เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก เรือใบ รับบทโหดยำใหญ่ไม่ไว้หน้า 5 ประตู

Pep Guardiola
Manchester City v Burnley FC – Premier League | Shaun Botterill/Getty Images

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน : คืนวันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2020
เวลาแข่งขัน : 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่ง : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบ เบิร์นลีย์
สนาม : เอติฮัด สเตเดี้ยม
ถ่ายทอดสด : True Premier Football HD 1

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านถล่ม เบิร์นลีย์ เละเทะ 5-0 โดยได้ประตูจาก ฟิล โฟเด้น 2 ประตูในนาทีที่ 22 และ 63 ริยาด มาห์เรซ อีก 2 ประตู ในนาทีที่ 43 กับลูกจุดโทษนาทีที่ 45 และ ดาบิด ซิลบา ในนาทีที่ 51 จบเกม เรือใบสีฟ้า ฟอร์มเดือด คว้า 3 คะแนนในบ้าน ยืดเวลาฉลองแชมป์ของ ลิเวอร์พูล ออกไปอีก 1 เกมได้สำเร็จ

เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก เป็นเจ้าบ้านที่เปิดเกมบุกเข้าใส่ตามฟอร์ม ส่วนผู้มาเยือนถอยไปแพ็คเกมรับและรอโอกาสสวนกลับอย่างใจเย็น

ผ่านมาได้ 15 นาที เรือใบสีฟ้า มีโอกาสได้ลุ้นก่อนจากจังหวะจ่ายเข้าเขตโทษของ ซิลบา ให้กับ แบร์นาโด้ แต่งหนึ่งจังหวะก่อนซัดเต็มข้อแต่บอลหลุดกรอบออกไป

กระทั่งนาทีที่ 22 แมนฯ ซิตี้ มาได้ประตูออกนำ 1-0 จากลูกยิงไกลนอกกรอบของ ฟิล โฟเด้น ที่กดด้วยซ้ายบอลพุ่งแรงทำให้ นิค โป๊ป ปัดไม่พ้นปลื้นเข้าประตูไป

หลังจากนั้นเจ้าถิ่นยังเป็นฝ่ายครองบอลหาช่องเจาะหวังเอาประตูที่สอง แต่แนวรับของผู้มาเยือนยังคงป้องกันเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

แต่แล้วนาทีที่ 43 ซิตี้ มาได้ประตูที่ 2 ตามที่ต้องการ จากจังหวะดวลเดี่ยวกับกองหลังของ ริยาด มาห์เรซ ก่อนซัดด้วยขวาเข้าประตูไป

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เจ้าบ้านมาได้จุดโทษจาก กุน อเกวโร ที่ถูก เบน มี สกัดเข้าที่ข้อเท้าจนเล่นต่อไม่ไหว จึงเป็น มาห์เรซ ที่รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาด และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นำห่าง 3-0

เริ่มเกมในครึ่งเวลาหลังได้เพียง 6 นาที แมนฯ ซิตี้ มาได้ประตูที่ 4 จากจังหวะหลุดเข้าเขตโทษของ แบร์นาโด้ ก่อนจะตบเข้ากลางให้ ซิลบา ชาร์จจ่อ ๆ เข้าไปไม่เหลือ

ต่อมานาทีที่ 63 ทีมของ เป๊ป มาได้ประตูที่ 5 จากจังหวะต่อบอลเข้าเขตโทษ แบร์นาโด้ ตัดเข้ากลางให้ เชซุส ยิงไปเข้าทาง โฟเด้น กคจ่อ ๆ เข้าไป

ช่วงเวลาที่เหลือ เจ้าถิ่นมีโอกาสได้จบอยู่บ้างแต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนเป็นสกอร์เพิ่มได้ เช่นเดียวกับทีมเยือนที่แทบหาจังหวะบุกโต้กลับไม่ได้เลย

จนกระทั่งจบ 90 นาที แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านยำใหญ่ เบิร์นลีย์ ยับเยิน 5-0

คะแนนนักเตะ แมนฯ ซิตี้

แมนฯ ซิตี้ : เอแดร์ซอน (6.5), คันเซโล (7), โอตาเมนดี้ (7), แฟร์นันดินโญ (7.5), ซินเชนโก้ (7.5), โรดรี้ (7), ซิลบา (8), โฟเด้น (9), แบร์นาโด้ (8), มาห์เรซ (8), อเกวโร (6.5)

ตัวสำรอง : กุนโดกัน (6), เชซุส (6.5), ลาปอร์ต (6), เดอ บรอยน์ (6.5), ซาเน (6)

ตีย์แมน – ฟิล โฟเด้น
วันนี้ดาวรุ่งหัวแก้วหัวแหวนของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา อย่าง ฟิล โฟเด้น ทำได้ถึง 2 ประตูจากจังหวะยิงไกลนอกกรอบในช่วงครึ่งแรก และอีกหนึ่งลูกเป็นการซัดในกรอบเขตโทษที่ เชซุส ยิงมาเข้าทางปืนในช่วงครึ่งเวลาหลัง ซึ่งต้องบอกว่านับตั้งแต่ พรีเมียร์ลีก กลับมาลงเล่นในวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น 2 เกมที่ เรือใบสีฟ้า ลงเล่น โฟเด้น ทำไปแล้วถึง 3 ประตู มากกว่าตลอด 3 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ในลีกสูงสุดตั้งแต่เจ้าตัวขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่รวมกันเสียอีก !

ประเด็นร้อนหลังเกม

“ฟอร์มขนาดนี้ไม่น่าเชื่อว่าเราจะนำพวกเขาห่าง 20 แต้ม”
นี่คือคำพูดของ เยอร์เกน คล็อปป์ ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลังเกมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านถล่ม อาร์เซนอล 3-0 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งในเกมถล่ม เบิร์นลีย์ นัดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่สามารถพิสูจน์ประโยคที่ายใหญ่ หงส์แดง พูดนี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยฟอร์มการเล่นที่ไร้ที่ติแม้ว่าจะโรเทชั่นนักเตะจากเกมก่อนเกือบทั้งทีม แต่คุณภาพกลับไม่ได้แตกต่างกันเลยอย่างสิ้นเชิง น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถงัดฟอร์มแบบนี้ออกมาได้อย่างต่อเนื่อตลอดทั้งฤดูกาล จนทำให้ปีนี้ใกล้จะเสียแชมป์ให้กับ ลิเวอร์พูล เข้าไปทุกที อย่างไรก็ตามเชื่อได้เลยว่าหากหลังจากนี้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สามารถคงฟอร์มสุดโหดแบบนี้ต่อไปได้เรื่อย ๆ ถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก คงไม่ไกลเกินฝันถึงสำหรับสาวก เรือใบสีฟ้า อย่างแน่นอน

เก็บตก 4 ประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ หงส์แดง บุกเจ๊าไร้สกอร์

Trent Alexander-Arnold
Everton FC v Liverpool FC – Premier League | Pool/Getty Images

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน : คืนวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2020
เวลาแข่งขัน : 01.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : เอฟเวอร์ตัน 0-0 ลิเวอร์พูล
สนาม : กูดิสัน พาร์ค

แม้ว่าช่วงก่อนพักเบรกเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั้น ฟอร์มของ ท็อฟฟีสีน้ำเงิน จะไม่ดีเอาเสียเลยด้วยการไม่ชนะใคร 3 เกมหลังสุดและแพ้ไปถึง 2 โดยหนึ่งในนั้นคือการโดน เชลซี ถล่มเละด้วยสกอร์ถึง 4-0 แต่พอกลับมาในเกมนี้ ต้องบอกว่าฟอร์มของพวกเขาเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละทีมกับเกมที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เลยทีเดียว ทั้งแนวรับที่ค่อนข้างเหนียวแน่นจน 3 ประสานในแดนหน้าของ ลิเวอร์พูล แทบหาจังหวะจบแบบเหน่ง ๆ ไม่ได้ รวมถึงเกมสวนกลับที่ช่วงท้ายเกมเกือบจะคว่ำ หงส์แดง ให้กลับบ้านมือเปล่าอยู่หลายครั้งในเกมวันนี้

หากใครได้มีโอกาสติดตามชม ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ จะเห็นได้เคยว่ากุญแจไขความสำเร็จหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นทีเด็ดของพวกเขาอย่างหนึ่งคือ การเปิดจากแบ็คทั้งสองด้าน ทั้ง เทรนต์ และ โรเบิร์ตสัน ที่แอสซิสต์รวมกันในซีซั่นนี้ไปแล้วถึง 21 ครั้งใน พรีเมียร์ลีก แต่ในเกมวันนี้ โชคร้ายที่แบ็คซ้ายอย่าง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ไม่พร้อมลงสนาม รวมถึง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ดูฟอร์มจะหลุดไปพอสมควรหลักจากหยุดยาว นั่นจึงทำให้มิติในเกมรุกของ หงส์แดง ในวันนี้ ดูขาดความหลากหลายและลดความน่ากลัวลงไปลงไปมากพอสมควรเลยทีเดียว

ในเกมนี้ หงส์แดง ต้องเสียผู้เล่นตัวหลักจากการบาดเจ็บไปถึง 2 รายด้วยกัน คือ เจมส์ มิลเนอร์ และ โจเอล มาติป ที่จำเป็นต้องถูกเปลี่ยนตัวออกไประหว่างการแข่งขันทั้งคู่ แต่ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะตั้งแต่ พรีเมียร์ลีก กลับมาลงฟาดแข้ง หลาย ๆ ทีมก็ประสบปัญหาเดียวกันนี้ ที่บรรดานักเตะในทีมดูจะเจ็บกันง่ายกว่าปกติ นั่นอาจเป็นเพราะพวกเขาไม่มีเวลาฝึกซ้อมมากพอที่จะเรียกความฟิตให้กลับมาเต็มร้อยเหมือนเมื่อก่อนก็เป็นได้

ดูเหมือนสถานการณ์ในปัจจุบัน เรือใบสีฟ้า อาจยืดเวลาไม่ให้ ทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ ฉลองแชมป์ออกไปได้อีกหน่อย เพราะหาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่จะลงแข่งในวันพรุ่งนี้เอาชนะ เบิร์นลีย์ ได้ ลิเวอร์พูล จะยังคงต้องการอีก 5 คะแนน (ชนะอีก 2 เกมเท่าเดิม) จึงจะการันตีการเป็นแชมป์ แต่หากทีมของ เป๊ป เกิดพลาดท่าพลิกล็อกเสมอหรือพ่ายให้กับ เบิร์นลีย์ จะทำให้ หงส์แดง ต้องการอีกเพียง 3 คะแนนเท่านั้นก็จะการันตีการเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ในทันที เพราะงั้นเหล่าสาวกเดอะค็อป เตรียมหาเสื้อ เบิร์นลีย์ มาใส่ได้เลย และคืนพรุ่งนี้มาลุ้นกัน !

เอาจริงล่ะนะ ! บุฟฟอน ฟันธง ซาร์รี จะโชว์การคุมทีมขั้นเทพในฤดูกาลหน้า

FBL-ITA-CUP-JUVENTUS-AC MILAN-HEALTH-VIRUS
FBL-ITA-CUP-JUVENTUS-AC MILAN-HEALTH-VIRUS | MIGUEL MEDINA/Getty Images

จิอันลุยจิ บุฟฟอน สุดยอดนายทวารทีม ยูเวนตุส ยืนยันฟันธงว่า เมาริซิโอ ซาร์รี กุนซือคนปัจจุบันจะระเบิดฟอร์มโชว์ฝีมือการคุมทัพม้าลายขั้นเทพให้แฟน ๆ ได้เห็นในฤดูกาลหน้า

“ผมเชื่อสุดหัวใจว่าฤดูกาลหน้า เมาริซิโอ ซาร์รี จะแสดงให้เราได้เห็นฝีมือการคุมทีม ยูเวนตุส แบบขั้นเทพจนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งแน่” บุฟฟอน กล่าวกับ DAZN Italy

“ทีมของเราผ่านการคว้าแชมป์มาต่อเนื่องยาวนานหลายซีซั่น ฉะนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น มันจึงออกอาการแผ่วลงมานิดหน่อย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา”

“หน้าที่ของ ซาร์รี ก็คือพยายามก่อร่างสร้างทีมขึ้นมาใหม่จนแข็งแรงตามแนวทางตัวเองซึ่งนักเตะทุกคนพร้อมช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อให้สต๊าฟฟ์โค้ชทุกคนทำงานได้ง่ายสุด แม้จะต้องเรียนรู้กับปรัชญาใหม่ ๆ ก็ตาม”

[ข่าวซื้อขาย] ทอดสะพาน ! เอเยนต์ เอเมอร์สัน แย้มแบ็ค อิตาลี อาจย้ายหนีทัพ เชลซี

Emerson Palmieri
Chelsea FC v Southampton FC – Premier League | Steve Bardens/Getty Images

เอเมอร์สัน พัลมิเอรี แบ็คซ้ายสังกัด สโมสรฟุตบอลเชลซี แห่งศึก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ จ่อที่จะย้ายออกจากรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ ใน ตลาดซื้อขายนักเตะ รอบที่จะถึงนี้เมื่อเอเยนต์ของเจ้าตัวได้ออกมาให้สัมภาษณ์ทอดสะพานกับทีมใน กัลโช เซเรีย อา

ฟูลแบ็ควัย 25 ปีทีมชาติ อิตาลี ตกเป็นข่าวโยงกับ อินเตอร์ มิลาน ภายใต้การคุมทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ อดีตกุนซือ สิงโตน้ำเงินคราม ตลอดช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ สิงห์บลู พยายามที่จะคว้าตัว เบน ชิลเวลล์ นักเตะในตำแหน่งเดียวกันจาก เลสเตอร์ ซิตี้ มาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์

“โรแบร์โต้ มันชินี หวังที่จะให้ เอเมอร์สัน ย้ายกลับ เซเรีย อา เพื่อที่จะมีโอกาสในการลงสนามมากยิ่งขึ้นหรือเปล่าน่ะเหรอ ผมไม่สามารถแสดงความคิดเห็นแทนเขาได้” เฟร์นันโด การ์เซีย เอเยนต์ของ เอเมอร์สัน กล่าวให้สัมภาษณ์กับ เอฟซีอินเตอร์นิวส์ สื่อใน อิตาลี

“ตอนนี้ยังไม่มีประเด็นใดๆ อย่างเป็นทางการกับ อินเตอร์ แต่เรากำลังพูดถึงสโมสรที่ยิ่งใหญ่และ คอนเต้ ก็เป็นผู้จัดการทีมที่มากความสามารถ” การ์เซีย พูดถึงประเด็นโยงกับทัพ เนรัซซูรี “ผมยังไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับ เชลซี เพราะฉะนั้นจึงยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีท่าทีกับตัวนักเตะอย่างไร ผมสามารถเดินหน้าทำงานได้ก็ต่อเมื่อได้รับการติดต่ออย่างเป็นทางการเท่านั้น”

ทั้งนี้ เอเมอร์สัน ย้ายมาเล่นให้กับ สิงห์บลู ตั้งแต่เมื่อเดือนมกราคม 2018 และมีสัญญาเหลือกับต้นสังกัดอีก 2 ปีโดยที่ดาวเตะวัย 25 ปีเพิ่งจะลงสนามให้กับทีมไปเพียง 18 นัดเท่านั้นเมื่อรวมทุกรายการจนถึงเวลานี้

[OPINION] สำรวจสถานการณ์ ‘บิ๊กซิก’ กับ 6 ประเด็นหลัง พรีเมียร์ลีก รีสตาร์ท

The Top Six Club Badges on Football Shirts
The Top Six Club Badges on Football Shirts | Visionhaus/Getty Images

ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก กลับมาลงสนามกันอย่างทางการอีกครั้งหลังจากที่ต้องหลบให้กับมหันตภัยร้ายของชาวโลกในศตวรรษที่ 20 อย่างเชื้อโควิด-19 ซึ่งประเดิมด้วยคู่ตกค้างอย่าง แอสตัน วิลลา ที่เปิดบ้านเสมอกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด แบบไร้สกอร์ ตามด้วย ‘แชมป์เก่า’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ยังไว้ลายเปิด เอติฮัด ถล่ม อาร์เซนอล ไป 3-0 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

นอกจากผลการแข่งขันแล้วสิ่งที่หลายคนสนใจก็คือสถานการณ์ของบรรดา ‘บิ๊กซิก’ หลังการกลับมา ‘รีสตาร์ท’ อีกครั้งว่าแต่ละทีมนั้นมีประเด็นอะไรที่น่าจับตามองบ้างและอีก 9 นัดที่เหลือพวกเขามีเป้าหมายกันอย่างไร

และนี่คือ 6 ประเด็นของทีมใหญ่หลัง พรีเมียร์ลีก รีสตาร์ท

ลิเวอร์พูล : ถึงเวลาทดลองทีม

ลิเวอร์พูล เข้าใกล้แชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกของพวกเขาในรอบ 30 ปีเข้าไปทุกขณะ ซึ่งเหลืออีกเพียง 6 คะแนนเท่านั้น โดยเกมแรกที่จะลงสนามคือการเดินข้ามสวนสาธารณะสแตนลีย์ ปาร์ค ไปเยือน เอฟเวอร์ตัน ที่ กูดิสัน ปาร์ค

คาดกันว่าแม้ผลการแข่งขันกับคู่อริร่วมเมืองจะไม่ได้ออกมาอย่างที่คิด แต่การคว้าแชมป์ของพวกเขาก็คงไม่พังทลายจากการนำโด่งถึง 22 คะแนน ดังนั้นคำถามที่ตามมาก็คือ สิ่งที่จะต้องทำต่อไปคืออะไร

เอฟเอคัพ และ แชมเปี้ยนส์ลีก ก็ตกรอบไปหมดแล้วไม่เหลืออะไรให้ลุ้นกันอีกต่อไป สิ่งที่คนเป็นโค้ชจะทำได้ในช่วงที่เหลือก็คือการ ‘ทดลองทีม’ เพื่อตรียมตัวป้องกันแชมป์ในซีซันหน้า

นักเตะที่ไม่ค่อยได้ใช้งานหรือพวกที่กำลังเรียกหาความฟิตหลังจากได้รับบาดเจ็บจะได้รับโอกาสในการลงสนามเพื่อให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ ดูตัว ดูฝีเท้าว่าซีซันหน้าเขาจะต้องทำอะไรกับขุนพลชุดนี้บ้าง โดยมีทั้ง นาบี เกอิต้า มิดฟิลด์ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บจะได้โอกาสลงสนามเคาะสนิมเรียกความฟิต ทาคุมิ มินามิโนะ ตัวรุกที่เข้ามาตอนกลางซีซันก็จะได้โอกาสในการลงเล่นเพื่อปรับตัวกับฟุตบอลอังกฤษและ เซอร์ดาน ชากีรี ที่มีข่าวจะย้ายทีมนั่นก็ยังมีเวลาพิสูจน์ตัวเองเช่นกัน

ในรายของพวกดาวรุ่งก็เชื่อว่าอยากให้พี่ ๆ รีบคว้าแชมป์ให้มันจบ ๆ เกมที่เหลือพวกเขาจะได้มีโอกาสบ้าง แต่ที่คาดว่าจะได้รับโอกาสมากกว่าใครเพื่อนน่าจะเป็น เคอร์ติส โจนส์ ที่ คล็อปป์ วางเอาไว้ให้เป็นตัวแทนของ อดัม ลัลลานา ที่จะหมดสัญญาหลังจบฤดูกาลนี้

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : คว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ส่งท้าย?

ในทางทฤษฎีนั้นก็ยังถือว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยังพอมีลุ้นป้องกันแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของตัวเองอยู่บ้าง แค่รอให้ ลิเวอร์พูล พลาดท่าพ่าย 8 จาก 9 เกมเท่านั้น!

เอาเถอะ แม้หลายคนจะเคยบอกว่าบนโลกใบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่เชื่อว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ คงไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ ๆ ดังนั้นการคว้ารักษาพื้นที่ ‘รองแชมป์’ จึงถือเป็นภารกิจสำคัญในการลงเล่นเกมในประเทศของขุนพล ซิตี้

เมื่อลีกกำลังอยู่ตัวรายการอย่าง ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ก็กลายเป็นเป้าหมายหลักขึ้นมาทันที แม้จะมีถ้วย เอฟเอคัพ อีกใบที่ต้องลงป้องกันแชมป์ แต่ถ้าลองไปถามแฟนบอล เรือใบสีฟ้า พวกเขาก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ขอแชมป์ยุโรปแล้วกัน’

พร้อมกับที่มีข่าวลือว่าทาง ยูฟา อาจจะเปลี่ยนแปลงระบบการแข่งขันฟุตบอลถ้วยยุโรปใหม่ โดยให้เป็นการเล่นแบบ ‘มินิทัวร์นาเม้น’ ซึ่งเป็นการเตะแบบนัดเดียวตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้ายที่สนามเป็นกลาง โดยจะจัดกันที่เมือง ลิสบอน โปรตุเกส นั่นอาจจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการคว้าแชมป์มากยิ่งขึ้นก็เป็นได้

สถานภาพปัจจุบันของ ซิตี้ ในตอนนี้พวกเขาลงเล่นเลกแรกในรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปแล้วโดยเอาชนะ เรอัล มาดริด ไป 2-1 ซึ่งหากดูจากฟอร์มการเล่นและความมุ่งมั่นลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ถือว่ามีสิทธิที่จะเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศอย่างแน่นอนและด้วยการที่พวกเขาอาจไม่รอดมาเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าเนื่องจากปัญหาการปลอมแปลงบัญชี บอลยุโรปในปีนี้คงป็นเหมือน ‘เฮือกสุดท้าย’ ที่ต้องฝากชื่อไว้ในฐานะแชมป์ด้วย

เชลซี : แฟรงค์ แลมพาร์ด กับการคว้าพื้นที่ท็อปโฟร์

ในช่วงหยดพักการแข่งขันไปกว่า 3 เดือน เชลซี กลายเป็นทีมที่มีความเคลื่อนไหวในตลาดซื้อขายมากที่สุดในบรรดาท็อปซิก จากการคว้าตัว ฮาคิม ซิเย็ค ล่วงหน้ามาจาก อาแจ็กซ์ และข่าวล่าสุดเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมากับการเตรียมตัวกระชาก ติโม แวร์เนอร์ ตัดหน้า ลิเวอร์พูล

อย่างไรก็ตามท่ามกลางการเซ็นสัญญาอันน่าตื่นเต้นนี้ยังมีคำถามที่น่าสนใจว่า แลมพาร์ด จะพา สิงห์บลู คว้าโควต้าไปเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าได้หรือไม่

การทำงานของกุนซือหนุ่มในฤดูกาลนี้ได้รับคำชมอย่างมากจากบรรดากูรูและผู้คร่ำหวดในวงการ ด้วยสถานการณ์ที่โดนแบนในตลาดซื้อขาย ทำให้เขาต้องให้โอกาสดาวรุ่งได้ก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดและเป็นกำลังสำคัญของทีม แน่นอนว่าฟอร์มการเล่นอาจจะยังไม่สม่ำเสมอเท่าที่ควร แต่การที่ยังรั้งอันดับ 4 เอาไว้ได้จนถึงช่วงโค้งสุดท้ายทำให้หลายคนมองว่า แลมพาร์ด มีอนาคตที่สดใสบนเส้นทางผู้จัดการทีมรออยู่

กระนั้นก็ดีแม้จะเกาะเกี่ยวพื้นที่สำคัญอย่างเหนียวแน่น แต่จากสถิติเสียประตูมากที่สุดในบรรดา 7 ทีมหัวตาราง นั่นเป็นสัญญาณว่า 9 นัดต่อจากนี้ของพวกเขาต้องรวบรวมสมาธิเพื่อไม่ให้หลุดจากตำแหน่งปัจจุบัน เพราะมิเช่นนั้นการลงทุนล่วงหน้าที่เกิดขึ้นอาจจะกลายเป็น ‘ภาระ’ มหาศาลของทีมในอนาคตได้

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ปอล ป็อกบา vs บรูโน แฟร์นันเดส

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำผลงานสุดหรูก่อนปิดลีกหนีโควิดด้วยการไม่แพ้ใคร 11 เกมหลังสุดทำให้พวกเขาขยับขึ้นมารั้งอันดับ 5 ของตารางเป็นที่เรียบร้อย พร้อมอยู่ห่างจาก เชลซี ทีมอันดับ 4 เพียง 3 คะแนนเท่านั้น

การมาของ บรูโน แฟร์นันเดส เมื่อเดือนมกราคมถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทีม เขากลายเป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้ หลังจากที่ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมในแดนกลาง เป็นตัวขับเคลื่อนเกมรุกของทีมและช่วยจุดประกายความหวังในการกลับไปเล่นในเวทีใหญ่ระดับยุโรปของสาวก ปีศาจแดง อีกครั้ง

อย่างไรก็ตามคำถามที่สำคัญก็คือ เมื่อ ปอล ป็อกบา กลับมาทั้ง 2 คนจะเล่นด้วยกันได้หรือไม่ เพราะก่อนหน้านั้นมีกระแสข่าวว่ากองกลางทีมชาติฝรั่งเศสเตรียมที่จะย้ายทีมหลังจบฤดูกาล แต่เมื่อ บรูโน ทำผลงานได้ดีกระแสก็เปลี่ยนไปเป็นการอยากเห็นทั้งสองคนจับคู่กันในแดนกลางเพื่อช่วยพาทีมกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง

แม้ในเกมอุ่นเครื่องที่ผ่านมาดูท่าว่าจะยังไม่เข้าที่เข้าทางซักเท่าไหร่ เมื่อ ป็อกบา จับคู่กับกองกลางโปรตุกีสกลับพาทีมพ่ายให้กับทีมรองบ่อน แต่นั่นเป็นเพียงครั้งแรกของทั้งคู่ซึ่งยังพอมีเวลาปรับจูนก่อนกลับมาลงสนามในสุดสัปดาห์นี้

นี่คือการบ้านสำคัญของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ในการงัดเอาศักยภาพของทั้งคู่ออกมาประสานงานช่วยทีม ซึ่งแฟนบอลเร้ดเดวิลส์ต่างรอคอยที่อยากจะเห็นคู่กองกลางที่มีค่าตัวรวมกันกว่า 150 ล้านปอนด์ขับเคลื่อนสโมสรให้กลับไปอยู่ในจุดที่ควรอีกครั้ง

ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ : แฮร์รี เคน และ ซน-เฮือง มิน คัมแบ็ค

สภาพของ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ นั้นดูไม่ได้เลยในช่วง 3 เดือนก่อน แต่หลังจากที่หยุดแข่งไปทำให้พวกเขาจะได้นักเตะที่เป็นกำลังสำคัญอย่าง แฮร์รี เคน และ ซน-เฮือง มิน กลับมาล่าตาข่ายอีกครั้ง

เดอะสเปเชียลวัน ทำทีมไม่ชนะใครมา 6 เกมหลังสุดก่อนจะหยุดโควิด รวมทั้งการตกรอบฟุตบอลถ้วยอย่าง เอฟเอคัพ และ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก แบบหมดรูปไม่เหลือลายรองแชมป์เก่า นั่นหมายความว่าหลังจากนี้พวกเขาจะกลับมาลุ้นทำอันดับท็อปโฟร์อย่างเต็มตัว

ฟังดูเหมือนจะเป็นงานง่าย แต่ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะด้วยช่องว่างที่ห่างจากอันดับ 4 อยู่ 7 คะแนนกับเกมที่เหลืออีก 9 นัดและต้องโคจรพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด คู่แข่งแย่งท็อปโฟร์กันโดยตรงตั้งแต่ 3 นัดแรกจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถพลาดได้เลย

ดังนั้นการได้ เคน และ ซน กลับมาจึงถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะมีเครื่องจักรล่าตาข่ายในช่วงสถานการณ์แบบนี้ ด้วยสถิติรวมกันยิงไป 33 ประตูในทุกรายการในซีซันนี้ เชื่อได้ว่า มูรินโญ จะต้องแอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจก่อนเกมเจอกับ ยูไนเต็ด เป็นแน่แท้

อาร์เซนอล : อาร์เตต้า กับการรั้ง โอบาเมยอง

หลังจากที่ได้ มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาทำหน้าที่หัวเรือใหญ่แทน อูไน เอเมรี เมื่อเดือนธันวาคม ทิศทางของทีมก็ค่อย ๆ ดีขึ้นโดยพวกเขายังไม่แพ้ใครในเกมลีกมาตั้งแต่ช่วงปีใหม่ จนกระทั่งมาเสียสถิติให้กับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

แง่บวกของทีมเช่นนี้อาจทำให้ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ตัดสินใจอนาคตของตัวเองง่ายขึ้นหลังจากที่ดูอึมครึมมาตั้งแต่ซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่หาก ปืนโต จะดำเนินการอะไรบางอย่างพวกเขาต้องรีบลงมือทำให้เร็วที่สุดเพราะนักเตะเหลือสัญญาเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น

การทำผลงานในอีก 9 เกมที่เหลือให้กระเตื้องขึ้นก็นับเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่จะโน้มน้าวให้ศูนย์หน้าทีมชาติกาบองยอมต่อสัญญากับทีม มิเช่นนั้นในซัมเมอร์นี้ฝ่ายบริหารของสโมสรจะต้องขึ้นป้ายขายดาวยิงวัย 30 ปีทิ้งเพื่อเอาเงินสดเข้าทีม ซึ่งจะมากจะน้อยก็ต้องว่ากันไป ดีกว่าปล่อยให้ย้ายแบบฟรี ๆ เหมือนในหลาย ๆ เคสที่ผ่านมา

ถามว่ากับนักเตะที่เข้าเลข 3 นั้นจะมีประโยชน์กับทีมได้นานขนาดไหน เอาเป็นว่าตอนนี้ โอบา กำลังรั้งอันดับบนตารางดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก โดยซัดไปแล้ว 17 ประตูจาก 29 นัดเป็นรองแค่ เจมี วาร์ดี้ ที่ยิงได้ 19 ประตูคนเดียวเท่านั้น

ดังนั้นสรุปให้ตรงนี้เลยว่าการเก็บ โอบาเมยอง เอาไว้กับทีมต่อไปนั้นจะทำให้ อาร์เซนอล มีลุ้นกลับไปเล่น ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้า แม้ว่าความคิดนี้มีแฟนบอลส่วนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยก็ตาม

เก็บตก 5 ประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก ปืนใหญ่ บุกพ่าย ประเดิมสนาม

โดย Saksorn Nenlert | Jun 17 2020

Sergio Aguero
Manchester City v Arsenal FC – Premier League | Laurence Griffiths/Getty Images

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
คินวันแข่งขัน : วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2020
เวลาแข่งขัน : 02.15 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-0 อาร์เซนอล
สนาม : เอติฮัด สเตเดี้ยม

1. รูปเกมที่เรือใบดูเหนือกว่าแทบทุกอย่าง

นัดนี้แม้ในช่วงต้นเกมดูเหมือนลูกทีมของ มิเกล อาร์เตตา จะสามารถต่อกรกับทีมของลูกพี่เก่าอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้อย่างสูสี แต่หลังจากที่ พลพรรคเรือใบสีฟ้า ตั้งเกมของตัวเองได้ อาร์เซนอล ก็เป็นฝ่ายตกเป็นรองให้ ซิตี้ ซ้อมบอลบุกเข้าใส่แทบจะตลอด 90 นาทีเต็ม ด้วยอัตราการครองบอล 68 ต่อ 32 เปอร์เซนต์ ซึ่งอาจจะดูเป็นเรื่องปกติ แต่ในเรื่องของโอกาสการเข้าทำที่ แมนฯ ซิตี้ ทำได้ถึง 20 ครั้งตรงกรอบ 12 ในขณะที่ ทัพปืนใหญ่ ได้จบตลอดทั้งเกมเพียง 3 ครั้ง และยังไม่เข้ากรอบเลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่จึงเป็นการบ้านที่นายใหญ่ชาวสเปนต้องรีบนำไปแก้ไขโดยด่วนที่สุด

2. บรรยากาศในสนามคึกคักแม้ไร้แฟนบอลเข้าชม

ต้องบอกเลยว่าใครที่ได้ติดตามดูการถ่ายทอดสดในนัดนี้ จะแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างในเรื่องของบรรยากาศหรือเสียอรรถรสในการชมเกมจากการไม่มีผู้ชมในสนามเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะการที่ พรีเมียร์ลีก มีการเปิดเสียงเชียร์ของแฟนบอลให้ดังกระหึ่มเอาไว้ตลอดทั้งเกม ซึ่งเสียงเหล่านี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบตามความเป็นไปของเกมได้อีกด้วย นั่นจึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้ชมทางบ้านรู้สึกเหมือนกับว่ามีแฟนบอลชมอยู่ในสนามจริง ๆ แม้ว่าบนแสตนด์จะว่างเปล่าก็ตาม

3. การพักเบรกไปนานส่งผลต่อร่างกายนักเตะ

เห็นได้ชัดจากการที่ 2 นักเตะของ อาร์เซนอล ที่มีปัญหาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าตั้งแต่ต้นเกมทั้ง กรานิท ชาก้า และ ปาโบล มารี จนทีมต้องเสียโควต้าเปลี่ยนตัวทันทีตั้งแต่ 20 นาทีแรกถึง 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน นอกจากนี้ในช่วงครึ่งเวลาหลังก็พอจะสังเกตุเห็นได้ถึงความเหนื่อยล้าของทั้งสองทีมที่ดูจะมีส่วนทำให้เกมช้าลงไปเล็กน้อยแม้ว่าพึ่งจะผ่านช่วง 20 นาทีสุดท้ายมาเท่านั้น

4. ลุยซ์ คือจุดเปลี่ยนสำคัญ

อย่างที่ได้กล่าวไปว่า ปาโบล มารี กองหลังชาวบราซิลของ อาร์เซนอล ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าจนเล่นต่อไม่ไหวตั้งแต่ช่วงนาทีที่ 20 และเป็น ดาวิด ลุยซ์ ปราการหลังตัวเก๋าลงมาทำหน้าที่แทน ซึ่งเขาได้สร้างความผิดพลาดอย่างร้ายแรงถึง 3 อย่างจนส่งผลให้ทีมตกเป็นรองและพ่ายแพ้ไปในที่สุดนั่นคือ 1. การจับบอลพลาดจนทำให้ สเตอร์ลิง หลุดเข้าไปยิงประตูแรก 2. ทำเสียจุดโทษจนทำให้โดนนำห่าง 2-0 ที่สำคัญกว่านั้น 3. การทำฟาวล์ในครั้งนั้นทำให้เจ้าตัวโดนใบแดงไล่ออกจากสนามทันทีตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง จนทำให้ทีมต้องเสียเปรียบทั้งในเรื่องตัวผู้เล่นและสกอร์ที่ตามอยู่ถึง 2 ประตูตั้งแต่ช่วงนาทีที่ 50 ของการแข่งขันนั่นเอง

5. หนึ่งเดียวที่น่าพอใจ “แบรนด์ เลโน”

เกมนี้ต้องบอกว่านักเตะของ ปืนใหญ่ เล่นได้ตำกว่ามาตรฐานทุกคน เว้นเสียแต่ แบรนด์ เลโน นายทวารชาวเยอรมัน ที่วันนี้เซฟอุตลุดร่วม 8-9 ครั้ง ช่วยให้สุดท้ายทีมไม่กลับออกมาแบบยับเยินไปมากกว่านี้ ซึ่ง 3 ประตูที่เสียนั้นต้องบอกว่าหมดสิทธิจริง ๆ ทั้งลูกยิ่งจ่อ ๆ ลูกจุดโทษ รวมถึงลูกซ้ำเข้าไป เพราะนอกเหนือจากนี้ทั้งโอกาสยิงของ มาห์เรซ ซิลบา หรือแม้แต่ อเกวโร ที่แต่ละลูกแทบจะใส่สกอร์ได้เลยนั้น อดีตนายด่านจาก เลเวอร์คูเซน รายนี้ ก็ปัดป้องช่วยทีมเอาไว้ได้ทั้งหมด

ใจไปแล้ว ! สื่อเผย แวร์เนอร์ เตรียมถอนตัวชุดลุย แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมของ ไลป์ซิก

FBL-GER-BUNDESLIGA-LEIPZIG-FREIBURG
FBL-GER-BUNDESLIGA-LEIPZIG-FREIBURG | JAN WOITAS/Getty Images

สกายสปอร์ต รายงานว่า ติโม แวร์เนอร์ ยอดกองหน้าของทีม แอร์เบ ไลป์ซิก อาจพลาดการลงเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายที่จะกลับมาทำการแข่งขันในเดือนสิงหาคม เพราะเจ้าตัวอาจตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม เชลซี ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้

กรุงลิสบอน จะถูกใช้เป็นสังเวียนฟาดแข้งในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้ายไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ระหว่างวันที่ 12-23 สิงหาคม ซึ่ง ไลป์ซิก กำลังอยู่บนเส้นทางหลังเอาชนะ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ในรอบ 16 ทีมมาด้วยประตูรวม 4-0

แต่อย่างไรก็ตามหัวหอกตัวเก่งของพวกเขา ที่กำลังจะย้ายไปเล่นใน พรีเมียร์ลีก กับ สิงโตน้ำเงินคราม ฤดูกาลหน้านั้น สื่อดังกล่าวคาดว่า แวร์เนอร์ อาจพลาดการลงสนามใน แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีม ให้กับยอดทีมแห่งเมืองเบียร์ เพราะต้องรีบเก็บของและบินตรงไปยังอังกฤษทันทีช่วงเดือนกรกฎาคมนี้หลังสิ้นสุดภารกิจในศึก บุนเดสลีกา

ซึ่งจะเหลือช่วงเวลาให้แข้งวัย 24 ปีรายนี้ได้ปรับตัวและลงซ้อมกับต้นสังกัดใหม่ราว 3-4 สัปดาห์เท่านั้น ก่อนที่ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีจะกลับมาลงฟาดแข้งกันอีกครั้งในฤดูกาล 2020/21

บทเรียน จาก บุนเดสลีกา, เอเยนต์ ยัน ลิเวอร์พูล

Summary Transfer News (15-6-2020)
Summary Transfer News (15-6-2020)


สรุปทุกประเด็นข่าวที่สำคัญในแวดวงฟุตบอลที่เกิดขึ้นในรอบวันของ 
ลิเวอร์พูลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, และบรรดาบิ๊กทีมในศึก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษข่าวซื้อขายนักเตะ และวงการฟุตบอลทั่วโลก

หลังจากที่ศึก บุนเดสลีกาเยอรมัน ได้เริ่มกลับมาทำการแข่งขันก่อนเพื่อนตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งหลายอย่างดูจะเปลี่ยนแปลงไปหลังจากลีกสูงสุดเมืองเบียร์เริ่มกลับมาลงทำการแข่งขันกันอีกครั้ง ซึ่งนี่อาจเป็นสิ่งที่ พรีเมียร์ลีก ที่จะลงเล่นกันในวันพุธนี้ อาจต้องพบเจอ นั่นคือ..

1. ความได้เปรียบของเจ้าบ้านลดลง

11 เกม คือจำนวนที่ทีมเจ้าบ้านชนะ จากทั้งหมด 55 เกมที่ลงเล่นหลังจากเริ่มกลับมาทำการแข่งขัน (คิดเป็น 20%) นั่นอาจเป็นเพราะการไม่มีผู้ชมในสนามเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความได้เปรียบของเจ้าบ้านลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด (ก่อนหน้านี้อัตราการชนะของเจ้าบ้านอยู่ที่ 43%)

2. อัตราการบาดเจ็บเพิ่มสูง

ใน 1 เดือนที่ผ่านมาศึก บุนเดสลีกา มีนักเตะที่บาดเจ็บกล้ามเนื้อจนต้องพักยาวระหว่างเกมการแข่งขันไปแล้วถึง 14 รายด้วยกัน นี่ยังไม่นับอาการบาดเจ็บจากการเข้าปะทะรวมถึงการบาดเจ็บในช่วงฝึกซ้อมที่ไม่ได้อยู่ระหว่างการแข่งขัน

3. การยิงประตูแบบระเบิดเทิดเทิง

นับตั้งแต่กลับมาทำการแข่งขันจนถึงตอนนี้ 55 นัด มีการยิงประตูไปแล้วกว่า 166 ประตู เฉลี่ยมีการยิงถึง 3 ประตูต่อ 1 เกมเลยทีเดียว แถมมีถึง 11 เกม (คิดเป็น 20%) ที่ยิงกันตั้งแต่ 4 ประตูขึ้นไป

4. ท่าดีใจที่เปลี่ยนไป

ก่อนหน้านี้เราอาจเคยชินกับการดีใจเป็นหมู่กับเพื่อนร่วมทีมหลังจากมีการทำประตู แต่เนื่องจากนโยบาย “ระยะห่างทางสังคม” ทำให้บรรดาผู้ทำประตูใน บุนเดสลีกา ต่างคิดท่าดีใจที่ค่อนข้างแปลกแหวกแนวมากกว่าเดิม เพราะไม่สามารถเข้าไปดีใจกับเพื่อนร่วมทีมได้เหมือนเมื่อก่อนนั่นเอง

sportwitness เปิดเผยว่า ฟาลี รามาดานี เอเยนต์ของ คาลิดู คูลิบาลี ยอดกองหลังของ นาโปลี กำลังพยายามจะเจรจากับต้นสังกัดเพื่อขอให้ลดค่าตัวของแข้งชาว เซเนกัล รายนี้ลง พร้อมทั้งยืนยันอีกว่า ลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และ นิวคาสเซิล กำลังให้ความสนใจ คูลิบาลี อยู่จริง แต่ติดตรงที่ค่าตัวที่ถูกตั้งไว้ราว 90 ล้านยูโรดูจะสูงเกินไปในสถานการณ์ปัจจุบัน

สื้อท้องถิ่น รายงานว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมจะมอบโอกาสให้กับ อเล็กซิส ซานเชซ หัวหอกตัวเก๋าชาวชิลี ให้ได้กลับมาพิสูจน์ตัวเองกับทีมอีกครั้ง เนื่องจากสโมสรคงไม่สามารถทำกำไรจากการปล่อยตัวแข้งรายนี้ออกจากทีมช่วงซัมเมอร์อย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้อดีตสตาร์ของ อาร์เซนอล อาจต้องยอมรับเงื่อนไขในการลดบทบาทในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ลง

สื่อในสเปน เปิดเผยว่า ดาบิด ซิลบา เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แน่นอนแล้วว่าจะย้ายออกจากถิ่น เอติฮัด หลังจบฤดูกาลนี้ โดยก่อนหน้านี้อดีตดาวเตะจาก บาเลนเซีย รายนี้มีข่าวกับหลายทีมทั้ง เอซี มิลาน อินเตอร์ ไมอามี รวมถึง อัล ซาดด์ แต่ล่าสุดสื่อดังกล่าวเปิดเผยว่า อัล ดูเฮล ทีมดังในลีก กาตาร์ ที่มีสตาร์ดังอย่าง
มาริโอ มานด์ซูคิช และ เมดีห์ เบนาเตีย ค้าแข้งอยู่ กลายเป็นตัวเต็งที่จะได้ตัว ซิลบา ไปร่วมทีม

อ็อดซอน เอดูอาร์ด กองหน้าตัวเก่งของ กลาสโกว เซลติก ที่พึ่งจะได้รับการโหวตจากสื่อใน สกอตแลนด์ ให้คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสกอตติชลีก ซึ่งหลังจากรับรางวัลเจ้าตัวได้ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับอนาคตของตัวเองว่า “สำหรับผม การพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ลีก 10 สมัยรวด คือเป้าหมายที่ผมต้องการจะทำให้สำเร็จ ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งในการจารึกประวัติศาสตร์นี้ ส่วนอนาคตอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้ผมยังมีสัญญากับ เซลติก และผมต้องการจะสร้างประวัติศาสตร์กับทีมให้ได้”

สปอร์ต โมล รายงานว่า เชลซี คิดแผนการใหญ่ด้วยการจะดึงตัว คริสเตียโน โรนัลโด้ ซุเปอร์สตาร์ดาวยิงของ ยูเวนตุส ที่แม้จะอายุปาเข้าไป 35 ปีแล้ว แต่ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ทำไปแล้วกว่า 53 ประตูจาก 76 เกมในทุกรายการนับตั้งแต่ย้ายมาจาก เรอัล มาดริด ซึ่งสื่อดังกล่าว ชี้ว่า สิงโตน้ำเงินคราม เตรียมจะควักเงินราว 108 ล้านปอนด์ เป็นงบประมาณในการล่าลายเซ็นอดีตแข้งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รายนี้

เดอะ ซัน สื่อดังของอังกฤษ รายงานว่า ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ กำลังให้ความสนใจจะยืมตัว อารอน แรมซีย์ อดีตกองกลางของ อาร์เซนอล ที่ปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับ ยูเวนตุส ในศึก กัลโช เซเรีย อา โดยสื่อดังกล่าวเปิดเผยว่า ทีมม้าลาย ต้องการจะลดภาระค่าเหนื่อยของนักเตะ จึงมีแผนจะส่งตัวกองกลางชาวเวลส์รายนี้กลับมาเล่นยัง พรีเมียร์ลีก อีกครั้งเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระด้านการเงินในช่วงวิกฤติที่กำลังเผชิญอยู่นี้

[OPINION] เงื่อนไข “เหรียญแชมป์” พรีเมียร์ลีก ของ ลิเวอร์พูล

Manchester City v Huddersfield Town - Premier League
Manchester City v Huddersfield Town – Premier League | Michael Regan/Getty Images

ตอนนี้ถือว่า ลิเวอร์พูล เข้าใกล้ความจริงเข้ามาทุกขณะ หลังการประกาศกลับเตะกันอีกครั้งของศึก พรีเมียร์ลีก เพราะพวกเขากำลังนำโด่งทิ้งห่างคู่แข่งถึง 25 คะแนน โดยต้องการอีกเพียง 6 แต้มทุกอย่างก็จะจบสมบูรณ์แม้ยังแข่งไม่เสร็จก็ตาม

ในส่วนของโปรแกรมหรือการวิเคราะห์เกมนั้นเราค่อยมาว่ากันในช่วงใกล้ ๆ เริ่มเตะกัน แต่ตอนนี้มีเรื่องที่น่าสนใจถือเป็นเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ได้ติดตามนั่นคือเรื่องของ เหรียญแชมป์ พรีเมียร์ลีก

แม้ว่าแผนการฉลองชัยจะยังไม่แน่นอนว่าจะได้แห่หรือไม่แห่ หรือจะแห่ที่ไหน แห่แบบไหนอย่างไร แต่เรื่องที่ชัวร์ที่สุดคือ ถ้วยแชมป์และเหรียญรางวัลที่จะได้รับ ซึ่งมีการกำหนดเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทีมที่มีสิทธิได้คล้องเหรียญพร้อมชูถ้วยมากที่สุดในตอนนี้ก็หนีไม่พ้น ลิเวอร์พูล ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ แต่ใช่ว่านักเตะในทีมทุกคนจะมีโอกาสได้เหมือน ๆ กัน เพราะเรื่องแบบนี้มีกฎกติกาของมันอยู่

กฎของการแจกเหรียญรางวัลชนะเลิศ

พรีเมียร์ลีก กำหนดเอาไว้ชัดเจนว่าพวกเขามีเหรียญให้กับทีมที่เป็นแชมป์ 40 เหรียญเพื่อให้แจกจ่ายแก่นักเตะและทีมงานสตาฟฟ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งทำงานหนักกันมาตลอดทั้งปี

แต่นักเตะที่จะได้เหรียญแชมป์นั้นก็ต้องมีคุณสมบัติตรงตามที่ระบุไว้ กล่าวคือผู้เล่นคนนั้นจะต้องได้ลงสนาม 5 เกมขึ้นไปตลอดทั้งฤดูกาล ส่วนที่เหลือนั้นจะเป็นการแจกจ่ายให้กับผู้จัดการทีมและทีมงานเบื้องหลังรวมทั้งผู้เล่นที่สโมสรคิดว่าสมควรจะได้รับ


แล้วมีใครจะได้บ้าง?

เมื่อมาดูรายชื่อผู้เล่น หงส์แดง หลังผ่านไป 29 เกมมี 20 คนที่เข้าเกณฑ์ได้รับเหรียญรางวัลชนะเลิศแน่ ๆ แล้วไล่ไปตั้งแต่คนที่ได้ลงสนามมากที่สุดจนไปถึงน้อยที่สุด ดังนี้

โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน (29 นัด), เวอร์กิล ฟาน ไดค์ (29), เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (29), จีนี ไวจ์นัลดุม (28), แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน(28), โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (26), ซาดิโอ มาเน (26), จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (25), ดิว็อค โอริกี (22), อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน (21), ฟาบินโญ (20), อลิสซอน (20), โจโกเมซ (19), เจมส์ มิลเนอร์ (18), อดัม ลัลลานา (15), อาเดรียน (11), นาบี เกอิต้า (9), เดยัน ลอฟเรน (9), โจเอล มาติป (9) และ เซอร์ดาน ชากีรี (6)

ส่วนอีก 3 รายที่ต้องลุ้นว่าจะได้ลงสนามในอีก 9 เกมที่เหลือบ้างหรือไม่เพื่อให้ครบโควต้า 5 นัด มีทั้ง ทาคุมิ มินามิโนะ (3 นัด), เคอร์ติส โจนส์ (2) และเจ้าหนู ฮาร์วีย์ เอลเลียต ได้ลงเล่นไป 1 เกม

ทางด้าน เนโก้ วิลเลียม ที่เคยลงเล่นในเกมบอลถ้วยมาแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสประเดิมสนามใน พรีเมียร์ลีก เลยก็ยังมีสิทธิได้ลงเล่นในช่วงที่เหลือหากว่า คล็อปป์ พาทีมคว้าแชมป์แต่หัววัน รวมทั้งการที่มีกฎออกมาเฉพาะในช่วงการแข่งขันที่เหลือนี้โดยให้สามารถใส่ชื่อนักเตะในเกมนั้นได้ 21 คนจากเดิม 18 คนและเปลี่ยนตัวได้เพิ่มเป็น 5 คนซึ่งก็อาจจะทำให้เจ้าหนู คี-ยานา โฮเวอร์ และ เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก ได้รับโอกาสลงไปสัมผัสเกมด้วย

ส่วนพวกที่ไม่ได้ก็ถือเป็นไปตามกฎ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นนักเตะที่ได้ลงสนามไม่ครบ 5 เกมหรือพวกสำรองที่ไม่ได้ใช้งานรวมทั้งนักเตะที่ถูกยืมตัว โดยก็มีทั้ง ริอาน บรูวสเตอร์, แน็ท ฟิลลิปส์, เคาอิมฮิน เคลเลเฮอร์ และนายทวารมือ 3 อย่าง แอนดี้ โลนาแกน เชื่อว่าทั้งหมดนี้จะไม่ได้ลงสนามในช่วง 9 เกมสุดท้ายอย่างแน่นอน

ทางด้านของสตาฟฟ์หรือทีมงานนั้น ในลิสต์ที่ปรากฎในเว็บไซต์ของสโมสรมีทีมงานทั้งหมด 22 คน ซึ่งที่การันตีว่าได้แน่ ๆ น่าจะเป็นกลุ่มที่อยู่บนม้านั่งสำรองข้างสนามเป็นหลักทั้ง เยอร์เก้น คล็อปป์, ปีเตอร์ คราเวียตซ์, เป๊ป ลินเดอร์ส, จอห์น อัชเทอร์เบิร์ก, อันเดรียส คอร์นาเมเยอร์, แจ็ค โรบินสัน, ลี น็อบส์ และ คริสโตเฟอร์ โรห์เบ็ค

ส่วนทีมงานเบื้องหลังไม่ว่าจะเป็นนักโภชนาการ, โค้ชลูกทุ่ม, นักกายภาพ, นักจิตวิทยา หรือหัวหน้าฝ่ายพัฒนาโค้ชก็น่าจะได้ตามโควต้าเช่นกัน แต่หากว่าเกิดมีนักเตะทำโควต้าได้เหรียญเพิ่มเป็น 24 คน คงต้องมีการหั่นชื่อสตาฟฟ์ออกให้เหลือ 16 จาก 22 คนก็เป็นได้


ขอเหรียญเพิ่มได้หรือไม่?

สำหรับการเติมเหรียญ เอ้ย การขอเหรียญเพิ่มเป็นกรณีพิเศษนั้นทางบอร์ดของ พรีเมียร์ลีก อนุญาตให้ทำได้แต่ต้องเป็นกรณีที่มีผู้เล่นมากกว่า 39 คนที่ผ่านเกณฑ์การลงสนามมากกว่า 5 นัดตามที่กำหนด

จริง ๆ แล้วก่อนหน้านั้นมีการขอเป็นกรณีพิเศษให้กับผู้รักษาประตูตัวสำรอง แต่เดี๋ยวนี้ประเพณีเหล่านี้น่าจะหมดไปแล้ว โดยดูจากเมื่อซีซันก่อนตอนที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฉลองแชมป์ บรรดามือกาวตัวสำรองอย่าง เคลาดิโอ บราโว, อริยาเน็ต มูริช และ แดเนียล กริมชอว์ ก็ขึ้นไปรับถ้วยกับเพื่อน ๆ แต่ไม่ได้เหรียญคล้องคอ

เรื่องนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ผู้จัดการทีมถึงกับหัวร้อนเป็นอย่างมาก เพราะยังมี ฟิลิปเป้ แซนด์เลอร์ เซ็นเตอร์แบ็คตัวสำรองอีกคนที่ออกไปฉลองกับเพื่อนแต่ก็ไม่ได้รับเหรียญเพราะไม่เข้าเกณฑ์ โดยกุนซือชาวคาตาลันกล่าวว่า

“มันช่างน่าขำสิ้นดี พวกเขาคือแชมป์เปี้ยนส์ พวกเขาทำงานด้วยกันตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายทั้งในห้องแต่งตัวและสนามซ้อม”

ประเด็นดังกล่าวก็เกิดขึ้นกับ เชลซี ตอนที่เป็นแชมป์เมื่อปี 2017 เหมือนกันโดยทาง อัสเมียร์ เบโกวิช นายทวารตัวสำรองได้ออกมาตำหนิทีมงาน พรีเมียร์ลีก ว่า ”เราทุกคนต่างเสียสละ เราเป็นส่วนหนึ่งของทีมในทุก ๆ วัน ไม่น่าเชื่อว่าแค่ 5 นัดก็ทำให้ได้เหรียญรางวัลแล้ว”

เมื่อเป็นเช่นนั้นทีม เรือใบสีฟ้า ก็เลยจัดทำเหรียญแบบเดียวกันด้วยตัวเองซะเลยแล้วมอบให้กับสตาฟฟ์และผู้เล่นทุกคนที่เหลือ

ซึ่งเป็นไปได้ว่าถึงตอนนั้น ลิเวอร์พูล ก็อาจจะทำแบบนั้นเหมือนกัน

สนใจทักมา ! บิ๊กทีมตาลุก บาร์เซโลนา ยินดีช่วยจ่ายค่าเหนื่อย คูตินโญ หากย้ายแบบยืมตัว

Philippe Coutinho
FC Bayern Muenchen v FC Augsburg – Bundesliga | DeFodi Images/Getty Images

สโมสร บาร์เซโลนา ทีมในศึก ลาลีก้า พร้อมยื่นข้อเสนอสุดคุ้มให้กับทีมที่จะยืมตัว ฟิลิปเป้ คูตินโญ ไปใช้งานในฤดูกาลหน้า โดยพวกเขาจะช่วยเหลือในการออกค่าเหนื่อยให้ส่วนหนึ่ง ตามรายงานจาก เดลรเทเลกราฟ

คูตี้ กำลังลงเล่นให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ในศึก บุนเดสลีกา และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะต้องกลับมายัง คัมป์นู อีกครั้งหลังหมดสัญญายืมตัว เนื่องจากผู้บริหารของทีม เสือใต้ ได้ออกมายืนยันว่าพวกเขาไม่คิดที่จะซื้อขาดดาวเตะบราซิลเลียนอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามทาง บาร์ซา ก็พร้อมจะปล่อยนักเตะของเขาออกจากทีมด้วยสัญญายืมตัวอีกครั้งในฤดูกาลหน้า โดยยินดีที่จะช่วยจ่ายค่าเหนื่อยให้ส่วนหนึ่งซึ่ง คูตินโญ รับอยู่ที่ 200,000 ต่อสัปดาห์ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นเรื่องยากที่จะมีทีมใดสามารถจ่ายค่าเงินมหาศาลเช่นนี้ได้ เพราะหลายสโมสรกำลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

มีความเป็นไปได้ที่กองกลางวัย 27 ปีจะเล่นให้กับ บาเยิร์น ต่อไปอีกหนึ่งฤดูกาลด้วยสัญญายืมตัว แต่เจ้าตัวก็ตกเป็นเป้าหมายของอีกหลายทีมจาก พรีเมียร์ลีก เช่นเดียวกัน