[OPINION] 3 ตำแหน่งที่ ลิเวอร์พูล ควรซื้อเพิ่ม เพื่อเติมเต็มทีมให้สมบูรณ์แบบ

FBL-ENG-PR-MAN UTD-LIVERPOOL
FBL-ENG-PR-MAN UTD-LIVERPOOL | OLI SCARFF/Getty Images

ตลอดฤดูกาล 2019-20 ที่ ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดคือ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี แถมโกยแต้มทิ้งห่างทีมตามไกลมากจนไม่เห็นฝุ่น

ทำให้เรามักได้ยินเหล่ากูรูผู้วิเคราะห์หรือนักเตะระดับตำนานทั้งหลายพูดออกสื่ออยู่บ่อย ๆ ว่า “11 ตัวจริงของทัพหงส์แดงชุดนี้แข็งแกร่งซะจนไม่รู้ว่าควรซื้อใครมาเพิ่มอีกแล้ว”

แต่คำถามคือ ประโยคที่ว่านั้น มีความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน ? หรือสมมติว่าจริง พวกเขาจะยังแข็งแกร่งแบบนั้นต่อไปจนรักษาแชมป์ได้หรือเปล่า ?

ถึงตอนนี้เราจะยังไม่รู้คำตอบ เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต แต่ที่แน่ ๆ คู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างก็พยายามยกระดับคุณภาพทีมให้สูงขึ้นเพื่อลุ้นแชมป์เต็มตัวในฤดูกาลหน้า ฉะนั้นหาก ลิเวอร์พูล พอใจกับทีมชุดเดิม ๆ จนไม่คิดจะทำอะไรเพิ่มล่ะก็ บอกเลยว่าโดนเขี่ยตกกระป๋องแน่

และนี่คือ 3 ตำแหน่งที่ เยอร์เกน คล็อปป์ ต้องซื้อผู้เล่นระดับท็อปเข้ามาเพิ่ม เพื่อเติมเต็มทีมชุดปัจจุบันให้สมบูรณ์แบบจนป้องกันแชมป์ลีกได้ต่อเนื่องอีกหนึ่งสมัย !

คอลูกหนังทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่า ณ เวลานี้ สามประสานแดนหน้าของทีม ลิเวอร์พูล ถือว่าแข็งแกร่งและอันตรายสุดในโลก เพราะทั้ง ซาลาห์, มาเน และ เฟอร์มิโน มีความเข้าขารู้ใจซะจนทำประตูร่วมกันได้มากมายนับไม่ถ้วนต่อเนื่องทุกฤดูกาล

โดยเฉพาะศูนย์หน้าตัวเป้าอย่าง เฟอร์มิโน นั้นมีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างจากสไตรเกอร์คนอื่น ๆ บนโลกใบนี้จนถูกยกย่องว่าเป็น False 9 ที่เก่งสุดแห่งยุคสมัยไปเรียบร้อย ซึ่งก็ไม่ใช่คำชมที่เวอร์เกินจริงนัก เพราะเราได้เห็นกันมากพอแล้วว่าการเชื่อมเกมของเขายอดเยี่ยมเพียงใด

แต่สำหรับ ลิเวอร์พูล ที่มีเกมรุกโหดสลัดรัสเซียอยู่ ณ เวลานี้ มักจะเจอปัญหาเจาะเอาประตูจากคู่ต่อสู้ที่ลงไปตั้งรับลึกอยู่หน้าปากประตูไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เพราะถึงแม้จะมีมิติเข้าทำที่ค่อนข้างหลากหลาย แต่ด้วยความที่ไร้กองหน้าตัวใหญ่ ๆ จึงทำให้มีจุดอ่อนคือการโจมตีจากลูกกลางอากาศนั่นเอง

และถ้าหาก ลิเวอร์พูล ได้สไตรเกอร์ที่สามารถจบสกอร์จากลูกกลางอากาศได้คมกริบอย่าง ราอูล ฆิเมเนซ หรือ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ (ยกตัวอย่าง) เข้ามาค้ำแดนหน้าล่ะก็ การครอสจากริมเส้นของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ก็จะยกระดับความอันตรายขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าด้วยเช่นกัน

แผงมิดฟิลด์ของทีม ลิเวอร์พูล เป็นอีกหนึ่งจุดที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและมีบทบาทต่อชัยชนะแต่ละนัดค่อนข้างมาก โดยเฉพาะยามที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้ลงสนามบัญชาเกมด้วยตัวเอง

แต่ปัญหาใหญ่ของพวกเขาในจุดนี้ก็คือ มิดฟิลด์เกือบทุกคนมีสไตล์การเล่นที่คล้ายคลึงกันมากเกินไปทนแทบสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นระหว่างเกมไม่ได้ ส่วนคนที่วิธีเล่นโดดเด่นกว่าเพื่อนก็ดันเป็นกลางรับแบบ ฟาบินโญ ซะอีก

และในหลาย ๆ นัดเราจะเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถสร้างความปั่นป่วนให้แนวรับฝ่ายตรงข้ามจากบริเวณกลางสนามได้เลย จนต้องถ่ายบอลออกไปลุยจากด้านกว้างซะส่วนใหญ่ ซึ่งคู่แข่งรู้ทันกันหมดแล้ว

ฉะนั้นหาก ลิเวอร์พูล ได้มิดฟิลด์ที่สามารถพาบอลลากทะลวงเข้าหากรอบเขตโทษฝ่ายตรงข้ามได้อันตรายเหมือนอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด หรือ ฟิลิปเป้ คูตินโญ ในอดีต เกมบุกของพวกเขาจะสมบูรณ์แบบขึ้นแน่นอน

จนถึงตอนนี้คงไม่มีใครกล้าเถียงอีกแล้วว่าคู่หูฟูลแบ็คของ ลิเวอร์พูล อย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน คือที่สุดในโลกอย่างแท้จริง

แต่ถ้าตั้งคำถามในอีกมุมหนึ่งว่า “สมบูรณ์แบบ” แล้วหรือยัง ?

คำตอบคงออกมาเป็นเอกฉันท์แน่ ๆ ว่า “ยัง !!” เพราะแม้ทั้งคู่จะเติมเกมรุกกันได้สุดมันส์ ทำแอสซิสต์กันกระจายแถมเจ้าหนูเทรนท์ยังมีทีเด็ดคือการยิงประตูจากลูกตั้งเตะ แต่ถ้ากันในเรื่องเกมรับแล้วพวกเขายังด้อยกว่าฟูลแบ็คหลาย ๆ คนในเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยกัน

ภาพนั้นจะยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อลองชายตามองไปที่ อารอน วาน-บิสซาก้า แบ็คขวาจอมสกัดจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่แย่งบอลเก่งมากจนเดี๋ยวนี้ไม่มีปีกคนไหนในลีกกล้าดวลกับเขาตรง ๆ อีกแล้ว

ฉะนั้นหาก ลิเวอร์พูล ได้ตัวฟูลแบ็คที่เล่นเกมรับได้เหนียวแน่นมาช่วยงานทั้งด้านซ้ายและขวา พวกเขาจะมีขุมกำลังเสริมที่ลึกและยืดหยุ่นมากจนสามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ได้สบาย ๆ เลยทีเดียว

เหนือกว่า เลวานดอฟสกี้-โรนัลโด้ ! ชิโร อิมโมบิเล เข้าป้ายซิวรางวัลรองเท้าทองคำยุโรป

Ciro Immobile
SS Lazio v Brescia Calcio – Serie A | Paolo Bruno/Getty Images

ชิโร อิมโมบิเล ทำ 1 ประตูให้กับ ลาซิโอ ต้นสังกัดในเกมสุดท้ายของศึก กัลโช เซเรีย อา ที่ อินทรีฟ้าขาว บุกไปปราชัยต่อ นาโปลี 3-1 พาต้นสังกัดจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 บนตารางคะแนนพร้อมกับสถิติ 36 ประตูในลีก

ตัวเลข 36 ประตูดังกล่าวของหัวหอกชาว อิตาลี วัย 30 ปีทำให้เจ้าตัวจนฤดูกาลด้วยสกอร์ที่มากกว่า โรเบิร์ต เลวานดอสฟกี้ สังกัด บาเยิร์น มิวนิค ในอันดับที่ 2 (34 ประตู) ขณะที่ คริสเตียโน โรนัลโด้ จาก ยูเวนตุส เข้าเป้ายเป็นอันดับที่ 3 (31 ประตู)

ขณะที่ ลิโอเนล เมสซี ของ บาร์เซโลนา เจ้าของรางวัลดังกล่าว 3 ฤดูกาลหลังสุดทำได้ 25 ประตูในศึก ลา ลีกา ฤดูกาลนี้ แม้จะพลาดรางวัลรองเท้าทองคำแต่ตัวเลขข้างต้นก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเป็นดาวซัลโวของลีก สเปน สำเร็จ

นอกจากนี้ 36 ประตูของ อิมโมบิเล ใน เซเรีย อา ยังทำให้เขามีสถิติเทียบสังหารประตูมากที่สุดภายใน 1 ฤดูกาลเทียบเท่า กอนซาโล อิกวาอิน ซึ่งทำไว้กับ นาโปลี ด้วยเช่นกัน

[OPINION] ป็อกบา VS ความคาดหวัง กับคำถามที่ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังจำเป็นต้องมีเขาจริงหรือ ?

Paul Pogba
Crystal Palace v Manchester United – Premier League | Sebastian Frej/MB Media/Getty Images

หากย้อนกลับไปในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 เชื่อได้เลยว่า ชื่อของ พอล ป็อกบา ยังคงเป็นความหวังสูงสุดของแฟน ๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลายคน ณ เวลานั้น ว่าเขาจะสามารถพาทีมบินสูงสู่จุดที่ควรจะเป็นได้ แม้ว่าตลอด 3 ฤดูกาลก่อนหน้านั้น นับตั้งแต่ย้ายมาด้วยค่าตัวสูงลิบในปี 2016 กองกลางดีกรีแชมป์โลกรายนี้จะยังก็ไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของทีมและแฟนบอลได้เลย…

ฤดูกาล 2019/20 อันน่าผิดหวัง กับการถูกอาการบาดเจ็บเล่นงาน

ตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา ป็อกบา ลงเล่นในลีกไปเพียง 16 นัดเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่มาจากช่วงท้ายฤดูกาลที่บอลลีกเลื่อนมาเตะกันในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพราะตั้งแต่ช่วงต้นซีซั่นเจ้าตัวก็มีอาการบาดเจ็บเรื้องรังที่ข้อเท้ายาวมาถึงต้นปี นั่นทำให้เขาพลาดการลงเล่นไปถึง 22 เกมด้วยกัน

อย่างไรก็ตามหลังจากที่กลับมาลงเล่นในช่วงโค้งสุดท้าย คอมโบที่ทุกคนคาดหวังว่าจะได้เห็น บรูโน และ ป็อกบา ประสานงานกันอย่างเข้าขาและงดงามเหมือนกับ อิเนียสต้า กับ ชาบี ก็แทบไม่มีให้เห็นเลยตลอด 10 นัดหลัง อีกทั้งบทบาทกับเกมก็ไม่มีอะไรโดดเด่น แถมยังมักจะมีจังหวะผิดพลาดเสียบอลกลางสนามให้เห็นค่อนข้างบ่อย ดูไปดูมาเผลอ ๆ มาติช จะทำได้ดีกว่าเสียด้วยซ้ำ !

การมาถึงของความหวังใหม่ บรูโน เฟอร์นันเดส !

ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ทำการปิดดีลที่คาดว่าจะเป็นการซื้อขายที่ดีที่สุดในฤดูกาลนี้ นั่นคือการคว้าตัว บรูโน เฟอร์นันเดส กองกลางชาวโปรตุเกสมาร่วมทีม จากที่เคยเป็นข่าวพัวพันกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการมาของเขา สามารถนั้นเปลี่ยนโฉมหน้าของ ปีศาจแดง ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยบทบาท “เดอะแบก” ในทีม ที่พี่แกทำได้หมดทุกอย่าง แถมยังลงตัวเข้ากับทีมได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนกระทั้งในที่สุดก็สามารถพาทีมจบอันดับที่ 3 โดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ปีศาจแดง จะทำได้ในฤดูกาลนี้ และด้วยเหตุนั้นเองที่ทำให้นับจากวันนั้น นักเตะที่หลายคนคาดหวังอันดับ 1 ของทีม จึงไม่ใช่ชายที่ชื่อ พอล ป็อกบา อีกต่อไป..

เพราะเพื่อนเซนส์บอลไม่ทันกับ ป็อกบา จริงหรือ ?

ปีก่อน ๆ หลายคนอาจจะบอกว่าที่ ป็อกบา ไม่สามารถระเบิดฟอร์มเก่งจนพลิกสถานการณ์ให้กับทีมได้ เป็นเพราะเพื่อนร่วมทีมมีเซนส์บอลที่ต่างกับเขามากเกินไป จึงส่งผลให้ผลงานของเจ้าตัวไม่ดีตามไปด้วย

จนกระทั่งการมาของ บรูโน ข้อกังขาเหล่านี้ก็ได้รับการพิสูจน์ชัดเจน เพราะทันที บรูโน เฟอร์นันเดส ย้ายเข้ามาเขากลับสามารถทำสิ่งที่ตลอด 4 ฤดูกาลที่ผ่านมา ป็อกบา ไม่เคยทำสำเร็จ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่นักเตะก็แทบจะเป็นชุดเดียวกันกับปีก่อนโดยเฉพาะในแผงเกมรุกแต่เพลยเมกเกอร์ชาวโปรตุเกสรายนี้กลับสามารถเล่นร่วมกับเพื่อนได้อย่างเข้าขา แถมยังปรับตัวเข้าหาคนอื่นได้ดีจนสามารถยกระดับทั้งฝีเท้าและผลงานให้กับเพื่อนร่วมทีมได้ทันตาเห็น นี่จึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าตัวจริงเขาต้องรู้วิธีการเล่นร่วมกับทีม ไม่ใช่จะมานั่งรอให้เพื่อนทั้งทีมปรับตัวเข้าหาตัวเอง !

คำถามที่คาใจมาตลอด 4 ฤดูกาล..

เขาจะทำได้ดีกว่านี้อีกหรือไม่ ? หรือว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขามอบให้กับทีมแล้ว ? แม้ว่าฤดูกาลก่อน ป็อกบา จะเป็นถึงดาวซัลโวสูงสุดของทีมที่ 16 ประตูรวมทุกรายการ (ซึ่งก็มาจากลูกจุดโทษถึง 7 ประตู) แถมยังทำแอสซิสต์ไปได้ถึง 11 ครั้ง แต่นั่นกลับไม่ทำให้ผลงานโดยรวมของทีมดูดีขึ้นมาได้ ซึ่งตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มันก็ยังคงเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าเขาจะเล่นดีหรือแย่ ไม่ว่าเขาจะทำผลงานได้มากน้อยขนาดไหน หรือแม้แต่ปีที่เขาบาดเจ็บจนหายหน้าไปทั้งฤดูกาล นี่จึงเป็นคำถามคาใจมาตลอดว่าเขานั้นเก่งสมคำร่ำลือถึงขนาดจะช่วงยกระดับทีมได้จริงหรือ ? เพราะตลอด 4 ปีที่ผ่านมามันก็เห็นชัดเจนแล้วว่า “ได้แค่นี้” มาตลอด..

ไม่สามารถคาดหวังกับฟอร์มที่ไม่คงเส้นคงวา

แน่นอนการมี ป็อกบา อยู่ในสนามการสร้างสรรค์เกมบุกอาจจะดูมีมิติมากกว่าการใช้ เฟร็ด หรือ แม็คโทมิเนย์ แต่แน่นอนมันก็ย่อมต้องแลกกับความขยันไล่บอลและเกมรับอันแน่นหนาเพราะทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่จุดเด่นของกองกลางเลือดน้ำหอมรายนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาปีแล้วปีเล่ามันก็เริ่มแสดงให้เห็นชัดขึ้น ๆ แล้วว่า ฟอร์มที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของเจ้าตัวนั้น ยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างที่ชัดเจนให้เกิดขึ้นกับทีมได้ ไม่สามารถพลิกเกม ไม่สามารถแบกทีมเอาไว้บนบ่าและก้าวไปถึงความคาดหวังได้ บางวันทรงดีแต่หลายครั้งที่เขามักจะถูกกลืนหายไปกับเกมและไม่สามารถสร้างอิมแพ็คใด ๆ ให้กับทีม จนผลสุดท้ายมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมากมายกับการใช้ เฟร็ด หรือ แม็คโทมิเนย์ เลยเสียด้วยซ้ำ

ทางเลือกของ แมนฯ ยูไนเต็ด

แม้ว่าช่วงหลังจะเริ่มมีข่าวลือว่าเจ้าตัวเตรียมจะต่อสัญญากับทีมออกไปอีก 5 ปีก็ตาม แต่หากมันไม่เป็นความจริงเท่ากับว่าเขาจะค้าแข้งในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ปีนี้เป็นปีสุดท้ายและจะย้ายออกจากทีมไปแบบฟรี ๆ ทันทีในช่วงซัมเมอร์ปี 2021 ที่จะถึง เพราะฉนั้นทางเลือกในตอนนี้ก็คงมีไม่มาก นั่นคือคือ จะเก็บไว้ หรือจะปล่อยตัวไป สองทางนี้เท่านั้น !

แน่นอนว่าการเก็บเขาเอาไว้ใช้งาน ย่อมจำเป็นต้องต่อสัญญาออกไป ซึ่ง ปีศาจแดง อาจต้องแบกรับค่าเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นแถมยังต้องไปฟาดฟันกับเอเยนต์ตัวแสบอย่าง มิโน ไรโอลา เพื่อกราบกรานให้เขาต่อสัญญากับทีมแต่ก็แลกมากับผลงานที่คงเดิม

ส่วนอีกหนึ่งทางเลือก.. หากทีมเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงและขายเขาออกจากทีมในช่วงซัมเมอร์นี้อาจจะยังพอได้ราคาดีอยู่บ้าง ยอมกัดฟันลดค่าตัวจาก 180 ล้านเหลือสัก 100-120 รับรองว่า เรอัล มาดริด หรือแม้แต่ ยูเวนตุส ก็แทบจะตาลุกวาวกันแล้วอย่างแน่นอน จากนั้นก็นำเงินไปลงทุนกับนักเตะใหม่ เปิดทางให้ทีมมองหาคนที่เหมาะสมกับแนวทางการเล่นมากกว่า เข้ามาสานต่อภารกิจหลักที่ตั้งเป้าไว้ นั่นคือการพาทีมกับสู่จุดที่ควรจะเป็นอีกครั้ง อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็เป็นได้

จากเหตุผลที่ได้กล่าวไปทั้งหมด ไม่ใช่จะต้องสื่อว่า ป็อกบา ไม่เก่ง แต่ทุกอย่างก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขายังไม่ดีพอที่จะสามารถยกระดับทีมตามที่ทุกคนคาดหวังเอาไว้ได้ เพราะงั้นมันจึงย้อนกลับไปที่คำถามแรกเริ่มว่า “ปีศาจแดง ยังจำเป็นต้องมี ป็อกบา อยู่ในทีมจริงหรือ ? จนถึงตรงนี้คงต้องอยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคนแล้วล่ะ ว่าจะให้น้ำหนักกับจุดไหนมากกว่ากัน จะมี หรือไม่มี จะอยู่ หรือจะไป และถ้าคุณเป็น โอเล กุนนาร์ โซลชา ล่ะ คุณจะตอบคำถามนี้อย่างไร…

[ข่าวซื้อขาย] ยกระดับความแกร่ง ! โรบินสัน ชี้ มูรินโญ ต้องเสริมทัพด้วยตัวท็อปอีก 2 ราย

Paul Robinson
Orlando Pirates v Tottenham Hotspur | Gallo Images/Getty Images

พอล โรบินสัน ตำนานผู้รักษาประตูทีม ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ส เชื่อว่า โฆเซ มูรินโญ จะยกระดับความแข็งแกร่งให้ทัพไก่เดือยทองได้แบบก้าวกระโดด หากซื้อแข้งระดับท็อปเข้ามาเพิ่มอย่างน้อย 2 คน

“ด้วยความที่ขุมกำลังชุดนี้ยังไม่ค่อยสมดุลเท่าไหร่นัก มูรินโญ จึงจำเป็นต้องรีบซื้อผู้เล่นระดับท็อปเข้ามาเสริมทัพอย่างน้อย 2 รายในซัมเมอร์นี้ให้ได้ตรงตามสเปคตัวเอง” โรบินสัน กล่าวกับ Gambling.com

“สำคัญสุดคือต้องเน้นไปที่ผู้เล่นแนวรับก่อนเลย เพราะ แยน แฟร์ตองเก้น กำลังจะเก็บข้าวของย้ายออกไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว ส่วนพวกตัวรุกตำแหน่งต่าง ๆ รวมถึงบนแผงมิดฟิลด์ถือว่าค่อนข้างโอเคในระดับหนึ่ง”

“พวกเราต้องค่อย ๆ ให้เวลาเขาสร้างทีมไปเรื่อย ๆ ตามโปรเจ็คที่วางไว้ ห้ามคาดหวังความสำเร็จที่มันโอเวอร์จนเกินไปนัก เพราะจะกลายเป็นแรงกดดันต่อทุกฝ่าย”

“อย่าลืมนะว่า มูรินโญ คือผู้จัดการทีมฟุตบอลระดับโลกที่ผ่านการพิสูจน์ตัวเองด้วยถ้วยแชมป์รายการใหญ่ ๆ มามากมายนับไม่ถ้วน ฉะนั้นอย่างน้อยขอให้รอดูกันต่อไปว่าจะซื้อใครเข้ามาเพิ่มบ้าง”

ลิเวอร์พูล ตาลุก เสือใต้ แจงราคา ติอาโก้, แมนฯ ยูไนเต็ด สนหลังเรือดำน้ำ: สรุปข่าวซื้อขายนักเตะประจำวันที 29 กรกฎาคม

สรุปทุกประเด็นข่าวที่สำคัญในแวดวงฟุตบอลที่เกิดขึ้นในรอบวันของ ลิเวอร์พูลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, และบรรดาบิ๊กทีมในศึก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษข่าวซื้อขายนักเตะ และวงการฟุตบอลทั่วโลก

ติดตามบทความสรุปข่าวย้อนหลังได้ที่ : ลัลลานา-ลอฟเรน ลา ลิเวอร์พูล, คืบหน้า แมนฯ ยูไนเต็ด กับ ซานโช-กรีลิช : สรุปข่าวซื้อขายนักเตะประจำวันนี้ 28 กรกฎาคม

BILD สื่อในเยอรมัน รายงานว่า บาเยิร์น มิวนิค พร้อมจะปล่อยตัว ติอาโก้ อัลคันทารา มิดฟิลด์เลือดกระทิงดุของทีมหากได้รับข้อเสนอเป็นเงินสดที่ราว 30 ล้านยูโรในช่วงซัมเมอร์นี้ เพื่อที่จะไม่เสียไปแบบฟรี ๆ หลังจากหมดสัญญาในปี 2021 โดยอดีตกองกลางจาก บาร์เซโลนา พึ่งจะปฎิเสธข้อเสนอต่อสัญญาฉบับใหม่ที่ทางเสือใต้มอบให้

ดิ เอ็กซ์เพลสส์ รายงานว่า ลิเวอร์พูล ทีมแชมเปี้ยนส์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ อาจกำลังมองหาทางเลือกใหม่ ๆ เพื่อมาแบ่งเบาสามประสานในแทนหน้า โดยเล็งเป้าไปที่ อิสไมลา ซารร์ ปีกความเร็วสูงของ วัตฟอร์ต ที่พลาดท่าตกชั้นไปเล่นในลีกรองฤดูกาลนี้ โดย ซาดิโอ มาเน กองหน้าตัวเก่งของทีมเคยออกมากล่าวถึงแข้งรุ่นน้องร่วมทีม เซเนกัล วัย 22 ปีรายนี้ว่า ซารร์ ทั้งคมและมีความเร็วเหนื่อกว่าตัวเขาเสียอีก

จานลูก้า ดิ มาร์ซิโอ ผู้สึกข่าวของสกายสปอร์ตอิตาลี เปิดเผยว่าค่าตัวที่ นาโปลี จ่ายให้กับ ลีลล์ เพื่อแลกกับตัว วิคเตอร์ โอซิมเมนห์ กองหน้าดาวรุ่งไฟแรกวัย 21 ปีชาว ไนจีเรีย อยู่ที่ราว 50 ล้านยูโรเบวกโบนัสท่านั้น ไม่ใช่ที่ 80 ล้านยูโรตามที่สื่อหลายสำนักรายงานไปช่วงก่อนหน้านี้

Calcio Mercato สื่อดังในอิตาลี รายงานว่า โรมา ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในการยื่นข้อเสนอขอซื้อตัว คริส สมอลลิง กองหลังส่วนเกินวัย 30 ปีของทีม ปีศาจแดง เนื่องจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการค่าตัวที่ 20 ล้านยูโร แต่ ทัพหมาป่ากรุงโรม ต้องการจ่ายเงินเพียง 18 ล้านยูโรเท่านั้น

เมโทร สื่อในอังกฤษเปิดเผยว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมถอยทัพสำหรับดีลของ แจ็ค กลีลิช เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งของ แอสตัน วิลลา ที่สุดท้ายสามารถอยู่รอดในศึก พรีเมียร์ลีก ต่อไป เนื่องจากทางต้นสังกัดยังคงยืนยันว่าพวกเขาต้องการเงินที่ 75 ล้านปอนด์ เพื่อแลกกับตัวกองกลางชาติอังกฤษรายนี้

เดอะ ไทม์ รายงานว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมจะยื่นข้อเสนอมูลค่า 45 ล้านปอนด์ให้กับ บีร์ยาเรอัล ทีมดังในศึก ลาลีกา รับไปพิจารณาแลกกับตัว เปา ตอร์เรส กองหลังตัวเก่งเลือดกระทิงดุวัย 23 ปี ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นกับทีมฤดูกาลนี้

เทเลกราฟ สื่อในอังกฤษ เปิดเผยว่า บอร์นมัธ ทีมดังแห่งเกาะอังกฤษที่ต้องตกชั้นไปเล่นในศึก แชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาลหน้า อาจต้องยอมหันราคาค่าตัวของ นาธาน อาเก้ เซ็นเตอร์ตัวเก่งของทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ หลังจากตัวนักเตะเองต้องการย้ายออกจากทีม โดยมี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี เป็นสองทีมที่กำลังติดตามสถานการณ์ของแข้งรายนี้อย่างใกล้ชิด

เดลี มิร์เรอร์ รายงานว่า เบน ชิลเวลล์ แบ็คซ้ายตัวเก่งของ เลสเตอร์ ซิตี้ เตรียมจะเข้าพูดคุยกับผู้บริหารของสโมสรเรื่องอนาคตของเขากับทีม เนื่องจากมีความต้องการย้ายไปร่วมทีม เชลซี ในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยมีข่าวว่า แฟรงค์ แลมพาร์ด พร้อมจะมอบตัวจริงในตำแหน่งแบ็คซ้ายของ สิงโตน้ำเงินคราม ให้หากเจ้าตัวย้ายมาร่วมทีมในฤดูกาลหน้า ซึ่งสื่อดังกล่าวคาดว่า สิงห์บลู อาจต้องทุ่มเงินที่ราว 60 ล้านปอนด์เพื่อแลกกับตัวกองหลังดีกรีทีมชาติอังกฤษรายนี้

AS สื่อแดนกระทิดุ เปิดเผยว่า อาร์เซนอล กำลังพิจารณาที่จะยืนข้อเสนอขอยืมตัว ดานี เซบาญอส กองกลางส่วนเกินของ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่ในศึก ลาลีกา ต่ออีก 1 ฤดูกาล ท่ามกลางข่าวลือว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา นายใหญของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาจจะเข้ามาเป็นมือที่สามในการล่าลายเซ็นกองกลางชาว สเปน รายนี้

[SEASON RATING] ตัดเกรดแข้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตลอดฤดูกาล พรีเมียร์ลีก 2019/20

FBL-ENG-PR-LEICESTER-MAN UTD
FBL-ENG-PR-LEICESTER-MAN UTD | OLI SCARFF/Getty Images

ในที่สุดก็จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วสำหรับศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019/20 อันสุดแสนจะยาวนาน ซึ่งสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องบอกว่าสร้างเซอร์ไพรส์ช่วงโค้งสุดท้ายได้พอสมควรเลยทีเดียว ด้วยการเบียด เลสเตอร์ ซิตี้ กลับมาเข้าป้ายท็อป 4 ได้สำเร็จ ชนิดที่แฟน ๆ บางส่วนอาจจะเลิกคาดหวังกันไปบ้างแล้วตั้งแต่เห็นสภาพทีมช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล

และแน่นอนต้องยกเครดิตให้กับ โอเล กุนนาร์ โชลชา และ เหล่าขุนพลปีศาจแดงเกือบ 30 ชีวิต ที่ร่วมกันฟันฝ่าล้มลุกคลุกคลานจนในที่สุดก็สามารถบรรลุเป้าหมายอย่างที่มันควรจะเป็น ซึ่งตลอด 38 นัดที่กรำศึกกันมาอย่างยาวนานนั้น เราจะมาลองวิเคราะห์และย้อนดูกันว่า นักเตะคนใดทำผลงานได้น่าพอใจหรือน่าผิดหวังกันบ้าง ตลอด 1 ปีเต็มที่ผ่านมา…

ผู้รักษาประตู

38 นัดใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ โอเล กุนนาร์ โซลชา ยกสัมปทานทั้งหมดทุกวินาทีให้กับ ดาบิด เด เคอา เป็นผู้รับผิดชอบ ด้วยผลงาน 13 คลีนชีท และเสียไปทั้งสิ้น 36 ประตู แม้ว่าจะดูดีขึ้นมากว่าในฤดูกาลก่อน แต่ต้องบอกว่ายังห่างไกลกับช่วงพีคของเจ้าตัวอยู่มาก อีกทั้งยังมีความผิดพลาดส่วนบุคคลออกมาให้เห็นเป็นระยะบ้างตลอด 38 นัดที่ผ่านมา จนถึงขนาดช่วงท้ายฤดูกาลมีข่าวว่าทีมเริ่มจะมองหานายทวารคนใหม่เข้ามาแทนที่อยู่บ้าง สรุปภาพรวมแม้จะไม่ใช่ฤดูกาลที่เลวร้ายของเขา แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับช่วงที่ดีที่สุด เพราะฉนั้นจึงขอให้คะแนนที่ – 6.5/10

ด้าน เซร์คิโอ โรเมโร ส่วนมากจะได้รับโอกาสในฟุตบอลถ้วยอย่างรายการ ยูโรปา ลีก เอฟเอ คัพ และ คาราบาว คัพ แต่ก็มีประเด็นดราม่าอยู่เล็กน้อยที่ โซลชา กลับเปลี่ยนมาใช้ เด เคอา ลงเล่นแทน โรเมโร ในเกม เอฟเอ คัพ รอบ 4 ทีมสุดท้าย ซึ่งเห็นได้ชัดถึงความไม่ไว้วางใจของนายใหญ่ชาว นอร์เวย์ ที่มีต่อนายทวารมือสองรายนี้ โดยภาพรวมของประตูชาวอาร์เจนไตน์รายนี้ ลงสนามให้กับทีมไป 15 เกมรวมทุกรายการ เสียไปเพียง 4 ประตู และเก็บได้ถึง 11 คลีนชีทด้วยกัน แม้จะได้ลงเล่นในรายการรอง ๆ แต่เมื่อได้ลงเฝ้าเสาผลงานก็ทำได้ค่อนข้างคงเส้นคงวา ดังนั้น 6.5/10 จึงดูไม่มากเกินไปสำหรับเจ้าตัวในฤดูกาลนี้

กองหลัง

เรามาเริ่มกันที่กองหลังกัปตันทีมดีกรีค่าตัวแพงที่สุดในโลกอย่าง แฮร์รี แม็คไกวร์ ที่แม้การได้ตัวเขามานั้น ทีมจะดูดีกว่ายุคที่ใช้ ฟิล โจนส์ จับคู่กับ สมอลลิง แต่ต้องบอกว่าด้วยค่าตัวที่แพงสุด ๆ แฟนหลายคนคงอดไม่ได้ที่จะนำไปเปรียบกับสตาร์ของ ลิเวอร์พูล อย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ซึ่งคงต้องยอมรับจริง ๆ ว่า แม็คไกวร์ ในปีนี้ยังไม่สามารถสร้างมาตรฐานที่สูงขนาดนั้นได้ แถมกัปตันทีมรายนี้ยังพอจะมีข้อผิดพลาดให้เห็นอยู่บ้างในช่วงหลังโดยเฉพาะเรื่องการประกบตัวผู้เล่น แต่อย่างไรก็ตามซีซั่นนี้เป็นเพียงปีแรกของเจ้าตัวกับทีม ไม่แน่ว่าฤดูกาลหน้าอาจจะมีอะไรดี ๆ ให้เราเห็นมากกว่านี้ก็เป็นได้ – 7/10

ด้านคู่หูของเขา วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ ก็จัดว่ายังคงสามารถรักษามาตรฐานการเล่นที่ดีในระดับปานกลางเอาไว้ได้ ซึ่งแม้จะเป็นปีแรกที่ทั้งสองคนจับคู่กัน แต่ทั้งสองคนก็สามารถประสานงานร่วมกันได้ได้ค่อนข้างดี อย่างไรก็ตามหนึ่งปัญหาที่ยังดูจะแก้ไม่หายของปราการหลังชาวสวีเดนรายนี้ก็คือ จุดอ่อนในลูกกลางอากาศที่มักจะมีข้อผิดพลาดให้เห็นเสมอเวลาต้องรับมือกับลูกโยนยาวของคู่แข่ง – 7/10

ในตำแหน่งแบ็คขวาปีนี้สัมปทานตกเป็นของ อารอน วาน บิสซาก้า ไปแบบเน้น ๆ ทั้งที่พึ่งจะย้ายมาร่วมทีมได้เป็นปีแรก แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมและคุ้มค่า เพราะด้วยผลงานอันโดดเด่นโดยเฉพาะในเกมรับ จากลูกสะกัดท่าไม้ตายที่สามารถหยุดแนวรุกที่ว่าแน่มาแล้วนักต่อนัก แถมความเร็วและความแข็งแกร่งของเจ้าตัวมีประโยชน์อย่างมากกับทีมตลอด 38 นัดที่ผ่านมา – 8/10

ฝั่งซ้ายแม้ในช่วงแรกของฤดูกาล ลุค ชอว์ จะได้รับบาดเจ็บยาวร่วม 3 เดือน จนเสียตำแหน่งไปให้ “จารยัง” แต่หลังจากกลับมาในช่วงเดือนธันวาคมเจ้าตัวก็กลับมายึดตำแหน่งตัวจริงได้สำเร็จ แถมยังมีฟอร์มการเล่นที่ค่อนข้างแน่นอนและไว้ใจได้ ซึ่งบ่อยครั้งก็เคยถูกจับไปยืนเป็นเซ็นเตอร์ในยามที่ทีมใช้แผนหลัง 3 แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งโดยธรรมชาติ แต่ก็จัดว่าสามารถเล่นได้อย่างไม่เนียนตา และแทบไม่มีข้อผิดพลาดส่วนบุคคลให้เห็น – 7/10

ด้านตัวสำรองอย่าง เอริค ไบญี ฟิล โจนส์ มาร์กอส โรโฮ ทิโมธี โฟซู-เมนซาห์ อักเซล ตวนเซเบ้ และ ดิเอโก้ ดาโลต์ ไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับทีมในฤดูกาลนี้มากนัก จัดไปคนละ – 5/10

เกือบลืมดาวรุ่งอีกหนึ่งรายที่แจ้งเกิดกับทีมในฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ นั่นก็คือ แบรนดอน วิลเลียมส์ แบ็คซ้ายวัย 19 ปี ที่ได้รับโอกาสให้ลงสนามบ่อยครั้งในฤดูกาลนี้ และก็จัดว่าทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แม้ดูจะมีอีกหลายอย่างต้องพัฒนา แต่เจ้าตัวก็ดูจะมีอนาคตที่สดใสในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด พอสมควร ด้วยการที่นายใหญ่อย่าง โซลชา ดูจะเชื่อมั่นในตัวหนุ่มน้อยรายนี้อยู่พอสมควร ต้องมาดูกันว่าฤดูกาลหน้า วิลเลียมส์ จะสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาจนมีบทบาทโดดเด่นกับทีมได้หรือไม่ – 6.5/10

กองกลาง

เริ่มกันที่ชายผู้ปิดทองหลังพระอย่าง เนมันยา มาติช ที่ดูเหมือนจะเรียกฟอร์มที่ดีกลับมาได้อีกครั้งในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง จากที่ช่วงแรกตกตกเป็นตัวสำรองมาโดยตลอดบวกกับมีอาการบาดเจ็บที่เข้ามารบกวน แต่หลังจากเจ้าตัวฟิตเต็มร้อยก็กลับมาสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมกลับมาได้สำเร็จ ด้วยความขยันวิ่งไล่บอลที่ดูจะมีมากขึ้นและประสบการณ์อันล้นเหลือ ทำให้เขาเป็นกองกลางที่เล่นโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในทีมช่วงหลัง – 7/10

ด้านอดีตตัวความหวังอันดับ 1 อย่าง พอล ป็อกบา ที่ฤดูกาลนี้เจ็บยาวและพึ่งจะกลับมาลงสนามได้ต่อเนื่องในช่วงที่ฟุตบอลกลับมาทำการแข่งขันต่อนั้น ช่วงแรกหลายคนคงตั้งความหวังไว้สูงว่าเขานั้นจะมาสร้างสรรค์เกมในแดนกลางร่วมกับ บรูโน ได้อย่างสวยงามเนียนตา แต่แล้วในความเป็นจริงมันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น บ่อยครั้งที่เจ้าตัวถูกกลืนหายไปกับเกม และไม่สามารถสร้างอิมแพคให้กับทีมได้อย่างที่ควรจะเป็น ยิ่งไปกว่านั้นก็มักมีจะหวะเล่นพลาดทำเสียบอลกลางสนามง่าย ๆ ให้เห็นค่อนข้างบ่อยอีกด้วยในช่วงหลัง – 6/10

และก็มาถึงคิวของซุเปอร์สตาร์ “เดอะแบก” ตัวจริงของทีมอย่าง บรูโน เฟอร์นันเดส ที่นอกจากจะย้ายมาเป็นทุกอย่างของทีมแล้ว การมาของเขานั้นส่งผลให้เพื่อนร่วมทีมดูจะทำผลงานได้ดีขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ซึ่งการที่คน ๆ เดียวสามารถพลิกสถานการณ์ของทีมได้ขนาดนี้เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ จนในที่สุดเขาก็สามารถพาทีมจบอันดับ 3 ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามดูเหมือนทีมจะใช้งานเขามากจนเกินไปด้วยการส่งลงสนามแทบจะทุกเกมจนช่วงหลังเห็นได้ชัดถึงความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดและส่งผลมาถึงฟอร์มการเล่น – 10/10

ส่วนดาวรุ่งลูกหม้อของทีมอย่าง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่ตอนแรกก็ยืนเป็นตัวหลักของทีมอยู่ดี ๆ ดันมาเจ็บและทำให้ถูก มาติช ยึดตำแหน่งตัวจริงไป แถมการมาของ บรูโน ยังส่งผลให้พื้นที่ในการจะได้ลงเล่นของเข้ายิ่งลดลง แต่ช่วงที่เขายืนหนึ่งเป็นตัวจริงของทีมแม้ว่าผลงานโดดรวมของสโมสรจะไม่ดี แต่ผลงานส่วนตัวจัดว่าไม่ธรรมดา ด้วยความขยันเติมเกมวิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่ตลอดเวลา แถมยังมีทีเด็ดจากลูกยิงไกลนอกกรอบที่มักจะลุ้นเป็นประตูได้อยู่เสมออีกด้วย – 7/10

ด้าน เฟร็ด ก่อนหน้านี้ก็เคยยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมมาโดยตลอดเช่นกัน แถมยังได้รับคำชมค่อนข้างเยอะในด้านฟอร์มการเล่นที่ดูจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับทีมได้มากขึ้นและมีความขยันไล่บอลในแดนกลาง แต่น่าเสียดายหลังจากที่ ป็อกบา หายเจ็บกลับมา ทำให้เขาต้องจำใจนั่งตบยุงอยู่ข้างสนามมาโดยตลอดนับตั้งแต่ โปรเจค รีสตาร์ท กลับมาลงฟาดแข้งกันอีกครั้งเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา – 6.5/10

ในรายของ เจมส์ การ์เนอร์ อังเคล โกเมส ทาฮิธ ชอง และ ฆวน มาต้า ดูจะไม่อยู่ในแผนการทำทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ในฤดูกาลนี้ แม้ว่ารายหลังจะถูกส่งลงสนามอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถตอบโจทย์ของผู้จัดการทีมได้ – 5/10

และในที่สุดก็มาถึง 2 เพลย์เมกเกอร์ที่แฟน ๆ ปีศาจแดง รักและหวงแหนมากที่สุดอย่าง เจสซี ลินการ์ด และ อันเดรียส เปเรย์รา ที่สามารถเรียกเสียงจากแฟนบอลได้ทุกครั้งเมื่อได้ลงสนามพร้อมกับสถิติยิงได้คนละ 1 ประตูในลีก โดยเฉพาะลินการ์ดที่เป็นผู้ยิงปิดท้ายให้ทีมในซีซั่นนี้ไปได้อย่างงดงาม – 5.5/10

กองหน้า

มาร์คัส แรชฟอร์ด พัฒนาตัวเองขึ้นมาในฤดูกาลนี้โดยเฉพาะฟอร์มการถล่มประตูที่ทำได้มากถึง 17 ประตูกับอีก 8 แอสซิสต์ แม้ว่าในจำนวนนั้นจะเป็นลูกจุดโทษถึง 6 ประตูก็ตาม โดยช่วงครึ่งฤดูกาลแรกที่ทีมทำผลงานไม่ดีนัก ก็มีเขานี่แหละที่เป็นความหวังสูงสุดในการทำประตู ด้วยทักษะและความเร็วที่หาตัวจับได้ยากทำให้ปีนี้ แรชฟอร์ด สามารถยิงประตูได้มากที่สุดในอาชีพการค้าแข้งของเขาเลยทีเดียว แต่ก็น่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บทำให้เข้าต้องพักยาวตั้งแต่ช่วงปีใหม่เป็นต้นมา มิฉนั้นเจ้าตัวอาจยิงประตูทะลุ 20 ลูกในฤดูกาลนี้ก็เป็นได้ – 8/10

ด้าน อ็องโตนี มาร์กซิยาล ที่ช่วงครึ่งแรกของซีซั่นถูกวิจารณ์เรื่องฟอร์มการเล่นอยู่พอสมควร รวมถึงมีปัญหาอาการบาดเจ็บ จน 18 เกมแรกเจ้าตัวยิงไปได้เพียง 4 ประตูเท่านั้น แต่แล้วพอเข้าช่วงครึ่งปีหลัง หัวหอกชาวฝรั่งเศสรายนี้แทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนด้วยการซัดเพิ่มไปอีก 13 ประตู จนกระทั่งจบฤดูกาลทำไปทั้งสิ้น 17 ประตูกับอีก 9 แอสซิสต์ ซึ่งต้องบอกว่าฟอร์มการถล่มประตูของเขานั้นมาได้ถูกจังหวะถูกที่ถูกเวลาเอามาก ๆ จนในที่สุดก็สามารถช่วยให้ทีมคว้าอันดับ 3 มาครองได้สำเร็จ – 8/10

ส่วนดาวรุ่งไฟแรงอย่าง เมสัน กรีนวูด ที่เดิมทีได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวหลักในฟุตบอลถ้วยเสียมากกว่า ส่วนในลีกมักจะถูกเก็บไว้เป็นซุเปอร์ซัพที่คอยลงมาเพื่อเปลี่ยนเกม และก็มักจะทำประตูให้ทีมได้อยุ่บ่อยครั้ง กระทั่งช่วงพักเบรกหนีโควิท เหมือนกับว่า กรีนวูด นั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น แม้การมีส่วนร่วมกับเกมจะมีไม่มาก แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าตัวได้บอล ก็มักจะมีทีเด็ดให้เห็นอยู่เสมอ ด้วยความเร็ว ความเฉียบคมทั้งเท้าซ้ายและขวา บวกกับความมั่นใจที่เกินอายุ ทำให้เจ้าตัวถล่มไปได้ถึง 10 ประตูในลีกฤดูกาลนี้เลยทีเดียว – 7/10

กลับกันในขณะที่ กรีนวูด เล่นได้อย่างโดดเด่นในช่วงท้ายของฤดูกาล คนที่ฟอร์มตกลงไปอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเดียวกันนี้ก็คือ แดเนียล เจมส์ ที่ช่วงต้นปีฟอร์มจัดว่าโดดเด่นเป็นอย่างมากด้วยการซัด 3 ประตูจาก 4 เกมแรก พร้อมกับสปีดต้นที่เร็วปานจรวดที่สามารถวิ่งแข่งกับใครก็ได้ในลีก เป็นปรากฎการณ์ที่สร้างความคาดหวังให้กับแฟน ๆ ปีศาจแดง ว่าเข้าจะก้าวขึ้นมาเป็นตัวความหวังให้กับทีมได้ แต่น่าเสียดายที่หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ทำประตูไม่ได้อีกเลยในลีกและฟอร์มก็ดูจะค่อย ๆ ดร็อปลงไปจนสุดท้ายต้องเสียตำแหน่งให้กับ กรีนวูด ในที่สุด – 6.5/10

ปิดท้ายกันที่หัวหอกที่ทีมยืมตัวมาจากแดนมังกรอย่าง โอเดียน อิกาโล ที่ช่วงแรกถูกคาดหวังว่าจะมายืนเป็นตัวหลักให้กับทีม แต่กลับถูก อ็องโตนี มาร์กซิยาล ที่เร่งฟอร์มขึ้นมาจนทำให้อดีตกองหน้าของ วัตฟอร์ด รายนี้ แทบไม่มีโอกาสลงเป็นตัวจริงเลยในเกม พรีเมียร์ลีก และต้องไปประจำการในส่วนของฟุตบอลถ้วยแทน ทำให้ครึ่งซีซั่นนี้เขายังไม่สามารถทำประตูในเกมลีกได้เลยแม้แต่ประตูเดียว – 6/10

[OPINION] นิโกลาส์ เปเป้ : ใครว่าเขาล้มเหลวกับ อาร์เซนอล ?

Nicolas Pepe, Benjamin Mendy
Arsenal v Manchester City – FA Cup: Semi Final | Sebastian Frej/MB Media/Getty Images

หากตั้งคำถามกับแฟนบอลของ อาร์เซนอล หรือสาวกปืนโตว่าในศึก พรีเมียร์ลีก ซีซัน 2019-2020 นักเตะคนใดที่ฟอร์มน่าผิดหวังที่สุดในสายตาพวกเขา เชื่อว่าหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ นิโกลาส์ เปเป้ อย่างแน่นอน

การย้ายทีมแบบสุดเซอร์ไพรส์จาก ลีกเอิง มาสู่ดินแดนต้นกำเนิดฟุตบอลด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 72 ล้านปอนด์เมื่อช่วงซัมเมอร์ แน่นอนว่าต้องเต็มไปด้วยความคาดหวังขนาดมหึมาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

อย่างไรก็ตามเมื่อมองดูที่ผลงานโดยภาพรวมแล้วหลายคนอาจจะร้องยี้และถึงกับเบือนหน้าหนีเมื่อได้ยินชื่อปีกไอวอเรียนโคสต์จากการลงสนามเฉพาะใน พรีเมียร์ลีก 31 นัดแต่ทำได้เพียง 5 ประตูกับ 6 แอสซิสต์เท่านั้น

อันที่จริงแล้วก่อนที่ เปเป้ จะย้ายทีมเขาก็มีข่าวกับยักษ์ใหญ่มากมายทั้ง ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ท้ายที่สุดก็มาลงจอดที่ เอมิเรต สเตเดี้ยม ชนิดหักปากกาเซียนทั้งเกาะ

แต่ก็เป็นที่ทราบกันว่าตอนที่ อูไน เอเมรี ยังอยู่ เขาต้องการตัว วิลฟรีด ซาฮา ปีกจาก คริสตัล พาเลซ มากกว่าสตาร์วัย 25 ปีของ ลีลล์ ซึ่งถ้าถามว่าหากได้ตัวสตาร์จาก พาเลซ มาร่วมทีมแล้ว ปืนโต จะยิงสลุตกลับสู่หัวตารางได้หรือไม่ ของแบบนี้ไม่อาจจะไปคาดเดาอะไรได้

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อาร์เซนอล เซ็นสัญญากับ นิโกลาส เปเป้ เมื่อช่วงซัมเมอร์ ซึ่งเขาต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการปรับตัวและไม่ค่อยได้โอกาสนักตอนอยู่กับ เอเมรี และพอได้ลงสนามก็แทบจะเรียกได้ว่า ‘เล่นไปโดนด่าไป’ ซะส่วนใหญ่ ก่อนที่จะมาเข้ารูปเข้ารอยในช่วงที่ มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาคุมทีม

แต่กระนั้นหลายคนก็มองว่ากับค่าตัว 72 ล้านปอนด์อดีตดาวยิงลีกเมืองน้ำหอมถือได้ว่า ‘สอบตก’ แทบจะทุกวิชาก็ว่าได้

อย่ากระนั้นเลย มันอาจจะไม่ยุติธรรมสำหรับ เปเป้ เท่าไหร่ หากจะใช้แค่การดูฟอร์มด้วยตาเปล่าเพราะหากเมื่อนับจากสถิติที่เกิดขึ้นตลอดทั้งฤดูกาลจะพบว่า ปีก ปืนโต ไม่ใช่นักเตะที่เล่นได้ขี้เหร่อย่างที่หลายคนคิด

บางทีเขาอาจจะดีว่า วิลฟรีด ซาฮา ที่ เอเมรี ต้องการด้วยซ้ำ

31 นัดในลีกใหม่ ประเทศใหม่ สโมสรใหม่ จังหวะการเล่นใหม่ และภาษาที่แตกต่างออกไปการทำได้ 5 ประตูกับ 6 แอสซิสต์ถือได้ว่าไม่ได้น่าเกลียดแต่อย่างใด เมื่อเทียบกับสถิติของกองหน้ารุ่นพี่ในทีมชาติไอวอรีโคสต์อย่าง ซาฮา ที่ลงเล่น 38 นัดให้ ‘ดิอีเกิ้ลส์’ ทำไปได้ 4 ประตูกับ 5 แอสซิสต์ เท่านั้น

จริงอยู่ที่ใครหลายคนอาจยกมือแย้งว่า ดาวเตะวัย 28 ปีเล่นให้กับ พาเลซ ทีมที่ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมาย แค่หวังเอาตัวรอดให้ได้ในแต่ละปีก็พอ แต่ก็อย่าลืมว่าตอนที่ อูไน เอเมรี คุมทีมนั้นสภาพก็ไม่ต่างกันซักเท่าไหร่

แต่บางคนอาจจะยังไม่เชื่อ เพราะการวัดด้วยประตูกับแอสซิสต์มันก็แค่เป็นการวัดเชิงปริมาณแบบง่าย ๆ ถ้าเช่นนั้นเรามาดูสถิติเชิงลึกกันดีกว่า

ผลรวมของฟอร์มการเล่นตลอดทั้งฤดูกาลของทั้ง ซาฮา และ เปเป้ วัดโดยเว็บไซต์ whoscored.com ออกมาที่ 6.98 และ 7.06 ตามลำดับ ซึ่งคะแนนนี้นับเป็นสถิติที่สูงที่สุดในทีม อาร์เซนอล เหนือ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ที่ทำได้อยู่ที่ 7.02 และ 7.03

มันก็น่าแปลกที่สื่อส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้เครดิตสตาร์วัย 25 ปีซักเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่ค่าเฉลี่ยเรื่องฟอร์มการเล่นของเขานั้นสูงที่สุดในทีม แถมยังคว้ารางวัล แมนออฟเดอะแม็ตช์ ได้มากที่สุดที่ 4 ครั้งอีกด้วย

นอกจากนั้นทั้งคู่ยังมีค่าเฉลี่ยในการยิงประตูต่อเกมเท่ากันที่ 1.6 ครั้ง แต่ เปเป้ สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้มากกว่า ในส่วนของการมีส่วนร่วมอื่น ๆ ในเกมไม่ว่าจะเป็นลูกโหม่งที่ดาวเตะ ปืนโต ทำได้ 0.6 ครั้งในขณะที่สตาร์ ดิอีเกิ้ลส์ ทำได้เพียง 0.3 ครั้ง ส่วนเรื่องการผ่านบอลก็มากกว่าที่ 81.2% ต่อ 81%

สถิติทั้งหมดนี้เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ลงเล่นน้อยกว่าเกือบ 10 เกม

ดังนั้นจากสถิติทั้งหมดที่ปรากฏใครจะบอกว่านี่เป็นปีที่ล้มเหลวของ นิโกลาส เปเป้ ก็คงจะไม่ถูกต้องซะทีเดียวนัก

เพราะถ้าเทียบกับราคาค่าตัวของ วิลฟรีด ซาฮา ที่ คริสตัล พาเลซ ตั้งเอาไว้ที่ 80 ล้านปอนด์เมื่อช่วงซัมเมอร์ก็ถือได้ว่า ปีก กันเนอร์ส ยังดูดีมีอนาคตอยู่บ้า

Nicolas Pépé

เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก สิงห์บลู เชือด หมาป่า รั้งอันดับ 4 ไว้ได้สำเร็จ

Raul Jimenez
Chelsea FC v Wolverhampton Wanderers – Premier League | Mike Hewitt/Getty Images

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน : วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2020
เวลาแข่งขัน : 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : เชลซี 2-0 วูล์ฟแฮมป์ตัน
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

เชลซี เปิดบ้านอัด วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-0 โดยได้สองประตูในครึ่งเวลาแรกจากฟรีคิกของ เมสัน เมานท์ ในนาทีที่ 45+1 และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ นาทีที่ 45+4 ทำให้จบเกม สิงห์บลูคว้า 3 คะแนนรั้งท็อป 4 เอาไว้ได้สำเร็จ ส่วน วูล์ฟส์ หล่นมาอยู่อันดับที่ 7 แต่ก็ยังพอมีลุ้นโควต้า ยูโรปาลีก หาก สิงโตน้ำเงินคราม สามารถเอาชนะ อาร์เซนอล ในรอบชิง เอฟเอ คัพ ได้

เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก ทั้งสองทีมต่างเปิดเกมบุกแลกกันอย่างสนุก ซึ่งผู้มาเยือนทำได้ค่อนข้างดีในช่วง 10 นาทีแรก

แต่แล้วก็เป็นเจ้าบ้านที่ได้ลุ้นก่อนจากลูกโหม่งของ รีซ เจมส์ แต่บอลหลุดกรอบออกไป

หลังผ่านครึ่งชั่วโมงแรกเจ้าถถิ่นมีลุ้นอีกครั้งจากลูกโหม่งของ ชิรูด์ แต่ก็ข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย

ด้านทีมเยือนก็มีโอกาสใกล้เคียงจากลูกเปิดของ เปโดร เนโต้ ที่ไปแฉลบผู้เล่นของ เชลซี เปลี่ยนทาง แต่ กาบาเยโร ยังบินมาปัดออกไปได้

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เจ้าบ้านมาได้ประตูออกนำ 1-0 จากจังหวะฟรีคิก และเป็น เมสัน เมานท์ ที่ปั้นโค้งเข้าไปอย่างงดงาม

เกมทำท่าจะจบ 45 นาทีแรกด้วยสกอร์นี้ แต่ว่า 3 นาทีถัดมา สิงห์บลู มาได้ประตูที่สองจากการโต้กลับ เมานท์ จ่ายทะลุช่องให้ ชิรูด์ หลุดเดี่ยวก่อนจะแตะหลบผู้รักษาประตูและตามไปซัดไม่เหลือ

ทำให้จบครึ่งแรก สิงโตน้ำเงินคราม ออกนำไปก่อน 2-0

เริ่มเกมในครึ่งเวลาหลัง ทีมเยือนดูจะเปิดเกมบุกมาขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรก

ซึ่งพวกเขาก็ได้โอกาสลุ้นจากจังหวะลากเดี่ยวของ ดีเอโก โจต้า ก่อนจากยิงจากนอกกรอบ แต่ กาเบเยโร ยังคงเซฟเอาไว้ได้อีกครั้ง

ด้านเจ้าบ้านก็พอจะได้ลุ้นบ้างจากลูกยิงของ อลอนโซ และ พูลิซิช แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูที่สามได้

ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมต่างพยายามหาจังหวะเข้าทำเพื่อลุ้นประตูเพิ่มแต่ยังทำไม่ได้

ทำให้จบ 90 นาที เชลซี เปิดบ้านเอาชนะ วูล์ฟส์ ไปได้ 2-0 รั้งอันดับ 4 ของตารางเอาไว้ได้ในฤดูกาลนี้

คะแนนนักเตะของทั้งสองทีม

เชลซี : กาบาเยโร(6.5), อัซปิลิกวยต้า(7), ซูมา(7), รือดิเกอร์(7), อลอนโซ(7), เจมส์(7), จอร์จินโญ(6.5), โควาชิช(7.5), เมานท์(8.5), ชิรูด์(8), พูลิซิช(6.5)

ตัวสำรอง : ลอฟตัส ชีค(5.5), บาร์คลีย์(5..5), ฮัดสัน-โอดอย(5.5), เปโดร(5.5),​ อับราฮัม(6)

วูล์ฟส: ปาทริซิโอ(5.5), โบลี(7), โคอาดี้(6), ไซอิสส์(6), โดเฮอร์ตี้(6.5), จอนนี(6), เด็นดองเคอร์(6.5), เนเวส(6), เนโต้(5.5), โจต้า(6), ราอูล(6)

ตัวสำรอง: ตราโอเร(5.5), จอร์เดา(5.5), มูตินโญ(6), โพเดนซ์(5.5), วินาเกร(6)

แมน ออฟ เดอะแมทช์ – เมาสัน เมานท์
เกมนี้ แฟรงค์ แลมพาร์ด ไม่ใส่ชื่อของ วิลเลียน เป็นหนึ่งใน 20 ขุนพลลงเล่นในเกมนัดสุดท้ายสุดสัปดาห์นี้ และเลือกที่จะใช้งาน เมสัน เมานท์ ในตำแหน่งปีกขวาแทนที่ของสตาร์ชาวบราซิลเลียน ซึ่งต้องบอกว่าเจ้าหนูวัย 21 ปีรายนี้ เล่นได้อย่างโดดเด่นในเกมรุก สามารถสร้างปัญหาให้กับแนวรับด้านซ้ายโดยเฉพาะ จอนนี อ็อตโต้ ที่ดูจะไม่สามารถจับ เมานท์ ให้อยู่ในการควบคุมได้เลย แถมลูกรัก แลมพาร์ด ยังตอบแทนความไว้ใจจากนายใหญ่ด้วยการทำ 1 ประตูจากลูกฟรีคิกสุดสวยช่วงท้ายครึ่งแรก และอีก 1 แอสซิสต์ในอีก 3 นาทีต่อมาด้วยการจ่ายคิลเลอร์พาสถวายพานให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ หลุดเข้าไปดวลเดี่ยวกับผู้รักษาประตูและเป็นที่มาของชัยชนะ 2-0 ในเกมนี้

ประเด็นร้อนหลังเกม – ภาระกิจยังไม่เสร็จสิ้น !

จบไปแล้วสำหรับภารกิจอันยาวนานในศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ที่ก็เป็นไปตามเป้า สิงห์บลู ของ แฟรงค์ แลมพาร์ด สามารถคว้าอันดับ 4 ตีตั๋วไปเล่นในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จอย่างงดงาม

แต่ก่อนจะมองไปถึงจุดนั้น ภาระในซีซั่นนี้ของ เหล่านักเตะและบรรดาทีมงานของ ทีมสิงโตน้ำเงินคราม ยังไม่ลุล่วง เพราะพวกเขายังมีศึกสำคัญอีกอย่างน้อย 2 นัดให้ลงเล่น นั่นคือ เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศกับ อาร์เซนอล ที่จะฟาดแข้งกันในคืนวันเสาร์หน้า และเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดตกค้างกับ บาเยิร์น มิวนิค ในวันที่ 9 สิงหาคม ที่แม้พวกเขาจะโดยถล่มยับคาบ้านมาในเกมแรกถึง 0-3 แต่การไปเยือน อลิอันซ์ อารีนา ในนัดนี้พวกเขาจะไปในฐานะที่ไม่มีอะไรจะเสีย แถมในอดีตพวกเขาเคยบุกมาคว้าแชมป์ “บิ๊กเอียร์” เป็นแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรได้ที่สนามแห่งนี้ เพราะฉนั้น ทัพสิงห์บลู จะสามารถลงเล่นเกมของตัวเองได้โดยโยนความกดดันไปที่เจ้าบ้าน ซึ่งก็ต้องมาดูกันว่าพวกเขาจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้สำเร็จอีกครั้งที่สนามแห่งนี้ได้หรือไม่ !

เชลซี พบ วูล์ฟแฮมป์ตัน : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด

Chelsea vs Wolverhampton : Premier League 2019/20
Chelsea vs Wolverhampton : Premier League 2019/20

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน : วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2020
เวลาแข่งขัน : 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่ง : เชลซี พบ วูล์ฟแฮมป์ตัน
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

ความพร้อมของทั้งสองทีม

เชลซี
ความพ่ายแพ้ในนัดล่าสุดต่อ ลิเวอร์พูล 5-3 นั้น ทำให้สถานการณ์ของ เชลซี ยังคงไม่สามารถการันตีพื้นที่ท็อป 4 ได้ และต้องมาตัดสินกันในเกมสุดท้ายที่พวกเขาจะต้องเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่ยังต้องการ 3 คะแนนเพื่อลุ้นพื้นที่ ยูโรปา ลีก เช่นกัน แถมฟอร์มของ ทีมหมาป่า ในช่วงหลังก็จัดว่าร้อนแรงพอสมควร เพราะงั้นเกมนี้เป็นที่แน่นอนว่าคงจัดหนักจัดเต็มเข้าใส่กันแบบไม่มีกั๊กแน่นอน ต้องมาดูกันว่าที่สุดแล้วทีมใดจะสมหวังในเกมนัดสุดท้ายของซีซั่นอันยาวนานในศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้

สภาพทีมก่อนลงทำการแข่งขัน จะยังไม่สามารถใช้งาน บิลลี กิลมอร์ ที่ยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ได้แน่นอนแล้ว ส่วนในรายของ เอ็นโกโล ก็องเต้ และ รอสส์ บาร์คลีย์ ยังต้องรอดูความพร้อมก่อนเกมจะเริ่มอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ผู้เล่นตัวจริง
ผู้รักษาประตู – กาบาเยโร
กองกลัง – อัซปิลิกวยต้า, รือดิเกอร์, ซูมา
กองกลาง – เจมส์, โควาชิช, จอร์จินโญ, อลอนโซ
กองหน้า – วิลเลียน, ชิรูด์, พูลิซิช

วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส
ฟอร์มดีขึ้นมาในช่วงหลัง โดยนัดล่าสุดพวกเขาเปิดบ้านเอาชนะ คริสตัล พาเลซ มาได้ 2-0 เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่นทำให้ขณะนี้ทีมของ นูโน ซานโต้ ต้องพยายามทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อรั้งอันดับ 6 เอาไว้และรักษาโควต้า ยูโรปา ลีก ในฤดูกาลหน้าให้ได้ ซึ่งเกมสุดท้ายนี้การต้องพบกับ เชลซี ที่กำลังต้องการคะแนนในนัดนี้อย่างหนักเพื่อคว้าอันดับท็อป 4 เอาไว้ให้ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สิงห์บลู ดูจะมีจุดอ่อนอยู่ในเกมรับ ถ้าหาก ทัพหมาป่า สามารถฉกฉวยโอกาสในเกมนี้ได้ ก็พอจะมีโอกาสคว้าชัยกลับบ้านไปได้ในเกมวันอาทิตย์นี้

สภาพทีมก่อนเกม ทีมของ นูโน ซานโต้ ไม่มีนักเตะตัวหลักคนใดบาดเจ็บติดโทษแบนในเกมวันนี้ ดังนั้น วูล์ฟส์ จึงมีความพร้อมค่อนข้างสูงในแง่ผู้เล่นและการจัดทัพลงสนามในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่แสนจะยาวนานนี้

คาดการณ์ 11 ผู้เล่นตัวจริง
ผู้รักษาประตู – ปาทริซิโอ
กองหลัง – โบลี, โคอาดี้, ไซอิสส์
กองกลาง – โดเฮอร์ตี้, เดนด็องเคอร์, เนเวส, มูตินโญ, จอนนี
กองกน้า – อดามา, ฆิเมเนซ

ผลงาน 5 นัดหลังสุดของทั้ง 2 ทีม

เชลซี – ชนะ 3 เสมอ 0 แพ้ 2
23/07/20 PL – บิเวอร์พูล 5-3 เชลซี
20/07/20 FA – แมนฯ ยูไนเต็ด 1-3 เชลซี
15/07/20 PL – เชลซี 1-0 นอริช
11/07/20 PL – เชฟฯ ยูไนเต็ด 3-0 เชลซี
08/07/20 PL – คริสตัล พาเลซ 2-3 เชลซี

วูล์ฟแฮมป์ตัน – ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 2
21/07/20 PL – วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-0 คริสตัล พาเลซ
16/07/20 PL – เบิร์นลีย์ 1-1 วูล์ฟแฮมป์ตัน
12/07/20 PL – วูล์ฟแฮมป์ตัน 3-0 เอฟเวอร์ตัน
09/07/20 PL – เชฟฯ ยูไนเต็ด 1-0 วูล์ฟแฮมป์ตัน
04/07/20 PL – วูล์ฟแฮมป์ตัน 0-2 อาร์เซนอล

เฮดทูเฮท – เชลซี ชนะ 3 เสมอ 1 วูล์ฟแฮมป์ตัน ชนะ 1
14/09/19 PL – วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-5 เชลซี
10/03/19 PL – เชลซี 1-1 วูล์ฟแฮมป์ตัน
06/12/18 PL – วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-1 เชลซี
19/02/17 FA – วูล์ฟแฮมป์ตัน 0-2 เชลซี
26/09/12 EFL – เชลซี 6-0 วูล์ฟแฮมป์ตัน

(PL= พรีเมียร์ลีก / UCL= ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก / UEL= ยูโรปาลีก / FA= เอฟเอ คัพ / FL= กระชับมิตร / USC = ยูฟ่า ซุเปอร์คัพ)

พรีวิว เอฟเอ คัพ, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด

Leicester city vs Manchester United : Premier League 2019/20
Leicester city vs Manchester United : Premier League 2019/20

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20
วันแข่งขัน : วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2020
เวลาแข่งขัน : 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่ง : เลสเตอร์ ซิตี้ พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สนาม : คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม
ถ่ายทอดสด : True Premier Football HD 1, PPTV

ความพร้อมของทั้งสองทีม

เลสเตอร์ ซิตี้
ทีมของ เบรนเดน ร็อดเจอร์ส สถานการณ์ดูจะสุ่มเสี่ยงสุด ๆ ในบรรดาทั้งสามทีมที่ลุ้นติดท็อป 4 ณ ตอนนี้ เนื่องจากปัจจุบันหล่นลงมารั้งอันดับที่ 5 หลังจากเกมล่าสุดบุกไปพ่าย ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ 3-0 ทำให้เกมสุดท้ายของฤดูกาลนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องชนะสถานเดียวเพื่องชิงพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาให้ได้ แล้วก็ดันเป็นการพบกันโดยตรงกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่แข่งของพวกเขาเองอีกต่างหาก แม้ฟอร์มในช่วงหลังของ ทัพจิ้งจอกกสยาม จะดูไม่ร้อนแรงเท่ากับในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก แถมมีปัญหาเรื่องผู้เล่นบาดเจ็บและติดโทษแบน แต่การที่เกมนี้จะเป็นตัวตัดสินทุกอย่างในฤดูกาลหน้าของพวกเขา รับรองว่า พลพรรคเดอะฟ็อกซ์ มีเท่าไหร่ใส่ไม่ยั้งแน่นอน

สภาพทีมก่อนแข่ง จะไม่สามารถเรียกใช้งานแข้งตัวหลักได้หลายรายทั้ง แดเนียล อมาร์เตย์ ริคาร์โด้ เปเรย์รา เจมส์ แมดดิสัน และ เบน ชิลเวลล์ เนื่องจากยังคงต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในปัจจุบัน ส่วนในรายของ ชากลาร์ โซยุนซู จะยังคงติดโทษแบนไม่สามารถลงเล่นในเกมนัดนี้ได้เช่นกัน

คาดการณ์ 11 ผู้เล่นตัวจริง
ผู้รักษาประตู – ชไมเคิล
กองกลัง – โธมัส, อีแวนส์, มอร์แกน, จัสติน
กองกลาง – ติเลอมองส์, เอ็นดิดี, ปราเอท, เปเรซ, บาร์นส์
กองหน้า – วาร์ดี้

แมนฯ ยูไนเต็ด
ทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ฟอร์มแผ่วลงค่อนข้างชัดเจนในช่วงหลังจากการที่ผู้เล่นตัวหลักต้องกรำศึกหนักติดต่อกันมาเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม แต่สถานการณ์ก่อนแข่งพวกเขาดูดีกว่าคู่แข่งอยู่เล็กน้อยด้วยการที่รั้งอันดับ 3 ของตาราง ณ ปัจจุบัน ดังนั้นพวกเขาต้องการแค่ผลเสมอก็จะเพียงพอต่อการการันตีพื้นที่ท็อป 4 ในฤดูกาลนี้ แต่อย่างไรก็ตามการต้องบุกไปเยือน เลสเตอร์ ที่กำลังหลังชนฝาไม่ใช่งานง่ายอย่างแน่นอน ต้องมาดูกันว่าเกมนี้ ทัพปีศาจแดง จะสามารถเค้นฟอร์มเก่งในนัดส่งท้ายของฤดูกาลและรั้งพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เอาไว้ได้หรือไม่

สภาพทีมก่อนลงทำการแข่งขัน จะยังไม่สามารถเรียกใช้งาน ฟิล โจนส์ อักเซล ตวนเซเบ้ และ เอริค ไบญี ที่ยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บในนัดนี้ได้ ส่วนในรายของ ลุค ชอว์ ที่ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เกมที่เสมอกับ เซาต์แธมป์ตัน ยังคงต้องรอดูความพร้อมก่อนเกมจะเริ่มอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ผู้เล่นตัวจริง
ผู้รักษาประตู – เด เคอา
กองกลัง –วาน บิสซาก้า, แม็คไกวร์, ลินเดอเลิฟ, วิลเลียมส์
กองกลาง – มาติช, ป็อกบา, บรูโน
กองหน้า – แรชฟอร์ด, มาร์กซิยาล, กรีนวูด

ผลงาน 5 นัดหลังสุดของทั้งสองทีม

เลสเตอร์ ซิตี้ – ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 2

24/06/20 PL – สเปอร์ส 3-0 เลสเตอร์

20/06/20 PL – เลสเตอร์ 1-1 เชฟฯ ยูไนเต็ด

10/03/20 PL – บอร์นมัธ 4-0 เลสเตอร์

05/03/20 FA – อาร์เซนอล 1-0 เลสเตอร์

29/03/20 PL – เลสเตอร์ 1-0 คริสตัล พาเลซ

แมนฯ ยูไนเต็ด – ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 1
23/07/20 PL – แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 เวสต์แฮม
20/07/20 FA – แมนฯ ยูไนเต็ด 1-3 เชลซี
17/07/20 PL – คริสตัล พาเลซ 0-2 แมนฯ ยูไนเต็ด
14/07/20 PL – แมนฯ ยูไนเต็ด 2-2 เซาต์แธมป์ตัน
10/07/20 PL – แอสตัน วิลลา 0-3 แมนฯ ยูไนเต็ด

เฮดทูเฮท – เลสเตอร์ ชนะ 0 เสมอ 1 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 4
14/09/19 PL – แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 เลสเตอร์
03/02/19 PL – เลสเตอร์ 0-1 แมนฯ ยูไนเต็ด
11/08/18 PL – แมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 เลสเตอร์
24/12/17 PL – เลสเตอร์ 2-2 แมนฯ ยูไนเต็ด
26/08/17 PL – แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0 เลสเตอร์

(PL= พรีเมียร์ลีก / UCL= ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก / UEL= ยูโรปาลีก / FA= เอฟเอ คัพ / EFL = คาราบาว คัพ / CS = คอมมูนิตี้ ชิลด์ / FL= กระชับมิตร)