ไฟลั่มเดียวกัน ! เนวิลล์ เผยจุดที่ เจมส์ แมดดิสัน โดดเด่นเทียบชั้น เอริค คันโตนา

แกรี เนวิลล์ ตำนานแบ็คขวา สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แห่งศึก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ออกโรงยก เจมส์ แมดดิสัน เทียบชั้นแข้งไอคอน ปีศาจแดง อย่าง เอริค คันโตนา

แมดดิสัน ตกเป็นข่าวหนาหูใน ตลาดซื้อขายนักเตะ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ตลอดช่วงที่ผ่านมาหลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้จากผลงาน 9 ประตู 3 แอสซิสต์จากการลงเล่นทั้งหมด 35 นัดเมื่อรวมทุกรายการ

“เจมส์ แมดดิสัน เป็นนักเตะที่มีความแพรวพราวสุดๆ” เนวิลล์ กล่าวให้สัมภาษณ์กับ สกายสปอตส์ “พวกเราเคยพูดแบบนี้กับนักเตะอย่าง โจ โคล และ แม็ตต์ เลอ ทิสซิเอร์ กระทั่ง เอริค คันโตนา ก็ถูกยกย่องว่ามีลีลาแพรวพราว เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและดุดันอยู่ในที เช่นเดียวกับ แจ็ค กรีลิช ซึ่งนักเตะพวกนี้มีออร่าเปล่งประกายอยู่ในตัว”

“นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจังเป็นนักฟุตบอลที่น่าสนใจ แข้งเหล่านี้มีไหวพริบ ทักษะความสามารถเฉพาะตัวสูง พวกเขาต้องการที่จะดูดีในสนามและสามารถทำมันให้เป็นไปได้”

“มันน่าตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นพวกเขาเหล่านั้นวาดลวดลายในสนามแข่งขัน นักเตะอย่าง แมดดิสัน เป็นแข้งที่มีศักยภาพอยู่ในตัวเต็มเปี่ยมและผมมั่นใจว่า เลสเตอร์ จะทำทุกวิถีทางในการรั้งเขาให้อยู่ในถิ่น คิงพาวเวอร์ สเตเดี้ยม ต่อไป”

[BEST XI] จัดทีม 11 นักเตะดีที่สุดของทีมชาติไอวอรี โคสต์ระหว่างปี 2000-2020

ไอวรี โคสต์ กลายเป็นทีมชาติที่ก้าวขึ้นมาอยู่บนเวทีฟุตบอลระดับโลกนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา

หนึ่งในทีมชุด โกลเด้น เจเนอเรชัน ของพวกเขาคือบรรดากลุ่มผู้เล่นที่พาทีมก้าวเข้าไปเล่นใน ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย เมื่อปี 2006 ตามด้วยในปี 2010 และ 2014 ขณะที่ทัวร์นาเมนต์ในทวีป แอฟริกา พวกเขาทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในปี 2006 และ 2012 กระทั่งคว้าแชมป์ระดับทวีปเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1992 ในปี 2015

และนี่คือทีมชุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ ไอวอรี โคสต์ นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา


ผู้รักษาประตูและกองหลัง

บูบาการ์ แบร์รี – ย้อนกลับไปในศึก แอฟคอน เมื่อปี 2015 แบร์รี ในวัย 35 ปีไม่ใช่ตัวเลือกอันดับ 1 ทีมชาติชุดดังกล่าวก่อนที่เขาจะต้องทำหน้าที่ลงเฝ้าเสาเมื่อนายทวารตัวจริงได้รับบาดเจ็บ โดยในเกมนัดชิงชนะเลิศเจ้าตัวเซฟได้ 2 ครั้งรวมทั้งยังทำหน้าที่สังหารจุดโทษเป็นประตูส่งทีมคว้าแชมป์ก่อนแขวนถุงมือหลังจบทัวร์นาเมนต์

เอ็มมานูเอล เอบูเอ้ – แบ็คขวารายนี้ลงเล่นให้กับ อาร์เซนอล มากกว่า 200 นัดตลอดเส้นทางการค้าแข้ง รวมไปถึงอยู่ในทีมชุดก้าวขึ้นไปถึงนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2006 ก่อนจะไปเป็นแชมป์ เตอร์กิช ซูเปอร์ลีก กับ กาลาตาซาราย 3 สมัย

โคโล ตูเร – ตูเร ผู้พี่สร้างชื่อกับ ไอ้ปืนใหญ่ ในทีมชุดคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ไร้พ่ายเมื่อฤดูกาล 2003/04 และเป็นผู้เล่นในทีมชุดโกลเด้นเจเนอเรชันของ ไอวอรี โคสต์ ช่วงต้นปี 2000

เอริค ไบยี – แม้ว่าในเวลานี้ ไบยี จะยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ว่าเขาเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดของโลกได้เมื่อถูกอาการบาดเจ็บเล่นงานบ่อยครั้งแต่เจ้าตัวก็มีดีกรีเป็นแชมป์ แอฟคอน เมื่อปี 2015 และลงเล่นให้กับ ไอวอรี โคสต์ มากกว่า 30 นัดไปแล้ว

อาร์เธอร์ โบก้า – แบ็คซ้ายรายนี้แจ้งเกิดขึ้นมากับ เบเวเรน แห่งลีก เบลเยียม ก่อนที่จะยกระดับกับ สตุ๊ตการ์ท ในเวลาต่อมารวมทั้งยังลงเล่นให้กับทีมชาติต่อเนื่องยาวนานถึง 11 ปี


ดิดิเยร์ โซโกรา – มิดฟิลด์ตัวรับที่แจ้งเกิดกับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ตั้งแต่อายุได้เพียง 21 ปี อยู่ในทีมชุดคว้าแชมป์ ลีกคัพ เมื่อฤดูกาล 2007/08 และกายเป็นนักเตะที่ลงเล่นกับพลพรรค ช้างดำ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ 123 นัด

ยาย่า ตูเร – จากแข้งสารพัดประโยชน์ในตำแหน่งกองกลางตัวรับและเซ็นเตอร์แบ็คกับ บาร์เซโลนา ก่อนที่จะกลายเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเวลาต่อมา

ตูเร ยังเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดคว้าแชมป์ แอฟคอน ในปี 2015

ชีค ติโอเต้ – กองกลางผู้ซัลโวหนึ่งในประตูที่ตราตรึงที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก เมื่อครั้งค้าแข้งกับ นิวคาสเซิล ในเกมไล่ตีเสมอ อาร์เซนอล 4-4 เจ้าตัวลงเล่นให้กับทีมชาติทั้งหมด 55 นัดแต่น่าเศร้าที่ต้องจากโลกนี้ก่อนวัยอันควรจากอาการหัวใจวายเฉียบพลันในสนามซ้อมกับ เป่ยขิง เอ็นเตอร์ไพรส์ ในประเทศจีนด้วยวัยเพียง 30 ปี


กองหน้า

ซาโลมอน กาลู – อดีตดาวรุ่งผู้แจ้งเกิดกับ เฟเยนูร์ด ใน เอเรดิวิซี ก่อนย้ายไปร่วมทัพ เชลซี เมื่อปี 2006 ก่อนจะคว้าเกียรติยศแชมป์ระดับเมเจอร์ 7 รายการกับ สิงห์บลู โดยหนึ่งในนั้นเป็นรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2012

ดิดิเยร์ ดร็อกบา – หนึ่งในกองหน้ายอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลไม่เพียงแต่กับ ไอวอรี โคสต์ แต่รวมไปถึงระดับนานาชาติ ผู้กลายเป็นตำนานกับ เชลซี รวมถึงครองสถิติยิงประตูสูงสุดให้กับทัพ ช้างดำ ที่ 65 ประตูจากการลงเล่นทั้งหมด 101 นัด

แชร์วินโญ – ย้อนกลับไปเมื่อปี 2012 ที่ เอเด็น อาซาร์ ย้ายไปร่วมทัพ สิงห์บลู ใหม่ๆ สตาร์จาก ลีลล์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า แชร์วินโญ เป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาเคยเล่นร่วมด้วย

แชร์วินโญ เป็นหนึ่งในคีย์แมนของ ลีลล์ ที่ช่วยพาทีมคว้าดับเบิลแชมป์รายการในประเทศเมื่อซีซัน 2010/11 ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทัพ โรมา ในเวลาต่อมาและเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดคว้าแชมป์ แอฟริกา คัพ ออฟเนชันส์ เมื่อปี 2015


บทความชุด Best XI นานาชาติ

[BEST XI] จัดทีม 11 นักเตะดีที่สุดของทีมชาติอังกฤษระหว่างปี 2000-2020
[BEST XI] จัดทีม 11 นักเตะดีที่สุดของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ระหว่างปี 2000-2020
[BEST XI] จัดทีม 11 นักเตะดีที่สุดของทีมชาติบราซิลระหว่างปี 2000-2020
[BEST XI] จัดทีม 11 นักเตะดีที่สุดของทีมชาติญี่ปุ่นระหว่างปี 2000-2020
[BEST XI] จัดทีม 11 นักเตะดีที่สุดของทีมชาติอาร์เจนตินาระหว่างปี 2000-2020
[BEST XI] จัดทีม 11 นักเตะดีที่สุดของทีมชาติโครเอเชียระหว่างปี 2000-2020
[BEST XI] จัดทีม 11 นักเตะดีที่สุดของทีมชาติฝรั่งเศสระหว่างปี 2000-2020
[BEST XI] จัดทีม 11 นักเตะดีที่สุดของทีมชาติโคลอมเบียระหว่างปี 2000-2020
[BEST XI] จัดทีม 11 นักเตะดีที่สุดของทีมชาติเยอรมนีระหว่างปี 2000-2020
[BEST XI] จัดทีม 11 นักเตะดีที่สุดของทีมชาติไอวอรี โคสต์ระหว่างปี 2000-2020

[BEST XI] จัดทีม 11 นักเตะดีที่สุดของทีมชาติฝรั่งเศสระหว่างปี 2000-2020

แฟนบอลคงจะจำกันได้สำหรับแชมป์ฟุตบอลโลกหนล่าสุดที่ ทีมชาติฝรั่งเศส สามารถคว้ามาครองได้บนแผ่นดินรัสเซียเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา นั่นทำให้เหล่าคำครหาที่ประมาณว่า “ประเทศนี้ มีดีแต่ชื่อ” นั้น ถูกลบออกไปจากพจณานุกรมของพวกเขาได้สำเร็จ หลังจากต้องรอมานาน เพราะครั้งหลังสุดที่พวกเขาคว้าแชมป์โลกต้องย้อนกลับไปถึงปี 1998 หรือ 20 ปีก่อนเลยทีเดียว โดยช่วงเวลาระหว่างนั้นเหล่าบรรดาแข้งเลือดน้ำหอมต่างก็ผลัดเปลี่ยนหวุนเวียนกันเข้ามาสร้างสีสันตามวัฏจักรของโลกฟุตบอลกันมากมาย ซึ่งก็มีทั้งสมกับที่คาดหวัง…

[BEST XI] จัดทีม 11 นักเตะดีที่สุดของทีมชาติอาร์เจนตินาระหว่างปี 2000-2020

อาร์เจนตินา ยังคงมีสถานะเป็นหนึ่งในทีมชาติยักษ์ใหญ่บนโลกฟุตบอลและเป็นเพียง 1 ใน 6 ชาติที่สามารถคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก มาครองได้ 2 สมัย รวมทั้งยังมีผลผลิตเป็น 2 นักเตะยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของโลกอย่าง ดิเอโก้ มาราโดนา และ ลิโอเนล เมสซี และต่อไปนี้คือทีมชุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของทัพ ลา อัลบิเซเลสเต้ ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา (GK) เซร์คิโอ โรเมโร Spain v Argentina -International Friendly แม้ว่า โรเมโร จะมีสถานะเป็นเพียงนายทวารมือ 2 ของ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นับตั้งแต่ปี 2013…

[FEATURE] เนย์มาร์ ยังตัดตาม ! ที่มาของทรงผมไดโกโระของ โรนัลโด้ ในฟุตบอลโลก 2002

โรนัลโด้ นาซาริโอ ตำนานนักเตะทีมชาติบราซิลได้ถูกจดจำในฐานะหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดที่โลกนี้เคยมีมา

หนึ่งในฉายาที่ โรนัลโด้ ได้รับนั่นก็คือ ‘โล้นทองคำ’ ซึ่งมาจากทรงผมสกินเฮดอันเป็นเอกลักษณ์ที่เด็กๆ หลายคนแห่ไปตัดตาม

แต่ตอนฟุตบอลโลกปี 2002 โรนัลโด้ ก็ได้สร้างความฮือฮาขึ้นกับทรงผมอันแปลกประหลาดด้วยการตัดสกินเฮดเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือการเหลือครึ่งวงกลมไว้ตรงด้านหน้าหรือชื่อทรง “ไดโกโระ” ตามภาษาญีปุ่น

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ได้เกิดข้อถกเถียงกันมานานก่อนที่ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ โรนัลโด้ จะออกมาเปิดเผยด้วยตัวเองถึงสาเหตุที่ตัดผมทรงนี้

“ผมบาดเจ็บหนักที่ขาและทุกคนก็เอาแต่พูดถึงเรื่องนี้” โรนัลโด้ กล่าว “ผมจึงตัดสินใจตัดผมแล้วเหลือติ่งเล็กๆ แล้วไปซ้อมด้วยการให้คนอื่นสนใจทรงผมแย่ๆ นี้”

“ทุกคนจะพูดถึงแต่ผมของผมและลืมอาการบาดเจ็บไป มันช่วยให้รู้สึกสงบและผ่อนคลายขึ้นในตอนซ้อม”

“ผมไม่ได้ภูมิใจกับผมทรงนี้หรอกนะเพราะมันดูประหลาดมาก แต่ก็ได้ผลเลยในการเบี่ยงเบนความสนใจ”

ท้าวความกลับไปก่อนฟุตบอลโลก 2002 โรนัลโด้ เองก็ได้บาดเจ็บหนักบริเวณหัวเข่ากับ อินเตอร์ มิลาน จนเกือบจะกลับมาเล่นฟุตบอลไม่ได้อีกแล้ว

ตอนนั้นทุกคนเอาแต่โฟกัสว่าเขาจะกลับมาได้เหมือนเดิมหรือไม่ ก่อนที่ โรนัลโด้ จะพยายามเบี่ยงเบนความสนใจซึ่งมันก็ได้ผลชะงัด

ผลลัพธ์คือ โรนัลโด้ สามารถพาทัพเซเลเซาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่ 5 ไปครองด้วยการเหมาคนเดียวสองประตูในเกมชิงชนะเลิศกับเยอรมนี พ่วงตำแหน่งดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนท์

แต่อีกหนึ่งเรื่องที่ตามมาก็คือเด็กๆ ในบราซิลต่างพากันแห่ไปตัดผมตาม โรนัลโด้ ฮีโร่ของพวกเขา

“ทุกครั้งที่ผมเห็นเด็กตัดผมทรงนี้ก็จะรู้สึกเซ็งนิดๆ เพราะผมไม่ได้ต้องการเป็นตัวอย่างและทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้” โรนัลโด้ กล่าวถึงเรื่องนี้

ขณะที่หนึ่งในเหยื่อทรงผมของ โรนัลโด้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น เนย์มาร์ สตาร์รุ่นน้องในทีมชาตินั่นเอง

“ปี 2002 ผมได้ตัดผมตาม โรนัลโด แต่ก็จำอะไรไม่ได้มากนัก (เพราะยังเด็กอยู่) โรนัลโด้ และ โรมาริโอ คือสองคนที่เข้ามาในใจเมื่อคิดถึงฟุตบอลโลก” เนย์มาร์ เผย

แน่นอนว่า เนย์มาร์ อาจจะเลียนแบบทรงผม โรนัลโด้ ได้ แต่การจะพาทีมชาติบราซิลที่เขาเป็นตัวความหวังประสบความสำเร็จแบบรุ่นพี่อีกครั้งได้มันก็ไม่ใช่อะไรที่จะทำตามได้ง่ายๆ เลย

[BEST XI] เด็กมหากาฬ ! จัดทีม 11 แข้งดาวรุ่งอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ทำผลงานได้โดดเด่นใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้

ปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ ว่า พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้เป็นอีกหนึ่งปีทองสำหรับดาวรุ่งที่พลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาแจ้งเกิดกันยกใหญ่ ชนิดที่แทบจะไม่เคยเกิดปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดเมื่อผู้ดีแห่งนี้

และถึงแม้ว่า ณ ปัจจุบันเราจะยังไม่ทราบบทสรุปของฤดูกาล อีกทั้งการแข่งขันในซีซั่นนี้ยังคงไม่สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์ แต่เราก็พอจะมองเห็นภาพรวมตลอดปีที่ผ่านมาแล้วว่าดาวรุ่งรายใดบ้างที่สามารถฉายแสงเปล่งประกายจนน่าสะดุดตากันบ้าง วันนี้เราจึงลองมาจัดทีมเหล่าบรรดาดาวรุ่งพุ่งแรงที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นตลอดฤดูกาลที่ผ่านมากันในแผนการเล่นยอดฮิตอย่าง 4-3-3 โดยจะมีใครกันบ้าง ไปดูกันเลย…


1. ผู้รักษาประตู – ดีน เฮนเดอร์สัน

Reading FC v Sheffield United – FA Cup Fifth Round

สำหรับในตำแหน่งนายทวารดาวรุ่งที่ปีนี้ทำผลงานได้เตะตาสุด ๆ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก ดีน เฮนเดอร์สัน นายด่านที่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ยืมตัวมาใช้งานจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นเอง โดยเจ้าตัวโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นพาทีมดาบคู่ขึ้นมามีลุ้นท็อป 4 ทั้งที่พึ่งจะเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นซีซั่นแรกเท่านั้น

ซึ่งนอกจากรายของ ดีน ก็ยังมีประตูดาวรุ่งของ บอร์นมัธ อย่าง อารอน แรมส์เดล ที่สามารถยึดมือหนึ่งของทีมจาก อัสเมียร์ เบโกวิช จนถึงขนาดต้องย้ายทีมออกไปเลยทีเดียว

2. แบ็คขวา – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

Liverpool FC v Atletico Madrid – UEFA Champions League Round of 16: Second Leg

ตำแหน่งนี้คงต้องยกให้เขาจริง ๆ สำหรับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ดาวรุ่งจากว่าที่แชมป์ลีก ลิเวอร์พูล ด้วยผลงานทำไป 2 ประตูกับการแอสซิสต์อีกมากถึง 14์ ครั้งใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ซึ่งจัดว่ามากเป็นอันดับสองเป็นรองแค่เพียง เควิน เดอ บรอยน์ เท่านั้น แถมยังเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญในการพา หงส์แดง ผงาดขึ้นมาจ่อคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีอีกด้วย

อันที่จริงในปีเดียวกันนี้ก็ยังมีดาวรุ่งในตำแหน่งแบ็คขวาอีกหลายรายที่สามารถทำผลงานกับทีมได้อย่างโดดนเด่นทั้ง อารอน วานบิส-ซาก้า ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รีซ เจมส์ ของ เชลซี หรือแม้แต่ แม็กซ์ อารอน จากน้องใหม่อย่าง นอริช ก็เป็นอีกรายที่มีฟอร์มการเล่นที่ดีแม้ต้นสังกัดมีโอกาสสูงที่จะตกชั้นก็ตาม

3. เซ็นเตอร์แบ็ค – ชากลาร์ โซยุนซู

Leicester City v Aston Villa – Premier League

กองหลังดาวรุ่งวัยเพียง 23 ปี ถูกดันขึ้นมาเป็นตัวตายตัวแทนของ แฮร์รี แม็คไกวร์ ที่ย้ายทีมไปในช่วงต้นซีซั่นที่ผ่านมา แต่กลับทำผลงานได้ดีซะจนแฟน ๆ เลสเตอร์ ซิตี้ ลืมชื่อของ แม็คไกวร์ ไปได้อย่างสนิทเลยทีเดียว ด้วยความนิ่งที่ดูเกินวัย รวมถึงความเร็วความแข็งแกร่งที่แข้งรายนี้มี จนสามารถพา จิ้งจอกสยาม ดีดตัวขึ้นมารั้งอับดับ 3 ได้ชนิดที่ไม่มีใครคาดคิดกันเลยทีเดียว

4. เซ็นเตอร์แบ็ค – เมสัน โฮลเกต

Everton FC v Manchester United – Premier League

เบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงในถิ่น กูดิสัน พาร์ค ได้สำเร็จในฤดูกาลนี้ แถมหลังจากการมาของ คาร์โล อันเชล็อตติ เจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มได้ดีวันดีคืน ช่วยให้ เอฟเวอร์ตัน ขยับจากโซนท้ายตาราง กลับขึ้นมามีลุ้นโควต้ายุโรปได้ ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นเซ็นเตอร์ดาวรุ่งเนื้อหอมอีกหนึ่งรายที่มีทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมมาตามจีบไปร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์ที่จะถึงนี้

5. แบ็คซ้าย – บูกาโย ซาก้า

Arsenal FC v West Ham United – Premier League

ต้องบอกเลยว่าเลือกยากอยู่พอสมควรระหว่าง บูกาโย ซาก้า ดาวรุ่งวัยเพียง 18 ปีของ อาร์เซนอล กับ เบน ชิลเวลล์ แบ็คซ้ายดีกรีทีมชาติอังกฤษของ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นกันทั้งคู่ในซีซั่นนี้ แต่สุดท้ายต้องขอเลือกเป็น ซาก้า ที่แม้จะพึ่งถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในปีนี้ แต่ก็สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในตำแหน่งริมเส้นฝั่งซ้ายของ ทีมปืนใหญ่ ได้สำเร็จ แม้จะถูกจับโยกไปเล่นเป็นแบ็คในระยะหลัง ก็เขายังคงรักษาฟอร์มอันยอมเยี่ยมเอาไว้ได้ ด้วยทักษะลีลาเหลือร้าย บวกกับความเร็วที่หาตัวจับยาก ทำให้เจ้าตัวได้รับความสนใจจากยอดทีมในยุโรปมากมายหลายทีมด้วยกันในช่วงที่ผ่านมา

6. กองกลาง – สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์

Manchester United v Manchester City – Premier League

ในตำแหน่งตัวรับ มีดาวรุ่งหลายรายที่โชว์ฟอร์มได้ค่อนข้างดีปีนี้ทั้ง วิลฟรีด เอ็นดิดี ของ เลสเตอร์ ซิตี้ ดีแคลน ไรซ์ จาก เวสต์แฮม หรือแม้แต่ ฟิลลิป บิลลิง ของ บอร์นมัธ แต่คนที่น่าจับตามองที่สุดเห็นจะเป็นหนุ่มน้อยจากค่าย โอลด์ แทรฟฟอร์ด อย่าง สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่ยึดตัวหลักในทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จในซีซั่นนี้ ด้วยความแข็งแกร่งในการเข้าปะทะแถมยังมีลูกยิงไกลที่หวังผลได้ ซึ่งนั่นมีส่วนสำคัญช่วยให้ ปีศาจแดง สามารถกลับเข้าสู่เส้นทางได้ในที่สุด

7. กองกลาง – เจมส์ แมดดิสัน

Leicester City v Aston Villa – Premier League

คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณกันให้มากความสำหรับดาวรุ่งดีกรีทีมชาติอังกฤษรายนี้ ที่ระเบิดฟอร์มเก่งกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วและต่อเนื่องมายังปีนี้่ ด้วยการเป็นกำลังสำคัญของทีม จิ้งจอกสยาม ในการเบียดแทรกขึ้นมาคว้าโควต้า แชมเปี้ยนส์ลีก ชนิดที่ยึดอันดับสามแบบกอดไม่ปล่อย แถมยังเนื้อหอมไม่พักมีข่าวลือเกี่ยวกับการย้ายทีมตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

8. กองกลาง – เมสัน เมานท์

Chelsea FC v Everton FC – Premier League

ดาวรุ่งไฟแรงลูกรักของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่เคยร่วมงานกับตำนานแข้งของ เชลซี มาก่อนที่ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ฤดูกาลที่แล้ว จนได้มาร่วมงานกันอีกครั้งที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในปีนี้ ซึ่งเขาก็ยังคงได้รับความไว้วางใจจาก ซุเปอร์แฟรงค์ ให้ยืนเป็นตัวหลักของ สิงโตน้ำเงินคราม แม้จะมีบางช่วงที่โดนดรอปไปบ้าง แต่โดยรวมผลงานและฟอร์มการเล่นของ เมานท์ ก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมแม้จะเป็นฤดูกาลแรกของเขากับทีมชุดใหญ่ สิงห์บลู

9. กองหน้า – โดมินิค คาลเวิร์ต-เลวิน

Everton FC v Manchester United – Premier League

ต้องบอกเลยว่ากองหน้าตัวริมเส้นเป็นอะไรที่เลือกยากแบบสุด ๆ เพราะตัวเลือกในตำแหน่งนี้มีค่อนข้างเยอะ ซึ่งสำหรับรายแรกขอเลือกเป็นหนุ่มน้อยจาก เอฟเวอร์ตัน นามว่า โดมินิค คาลเวิร์ต เลวิน ที่เป็นได้เพียงอะใหล่ของทีมอยู่นาน กระทั่ง อันเชล็อตติ เข้ามานั่งเก้าอี้กุนซือ ฟอร์มการเล่นของเขาก็เปลี่ยนเป็นคนละคนจนขึ้นนำเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมท็อฟฟีสีน้ำเงิน ด้วยผลงาน 13 ประตูแซงหน้า ริชาร์ลิซอน คู่ขาในแดนหน้าที่ทำไปทั้งสิ้น 10 ตุงในซีซั่นนี้

10. กองหน้า – มาร์คัส แรชฟอร์ด

Manchester United v Wolverhampton Wanderers – FA Cup Third Round: Replay

ตัวรุกริมเส้นอีกหนึ่งรายคงต้องขอยกให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่แม้จะได้รับบาดเจ็บไปตั้งแต่ช่วงต้นปี แต่ต้องบอกเลยว่าก่อนหน้านั้นเขากลายเป็นความหวังสูงสุดหนึ่งเดียวในการผลิตสกอร์ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซีซั่นนี้ ซึ่งหลังจากถูกจับมาเล่นริมเส้นก็ทำให้ฟอร์มของ แรชฟอร์ด ดีขึ้นมาทันตาเห็น โดยทำไปแล้วทั้งสิ้น 14 ประตูกับอีก 4 แอสซิตส์ ตลอด 22 เกมที่ลงสนามในลีกปีนี้ให้กับทัพปีศาจแดง

11. กองหน้า – แทมมี อับราฮัม

Chelsea FC v Tottenham Hotspur – Premier League

มาถึงในตำแหน่งตัวเป้าดาวรุ่ง อันนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก แทมมี อับราฮัม ดาวรุ่งจาก เชลซี อีกหนึ่งราย ที่ได้รับโอกาสจาก แฟรงค์ แลมพาร์ด ให้ขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่เป็นปีแรกและก็สามารถทำผลงานได้ดีในทันที ด้วยการเบียดรุ่นพี่อย่าง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ และ มิชี บัทชัวยี ยึดตำแหน่งตัวจริงในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ จนถึงปัจจุบัน โดยทำไปแล้วทั้งสิ้น 13 ประตู กับอีก 4 แอสซิสต์ในฤดูกาลนี้

[FEATURE] ผู้จัดการทีมฟุตบอลยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล #48 : เคลาดิโอ รานิเอรี

เคลาดิโอ รานิเอรี เป็นผู้จัดการทีมอันดับที่ 48 ในการจัดอันดับ ผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของเรา ผู้อ่านสามารถติดตาม 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยมภายใต้การคุมทีมของ รานิเอรี ได้ ที่นี่​


เมื่อใดก็ตามที่เรานึกถึง เคลาดิโอ รานิเอรี ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เรามีความสุขตลอดเวลาที่นึกถึงกุนซือชาว อิตาลี รายนี้

รานิเอรี เป็นชายในวัย 68 ปีที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาหลงรักฟุตบอลอย่างจริงใจทั้งสีหน้า แววตา และการฉีกยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์

แต่กว่าที่เขาจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้เจ้าตัวเคยถูกสาวกลูกหนังมองด้วยความเห็นอกเห็นใจมาก่อนที่เขาจะถูกยกย่องสรรเสริญจากการที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็นตลอดเส้นทางสายกุนซือ กระทั่ง เดอะทิงเคอร์แมน พา เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ ​ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เมื่อฤดูกาล 2015/16

Claudio Ranieri,Wes Morgan

รานิเอรี ได้สร้างหนึ่งในเทพนิยายอันเดอร์ด็อกอันตราตรึงที่สุดในโลกฟุตบอลกับทัพ จิ้งจอกสีน้ำเงิน เรื่องราวที่อาจไม่มีใครสร้างตามรอยเข้าได้อีกครั้ง เรื่องที่พา เลสเตอร์ ต่อกรกับทีมเงินถุงเงินถังในลีกสูงสุดแดนผู้ดีอย่างถึงพริกถึงขิง เรื่องที่ทำให้ เดอะฟ็อกซ์ หักปากกาเซียนที่อัตราความน่าจะเป็น 5000/1 ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดของฟุตบอล อังกฤษ

และนี่คือเรื่องราวของ เคลาดิโอ รานิเอรี


เส้นทางสายกุนซือของ รานิเอรี เริ่มต้นจากฟุตบอลลีกล่างของ อิตาลี หลังจากที่เขาใช้เวลา 13 ปีในฐานะนักเตะอาชีพ ในเวลาดังกล่าวเขาลงสนามให้กับ โรมา, คาตานซาโร, คาตาเนีย และ ปาแลร์โม ด้วยจำนวนรวมทั้งสิ้น 363 นัด

แม้ว่าดีกรีนักเตะของ รานิเอรี อาจไม่โด่งดังนักแต่เจ้าตัวก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในปราการหลังที่แข็งแกร่งคนหนึ่งในวงการลูกหนังเมือง มักกะโรนี กับเกียรติยศพาทีมต้นสังกัดเลื่อนชั้น 4 ครั้งตลอด 13 ปีดังกล่าว

ไม่เป็นที่น่าแปลกใจนักเมื่อ รานิเอรี จับงานสายโค้ชหลังจากแขวนสตั๊ดตั้งแต่ปี 1986 กับสโมสร ไวกอร์ ลาเมเซีย ตามด้วย ปูเตโอลานา เป็นฤดูกาลแรก ก่อนที่จะคุมทัพสโมสรที่มีชื่อกว่านั้นอย่าง กายารี ในเวลาต่อมา

เป็น กายารี ที่กุนซือรายนี้เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา เขาพาทีมที่อยู่ในระดับ เซเรีย ซี เลื่อนชั้นสู่ เซเรีย บี และตามด้วย เซเรีย อา ชนิดปีต่อปี ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างความยืดหยุ่นในการเล่นและรูปแบบแท็คติกอันหลากหลาย

Antonio Careca,Laurent Blanc,Claudio Ranieri,Alemao

ความสำเร็จดังกล่าวทำให้เขากลายเป็นกุนซือคนใหม่ของ นาโปลี ในปี 1991 ที่แม้พวกเขาจะซิวแชมป์ เซเรีย อา ได้ในฤดูกาล 1989/90 ก่อนที่ รานิเอรี จะรับตำแหน่ง แต่พลพรรค เนเปิ้ลส์ กลับมีปัญหาทางการเงินเล่นงานอย่างหนักหน่วง

ช่วงเวลาดังกล่าวของเขากับ นาโปลี ไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก เขาบอกลาทีมหลังผ่านฤดูกาลที่ 2 ไปเพียงครึ่งซีซัน แต่สิ่งที่ตราตรึงแฟนบอลคือการที่เขาค้นพบและให้โอกาส จิอันฟรังโก้ โซลา เมื่อครั้งยังเป็นนักเตะเยาวชนก่อนที่กองหน้าเชิงสูงรายนี้จะได้ร่วมงานกับเขาอีกคำรบในเวลาต่อมา

A portrait of Claudio Ranieri of Fiorentina

รานิเอรี ลงหลักปักฐานกับ ฟิออเรนตินา พาทัพ ม่วงมหากาฬ คว้าแชมป์ เซเรีย บี ในฤดูกาล 1993/94 และก้าวหน้าต่อเนื่องอีก 2 ซีซันกับเกียรติยศ โคปปา อิตาเลีย รวมไปถึง ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียนา ในปี 1996 โดย 2 ผู้เล่นที่กลายเป็นตำนานในทีมชุดนั้นมีชื่อของนักเตะอย่าง กาเบรียล บาติสตูต้า และ รุย คอสต้า เป็นต้น

หลังจากคุมสโมสรในบ้านเกิดมาตลอดระยะเวลา 11 ปี รานิเอรี แสวงหาความท้าทายใหม่ในปี 1997 เมื่อเขารับงานกุนซือกับ บาเลนเซีย แห่งศึก ลา ลีกา สเปน เมื่อครั้งที่ทัพ ค้างคาว มีสถานะเป็นยักษ์หลับแห่งลีกแดน กระทิงดุ

รานิเอรี ติดปีกพร้อมเสริมเขี้ยวเล็บให้กับ บาเลนเซีย พาทีมคว้าโควต้า ​ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, เกียรติยศแชมป์ ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้คัพ และ โคปา เดล เรย์ ได้ในทันทีโดยมีแข้งชูโรงอย่าง กาอิซก้า เมนดิเอต้า ที่ขึ้นชื่อเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลกภายใต้การคุมทีมของ ทิงเคอร์แมน

หลังจากนั้น รานิเอรี มีช่วงเวลาสั้นๆ กับ แอตเลติโก มาดริด ก่อนที่เขาถากถางเส้นทางใน พรีเมียร์ลีก กับ ​เชลซี ในปี 2000

แม้เจ้าตัวจะไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารกับสื่อมวลชนได้อย่างคล่องแคล่วนักแต่ รานิเอรี ก็มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อเมื่อเขาแสดงให้เห็นความพยายามที่จะพูดกับพวกเขา ก่อนที่บรรดาแท็บลอยด์จะปูดข่าวว่าบรรดานักเตะ สิงห์บลู มีปัญหากับกุนซือชาว อิตาเลียน จากการที่สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง

รานิเอรี ยังคงมุ่งมั่นใช้งานเหล่านักเตะหนุ่มเป็นแกน โดยมีอดีตลูกศิษย์ของเขาอย่าง โซลา เป็นผู้นำของ สิงโตน้ำเงินคราม ตามมาด้วยแข้งอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด และ จอห์น เทอร์รี ที่ในเวลาต่อมากลายเป็นตำนานแห่งถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ รวมไปถึงดาวยิง จิมมี ฟลอยด์-ฮัสเซลเบงค์

Jimmy Floyd Hasselbaink, Claudio Ranieri

เป็นที่ เดอะบริดจ์ นี่เองที่เขาได้รับการตั้งฉายาว่า ทิงเคอร์แมน อันมาจากการที่เขามักสลับสับเปลี่ยน หมุนเวียนผู้เล่น 11 ตัวจริงอย่างต่อเนื่อง แต่ ทิงเคอร์แมน รายนี้ก็เป็นที่จับตาเมื่อพา เชลซี เข้าป้ายเป็นอันดับที่ 4 ในฤดูกาล 2002/03

ไม่นานหลังจากนั้น โรมัน อบราโมวิช เศรษฐีน้ำมันชาว รัสเซีย ก็ได้เทคโอเวอร์ เชลซี โดย รานิเอรี ถูกปฎิบัติราวกับเขาไม่มีตัวตนเมื่อสื่อต่างจับภาพได้ว่าเสี่ยหมีดอดหารือกับแคนดิเดทผู้จัดการทีมรายใหม่อย่างต่อเนื่องแม้ ทิงเคอร์แมน จะยังมีชื่อเป็นกุนซือของทีมก็ตาม

สิ่งที่ รานิเอรี ทำในตอนนั้นคือการรักษาความเป็นมืออาชีพและเจ้าตัวไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อประเด็นดังกล่าว เขาจบ ​ตลาดซื้อขายนักเตะ ซัมเมอร์นั้นด้วยการคว้าตัวนักเตะอย่าง เดเมียน ดัฟฟ์, โจ โคล และ โคลด มาเกเลเล มาร่วมทีมซึ่งทั้ง 3 คนกลายเป็นคีย์แมนในแดนกลางพาทีมสู่ความสำเร็จในเวลาต่อมา

ฤดูกาลแรกแภายใต้การบริการงานของ อบราโมวิช กุนซือ อิตาเลียน พาทีมจบอันดับที่ 2 รวมทั้งทะลุไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่นั่นก็ไม่เพียงพอในสายตาของเสี่ยหมีและกลายเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ รานิเอรี กับ เชลซี ในที่สุด

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว รานิเอรี ได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า ‘พราวด์แมนวอล์คกิง’ (Proud Man Walking) อธิบายถึงสิ่งที่เขาได้พบเจอในซีซันสุดท้ายที่ เดอะบริดจ์


เกียรติยศ

เซเรีย ซี (1988/89)
โคปปา อิตาเลีย เซเรีย ซี (1988/89)
เลื่อนชั้น เซเรีย บี(1989/90)
เซเรีย บี (1993/94)
โคปปา อิตาเลีย และ ซูเปอร์โคปา อิตาเลีย (1995/96)
ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้ คัพ (1998)
โคปา เดล เรย์ (1998/99)
ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ (2004)
ลีกเดอซ์ (2012/13)
พรีเมียร์ลีก (2015/16)
ผู้จัดการทีมแห่งฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก (2015/16)
ผู้จัดการทีมแห่งปีของ แอลเอ็มเอ (2016)
โค้ชฟุตบอลชายยอดเยี่ยมแห่งปีโดย ฟีฟ่า (2016)
หอเกียรติยศฟิออเรนตินา (2018)

ในทศวรรษถัดมา รานิเอรี รับงานกับแต่ละทีมเป็นแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เขายังคงมีชื่อในวงการฟุตบอลระดับสูงจากปีสุดท้ายที่ เชลซี โดยหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดเป็นการรับงานคุมทีม ยูเวนตุส หลังจากคดีทุจริตล้มบอล กัลโชโปลี จนทำให้ทีมต้องถูกอัปเปหิจาก เซเรีย อา รวมไปถึงการคุมทัพ โมนาโก พาทีมเลื่อนชั้นจาก ลีกเดอซ์ สู่ ลีกเอิง ในเวลาต่อมา

ให้หลังจากการรับงานคุมทีมชาติ กรีซ เป็นเวลาสั้นๆ เขาก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ เลสเตอร์ ซิตี้ อย่างเซอร์ไพรส์ ท่ามกลางเสียงเย้ยหยันของสื่อ


“หาก เลสเตอร์ ต้องการคนที่อัธยาศัยดีมาคุมทีมแล้วล่ะก็ พวกเขาเลือกได้ถูกคนแล้ว แต่หากพวกเขาต้องการคนที่จะพาทีมอยู่รอดใน พรีเมียร์ลีก เขาคงเลือกผิดคน” มาร์คัส คริสเตนสัน ผู้สื่อข่าวของ เดอะการ์เดี้ยน ให้ความเห็น


​หากแต่การตัดสินใจดึงเอา รานิเอรี มาเป็นหัวเรือใหญ่ที่ คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม อาจเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ทิงเคอร์แมน สร้างเซอร์ไพรส์พาหนึ่งในทีมเต็งที่จะตกชั้นออกสตาร์ทได้อย่างหวือหวากับสไตล์ฟุตบอลอันรวดเร็วและทรงพลัง

คีย์แมนอย่าง เอ็นโกโล ก็องเต้ ตามรอยมิดฟิลด์เพื่อนร่วมชาติอย่าง มาเกเลเล ที่เคยร่วมงานกับ รานิเอรี เมื่อทศวรรษก่อน กลายเป็นหัวใจสำคัญในตำแหน่งเดียวที่ เลสเตอร์

Aiyawatt Srivaddhanaprabha,Vichai Srivaddhanaprabha,Claudio Ranieri

ทีมของกุนซือ อิตาเลียน เล่นอย่างไม่เกรงกลัวทีมระดับบิ๊กของ พรีเมียร์ลีก แม้แต่น้อยเมื่อเดินหน้าเก็บชัยชนะเกมต่อเกม สร้างโมเมนตัมที่จะเป็นแชมเปี้ยนได้จนจบฤดูกาล

เกมรุกที่วูบวายโดย เจมี วาร์ดี้ และ ริยาด มาห์เรซ เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้ จิ้งจอกสีน้ำเงิน สร้างเทพนิยายที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ทีมที่เคยเป็นตัวเต็งในการตกชั้นเมื่อ 12 เดือนก่อน จู่ๆ พวกเขาก็กลายมาเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ชนิดหักปากกาเซียน


“บทความนั้นเริ่มต้นด้วยการที่ผมบอกว่าไม่มีใครอยากที่จะผิดพลาด แต่ผมต้องยอมรับว่าผมเองก็ผิดพลาดเช่นกัน ผมสนุกไปกับทุกนาทีที่ผมผิดพลาดอย่างน่าอายในฤดูกาลนี้ เรื่องราวของ เลสเตอร์ อาจเป็นเพียงตำนานเดียวที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เกิดขึ้นกับฟุตบอลในประเทศนี้ เกียรติยศของพวกเขาทำให้เราทุกคนมีความคาดหวังว่าจะมีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นกับฤดูกาลต่อๆ ไป” มาร์คัส คริสเตนสัน จาก เดอะการ์เดี้ยน


ประวัติการคุมทีม

ไวกอร์ ลาเมเซีย 1986-87
ปูเตโอลานา 1987-88
กายารี 1988-91
นาโปลี 1991-93
ฟิออเรนตินา 1993-97
บาเลนเซีย 1997-99
แอตเลติโก มาดริด 1999
เชลซี 2000-04
บาเลนเซีย 2004-05
ปาร์มา 2007
ยูเวนตุส 2007-09
โรมา 2009-11
อินเตอร์ 2011-12
โมนาโก 2012-14
กรีซ 2014
เลสเตอร์ ซิตี้ 2015-17
น็องต์ส 2017-18
ฟูแลม 2018-19
โรมา 2019
ซามพ์โดเรีย​ 2019-​

ผู้จัดการทีมอันดับที่ 50: [FEATURE] ผู้จัดการทีมฟุตบอลยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล #50 : มาร์เซโล บิเอลซา

ผู้จัดการทีมอันดับที่ 49​[FEATURE] ผู้จัดการทีมฟุตบอลยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล #49 : วิค บัคกิงแฮม

[FEATURE] ผู้จัดการทีมฟุตบอลยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล #49 : วิค บัคกิงแฮม ชายผู้ค้นพบ โยฮัน ครัฟฟ์

วิค บัคกิงแฮม เป็นผู้จัดการทีมอันดับที่ 49 ในการจัดอันดับ ผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของเรา ผู้อ่านสามารถติดตาม 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยมภายใต้การคุมทีมของ บัคกิงแฮม ได้ ​ที่นี่


เราเชื่อว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่อ่านบทความนี้อยู่ไม่เคยได้ยินชื่อของ วิค บัคกิงแฮม มาก่อน ซึ่งไม่น่าแปลกใจนักเมื่อพิจาณาว่าชายชาว ลอนดอน ที่เกิดไปในปี 1915 นั้นค่อนข้างห่างไกลจากพงศาวดารลูกหนังยุคใหม่ แต่เขาเป็นกุนซือคนหนึ่งที่ทำให้ฟุตบอลในภาคพื้นยุโรปกลายมาเป็นอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้

Vic Buckingham

หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ บัคกิงแฮม กลายเป็นส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์ของโลกฟุตบอล และเปลี่ยนแปลงมันไปตลอดกาลคือก้านค้นพบตำนานนักเตะเทวดาอย่าง โยฮัน ครัฟฟ์


เกียรติยศ

เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน เอฟเอ คัพ (1954), คอมมูนิตี้ ชิลด์ (1954)
อาแจ็กซ์ เอเรดิวิซี (1959-60)
บาร์เซโลนา โคปา เดล เรย์ (1971)

ตามเหตุผลที่กล่าวไปข้างต้น หากไม่มี บัคกิงแฮม แล้วล่ะก็โลกลูกหนังคงไร้ซึ่ง ครัฟฟ์ ซึ่งส่งผลให้ไร้ โททัลฟุตบอล และศิษย์เอกของนักเตะเทวดาอย่าง เป๊บ กวาร์ดิโอลา

เมล็ดพันธ์แห่งความก้าวหน้า และปรัชญาที่แตกต่างไปจากขนบเดิมของ บัคกิงแฮม ถูกหว่านลงไปในฟุตบอลยุโรปนับตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีอิทธิพลจวบจนถึงปัจจุบัน

ตำนานกุนซือชาว อังกฤษ เบื่อหน่ายต่อฟุตบอลสไตล์เตะโด่งสาดยาวจากหลังไปหน้าเพื่อให้กองหน้าร่างยักษ์ตามเก็บบอลเช่นเดียวกับเมนทอร์ของเขาอย่าง อาร์เธอร์ โรว์ และจัดการปรับรูปแบบการเล่นมาเน้นความสำคัญที่แผงมิดฟิลด์

บัคกิงแฮม แหกธรรมเนียมฟุตบอลแดนผู้ดีโดยการใช้รูปแบบการโจมตีอย่างใจเย็น เซ็ตบอลจากที่แนวรับต่อบอลตามช่องไปทะลุทะลวงคู่ต่อสู้ แม้มันจะเป็นการเข้าทำที่เห็นได้โดยทั่วไปในยุคนี้แต่หากเรานึกภาพตามว่าเขาเป็นคนที่นำรูปแบบการเล่นดังกล่าวไปใช้ตั้งแต่ทศวรรษที่ 50 นั้นเป็นเรื่องที่น่าทึ่งเกินคาดคิด

Danny Blanchflower,Johnny Haynes,Vic Buckingham

เจ้าตัวเริ่มต้นเส้นทางสายกุนซือหลังจากแขวนสตั๊ดในปี 1949 โดยเข้ารับตำแหน่งนายใหญ่แห่ง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในปี 1953 ทัพ เดอะฮอว์ธอร์นส ในยุคนั้นนับว่าเป็นหนึ่งในสโมสรใหญ่ของศึก ดิวิชัน 1 เดิมบนลีกสูงสุด อังกฤษ

ให้หลังเพียง 1 ฤดูกาลจากนั้น บัคกิงแฮม พา แบ็กกี้ส์ ซิวแชมป์ เอฟเอ คัพ และเกือบจะกลายเป็นสโมสรแรกนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 20 ที่สามารถคว้าดับเบิลแชมป์ได้

บัคกิงแฮม ตัดสินใจบอกลา เวสต์บรอมฯ ในปี 1959 ก่อนจะเริ่มต้นบทใหม่ในเส้นทางผู้จัดการทีมที่ต่างแดนกับ อาแจ็กซ์ ซึ่งมีสถานะเป็นเพียงทีมเล็กๆ ของ เนเธอร์แลนด์ ในช่วงเวลาดังกล่าว


บัคกิงแฮม เป็นคนค้นพบเด็กหนุ่มร่างเล็กพรสวรรค์ราวกับพระเจ้าประทาน ก่อนที่เด็กหนุ่มคนดังกล่าวจะกลายเป็นหนึ่งในตำนานตลอดกาลแห่งโลกฟุตบอล เด็กคนนั้นมีชื่อว่า โยฮัน ครัฟฟ์


ในบรรยากาศที่ฟุตบอลของ เนเธอร์แลนด์ ผ่อนคลายมากกว่า อังกฤษ บัคกิงแฮม พาทีม อาแจ็กซ์ ที่เต็มไปด้วยนักเตะอายุน้อยคว้าแชมป์ลีกสูงสุด ก่อนที่จะวางรากฐานให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในยอดทีมของ ยุโรป หลังจากนั้น

แต่ให้หลังเพียงรับงานที่ อาแจ็กซ์ เพียง 2 ปี ดูเหมือนว่าฟุตบอลที่เข้มข้นใน อังกฤษ เรียกร้องเขาให้กลับไปอีกครั้ง คราวนี้ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ เป็นหมุดหมายต่อไปสำหรับ บัคกิงแฮม

ที่ ฮิลส์โบโรห์ เต็มไปด้วยความคาดหวังว่าทีมจะประสบความสำเร็จภายใต้ บัคกิงแฮม ในช่วงเวลาที่ บิล นิโคลสัน พา ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ครองความยิ่งใหญ่ท่ามกลางทีมอย่าง ​ลิเวอร์พูล, ​เอฟเวอร์ตัน และ ​แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และน่าเสียดายที่เขาไม่สามารถพา เวนส์เดย์ สมหวังได้อย่างใจ

เขาบอกลา เชฟฟิลด์ ในปี 1964 และหลังจากนั้นไม่นาน กลายเป็นผู้เล่น 3 คนในทีมถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าพัวพันกับคดีล้มบอลที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 2 ปีก่อนหน้านั้น

บัคกิงแฮม แสดงท่าทีปฎิเสธต่อการมีส่วนร่วมของการทุจริตดังกล่าว แม้จะไม่มีข้อพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าเขาเป็นผู้บริสุทธ์แต่ชื่อเสียงของเจ้าตัวก็ถูกทำลายจนป่นปี้

เจ้าตัวรีเทิร์นสู่ อาแจ็กซ์ อีกคำรบเป็นเวลา 1 ฤดูกาลตามด้วยกลับสู่ อังกฤษ กับ ฟูแลม สโมสรที่ซึ่งเขาจัดการผ่องถ่ายบรรดานักเตะคีย์แมนออกจากทีมและเซ็นสัญญาเอาแข้งที่เขาเชื่อว่าจะพาทีมประสบความสำเร็จเข้ามาแทน แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่เกิดขึ้น

ให้หลัง 3 ปีที่ ฟูแลม บัคกิงแฮม ก็แยกทางกับพวกเขาก่อนที่ทีมจะตกชั้นในเวลาต่อมา และนั่นก็กลายเป็นทีมสุดท้ายใน อังกฤษ ที่เขาเป็นกุนซือ

อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของเขายังเป็นที่เลื่องลือใน ยุโรป หลังจาก 1 ปีที่ กรีซ เจ้าตัวก็กลายเป็นกุนซือของ บาร์เซโลนา ในปี 1969 และเช่นเดียวกับวิธีการที่เขาใช้ใน อาแจ็กซ์ บัคกิงแฮม ได้เน้นการใช้งานนักเตะเยาวชนลูกหม้อของสโมสร พาทีมซิวแชมป์​ โคปา เดล เรย์ เหนือ บาเลนเซีย 4-3 ในฤดูกาล 1970/71 แมตช์ดังกล่าวกลายเป็นตำนานเล่าขานว่าเป็นนัดชิงชนะเลิศที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล สเปน

สิ่งที่ บัคกิงแฮม ทำที่ คัมป์นู ราวกับเป็นการวางรากฐานให้ทัพ อาซูลกรานา ก่อนที่ ครัฟฟ์ จะก้าวเข้ามาสู่ทีมในปี 1973 และเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของ บาร์ซา ไปตลอดกาล


ประวัติการคุมทีม

เปกาซัส 1950-51
แบรดฟอร์ด พาร์ค อเวนิว 1951-53
เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 1953-59
อาแจ็กซ์ 1959-61 & 1964-65
เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ 1961-64
ฟูแลม 1965-68
เอธนิกอส พิราอุส 1968
บาร์เซโลนา 1969-71
เซบียา 1972
โอลิมเปียกอส 1975-76
โรดอส เอฟซี 1979-80

วิค บัคกิงแฮม นับว่าเป็นกุนซือที่มีส่วนสำคัญในการวางเสาเข็มให้กับสโมสรอย่าง อาแจ็กซ์ และ บาร์เซโลนา  กลายเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่อย่างในทุกวันนี้กับการสร้างปรัชญา โททัลฟุตบอล และให้ความสำคัญกับการใช้ผู้เล่นเยาวชน โดยหนึ่งในศิษย์เอกของเขาอย่าง โยฮัน ครัฟฟ์ ก็ได้กลายมาเป็นตำนานทั้งในฐานะนักเตะและผู้จัดการทีม

การจากไปของเขาในวันที่ 26 มกราคม 1995 ไม่ได้มีการพูดถึงนักใน อังกฤษ ไม่ได้มีการยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยหรือการจัดงานสำคัญเพื่อรำลึกถึงเกียรติคุณของเขาแต่อย่างใด ทว่าสิ่งที่ยังตราตรึงและไม่จางหายไปไหนคือตำนานที่เขาสร้างให้กับวงการฟุตบอลที่มันได้เปลี่ยนแปลงโลกลูกหนังไปตลอดกาล


ผู้จัดการทีมอันดับที่ 50: ​[FEATURE] ผู้จัดการทีมฟุตบอลยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล #50 : มาร์เซโล บิเอลซา

[FEATURE] ผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล #50 : มาร์เซโล บิเอลซา

มาร์เซโล บิเอลซา เป็นผู้จัดการทีมอันดับที่ 50 ในการจัดอันดับ ผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของเรา ผู้อ่านสามารถติดตาม 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยมภายใต้การคุมทีมของ บิเอลซา ได้ ​ที่นี่


มาร์เซโล บิเอลซา เริ่มต้นเดินทางในสายลูกหนังจากการเป็นนักเตะจนอาชีพกลายมาเป็นหนึ่งในกุนซือผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของแวดวงฟุตบอลในยุคสมัยใหม่

บิเอลซา ที่แม้จะแขวนสตั๊ดตั้งแต่วัยเพียง 25 ปีแต่ความรู้ในศาสตร์ฟุตบอลของเขาก็ถูกเคี่ยวกรำมากพอให้กลายเป็นผู้จัดการทีมชุดเยาวชนของ นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ อดีตต้นสังกัดตั้งแต่ทศวรรษที่ 80

เช่นเดียวกับหลายคน กุนซือชาว อาร์เจนตินา หลงไหลกับ โททัลฟุตบอล ของ เนเธอร์แลนด์ ที่บุกเบิกโดย ไรนุส มิเชลส์ โดยได้รับอิทธิพลจาก ออสการ์ ตาบาเรซ และตำนานชาว อิตาลี อย่าง อาร์ริโก้ ซาคคี

เขานำปรัชญาการเล่นแบบโรแมนติค (เมน็อตติสต้า) ผสานเข้ากับการจัดการแท็คติค (บิยาร์ดิสต้า) อันเป็นวิธีการซึ่งเป็นที่นิยมใน อาร์เจนตินา โดยวิธีการเล่นทั้ง 2 รูปแบบถูกตั้งชื่อตาม เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ และ คาร์ลอส บิยาร์โด้ ผู้โดดเด่นในปรัชญาที่แตกต่างกัน บิเอลซา เริ่มต้นเส้นทางสายกุนซือด้วยการพา โอลด์ บอยส์ กรุยทางสู่รอบชิงชนะเลิศ โคปา ลิเบอร์ตาโดเรส (ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรทวีปอเมริกาใต้) ได้ในปี 1992

พลพรรค ลา เลปรา แห่ง โรซาริโอ เป็นฝ่ายกำชัยเหนือ เซา เปาโล ได้ในเลกแรกของการแข่งขันนัดชิงดำ ก่อนที่พวกเขาภายใต้การคุมทีมของ บิเอลซา จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการดวลลูกจุดโทษในเลกที่ 2 จากลูกจุดโทษของ คาฟู ตำนานแบ็คขวาทีมชาติ บราซิล และตามด้วยการบอกลาของ บิเอลซา ไม่นานหลังจากนั้น


ในขณะที่ บิเอลซา กุมบังเหียน นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ เขาเคยถูกกลุ่มแฟนบอลอุลตรัสของสโมสรตามมาก่นด่าถึงหน้าบ้านหลังความพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งด้วยสกอร์ 6-0 ตำนานเล่าขานกันว่ากุนซือ อาร์เจนไตน์ เปิดประตูออกมาต้อนรับพร้อมกับถือระเบิดไว้ในมือพร้อมกับขู่ว่าจะดึงสลักออก


ถัดจากนั้นเขาได้คุมทีมช่วงสั้นๆ ใน เม็กซิโก ก่อนที่จะกลายเป็นกุนซือของทีมชาติ อาร์เจนตินา เป็นเวลาเกือบ 7 ปี พาทัพ ลา อัลบิเซเลสเต้ โม่แข้งในศึก โคปา อเมริกา และ ฟุตบอลโลก แต่ความสำเร็จในระดับชาติของ เอล โลโค มาเกิดขึ้นในปี 2004 กับรายการ โอลิมปิก ที่ประเทศ กรีซ ด้วยการพาทีมคว้าเหรียญทองในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว กับสถิติชนะรวดทุกเกมโดยเสียประตูไปเพียงแค่ 1 ลูกเท่านั้น


เกียรติยศ

เหรียญทองโอลิมปิก (2004)
รองแชมป์ โคปา อเมริกา (2004)
อาร์เจนตินา พริเมรา ดิวิชัน (1991, 1992 & 1998)
โค้ชยอดเยี่ยมแห่งปีทวีปอเมริกาใต้ (2009)

การนำทัพ ฟ้าขาว ปราชัยในศึก โคปา อเมริกา นัดชิงชนะเลิศต่อ บราซิล และการไม่ประสบความสำเร็จใน เวิลด์คัพ 2002 ไม่ได้ทำให้ตำแหน่งของเขาสั่นคลอน แต่ถึงอย่างนั้นบรมครู อาร์เจนไตน์ ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งในอีก 3 ปีถัดมา ใช้เวลาพักผ่อนจากแวดวงลูกหนังอยู่ 2 ปีก่อนคัมแบ็คกับทีมชาติ ชิลี

ในช่วงเวลาดังกล่าว ชื่อของ บิเอลซา จางหายไปจากสารบบฟุตบอลกระแสหลักตามหน้าสื่อจนกระทั่งพลพรรค ลา โรฆา แห่งทวีป อเมริกาใต้ สำแดงให้เห็นฟุตบอลที่น่าตื่นตาตื่นใจใน ฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศ แอฟริกาใต้

และเช่นเดียวกับทีมชาติ อาร์เจนตินา เขาตัดสินใจบอกลาตำแหน่งกุนซือทีมชาติ ชิลี ในขณะที่ยังคงเป็นที่รักของแฟนบอล ก่อนจะกลายเป็นที่พูดถึงอีกครั้งเมื่อกลับมารับงานกับสโมสรในฤดูกาล 2011/12


เมื่อครั้ง บิเอลซา ยังเป็นโค้ชหนุ่มไฟแรงใน อาร์เจนตินา มีเรื่องเล่าว่าเขาเคยบอกกับ เฟร์นานโด แกมบัว ปราการหลังลูกทีมว่าจะตัดนิ้วของตัวเองทิ้งหากมันช่วยให้ทีมของเขาคว้าชัยชนะได้


บิเอลซา ปักหมุดหมายต่อไปบนซุ้มม้านั่งสำรองแห่งทวีปยุโรป เจ้าตัวบอกปัด อินเตอร์ มิลาน ก่อนที่จะถูกแต่งตั้งให้เป็นกุนซือคนใหม่ของ แอธเลติก บิลเบา แห่ง ลา ลีกา สเปน

ฆัวกิน คาปาร์รอส อดีตนายใหญ่ของ บิลเบา ทำผลงานได้น่าประทับใจในระดับหนึ่งเมื่อทีมกับคุณภาพของทีมในเวลานั้นด้วยการพาทีมจบอันดับที่ 6 ก่อนที่กุนซือ ฟ้าขาว จะเข้ามารับตำแหน่งในปี 2011 แต่ บิเอลซา กลับยกเครื่องทั้งนักเตะในทีมและรูปแบบการเล่นเพื่อดึงเอาศักยภาพของแข้งอย่าง ฆาบี มาร์ติเนซ, อิเคร์ มูเนียอิน และ อิไบ โกเมซ ออกมา

Athletic Bilbao's coach Marcelo Bielsa (

แต่คีย์แมนในทีม บิลเบา ชุดนั้นของ บิเอลซา กลายเป็น อันเดร์ เอร์เรรา ที่ย้ายจาก เรอัล ซาราโกซา มาร่วมทัพด้วยมูลค่า 7.5 ล้านยูโรซึ่งเข้ามาเติมเต็มวิสัยทัศน์ของ เอล โลโค กับฟุตบอลเกมรุกที่น่าตื่นต่าตื่นใจ

“ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ผมย้ายไปร่วมทีม บิลเบา มาร์เซโล บิเอลซา พูดกับผมว่า ‘จงอย่าต่อล้อต่อเถียงกับผู้ตัดสินอีกต่อไปเพราะพวกเขาอยู่ในสนามเพื่อช่วยเหลือบรรดานักเตะ ไม่ใช่เพื่อฆ่าแกงนักฟุตบอล’ นั่นเป็นบทเรียนที่ผมได้เรียนรู้จากเขา” เอร์เรรา กล่าวให้สัมภาษณ์ก่อนจะเปรยถึงความโหดในการฝึกซ้อมกับ เอล โลโค “เขามีมุมมองที่โรแมนติคกับฟุตบอลอยู่เหมือนกัน แต่ผมอยากจะบอกว่าในช่วงเดือนท้ายๆ ของฤดูกาลเราแทบเคลื่อนไหวไม่ได้เลย”


ระหว่างที่ บิเอลซา วิ่งออกกำลังกายกลางดึกใน เอเซซา ศูนย์ฝึกแห่งชาติของ อาร์เจนตินา เขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจอาวุธครบมือชักปืนเล็งมาที่เขาเนื่องจากเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ไม่หวังดี เขาต้องแอบอยู่หลังต้นไม้พร้อมกับตะโกนออกมาว่า “อย่ายิง! ผม บิเอลซา เอง!”


“ขาของเราร้องขอออกมาว่า หยุดเถอะ พวกเราเคยชินกับการลงเล่นด้วยนักเตะชุดเดิมๆ และผมยอมรับว่าเราเล่นได้ไม่ดีที่สุดในเกมนัดชิงชนะเลิศ (บิลเบา เข้าชิง ยูฟ่า ยูโรปาลีก และ โคปา เดลเรย์ ในฤดูกาล 2011/12 แต่อกหักในนัดชิงฯ ทั้ง 2 รายการ) เรากลายเป็นคนละทีมจากก่อนหน้านี้ ด้วยความสัตย์จริง ร่างกายของพวกเราถูกย่ำยีจนแหลกเหลวไปหมด”

แม้จะต้องเล่นภายใต้รูปแบบแท็คติกอันหนักหน่วง แต่ เอร์เรรา กลับไม่ตำหนิติเตียน บิเอลซา เลยแม้แต่น้อย มันกลับกลายเป็นความรู้สึกที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงด้วยซ้ำ

“พวกเราเล่นฟุตบอลอย่างน่าอัศจรรย์ มาร์เซโล บิเอลซา ควรที่จะอยู่ในวงการลูกหนังตลอดไปเพราะมุมมองของเขาในเกมฟุตบอลนั้นน่าทึ่ง”

ในช่วงเวลา 2 ปีสุดท้ายของ บิเอลซา ที่ บิลเบา ฟอร์มของทีมไม่สวยหรูอย่างคาดหวังก่อนที่ บิเอลซา จะบอกลา ซาน มาเมส สเตเดี้ยม พร้อมกับคำชมจาก เป๊บ กวาร์ดิโอลา และกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

บิเอลซา เดินทางสู่ 2 ช่วงเวลาสั้นๆ ใน ฝรั่งเศส โดยมี ลาซิโอ คั่นกลาง โดยเริ่มต้นจากการรับงานที่ โอลิมปิค มาร์กเซย์ เป็นเวลาเพียง 1 ฤดูกาล เขาลากออกจากตำแหน่งเมื่อเริ่มต้นการแข่งขันซีซันที่ 2 ของ ลีก เอิง ไป 1 นัดโดยให้เหตุผลว่าขัดแย้งกับบอร์ดบริหารของทีม

จูเลียน โลร็องส์ ผู้สันทัดกรณีฟุตบอล ฝรั่งเศส ได้เคยเขียนแสดงความคิดเห็นช่วงเวลาดังกล่าวใน อีเอสพีเอ็น ไว้ว่า “บิเอลซา กับ มาร์กเซย์ เหมือนกับคู่แต่งงานในอุดมคติ และมันจะต้องจบลงด้วยน้ำตาอย่างแน่นอนผมรับรอง แต่เขาเป็นผู้จัดการทีมในแบบที่ โอแอม ต้องการ”


ฮอร์เก้ กริฟฟา ผู้ช่วยของ บิเอลซา เคยขังกุนซือชาว อาร์เจนตินา ไว้ในห้องน้ำเพื่อไม่ให้เขาต่อว่าลูกทีมหลังพบกับความพ่ายแพ้


ความกระตือรือล้นและบุคลิกถึงลูกถึงคนของ บิเอลซา ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจแฟนบอล มาร์กเซย์ สถานการณ์ยิ่งกลายเป็นการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์เมื่อทีมเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ตราตรึงกลับกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการบอกลาของเจ้าตัว

หลังจบเกมประเดิมสนามของฤดูกาลที่ 2 ของ บิเอลซา ในซีซัน 2015/16 ที่ปราชัยต่อ ก็อง เจ้าตัวตัดสินใจอ่านจดหมายลาออกในการแถลงข่าวหลังจบเกมทันทีโดยไม่ได้แจ้งต่อลูกทีมหรือบอร์ดบริหารรับทราบล่วงหน้า

Marcelo Bielsa

ถัดจาก มาร์กเซย์ บิเอลซา ได้แสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวอีกครั้งกับ ลาซิโอ สโมสรถัดมาเมื่อเขาตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งให้หลังเพียง 2 วันจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการโดยให้เหตุผลว่าสโมรไม่สามารถดึงตัวนักเตะที่เขาตัองการมาได้ ก่อนที่จะถูกระงับการทำหน้าที่กับ ลีลล์ สโมสรถัดมาหลังจากพาทีมลงเล่นไป 13 เกมเมื่อทำผลงานได้ไม่ดีพอและถูกปลดออกจากตำแหน่งในที่สุด

1 ปีหลังจากนั้น บิเอลซา ถูกแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ ลีดส์ ยูไนเต็ด แห่งศึก แชมเปี้ยนชิพ พาทีมกรุยทางสู่รอบเพลย์ออฟตั้งแต่ซีซันแรกที่ทำหน้าที่ก่อนจะปราชัยต่อ ดาร์บี้ เคาท์ตี้ ในรอบแรก และกลายเป็น แอสตัน วิลลา ที่คว่ำ แกะเขาเหล็ก ซิวโควต้าเลื่อนชั้นสู่ ​ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ไปครอง

Marcelo Bielsa

กูรูหลายสำนักและแฟนบอล ยูงทอง ต่างคาดการณ์ว่า บิเอลซา จะบอกลาถิ่น เอลแลนด์ โร้ด หลังความผิดหวังดังกล่าวแต่ท้ายที่สุดเงื่อนไขการขยายสัญญาออกไปอีก 12 เดือนกับยักษ์หลับแห่งวงการลูกหนังแดนผู้ดีก็มีผลหลังจากนั้นโดยบอร์ดบริหาร กับลความมั่นใจว่า เอล โลโค จะกลายเป็นวีรบุรุษพาทีมสิ้นสุดการรอคอยอันยาวนาน 15 ปีกลับสู่ลีกสูงสุดได้


ประวัติการคุมทีม

นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ 1990-92
แอทลาส 1992-94
คลับ อเมริกา 1995-96
เบเลซ ซาร์ฟิลด์ 1997-98
เอสปันญอล 1998
อาร์เจนตินา 1998-2004
ชิลี 2007-11
แอธเลติก บิลเบา 2011-13
มาร์กเซย์ 2014-15
ลาซิโอ 2016
ลีลล์ 2017
ลีดส์ ยูไนเต็ด 2018-

[FEATURE] ไหนว่าจะไม่หลอกกัน ! 5 สตาร์ EPL ที่ย้ายทีมภายในไม่กี่เดือนหลังบอกจะอยู่ต่อ

นอกจากวงการการเมืองแล้ววงการฟุตบอลก็เป็นอีกหนึ่งที่ที่เราไม่ควรปักใจเชื่อคำพูดของใครง่ายๆ โดยเฉพาะจากนักเตะทีมรักของตัวเอง ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องเจ็บปวดหัวใจเหมือนอย่างแฟนบอล 5 ทีม พรีเมียร์ลีก กับการรำลึกของเราครั้งนี้ หลุยส์ ซัวเรซ – ​ลิเวอร์พูล ซัวเรซ ต่อสัญญากับ ลิเวอร์พูล เมื่อเดือนธันวาคมปี 2013 ก่อนที่เดือนมีนาคมปี 2014 เขาได้ได้มาให้สัมภาษณ์ว่าจะอยู่ในถิ่น แอนฟิลด์ ต่อแน่นอนไม่ว่าทีมจะได้ไป แชมเปี้ยนส์ลีก หรือไม่? แต่ทว่าอีก 3 เดือนต่อมาเขาก็ย้ายไป บาร์เซโลนา ซะงั้น…