แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-0 ลิเวอร์พูล : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก เรือใบ อัดแหลกไม่เกรงใจแชมป์

Manchester City v Liverpool FC - Premier League
Manchester City v Liverpool FC – Premier League | Pool/Getty Images

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน : คืนวันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2020
เวลาแข่งขัน : 02.15 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-0 ลิเวอร์พูล
สนาม : เอติฮัด สเตเดี้ยม

รูปเกมในวันนี้โดนเฉพาะครึ่งเวลาแรก หากได้เห็นแค่สกอร์ที่ เรือใบสีฟ้า ออกนำในช่วงพักครึ่งถึง 3-0 ก็คงไม่แปลกที่จะคิดว่ารูปเกมต้องเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่ครองบอลบุกแบบยับเยินอย่างที่เคยเป็นแทบทุกเกมที่ผ่านมาอย่างแน่นอน…

แต่ในความเป็นจริงแล้ว โอกาสของทั้งสองทีมนั้นเกือบจะพอ ๆ กัน ทั้งการเข้าทำ รวมถึงอัตราการครองบอล เพราะตั้งแต่เริ่มเกมทั่งคู่ก็เปิดหน้าแลกกันอย่างสนุกแถมเป็น ลิเวอร์พูล ที่ได้โอกาสลุ้นที่ชัดเจนก่อนเสียด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับพลาดไป ในขณะที่ทีมของ เป๊ป นั้นสามารถฉกฉวยโอกาสเหล่านั้นเอาไว้ได้ทั้งหมดด้วยการยิงเข้ากรอบ 3 ครั้งเปลี่ยนเป็น 3 ประตูในช่วง 45 นาทีแรก จนทำให้ปิดเกมนี้ไปได้อย่างงดงามในที่สุด

เกมนี้ต้องบอกเลยว่าหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ หงส์แดง พ่ายแพ้ด้วยสกอร์ที่ขาดลอยขนาดนี้ นั่นก็เป็นเพราะ โจ โกเมซ ดูจะเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานนั่นเอง ซึ่งฟอร์มของเขาก็เป็นเช่นนี้มาพักใหญ่แล้ว จึงเริ่มเกิดเป็นคำถามถึงการหาคู่ขาที่เหมาะสมให้กับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค มากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลานี้ เพราะทั้ง โกเมซ และ ลอฟเรน ดูจะยังไว้ใจอะไรไม่ได้นักโดยเฉพาะในเกมใหญ่ที่มีความกดดันสูง ๆ แบบนี้ ส่วน มาติป ก็ดูจะไป ๆ มา ๆ ระหว่างสนามซ้อมกับโรงพยาบาลบ่อยเกินไปจนเรียกฟอร์มเก่งกลับมาไม่ได้เสียที นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าแม้ ฟาน ไดจ์ค จะเทพขนาดไหน แต่ถ้าต้องแบกภาระหนักอึ้งในเกมรับอยู่คนเดียวตลอดทั้งฤดูกาลละก็ คงยากที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในระยะยาวก็เป็นได้

2 กองกลางดีกรีกัปตันของทั้งสองทีมอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ว่ากันว่าเป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนเกมของแต่ละทีมในฤดูกาลนี้นั้น วันนี้เราเห็นได้ชัดเจนแล้วว่า แม้ เฮนเดอร์สัน จะมีส่วนช่วยในการคุมจังหวะเกมของ ลิเวอร์พูล ทั้งรุกและรับ แต่ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าสำหรับ เควิน เดอ บรอยน์ เขาเป็นอะไรได้มากกว่านั้น ถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นทุกอย่างสำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เลยก็ว่าได้ ตั้งแต่กระชากลากเลือย เปิด จ่าย ยิง ทุกจังหวะในเกมรุกขงทีมเขาจะมีส่วนร่วมอยู่เสมอ และที่สำคัญคือเซ็นต์บอลระดับเทพ ที่สามารถสร้างอันตรายได้ทุกครั้งที่บอลออกจากเท้าของเขาในเกมวันนี้

ดูจากไลน์อัพในเกมนี้ต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล จัดทีมชุดที่ดีที่สุดของพวกเขา ณ เวลานี้ลงมาแล้ว โดยมีทั้ง 3 ทหารเสือในแดนหน้า รวมถึง 2 ฟูลแบ็คตัวชูโรงอย่าง เทรนต์ และ โรเบิร์ตสัน ที่ต่างก็ถูกส่งลงสนามมาเพื่อหวังพิชิด เรือใบสีฟ้า ต่อหน้าชาวโลกให้เห็นกันอย่างเป็นเอกฉันท์ไปเลยในวันนี้

แต่เมื่อทุกอย่างมันไม่เป็นอย่างที่พวกเขาคาดการณ์ บนซุ้มม้านั่งสำรองของพวกเขากลับไม่มีตัวทีเด็ดที่จะสามารถลงมาสร้างอิมแพคกับเกมได้มากพอ เหมือนที่ แมนฯ ซิตี้ มี มาห์เรซ มี แบร์นาโด้ หรือแม้แต่ ดาบิด ซิลบา ที่พร้อมจะลงมาเปลี่ยนเกมอยู่ข้างสนามเมื่อคืนนี้ เพราะหากลองดูรายชื่อตัวสำรองของ หงส์แดง คนที่อาจจะพอสร้างความแตกต่างได้ก็เหมือนจะมีเพียง อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด แชมเบอร์เลน รายเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกมของพวกเขาในนัดนี้ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้จะเปลี่ยนตัวผู้เล่นถึง 5 คนแล้วก็ตาม

เกมนี้เป็นอีกนัดที่ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน นั้นเงียบกริบไร้บทบาทอย่างสิ้นเชิงในแดนหน้า แถมยังทำโอกาสทองหลุดลอยไปในช่วงต้นเกมจากลูกซ้ำที่ เมนดี้ อุตส่าทำส้นหล่นมาให้ต่อหน้า แต่ที่ดูจะแย่ไปกว่านั้นคือวันนี้เจ้าตัวยังเป็นผู้เล่น 11 ตัวจริงของทีมที่สัมผัสบอลได้น้อยที่สุดในสนามอีกด้วย

ซึ่งระยะหลังมานี้ เจ้าตัวดูจะฟอร์มตกลงไปอยู่พอสมควร แถมดูจะมีบทบาท มีส่วนร่วมกับเกมไม่มากนักในฤดูกาลนี้เมื่อเทียบกับผลงานปีก่อน ๆ เพราะหากดูเฉพาะในเกม พรีเมียร์ลีก 13 นัดหลังสุดในซีซั่นนี้ บ็อบบี้ ยิงไปได้เพียง 2 ประตูเท่านั้น ซึ่งต้องบอกว่าน้อยมาก ๆ ในฐานะผู้เล่น NO.9 ของทีม นั่นจึงทำให้เจ้าตัวเริ่มถูกตั้งคำถามว่ายังคงดีพอหรือไม่สำหรับตำแหน่งหัวหอกตัวเป้าในถิ่น แอนฟิลด์ นับจากนี้

เวสต์แฮม 3-2 เชลซี : เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก ลอนดอนดาร์บี้ สิงห์บลู พลิกล็อกพ่าย ขุนค้อน

ข้อมูลการแข่งขัน การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20 วันแข่งขัน : คืนวันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2020 เวลาแข่งขัน : 02.15 น. ตามเวลาประเทศไทย ผลการแข่งขัน : เวสต์แฮม 3-2 เชลซี สนาม : ลอนดอน สเตเดี้ยม 1. พ่ายประเดิมชุดใหม่ ! West Ham United v Chelsea FC – Premier League เกมนี้เป็นนัดแรกของ เชลซี ที่พวกเขานำชุดแข่งของฤดูกาลหน้ามาใช้ ซึ่งก็ต้องบอกว่าดูแปลกตาไปพอสมควร ทั้งรูปแบบของชุดที่ดูเรียบ ๆ ต่างกับปีก่อนที่ลายพร้อยไปทั้งตัว แถมสปอนเซอร์คาดหน้าอกรายใหม่ “Three” ที่ใช้สัญลักษณ์ของตัวเลข 3…

เก็บตก 4 ประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก ปีศาจแดง ยังแรงไม่มีพัก

Paul Pogba, Mason Greenwood
Brighton & Hove Albion v Manchester United – Premier League | Mike Hewitt/Getty Images

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน : คืนวันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2020
เวลาแข่งขัน : 02.15 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : ไบรท์ตัน 0-3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สนาม : ดิ อเมริกัน เอ็กซ์เพรส สเตเดี้ยม

เกมวันนี้ต้องบอกว่าเจ้าถิ่น ไบรท์ตัน ไม่มีอะไรที่จะสามารถต่อกรกับผู้มาเยือนอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เลย โดยเฉพาะช่วงครึ่งเวลาแรกที่ ปีศาจแดง บุกกดอยู่ฝ่ายเดียว และสามารถยิงประตูขึ้นนำได้ถึง 2 ลูก ในขณะที่ เจ้าบ้าน ยังไม่มีจังหวะยิงเข้ากรอบเลยแม้แต่ครั้งเดียว

กระทั่งครึ่งหลัง เกรแฮม พ็อตเตอร์ ตัดสินใจแก้เกมด้วยการส่ง ทรอสซาร์ด และ โมปาย สองแนวรุกตัวหลักลงสนามมา แม้จะโดยยิงนำห่าง 0-3 ในนาทีที่ 50 แต่หลังจากนั้นเกมบุกของพวกเขาก็ดูจะดีขึ้นเรื่อย จนมีโอกาสได้ประตูตีไข่แตกหลายครั้ง ต้องชม ดาบิด เด เคอา ที่ช่วยเซฟ 2 จังหวะสำคัญในเกมนี้ มิฉนั้นโมเมนตัมของเกมนี้อาจจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงก็เป็นได้

2 ประตูของ สตาร์เดอะแบกชาวโปรตุเกสรายนี้ ทำให้ ปีศาจแดง เล่นง่ายขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงครึ่งหลัง แถมตลอดเวลาที่อยู่ในสนาม เจ้าตัวก็เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางในเกมรุกให้กับทีม ทั้งยิง ทั้งโยน ทั้งจ่าย เรียกได้ว่าเหมาทุกอย่างเอาไว้ในคน ๆ เดียว มันจึงไม่แปลกที่เราจะมอบรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมทช์ ในวันนี้ให้กับเขาไป แม้เจ้าตัวจะอยู่ในสนามเพียงแค่ 60 กว่านาทีก็ตาม

ช่วง 60 นาทีแรกที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังมี บรูโน เฟอร์นันเดส และ พอล ป็อกบา คุมจังหวะเกมอยู่ในสนาม เป็นช่วงเวลาที่ ไบรท์ตัน ไม่สามารถตั้งเกมของตัวเองได้เลยเพราะถูกบุกกดดันใส่ตลอดเวลา

จนกระทั่งทั้งสองสตาร์ของทีมถูกเปลี่ยนออกไปพัก และส่งเทพเปเรย์รา และ แม็คโทมิเนย์ ลงมาแทน รูปเกมมันกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เจ้าถิ่นมีโอกาสทำเกมบุกขึ้นมาได้มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แถมมีจังหวะได้จบสวย ๆ ตลอดช่วง 30 นาทีหลัง ในขณะที่ความเฉียบขาดในแนวรุกที่ครึ่งแรก ปีศาจแดง ทำเอาไว้อย่างไร้ที่ติ ก็หายไปดื้อ ๆ แม้จะมีโอกาสได้โต้กลับหลายต่อหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเปลี้ยนให้เป็นประตูที่ 4 ได้จนกระทั่งจบเกมไป

3 คะแนนในวันนี้ สำหรับลูกทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ทำให้พวกเขาขยับมารั้งอันดับ 5 เหมือนเดิม มี 52 คะแนน ตามหลังทีมอันดับ 4 อย่าง สิงโตน้ำเงินคราม อยู่ 2 แต้มด้วยกัน แต่ลงแข่งมากกว่า 1 นัด ซึ่งต้องบอกว่ายังพอมีโอกาสแซงใน 6 เกมที่เหลือสำหรับระยะห่างประมาณนี้ แต่ก็ไม่ใช่งานง่ายเพราะ สิงห์บลู มีเกมในมืออีกหนึ่งนัดที่ยังแข่งน้อยกว่า แถมฟอร์มของพวกเขาก็ร้อนแรงไม่แพ้ ปีศาจแดง เลยแม้แต่น้อย จึงยากที่ทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะพลาดสะดุดทำแต้มหล่นง่าย ๆ เหมือนกันในเกมที่เหลือต่อจากนี้

ส่วนอีกฝากคือ วูล์ฟแฮมป์ตัน ทีมอันดับ 6 ที่มี 52 คะแนนเทียบเท่า แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ผลต่างประตูได้เสียน้อยกว่า ก็ตามมากดดันรอจ่อคอหอยพวกเขาอยู่แล้ว เพราะฉนั้นหาก พลพรรคเร้ดเดวิลส์ พลาดเสมอแม้แต่นัดเดียว ก็มีโอกาสหลุดกระเด็นไปอยู่อันดับที่ 6 เลยเช่นกัน หรือพูดอีกนัยคือ อาจพลาดตั๋ว แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้านั้นเอง !

OFFICIAL ! บาร์เซโลนา แถลงปล่อย อาร์ตูร์ ซบ ยูเวนตุส อย่างเป็นทางการ

Arthur Melo
FC Barcelona v Athletic Club – La Liga | Eric Alonso/Getty Images

สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา แห่งศึก ลา ลีกาสเปน แถลงยืนยันบรรลุข้อตกลงปล่อย อาร์ตูร์ เมลโล มิดฟิลด์ชาว บราซิล ซบตัก ยูเวนตุส ด้วยมูลค่า 72 ล้านยูโร บวกกับออปชันโบนัสอีก 10 ล้านยูโรใน ตลาดซื้อขายนักเตะ รอบที่จะถึงนี้

อาร์ตูร์ ตะลุยลูกหนังแดน ยุโรป เป็นครั้งแรกหลังย้ายจาก เกรมิโอ มาร่วมทีม บาร์ซา เมื่อตลาดนักเตะซัมเมอร์ 2018 ด้วยมูลค่า 31 ล้านยูโร บวกกับออปชันโบนัส 9 ล้านยูโร ก่อนที่เขาจะใช้เวลาในถิ่น คัมป์นู เพียง 2 ฤดูกาลและกำลังจะกลายเป็นสมาชิกใหม่ของทัพ เบียงโคเนรี ในซีซันที่กำลังจะมาถึง

โดยก่อนหน้านี้รายงานหลายสำนักชี้ว่าดีลระหว่าง มิราเล็ม เปียนิช จาก ยูเวนตุส สลับขั้วสู่ทัพ อาซูลกรานา มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน

เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม เอฟเอ คัพ สิงห์บลู บุกเฉือนคว้าชัย

Ross Barkley, Harvey Barnes
Leicester City v Chelsea FC – FA Cup: Quarter Final | Pool/Getty Images

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอล เอฟเอ คัพ 2019/20
วันแข่งขัน : วันอาทิตย์ที่ 2(7) มิถุนายน 2020
เวลาแข่งขัน : 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : เลสเตอร์ ซิตี้ 0-1 เชลซี
สนาม : คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม

ต้องบอกเลยว่าเกมนี้ เบรนเดน ร็อดเจอร์ส จัดทีมค่อนข้างที่จะเต็มกว่าเพื่อหวังพิชิต สิงโตน้ำเงินคราม ลงให้ได้ แถมด้วยเทคติคที่เน้นเกมบุกตามสไตล์ เลสเตอร์ ที่พวกเขาใช้มาตลอดในฤดูกาลนี้ มันจึงทำให้รูปเกมของ เดอะ ฟ็อกซ์ ในวันนี้ดูจะสามารถครองบอลบุกกดดันผู้มาเยือนได้อยู่แทบจะตลอดทั้งเกม

แต่อย่างไรก็ตาม… แม้ ทีมจิ้งจอกสยาม จะสร้างสรรค์โอกาสเข้าทำได้มากกว่าค่อนข้างชัดเจน แต่ความแตกต่างในเกมนี้คือความเฉียบขาดและความแน่นอน ที่วันนี้ แฟรงค์ แลมพาร์ด และลูกทีม ดูจะทำการบ้านกันมาเป็นอย่างดี ในการเน้นเกมรับให้แน่นหนา และใช้เกมสวนกลับเล่นงานแนวรับของเจ้าบ้านจนสุดท้ายก็เป็นฝ่ายคว้าชัยทะลุเข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายได้สำร็จในที่สุด

เกมนี้ แฟรงค์ แลมพาร์ด ใช้โควต้าเปลี่ยนตัวในช่วงพักครึ่งเวลาถึง 3 รายด้วยกัน โดยเปลี่ยนเอา 3 ดาวรุ่งอย่าง บิลลี กิลมอร์ รีซ เจมส์ และ เมสัน เมานท์ ออกมาพัก และส่งตัวเก๋าอย่าง กัปตันเดฟ มาเตโต โควาชิช และผู้ยิงประตูชัยอย่าง รอสส์ บาร์คลีย์ ลงสนามไปแทน ซึ่งนั่นทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว ทั้งเกมรับที่ดูจะแน่นหนาขึ้น แถมเกมสวนกลับที่มี บาร์คลีย์ เป็นแกนกลางนั้น แม้จะดูน่าหงุดหงิดในหลายจังหวะ แต่โดยรวมก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะหลังจากทีมได้ประตูขึ้นนำ กระทั่งสุดท้ายจบด้วยชัยชนะจากประตูโทนของทีเด็ดจากม้านั่งสำรองในเกมวันนี้

แม้หากดูจากชื่อชั้นการต้องเผชิญหน้ากับ ปีศาจแดง ณ เวลานี้ อาจดูจะไม่หนักหนาเท่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่พวกเขาพึ่งจะเอาชนะมาได้ 2-1 เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ต้องบอกเลยว่าทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชา กลายเป็นของแสลงของ สิงห์บลู ในฤดูกาลนี้ไปเสียแล้ว เพราะ 3 นัดที่ทั้งสองทีมพบกันในเกมลีกซีซั่น 2019/20 และ คาราบาว คัพ เป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เอาชนะไปได้ทั้งหมด ราวกับว่า สิงห์ไฮโซ ดูจะแพ้ทาง พลพรรคเร้ดเดวิลส์ แบบเต็ม ๆ

ซึ่งก็ต้องมาดูกันแล้วว่า แลมพาร์ด จะลบอาถรรพ์นี้ลงได้หรือไม่ แถมนัดนี้จะเป็นการลงเล่นในสนามกลางอย่าง เวมบลีย์ ที่คาดว่าจะไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบอีกฝ่ายด้วย ฉนั้นห้ามพลาดเป็นอันขาด 19 กรกฎาคมนี้ รู้กัน

อยากได้อีก ! โซลชา ลั่นขอเป็นแชมป์ เอฟเอคัพ ในฐานะกุนซือ

Ole Gunnar Solskjaer, Chris Wilder
Manchester United v Sheffield United – Premier League | Michael Regan/Getty Images

โอเล กุนนาร์ โซลชา กุนซือของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังในศึก พรีเมียร์ลีก กล่าวว่าเขาอยากจะคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ อีกครั้งหลังจากที่เคยทำได้มาแล้ว 2 สมัยเมื่อครั้งยังเป็นนักเตะ ตามรายงานจาก มิเรอร์

นายใหญ่นอร์วีเจี้ยนเล่าถึงความประทับใจต่อถ้วยใบนี้ในวันยเด็กและพูดถึงโมเมนท์ที่ประทับใจและการเป็นแชมป์ในฐานะนักเตะ โดยกล่าวว่า

“ถ้วยเอฟเอคัพ มันยอดเยี่ยมมาก ตอนที่คุณยังเป็นเด็ก เกมนัดชิงชนะเลิศถ้วยใบนี้มันเป็นเกมสุดท้ายของฤดูกาล เป็นไคลแม็กซ์ของซีซัน เป็นเกมที่คุณรอคอย และเป็นเกมที่มีการถ่ายทอดสดในนอร์เวย์ด้วย”

“ประตูที่ทำได้ในเกมกับ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 1999 นั้นถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผมในฟุตบอล เอฟเอคัพ ก็ว่าได้ นอกจากการที่ต้องปีนบันใดขึ้นไปรับเหรียญรางวัลที่สนาม เวมบลีย์ เก่า ผมมีส่วนในประตูแรกในรอบชิงชนะเลิศปี 99 ซึ่งผมเป็นคนแย่งบอลมาได้”

“มันเป็นช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจ พ่อผมก้นั่งอยู่บนอัฒจรรย์ในวันนั้นด้วย ผมได้เคยชูถ้วยนั้นในฐานะนักเตะมาแล้ว 2 ครั้ง และหวังว่าครั้งนี้ผมจะพาลูกทีมไปเล่นที่ เวมบลีย์ ได้อีกครั้ง” โซลชา กล่าว

พรีวิว เอฟเอ คัพ, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด

Leicester City vs Chelsea : FA Cup 2019/20
Leicester City vs Chelsea : FA Cup 2019/20

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอล เอฟเอ คัพ 2019/20
วันแข่งขัน : วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน 2020
เวลาแข่งขัน : 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่ง : เลสเตอร์ ซิตี้ พบ เชลซี
สนาม : คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม

ความพร้อมของทั้งสองทีม

เลสเตอร์ ซิตี้

ทีมของ เบรนเดน ร็อดเจอร์ส ยังหาฟอร์มเก่งไม่เจอนับตั้งแต่ พรีเมียร์ลีก กลับมาลงทำการแข่งขันอีกครั้ง ด้วยการเสมอรวดทั้งหมด 2 นัด ทำให้ เชลซี ไล่จี้ตามติดพวกเขาเหลือเพียง 1 คะแนนแล้ว ซึ่งสุดสัปดาห์นี้ทั้งสองทีมจะโคจรมาพบกันในเกม เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ต้องมาดูกันว่า ทัพจิ้งจอกสยาม จะสามารถรับมือกับความร้อนแรงของ สิงห์บลู ณ เวลานี้ได้หรือไม่

สภาพทีมก่อนแข่ง จะไม่สามารถเรียกใช้งาน 2 ตัวหลักอย่าง แดเนียล อมาร์เตย์ และ ริคาร์โด้ เปเรย์รา ได้เนื่องจากทั้งคู่ยังคงต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในปัจจุบัน

คาดการณ์ 11 ผู้เล่นตัวจริง

ผู้รักษาประตู – ชไมเคิล

กองกลัง – ฟุคส์, โซยุนซู, มอร์แกน, จัสติน

กองกลาง – โชดูรี, เอ็นดิดี, ปราเอท, เปเรซ, เกรย์

กองหน้า – วาร์ดี้

เชลซี
นัดล่าสุดทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการเปิดบ้านเฉือนเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปได้ 2-1 เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งนั่นคงจะสร้างความมั่นใจให้กับพวดเขาในเกมสุดสัปดาห์นี้ที่มีคิวลงเล่นใน เอฟเอ คัพ ด้วยการบุกไปเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับ 3 ของตาราง พรีเมียร์ลีก ซึ่งฟอร์มนับตั้งแต่กลับมาลงเล่นดูจะยังไม่เข้าทีเท่าใดนัก คาดว่าเกมนี้กุนซือหนุ่มอย่าง แลมพาร์ด จะพักนักเตะตัวหลักบางตำแหน่ง และเปิดโอกาสให้กับตัวสำรองรวมถึงดาวรุ่งได้ลงเล่นในเกมวันอาทิตย์นี้

สภาพทีมก่อนลงทำการแข่งขัน จะยังไม่สามารถใช้งาน ฟิกาโย โทโมรี ที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บได้ ส่วน คัลลัม ฮันสัน โอดอย ยังคงต้องเช็คความพร้อมก่อนเกมจะเริ่มอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ผู้เล่นตัวจริง
ผู้รักษาประตู – กาบาเยโร
กองกลัง – เจมส์, ซูมา, รือดิเกอร์, เอมเมอร์สัน
กองกลาง – จอร์จินโญ, ร็อฟตัส-ชีค, กิลมัวร์
กองหน้า – เปโดร, อับราฮัม, เมานท์

ผลงาน 5 นัดหลังสุดของทั้งสองทีม

เลสเตอร์ ซิตี้ – ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 1
24/06/20 PL – เลสเตอร์ 0-0 ไบรท์ตัน
20/06/20 PL – วัตฟอร์ด 1-1 เลสเตอร์
10/03/20 PL – เลสเตอร์ 4-0 วิลลา
05/03/20 FA – เลสเตอร์ 1-0 เบอร์มิงแฮม
29/03/20 PL – นอริช 1-0 เลสเตอร์

เชลซี – ชนะ 5 เสมอ 0 แพ้ 0

26/06/20 PL – เชลซี 2-1 แมนฯ ซิตี้
21/06/20 PL – แอสตัน วิลลา 1-2 เชลซี
10/06/20 FL – เชลซี 1-0 เร้ดดิ้ง
08/03/20 PL – เชลซี 4-0 เอฟเวอร์ตัน
04/03/20 FA – เชลซี 2-0 ลิเวอร์พูล

เฮดทูเฮท – เชลซี ชนะ 1 เสมอ 3 แมนฯ ซิตี้ ชนะ 1
01/02/20 PL – เลสเตอร์ 2-2 เชลซี
18/08/19 PL – เชลซี 1-1 เลสเตอร์
12/05/19 PL – เลสเตอร์ 0-0 เชลซี
22/12/18 PL – เชลซี 0-1 เลสเตอร์
18/03/18 FA – เลสเตอร์ 1-2 เชลซี

(PL= พรีเมียร์ลีก / UCL= ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก / UEL= ยูโรปาลีก / FA= เอฟเอ คัพ / EFL = คาราบาว คัพ / CS = คอมมูนิตี้ ชิลด์ / FL= กระชับมิตร)

เก็บตก 4 ประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก สิงห์บลู จม เรือใบ มอบแชมป์ให้ หงส์แดง

Frank Lampard, David Silva
Chelsea FC v Manchester City – Premier League | Julian Finney/Getty Images

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน : คืนวันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2020
เวลาแข่งขัน : 02.15 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : เชลซี 2-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

เกมนี้ต้องบอกเลยว่าทั้งสองทีมต่างวางเทคติกมารับมือกับฝั่งตรงข้ามได้เป็นอย่างดี โดย แมนฯ ซิตี้ เป็นฝ่ายบุกอัดเข้าใส่ตามฟอร์ม ส่วน เชลซี พยายามเน้นความแน่นอนรอจังหวะทำเกมสวนกลับ ซึ่งทั้งสองทีมก็พลัดกันรุกและรับเป็นช่วง ๆ แม้ เรือใบสีฟ้า จะครองบอลได้เยอะกว่า แต่พวกเขาก็หาจังหวะลุ้นประตูได้ไม่มากนัก ด้าน สิงห์บลู ก็แทบจะต่อบอลขึ้นไปไม่ได้เพราะโดนบีบพื้นที่สูงตั้งแต่หน้าประตูของตัวเอง ทำให้ทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ดูจะยังตั้งเกมไม่ติดในช่วงแรก แต่ข้อแตกต่างเเดียวในวันนี้คือ ความผิดพลาดที่ แมนฯ ซิตี้ ดูจะมีมากเกินไป จนทำให้สุดท้ายพวกเขาต้องถูกลงโทษและยัดเยียดความปราชัยกลับบ้านไปในเกมวันนี้

หนึ่งประตูในเกมนี้ของ “กัปตันอเมริกา” คริสเตียน พูลิซิช เพียงพอที่จะส่ง เชลซี คว้า 3 คะแนนได้สำเร็จ แถมเกือบจะทำประตูที่สองได้ในครึ่งหลัง น่าเสียดายที่ ไคล์ วอร์คเกอร์ วิ่งตามมาสะกัดออกจากเส้นประตูได้ทันเสียก่อน

แต่อย่างไรก็ตามวันนี้ พูลิซิช ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีศักยภาพมากแค่ไหน โดยเฉพาะประตูแรกที่เจ้าตัวทำได้ จากการฉายเดี่ยวแบบเต็ม ๆ เริ่มจากใช้สปีดที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วเล่นงาน 2 แนวรับของ ซิตี้ แถมมีการดึงจังหวะหลอกแบบนิ่ม ๆ ก่อนกระชากหลบเข้าไปดวลตัวต่อตัวกับ เอแดร์ซอน และปิดฉากด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมบวกกับความเฉียบขาดที่มี ยิงสวนตัวเสียบเสาเข้าไปอย่างสุดสวย ชนิดที่ทำให้หลายคนมองเห็นภาพของ เอเดน อาซาร์ ลอยกลับมาที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกครั้งเลยทีเดียว

หลังจาก เควิน เดอ บรอยน์ ปั่นฟรีคิกสุดสวยช่วยให้ เรือใบสีฟ้า กลับสู่เกมได้อีกครั้งนั้น ดูเหมือนโมเมนตัมจะกลับมาอยู่ฝั่งพวกเขาแบบเต็ม ๆ เนื่องจากตอนนั้นทีมของ เป๊ป สามารถคุมเกมเอาไว้ได้ทั้งหมด และเจ้าถิ่นเองก็ดูไม่มีแววจะต่อเกมบุกขึ้นมาได้เลย กระทั้งนาทีที่ 57 แมนฯ ซิตี้ ได้โอกาสสวนกลับ มาห์เรซ จ่ายทะลุให้กับ สเตอร์ลิง ได้ดวลตัวต่อตัวกับ เกปา แต่เจ้าตัวกลับยิงพลาดบอลไปชนเสาเต็ม ๆ และเด้งออกมา ซึ่งหากเจ้าตัวยิงเข้าไปในจังหวะนั้น ทีมจะขึ้นนำเป็น 1-2 และนั่นจะทำให้พวกเขาเล่นได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะ เชลซี จะต้องบุกและเปิดพื้นที่ในแนวหลังมากขึ้น แต่ในเมื่อเขาทำพลาด มันก็เลยมีส่วนทำให้ทีมต้องพ่ายแพ้กลับออกมาในเกมนี้

ความพ่ายแพ้ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในวันนี้ส่งผลให้พวกเขามีแต้มห่างจากจ่าฝูง ลิเวอร์พูล ถึง 23 คะแนน ในขณะที่ยังเหลือเกมในมืออีกเพียง 7 นัดเท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่า หงส์แดง จะการันตีการเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ในทันทีด้วยน้ำมือของ เชลซี ที่เป็นคนมอบถ้วยให้กับพวกเขาไปฉลองกันที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม กลางสัปดาห์หน้า ส่วน สิงห์บลู ผลงานก็ดูจะดีวันดีคืน จนตอนนี้ไล่จี้ เลสเตอร์ ทีมอันดับสามมาเหลือช่องว่างเพียง 1 คะแนนเท่านั้น

เก็บตก 4 ประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก ปีศาจแดง ดุ ไล่ถล่ม ดาบคู่ ยับ

Anthony Martial, Mason Greenwood
Manchester United v Sheffield United – Premier League | Michael Regan/Getty Images

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน : คืนวันพุธที่ 24 มิถุนายน 2020
เวลาแข่งขัน : 00.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-0 เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
สนาม : โอลด์ แทรฟฟอร์ด

เกมนี้ต้องบอกเลยว่า เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ไม่มีอะไรจะมาต่อกรกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เลย ทั้งรูปเกม โอกาสเข้าทำ และที่สำคัญคือสกอร์ที่ออกมาตอนจบ ทุกอย่างเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างของทั้งสองทีมในวันนี้

โดยทางฝั่ง ปีศาจแดง ทุกคนทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ช่วยกันเล่น ช่วยกันต่อบอล แม้ว่า เด เคอา จะยืนเหงาอยู่บ้าง แต่เจ้าตัวก็ไม่มีจังหวะออกบอลพลาดให้เห็นเลยในเกมวันนี้ แต่กลับกันทางฝั่ง เชฟฯ ยูไนเต็ด เอง พวกเขาไม่สามารถตั้งเกมของตัวเองได้เลย แนวรุกก็จบไม่ได้ แนวรับก็ดูจะมีช่องให้เจาะค่อนข้างเยอะ จึงทำให้สุดท้าย ผลการแข่งขันมันออกมาอย่างที่ทุกคนเห็นในวันนี้

เกมนี้เป็นอีกหนึ่งนัดที่ เชฟฯ ยูไนเต็ด พ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้กับคู่แข่ง ทั้งที่ก่อนพักเบรกทีมของ คริส ไวลเดอร์ เป็นทีมที่แพ้ยากสุด ๆ แม้แต่ทีมใหญ่ยังเสียท่ามาแล้วนักต่อนัก

แต่พอกลับมาในครั้งนี้ พลพรรคดาบคู่ พึ่งจะเก็บได้เพียง 1 คะแนนจาก 3 เกม แถมเสียไปแล้วถึง 6 ลูกและยังทำประตูคู่แข่งไม่ได้เลย ที่สำคัญคือฟอร์มการเล่นของพวกเขาจากที่เคยเหนียวแน่น กลับดูอ่อนปวกเปียกไปหมด ตั้งแต่เกมกับ แอสตัน วิลลา ที่เสมอ 0-0 ในเกมแรก พวกเขาก็โดน วิลลา บุกใส่แทบทั้งเกม ต่อมาเกมที่พ่ายให้กับ นิวคาสเซิล 3-0 ก็ดันมาโดนใบแดงตั้งแต่ช่วงกลางเกม ทำให้ทีมเสียเปรียบอยู่เกือบ 40 นาทีเต็ม และในเกมวันนี้ที่พวกเขาโดน ปีศาจแดง คุมเกมซะอยู่หมัดชนิดที่เรียกว่าไม่มีอะไรไปสู้ได้เลย

เกมนี้ โอเล กุนนาร์ โซลชา ตัดสินใจส่ง พอล ป็อกบา ลงเล่นนเป็นตัวจริงคู่กับ บรูโน เฟอร์นันเดซ เป็นเกมแรก ซึ่งต้องบอกว่าฟอร์มของกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสรายนี้ค่อนข้างโดดเด่น แถมยังสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมได้หลายต่อหลายครั้ง แต่สิ่งที่ดูจะเปลี่ยนไปในเกมนี้คือ…

การมี ป็อกบา คอยคุมเกมอยู่กลางสนามนั้น กลับทำให้บทบาทของ บรูโน ลดน้อยลงไปอย่างชัดเจน จากเดิมที่เจ้าตัวเรียกได้ว่าเป็น เดอะแบก ทำทุกอย่างตั้งแต่เชื่อมเกมจากกองหลังไปจนถึงการทำประตู แต่ในวันนี้แข้งชาวโปรตุเกสมีหน้าที่แค่เพียงคอยสร้างสรรค์เกมอยู่หน้าเขตโทษฝั่งตรงข้ามเท่านั้น จริงอยู่การมีทั้งสองคนในสนามช่วยให้ทีมคว้า 3 คะแนนในวันนี้ แต่การที่ทั้งคู่แทบจะทำหน้าที่เหมือน ๆ กัน มันจึงทำให้คนใดคนหนึ่งอาจต้องยอมลดบทบาทลงจากที่เคยโดดเด่น ก็เป็นได้…

3 ประตูของ อ็องโตนี มาร์กซิยาล ในวันนี้ เป็นแฮททริกครั้งที่ 33 ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้ในนับตั้งแต่ลีกสูงสุดเปลี่ยนมาใช้ชื่อ พรีเมียร์ลีก แต่ที่ตลกร้ายคือมันห่างจากครั้งที่ 31-32 ถึง 7 ปีเต็ม เพราะสองครั้งหลังสุดที่พวกเขาทำได้ต้องย้อนกลับไปถึงฤดูกาล 2012/13 ในเกมที่เปิดบ้านเอาชนะ นอริช 4-0 โดย ชินจิ คากาวะ และถัดมาอีกไม่ถืงหนึ่งเดือนหลังจากนั้นในเกมที่ถล่ม แอสตัน วิลลา 3-0 ด้วยผลงานของ โรบิน ฟาน เพอร์ซีย์

แถมแฮททริกของ มาร์กซิยาล ในวันนี้ยังนับเป็นครั้งแรกหลังจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือไปอีกด้วย !

[MATCH REPORT] ราคิติช ซัดโทน ! บาร์เซโลนา เฉือนหวิว แอธเลติก บิลเบา 1-0 ศึก ลา ลีกาสเปน

FC Barcelona v Athletic Club  - La Liga
FC Barcelona v Athletic Club – La Liga | Eric Alonso/Getty Images

บาร์เซโลนา เดินหน้าเก็บ 3 คะแนนเมื่อเปิดรัง คัมป์นู เบียดเอาชนะ แอตเธลิก บิลเบา ผู้มาเยือนในศึก ลา ลีกาสเปน ด้วยสกอร์ 1-0 จากประตูโทนของ อิวาน ราคิติช ทำแต้มทิ้งห่าง เรอัล มาดริด 3 คะแนนแต่ทัพ อาซูลกรานา แข่งมากกว่าอยู่ 1 นัด

เกมเริ่มต้นขึ้นด้วยการได้โอกาสทักทายก่อนของผู้มาเยือนตั้งแต่ช่วงต้นเกมเมื่อพวกเขาเล่นลูกเตะมุมสั้นก่อนฉวยโอกาสโยนบอลไปที่เสาไกลบริเวณจุดเกรงใจระหว่าง มาร์ค-อันเดร แทร์ สเตเก้น กับแนวรับ นายทวารชาว เยอรมัน ต้องผวาล้มตัวปัดบอลก่อนที่ เคลม็องต์ ลองเลต์ จะสกัดออกไปได้

แต่หลังจากนั้น บาร์ซา เป็นฝ่ายได้ครองบอลบุกเข้าใส้อย่างต่อเนื่องและมีลุ้นโอกาสเฉียดไปเฉียดมาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าจนแล้วจนรอดสกอร์ก็ยังอยู่ที่ 0-0 เมื่อจบครึ่งแรก

เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 71 พลพรรค อาซูลกรานา ก็ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ในที่สุดจากช็อตเคลียร์บอลกันไม่ขาดของแนวรีบทีมเยือน ก่อนที่ ลิโอเนล เมสซี จะเก็บตกได้บริเวณกรอบเขตโทษและแทงให้ ราคิติช หลุดเข้าไปล่อเป้าในระยะเผาชนผ่านมือ อูรัล ซิมอน นายทวาร บิลเบา ตุงตาข่าย

รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม
บาร์เซโลนา: แทร์ สเตเก้น; เซเมโด้, ปิเก้, ลองเลต์, อัลบา; อาร์ตูร์ (ปูอิค 56′), บุสเก็ตส์ (ราคิติช 64′), วิดัล; เมสซี, ซัวเรซ (เบรธเวท 85′), กรีซมันน์ (ฟาตี 65′)

แอธเลติก บิลเบา: ซิมอน; เดอ มาร์คอส, นูเนซ, อัลบาเรซ, บาเลนเซียก้า; โลเปซ (การ์เซีย 57′), เวสกา; เลคู (คาปา 69′), ซานเชต์ (การ์เซีย 78′), คอร์โดบา (มูเนียอิน 58′); วิลเลียมส์ (บิยาลิเบร 68′)