุดลงในวันดังกล่าว หลายสโมสรแสดงความกังวลถึงการที่พวกเขาจะไม่สามารถใช้งานแข้งเหล่านั้นได้ แม้ว่า ฟีฟ่า จะได้แสดงท่าทีรับรู้ถึงปัญหาดังกล่าวพร้อมกับอาจมีการประกาศมาตรการยืดสัญญาของนักเตะออกไปชั่วคราว

นอกจากนี้ สัญญาในด้านการตลาดบางประเด็นอย่างผู้สนับสนุนชุดแข่งขันของบางสโมสรจะมีการเปลี่ยนแปลงสปอนเซอร์ในวันดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน

[ข่าวซื้อขาย] แทนใคร ! ลือ หงส์แดง เล็งคว้า มาร์เซโล โบรโซวิช จาก อินเตอร์ 52 ล้านปอนด์

​สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล แห่งศึก ​ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ตกเป็นข่าวเล็งที่จะคว้าตัว มาร์เซโล โบรโซวิช กองกลางชาว โครเอเชีย วัย 27 ปีจาก อินเตอร์ มิลาน ใน ตลาดซื้อขายนักเตะ รอบที่จะถึงนี้คามการรายงานของ ลิเบโร สื่อใน อิตาลี

เยอร์เก้น คล็อปป์ แสดงท่าทีต้องการที่จะเสริมความแข็งแกร่งที่แดนกลางเมื่อการเปิดเผยจากสื่อแดน มักกะโรนี ชี้ว่าพวกเขาได้เดินหน้าหารือเบื้องต้นกับเอเยนต์ของ โบรโซวิช เรียบร้อยแล้ว

โดยสัญญาฉบับปัจจุบันของ โบรโซวิช กับทัพ เนรัซซูรี เหลืออีกเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นและคาดการณ์ว่าเจ้าตัวต้องการที่จะแสวงหาความท้าทายใหม่หลังอยู่โยงในถิ่น ซาน ซิโร มาตั้งแต่ปี 2015 แม้ว่าทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ ยังหวังที่จะเก็บดาวเตะรายนี้ไว้ใช้งานต่อไป รวมทั้งยังอยู่ระหว่างการเจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่

ทั้งนี้ กองกลาง โครแอต มีค่าฉีกสัญญามูลค่า 52 ล้านปอนด์ แต่สื่อดังกล่าวชี้ว่าอาจเป็นการยากที่ เร้ดแมชีน จะทุ่มทุนฉีกสัญญาของแข้งรายนี้

นอกจากนั้น อินเตอร์ มิลาน ยังแสดงความสนใจ จินี ไวนัลดุม ของ หงส์แดง ซึ่งกำลังจะหมดสัญญากับต้นสังกัดซัมเมอร์หน้า โดยมีความเป็นไปได้ที่ทั้ง 2 ทีมอาจพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในดีลสลับขั้วจากการรายงานของสื่อดังกล่าว

[OPINION] เส้นทางอันขุ่นมัวของดาวรุ่งอนาคตไกลแห่ง เชลซี : คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย

ท่ามกลางเส้นทางอันยากลำบากของ เชลซี ฤดูกาลนี้ กลับเป็นยุคทองของบรรดาแข้งดาวรุ่ง ที่มีโอกาสได้ไต่เต้าขึ้นมาวาดลวดลายกับทีมชุดใหญ่กันแบบทั่วหน้าภายใต้การคุมทัพของตำนานสโมสรอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด ซึ่งหนึ่งในจำนานนั้นคือ คัลลัม ฮัดสัน โอดอย ปีกความเร็วสูงวัย 19 ปี ที่เคยได้รับโอกาสลงเล่นกับทีมชุดใหญ่มาบ้างแล้วตั้งแต่ในยุคของ อันโตนิโอ คอนเต้ และ เมาริซิโอ ซาร์รี 

Mason Mount,Callum Hudson-Odoi

อย่างที่ได้กล่าวไปข่างต้น เนื่องมาจากปีนี้ ทีมสิงโตน้ำเงินคราม ประสบปัญหาถูกแบนห้ามลงทะเบียนนักเตะใหม่ ทำให้เหล่าหนุ่มน้อยมากพรสวรรค์ในสังกัดต่างพากันได้รับโอกาสพิสูจน์ฝีเท้าจนสร้างชื่อเสียงกันขึ้นมาอย่างทั่วหน้า ทั้ง แทมมี อับราฮัม เมสัน เมานท์ หรือแม้แต่ รีซ เจมส์ ที่โชว์ฟอร์มเตะตาจนเบียด กัปตันเดฟ กระเด็นไปเล่นแบ็คซ้ายอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว

แต่สำหรับ คัลลัม ฮัดสัน โอดอย แม้ว่าจะได้รับโอกาสเปิดตัวมาก่อนเพื่อนถึง 2 ปี แต่ผลงานของเขาในปีนี้ต้องบอกว่าไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย ด้วยผลงาน 1 ประตูตลอด 29 นัดที่ลงสนามให้กับทีม แถมยังดูมีจุดผิดพลาดให้เห็นแทบจะทุกนัดที่ลงสนาม โดยเฉพาะเรื่องของการตัดสินใจในจังหวะสุดท้าย ที่ดูจะเรื้อรังแก้ไม่หายเสียทีจนถึงปัจจุบัน

ก่อนฤดูกาลนี้จะเริ่มต้น โอดอย มีข่าวพัวพันกับยักษ์ใหญ่ในบุนเดสลีกาอย่าง บาเยิร์น มิวนิค แต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะอยู่กับทีมต่อไปพร้อมได้รับสัญญาฉบับใหม่ที่ว่ากันว่าค่าเหนื่อยเกินหลักแสนปอนด์ต่อสัปดาห์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ต้องบอกว่าผลงานก็แทบไม่ได้โดดเด่นเฉิดฉายอะไรขนาดนั้นเสียด้วยซ้ำ และเจ้าตัวก็ยังไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นเลยจนถึงทุกวันนี้ ใครหลายคนอาจจะมองว่าเป็นการลงทุนระยะยาว แต่จากที่เห็นนั้นเขายังดูแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาใดใดที่ชัดเจนเลยตลอด 1 ฤดูกาลที่ผ่านมา หากเทียบกับแข้งในตำแหน่งเดียวกันที่อายุไล่ ๆ กันอย่าง คริสเตียน พูลิซิช ที่พึ่งจะย้ายมาเล่นในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีเป็นปีแรก และแม้ทางฝั่ง กัปตันอเมริกา จะยังโชว์ฟอร์มได้ไม่ต่อเนื่องนัก แต่หากใครติดตามดูจะเห็นได้ว่า พูลิซิช มีของดีรอการเปล่งประกายอยู่อีกมาก ทั้งการครองบอลที่เหนี่ยวแน่น ทักษะลวดลายที่ไม่ธรรมดา แถมยังเล่นลูกกลางอากาศได้ดีอีกด้วย

แต่สำหรับ โอดอย ที่นอกจากจะมีสปีดเป็นจุดขายแล้ว ยังแทบไม่เห็นแววโดดเด่นฉายออกมาในทางไหนเป็นเรื่องเป็นราวเลย ทั้งการจบสกอร์ การวางบอล และที่สำคัญที่ได้กล่าวไป การตัดสินใจต่าง  ๆ ดูจะเป็นจุดอ่อนสำคัญของเขาเสมอมา จังหวะที่ควรเปิดดันยิง จังหวะที่ต้องจ่ายกลับเลี้ยง ซึ่งเจ้าตัวต้องรีบแก้ปัญหานี้ให้ได้เป็นการด่วน เพราะแม้ปีหน้าทีมอาจต้องเสีย วิลเลียน และ เปโดร ไป แต่การมาของ ฮาคิม ซิเย็ค รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด อาจต้องการตัวริมเส้นระดับโลกเข้ามาเสริมทัพเพิ่มเติมเพิ่อที่จะทวงคืนความยิ่งใหญ่กลับคืนมา ไม่ว่าจะเป็นรายของ คูตินโญ หรือแม้แต่ เจดอน ซานโช ก็ล้วนไม่ใข้ระดับธรรมดา ๆ ทั้งนั้น

ถ้าหากฤดูกาลหน้า สิงห์บลู ทุ่มเงินคว้าตัวสตาร์ในตำแหน่งริมเส้นมาอีกอย่างน้อย 1 หรือ 2 คนตามที่คาดกัน ก็มีโอกาสสูงมากที่ ฮัดสัน โอดอย จะต้องเสียตำแหน่งตัวจริงในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไปอย่างถาวร ถ้ายังไม่สามารถเร่งฟอร์มการเล่นของตนขึ้นมาได้ ซึ่งต้องมาลุ้นกันว่าบทสรุปของเกมที่เหลือในซีซั่นนี้จะเป็นอย่างไร จะมีเวลาเหลือมากพอให้หนุ่มน้อยดีกรีทีมชาติอังกฤษรายนี้แก้ตัวหรือไม่ หรือว่าม่านของเขานั้นได้ปิดตัวลงไปอย่างสมบูรณ์แล้วกันแน่ อีกไม่นานคงได้รู้กัน…

[FEATURE] จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของ ลิเวอร์พูล ยุค ‘สไปซ์บอย’

แฟนบอล ​ลิเวอร์พูล น่าจะเคยได้ยินชื่อ ‘สไปซ์บอย’ มาบ้าง แต่บางคนโดยเฉพาะที่ไม่ทันช่วงยุค 90 อาจจะทำหน้างงว่านี่คือชื่อวงบอยด์แบนด์หรืออย่างไร?

เกือบถูกต้องแล้วเมื่อชื่อ ‘สไปซ์บอย’ เป็นการล้อเลียนชื่อจาก ‘สไปซ์เกิร์ล’ วงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังของอังกฤษในตอนนั้นที่ภายหลังหนึ่งในสมาชิกอย่าง วิคตอเรีย อดัมส์ ได้กลายมาเป็นภรรยาของ เดวิด เบ็คแฮม ด้วย

สไปซ์บอยประกอบไปด้วยนักเตะอย่าง ร็อบบี ฟาวเลอร์, สตีฟ แม็คมานามาน, เจสัน แม็คอาเทียร์ และ เจมี เรดแนปป์ แต่หากจะผนวก จอห์น สเกล, ฟิล บาปป์, เดวิด เจมส์ หรือแม้กระทั่ง สแตน คอลลีมอร์ และ พอล อินซ์ ก็ไม่ถือว่าผิดอะไร

ฉายานี้ไม่ใช่นักเตะคิดขึ้นมาเองแน่นอนแต่เริ่มต้นจากสื่ออย่าง เดลีย์เมล์ ที่ได้ตั้งให้เริ่มจากที่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ กับ เอ็มม่า บันตัน หนึ่งในสมาชิกสไปซ์เกิร์ลมีข่าวว่าได้กุ๊กกิ๊กกัน

กอปรกับการที่นักเตะ ลิเวอร์พูล ในตอนนั้นต่างมีหน้าตาที่หล่อเหลาพร้อมยังเชื่อว่ามีพฤติกรรมรักสนุกเป็นเพลย์บอยควงหญิงไม่ซ้ำหน้าจึงทำให้สื่อกระพือมันเข้าไปใหญ่

Cheerball> [ #สูทสีขาวในวันนั้น ]

แม้ว่า ฟาวเลอร์ และหลายๆ คนจะไม่ชอบกับฉายาและที่มาของมันแต่ครั้งหนึ่งพวกเขาก็ทำในสิ่งที่ตอกย้ำกับภาพพจน์นี้เข้าเต็มๆ ในเกมรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ 2016

ก่อนเกมแข้ง หงส์แดง ได้ลงสนามด้วยการใส่สูทสีขาวของอาร์มานีผูกไทสีขาวสลับแดงดูหรูหราราวกลับออกมาจากนิตยสาร

แน่นอนว่ามันเป็นอะไรที่เรียกเสียงฮือฮาเป็นอย่างมากและคงจะหล่อไปกว่านี้หากสุดท้ายไม่มาแป๊กแพ้ต่อ ​แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ 0-1 ไปเสียก่อน

LIVERPOOL FC) ใครโตมากับหงส์แดงยุค spice boys บ้าง ชวนมาเล่าความ ...

พูดถึงความสำเร็จของ ลิเวอร์พูล ยุค สไปซ์บอย นี้ก็มีเพียงแชมป์ลีกคัพที่ตอนนั้นเรียกว่าโคคาโคล่าคัพเพียงถ้วยเดียว หรือหากจะเรียกกันว่าถ้วยมิคกี้เมาส์ตามแฟนบอลหลายๆ ท่านก็แล้วแต่ศรัทธา

มาดูผลงานในลีกก็อย่างที่รู้ๆ เมื่อจบได้แค่อันดับ 6 ในปี 1993, อันดับ 8 ในปี 1994 ขณะที่ดีสุดก็เป็นอันดับ 3 เท่านั้นเมื่อปี 1996 และ 1998 ขณะที่ทีมคู่แค้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับเป็นแชมป์แล้วเป็นแชมป์อีก

เรียกได้ว่าร่อแร่มานานพอสมควรก่อนที่ สไปซ์บอย จะวงแตกในปี 1998 ตอนที่ ลิเวอร์พูล ตั้ง เฌอร์ราร์ด อูลิเยอร์ เข้ามาคุมทีม

Roy Evans Robbie Fowler Gerard Houllier - Planet Football

กุนซือตาโปนชาวฝรั่งเศสรายนี้ขึ้นชื่อเรื่องของระเบียบวินัยและความเฮี้ยบ และเหมือนภารกิจที่เขาได้คือการกู้ภาพลักษณ์ของ ลิเวอร์พูล กลับมา จึงได้ปัดกวาดนักเตะที่จัดอยู่ในสไปซ์บอยออกไปหลายต่อหลายคนจนหมดยุคนี้ในที่สุด

[FEATURE] ร็อคกี้ บัลบัว-เยอร์เก้น คล็อปป์ และประวัติศาสตร์ เสือเหลือง ชนะ เสือใต้ ในรอบ 20 ปี

ก่อนจะมาคุมทีม ​ลิเวอร์พูล แฟนฟุตบอลทุกคนล้วนรู้จัก เยอร์เก้น คล็อปป์ เป็นอย่างดีในฐานะผู้เข็น โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ขึ้นมาทาบรัศมีทีมฟุตบอลอันดับหนึ่งของเยอรมนีอย่าง บาเยิร์น มิวนิค

คล็อปป์ พา เสือเหลือง คว้าแชมป์บุนเดสลีกา สองสมัย พร้อมยังพาทีมเอาชนะ เสือใต้ ระหว่างที่อยู่ที่นั่นถึง 10 ครั้งจากทุกๆ รายการ แต่แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกเสมอ

Liverpool FC boss Klopp: Dortmund should know my story started by ...

ย้อนกลับไปปี 2011 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ต้องโคจรมาพบกับ บาเยิร์น มิวนิค ที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะมาได้เลยกว่า 20 ปีแต่ในครั้งนี้มันจะเปลี่ยนไป

คล็อปป์ ได้เรียกลูกทีมเข้ามาปลุกใจพร้อมใช้หนึ่งในหนังโปรดที่เป็นแรงบันดาลใจของตัวเองอย่าง ร็อคกี้ ภาค 4 เข้ามามีส่วนร่วม

ร็อคกี้ เป็นภาพยนตร์ชุดที่กล่าวถึงชีวิตของนักมวยชื่อดังนามว่า ร็อคกี้ บัลบัว ซึ่งรับบทโดย ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ภาค 4 เขาต้องเดินทางไปแก้แค้นให้กับเพื่อนรักด้วยการชกกับสุดยอดนักชกรัสเซียที่ชื่อว่า อิวาน ดราโก

ดราโก เป็นนักมวยที่ฝึกซ้อมภายใต้วิทยาการและเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมที่สุด ตัดมาที่ ร็อคกี้ เขาต้องฝึกในกระท่อมเล็กๆ ในไซบีเรียอันหนาวเหน็บและต้องใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น

“ครั้งสุดท้ายที่ ดอร์ทมุนด์ มาเอาชนะที่ มิวนิค พวกเอ็งทุกคนยังใส่แพมเพิร์สอยู่เลย” คล็อปป์ เผยคำพูดที่เขาเริมใช้ปลุกใจ

“บาเยิร์น มิวนิค คือ อิวาน ดราโก ที่เพอร์เฟ็คในทุกด้าน, มีเทคโนโลยี, มีเครื่องมือที่เจ๋งสุดและก็ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้เลย”

“ส่วนเราคือ ร็อคกี้ เราตัวเล็กกว่าแต่เราก็มีพาสชันไม่แพ้ใคร, เรามีจิตใจของแชมป์, เราสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นได้”

สิ่งที่ คล็อปป์ หวังว่าจะได้เห็นคือนักเตะของตัวเองฮึกเหิม, ลุกขึ้นมาโห่ร้อง, พร้อมที่จะคลั่งอย่าง ร็อคกี้ ที่ทำได้แม้กระทั่งวิ่งขึ้นภูเขาที่ไซบีเรียอันหนาวเหน็บ

3 great achievements of Jurgen Klopp at Borussia Dortmund

แต่ผิดคาดเพราะนักเตะแทบทุกคนของเขากลับมองมาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า…และแล้ว คล็อปป์ ก็รู้ตัวว่านักเตะส่วนใหญ่แล้วเกิดหลัง ร็อคกี้ ฉายเสียอีก

“เดี๋ยวนะ ไอ้หนูยกมือขึ้นถ้าหากรู้จัก ร็อคกี้” คล็อปป์ ถามก่อนจะได้เห็นแข้งเพียง 2 คนเท่านั้นชูมือสลอน

สุดท้ายแล้วนี่จึงเป็นการพูดปลุกใจที่แทบไร้ความหมายของ คล็อปป์ เลย แต่สิ่งที่น่าประหลาดคือ ดอร์ทมุนด์ สามารถเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ในเกมนั้นไปได้ 3-1

Football: Klopp hails 'best night' of his life after ending final ...

นี่อาจจะเป็นเรื่องตลกๆ อีกหนึ่งเรื่องจากชายที่มากด้วยอารมณ์ขันของ คล็อปป์ แม้เขาจะนับว่าเป็นความผิดพลาด แต่มันก็เป็นแค่เสมือนอีกหนึ่งขั้นบันไดที่ทำให้เจ้าตัวขัดเกลาตัวเองกลายเป็นหนึ่งในกุนซือที่ปลุกใจได้เก่งที่สุดจนลูกทีมพร้อมเล่นถวายหัวให้ทุกนัดอย่างที่เราเห็นกันตอนนี้