เมื่อใดก็ตามที่เรานึกถึง เคลาดิโอ รานิเอรี ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เรามีความสุขตลอดเวลาที่นึกถึงกุนซือชาว อิตาลี รายนี้
รานิเอรี เป็นชายในวัย 68 ปีที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาหลงรักฟุตบอลอย่างจริงใจทั้งสีหน้า แววตา และการฉีกยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์
แต่กว่าที่เขาจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้เจ้าตัวเคยถูกสาวกลูกหนังมองด้วยความเห็นอกเห็นใจมาก่อนที่เขาจะถูกยกย่องสรรเสริญจากการที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็นตลอดเส้นทางสายกุนซือ กระทั่ง เดอะทิงเคอร์แมน พา เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เมื่อฤดูกาล 2015/16
รานิเอรี ได้สร้างหนึ่งในเทพนิยายอันเดอร์ด็อกอันตราตรึงที่สุดในโลกฟุตบอลกับทัพ จิ้งจอกสีน้ำเงิน เรื่องราวที่อาจไม่มีใครสร้างตามรอยเข้าได้อีกครั้ง เรื่องที่พา เลสเตอร์ ต่อกรกับทีมเงินถุงเงินถังในลีกสูงสุดแดนผู้ดีอย่างถึงพริกถึงขิง เรื่องที่ทำให้ เดอะฟ็อกซ์ หักปากกาเซียนที่อัตราความน่าจะเป็น 5000/1 ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดของฟุตบอล อังกฤษ
และนี่คือเรื่องราวของ เคลาดิโอ รานิเอรี
เส้นทางสายกุนซือของ รานิเอรี เริ่มต้นจากฟุตบอลลีกล่างของ อิตาลี หลังจากที่เขาใช้เวลา 13 ปีในฐานะนักเตะอาชีพ ในเวลาดังกล่าวเขาลงสนามให้กับ โรมา, คาตานซาโร, คาตาเนีย และ ปาแลร์โม ด้วยจำนวนรวมทั้งสิ้น 363 นัด
แม้ว่าดีกรีนักเตะของ รานิเอรี อาจไม่โด่งดังนักแต่เจ้าตัวก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในปราการหลังที่แข็งแกร่งคนหนึ่งในวงการลูกหนังเมือง มักกะโรนี กับเกียรติยศพาทีมต้นสังกัดเลื่อนชั้น 4 ครั้งตลอด 13 ปีดังกล่าว
ไม่เป็นที่น่าแปลกใจนักเมื่อ รานิเอรี จับงานสายโค้ชหลังจากแขวนสตั๊ดตั้งแต่ปี 1986 กับสโมสร ไวกอร์ ลาเมเซีย ตามด้วย ปูเตโอลานา เป็นฤดูกาลแรก ก่อนที่จะคุมทัพสโมสรที่มีชื่อกว่านั้นอย่าง กายารี ในเวลาต่อมา
เป็น กายารี ที่กุนซือรายนี้เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา เขาพาทีมที่อยู่ในระดับ เซเรีย ซี เลื่อนชั้นสู่ เซเรีย บี และตามด้วย เซเรีย อา ชนิดปีต่อปี ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างความยืดหยุ่นในการเล่นและรูปแบบแท็คติกอันหลากหลาย
ความสำเร็จดังกล่าวทำให้เขากลายเป็นกุนซือคนใหม่ของ นาโปลี ในปี 1991 ที่แม้พวกเขาจะซิวแชมป์ เซเรีย อา ได้ในฤดูกาล 1989/90 ก่อนที่ รานิเอรี จะรับตำแหน่ง แต่พลพรรค เนเปิ้ลส์ กลับมีปัญหาทางการเงินเล่นงานอย่างหนักหน่วง
ช่วงเวลาดังกล่าวของเขากับ นาโปลี ไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก เขาบอกลาทีมหลังผ่านฤดูกาลที่ 2 ไปเพียงครึ่งซีซัน แต่สิ่งที่ตราตรึงแฟนบอลคือการที่เขาค้นพบและให้โอกาส จิอันฟรังโก้ โซลา เมื่อครั้งยังเป็นนักเตะเยาวชนก่อนที่กองหน้าเชิงสูงรายนี้จะได้ร่วมงานกับเขาอีกคำรบในเวลาต่อมา
รานิเอรี ลงหลักปักฐานกับ ฟิออเรนตินา พาทัพ ม่วงมหากาฬ คว้าแชมป์ เซเรีย บี ในฤดูกาล 1993/94 และก้าวหน้าต่อเนื่องอีก 2 ซีซันกับเกียรติยศ โคปปา อิตาเลีย รวมไปถึง ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียนา ในปี 1996 โดย 2 ผู้เล่นที่กลายเป็นตำนานในทีมชุดนั้นมีชื่อของนักเตะอย่าง กาเบรียล บาติสตูต้า และ รุย คอสต้า เป็นต้น
หลังจากคุมสโมสรในบ้านเกิดมาตลอดระยะเวลา 11 ปี รานิเอรี แสวงหาความท้าทายใหม่ในปี 1997 เมื่อเขารับงานกุนซือกับ บาเลนเซีย แห่งศึก ลา ลีกา สเปน เมื่อครั้งที่ทัพ ค้างคาว มีสถานะเป็นยักษ์หลับแห่งลีกแดน กระทิงดุ
รานิเอรี ติดปีกพร้อมเสริมเขี้ยวเล็บให้กับ บาเลนเซีย พาทีมคว้าโควต้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, เกียรติยศแชมป์ ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้คัพ และ โคปา เดล เรย์ ได้ในทันทีโดยมีแข้งชูโรงอย่าง กาอิซก้า เมนดิเอต้า ที่ขึ้นชื่อเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลกภายใต้การคุมทีมของ ทิงเคอร์แมน
หลังจากนั้น รานิเอรี มีช่วงเวลาสั้นๆ กับ แอตเลติโก มาดริด ก่อนที่เขาถากถางเส้นทางใน พรีเมียร์ลีก กับ เชลซี ในปี 2000
แม้เจ้าตัวจะไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารกับสื่อมวลชนได้อย่างคล่องแคล่วนักแต่ รานิเอรี ก็มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อเมื่อเขาแสดงให้เห็นความพยายามที่จะพูดกับพวกเขา ก่อนที่บรรดาแท็บลอยด์จะปูดข่าวว่าบรรดานักเตะ สิงห์บลู มีปัญหากับกุนซือชาว อิตาเลียน จากการที่สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง
รานิเอรี ยังคงมุ่งมั่นใช้งานเหล่านักเตะหนุ่มเป็นแกน โดยมีอดีตลูกศิษย์ของเขาอย่าง โซลา เป็นผู้นำของ สิงโตน้ำเงินคราม ตามมาด้วยแข้งอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด และ จอห์น เทอร์รี ที่ในเวลาต่อมากลายเป็นตำนานแห่งถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ รวมไปถึงดาวยิง จิมมี ฟลอยด์-ฮัสเซลเบงค์
เป็นที่ เดอะบริดจ์ นี่เองที่เขาได้รับการตั้งฉายาว่า ทิงเคอร์แมน อันมาจากการที่เขามักสลับสับเปลี่ยน หมุนเวียนผู้เล่น 11 ตัวจริงอย่างต่อเนื่อง แต่ ทิงเคอร์แมน รายนี้ก็เป็นที่จับตาเมื่อพา เชลซี เข้าป้ายเป็นอันดับที่ 4 ในฤดูกาล 2002/03
ไม่นานหลังจากนั้น โรมัน อบราโมวิช เศรษฐีน้ำมันชาว รัสเซีย ก็ได้เทคโอเวอร์ เชลซี โดย รานิเอรี ถูกปฎิบัติราวกับเขาไม่มีตัวตนเมื่อสื่อต่างจับภาพได้ว่าเสี่ยหมีดอดหารือกับแคนดิเดทผู้จัดการทีมรายใหม่อย่างต่อเนื่องแม้ ทิงเคอร์แมน จะยังมีชื่อเป็นกุนซือของทีมก็ตาม
สิ่งที่ รานิเอรี ทำในตอนนั้นคือการรักษาความเป็นมืออาชีพและเจ้าตัวไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อประเด็นดังกล่าว เขาจบ ตลาดซื้อขายนักเตะ ซัมเมอร์นั้นด้วยการคว้าตัวนักเตะอย่าง เดเมียน ดัฟฟ์, โจ โคล และ โคลด มาเกเลเล มาร่วมทีมซึ่งทั้ง 3 คนกลายเป็นคีย์แมนในแดนกลางพาทีมสู่ความสำเร็จในเวลาต่อมา
ฤดูกาลแรกแภายใต้การบริการงานของ อบราโมวิช กุนซือ อิตาเลียน พาทีมจบอันดับที่ 2 รวมทั้งทะลุไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่นั่นก็ไม่เพียงพอในสายตาของเสี่ยหมีและกลายเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ รานิเอรี กับ เชลซี ในที่สุด
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว รานิเอรี ได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า ‘พราวด์แมนวอล์คกิง’ (Proud Man Walking) อธิบายถึงสิ่งที่เขาได้พบเจอในซีซันสุดท้ายที่ เดอะบริดจ์
เกียรติยศ
เซเรีย ซี (1988/89) |
โคปปา อิตาเลีย เซเรีย ซี (1988/89) |
เลื่อนชั้น เซเรีย บี(1989/90) |
เซเรีย บี (1993/94) |
โคปปา อิตาเลีย และ ซูเปอร์โคปา อิตาเลีย (1995/96) |
ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้ คัพ (1998) |
โคปา เดล เรย์ (1998/99) |
ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ (2004) |
ลีกเดอซ์ (2012/13) |
พรีเมียร์ลีก (2015/16) |
ผู้จัดการทีมแห่งฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก (2015/16) |
ผู้จัดการทีมแห่งปีของ แอลเอ็มเอ (2016) |
โค้ชฟุตบอลชายยอดเยี่ยมแห่งปีโดย ฟีฟ่า (2016) |
หอเกียรติยศฟิออเรนตินา (2018) |
ในทศวรรษถัดมา รานิเอรี รับงานกับแต่ละทีมเป็นแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เขายังคงมีชื่อในวงการฟุตบอลระดับสูงจากปีสุดท้ายที่ เชลซี โดยหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดเป็นการรับงานคุมทีม ยูเวนตุส หลังจากคดีทุจริตล้มบอล กัลโชโปลี จนทำให้ทีมต้องถูกอัปเปหิจาก เซเรีย อา รวมไปถึงการคุมทัพ โมนาโก พาทีมเลื่อนชั้นจาก ลีกเดอซ์ สู่ ลีกเอิง ในเวลาต่อมา
ให้หลังจากการรับงานคุมทีมชาติ กรีซ เป็นเวลาสั้นๆ เขาก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ เลสเตอร์ ซิตี้ อย่างเซอร์ไพรส์ ท่ามกลางเสียงเย้ยหยันของสื่อ
“หาก เลสเตอร์ ต้องการคนที่อัธยาศัยดีมาคุมทีมแล้วล่ะก็ พวกเขาเลือกได้ถูกคนแล้ว แต่หากพวกเขาต้องการคนที่จะพาทีมอยู่รอดใน พรีเมียร์ลีก เขาคงเลือกผิดคน” มาร์คัส คริสเตนสัน ผู้สื่อข่าวของ เดอะการ์เดี้ยน ให้ความเห็น
หากแต่การตัดสินใจดึงเอา รานิเอรี มาเป็นหัวเรือใหญ่ที่ คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม อาจเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ทิงเคอร์แมน สร้างเซอร์ไพรส์พาหนึ่งในทีมเต็งที่จะตกชั้นออกสตาร์ทได้อย่างหวือหวากับสไตล์ฟุตบอลอันรวดเร็วและทรงพลัง
คีย์แมนอย่าง เอ็นโกโล ก็องเต้ ตามรอยมิดฟิลด์เพื่อนร่วมชาติอย่าง มาเกเลเล ที่เคยร่วมงานกับ รานิเอรี เมื่อทศวรรษก่อน กลายเป็นหัวใจสำคัญในตำแหน่งเดียวที่ เลสเตอร์
ทีมของกุนซือ อิตาเลียน เล่นอย่างไม่เกรงกลัวทีมระดับบิ๊กของ พรีเมียร์ลีก แม้แต่น้อยเมื่อเดินหน้าเก็บชัยชนะเกมต่อเกม สร้างโมเมนตัมที่จะเป็นแชมเปี้ยนได้จนจบฤดูกาล
เกมรุกที่วูบวายโดย เจมี วาร์ดี้ และ ริยาด มาห์เรซ เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้ จิ้งจอกสีน้ำเงิน สร้างเทพนิยายที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ทีมที่เคยเป็นตัวเต็งในการตกชั้นเมื่อ 12 เดือนก่อน จู่ๆ พวกเขาก็กลายมาเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ชนิดหักปากกาเซียน
“บทความนั้นเริ่มต้นด้วยการที่ผมบอกว่าไม่มีใครอยากที่จะผิดพลาด แต่ผมต้องยอมรับว่าผมเองก็ผิดพลาดเช่นกัน ผมสนุกไปกับทุกนาทีที่ผมผิดพลาดอย่างน่าอายในฤดูกาลนี้ เรื่องราวของ เลสเตอร์ อาจเป็นเพียงตำนานเดียวที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เกิดขึ้นกับฟุตบอลในประเทศนี้ เกียรติยศของพวกเขาทำให้เราทุกคนมีความคาดหวังว่าจะมีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นกับฤดูกาลต่อๆ ไป” มาร์คัส คริสเตนสัน จาก เดอะการ์เดี้ยน
ประวัติการคุมทีม
ไวกอร์ ลาเมเซีย |
1986-87 |
ปูเตโอลานา |
1987-88 |
กายารี |
1988-91 |
นาโปลี |
1991-93 |
ฟิออเรนตินา |
1993-97 |
บาเลนเซีย |
1997-99 |
แอตเลติโก มาดริด |
1999 |
เชลซี |
2000-04 |
บาเลนเซีย |
2004-05 |
ปาร์มา |
2007 |
ยูเวนตุส |
2007-09 |
โรมา |
2009-11 |
อินเตอร์ |
2011-12 |
โมนาโก |
2012-14 |
กรีซ |
2014 |
เลสเตอร์ ซิตี้ |
2015-17 |
น็องต์ส |
2017-18 |
ฟูแลม |
2018-19 |
โรมา |
2019 |
ซามพ์โดเรีย |
2019- |
ผู้จัดการทีมอันดับที่ 50: [FEATURE] ผู้จัดการทีมฟุตบอลยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล #50 : มาร์เซโล บิเอลซา
ผู้จัดการทีมอันดับที่ 49: [FEATURE] ผู้จัดการทีมฟุตบอลยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล #49 : วิค บัคกิงแฮม