[ข่าวซื้อขาย] ลิเวอร์พูล ไปไหน !? ลือหึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด เดินหน้าเจรจาคว้า ติอาโก้ อัลคันทารา จาก บาเยิร์น มิวนิค

German DFB Pokal"FC Schalke 04 v Bayern Munchen"
German DFB Pokal”FC Schalke 04 v Bayern Munchen” | ANP Sport/Getty Images

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แห่งศึก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ตกเป็นข่าวได้เดินหน้ายื่นข้อเสนอให้กับ บาเยิร์น มิวนิค เพื่อคว้าตัว ติอาโก้ อัลคันทารา มิดฟิลด์ทีมชาติ สเปน วัย 29 ปีไปร่วมทัพใน ตลาดซื้อขายนักเตะ ซัมเมอร์นี้เป็นที่เรียบร้อยตามการรายงานจาก บิลด์ สื่อใน เยอรมนี

โดยสัญญาฉบับปัจจุบันของ ติอาโก้ กับต้นสังกัดกำลังจะสิ้นสุดลงในซัมเมอร์ 2021 และจะทำให้ทัพ เสือใต้ เสียเขาไปแบบไร้ค่าตัวหากไม่สามารถปล่อยแข้งรายนี้ออกจากสังกัดก่อนเวลาดังกล่าว ท่ามกลางข่าวลือหนาหูกับ ลิเวอร์พูล ตลอดช่วงที่ผ่านมา ก่อนที่จะกลายเป็น ปีศาจแดง ที่เข้ามาร่วมแจมในดีลดังกล่าวซึ่งพวกเขาได้เดินหน้าหารือกับทั้งสโมสรและเอเยนต์ของมิดฟิลด์แดนกระทิงดุรายนี้เป็นที่เรียบร้อย

ทั้งนี้ ฮานซี ฟลิค กุนซือของ บาเยิร์น ได้ให้สัมภาษณ์ผ่าน บิลด์ เมื่อวันพุธที่ผ่านมาระบุว่าเขายังไม่ได้พูดคุยกับ ติอาโก้ นับตั้งแต่เสร็จศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศแต่อย่างใด รวมทั้งยืนยันว่าลูกทีมรายนี้จะบอกลาต้นสังกัดในอนาคตอันใกล้

รายงานจากสื่อหลายสำนักชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า บาเยิร์น ได้ตั้งค่าตัวกองกลางเชิงสูงรายนี้ไว้ที่ 29 ล้านปอนด์โดยทั้ง หงส์แดง และ ปีศาจแดง ยังไม่สามารถยื่นข้อเสนอในระดับดังกล่าวให้กับยักษ์ใหญ่แห่ง บุนเดสลีกา ได้แต่อย่างใด

ทีมชาติเยอรมนี พบ ทีมชาติสเปน : พรีวิว ยูฟ่า เนชันส์ลีก,วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด

Germany VS Spain : UEFA Nation League - League A Round 1
Germany VS Spain : UEFA Nation League – League A Round 1

การแข่งขัน : ยูฟ่า เนชันส์ลีก ลีกเอ รอบแรก

วันแข่งขัน : คืนวันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน 2020

เวลาแข่งขัน : 01:45 น.

คู่แข่งขัน : ทีมชาติเยอรมนี vs ทีมชาติสเปน

สนาม : เมอร์ซีเดส เบนซ์ อารีนา ประเทศเยอรมนี

ช่องทางการรับชม : UEFA.tv

ความพร้อมของทั้งสองทีม

เยอรมนี
เกมเปิดหัวในนัดแรก เนชั่นลีก ฤดูกาลใหม่ ทีมของ โยอาคิม เลิฟ ต้องโคจรมาพบกับของแข็งอย่าง ทัพกระทิงดุ ที่ถูกจับมาอยู่กลุ่มเดียวกัน ร่วมกับ สวิตเซอร์แลนด์ และ ยูเครน โดยฤดูกาลที่ผ่านมา ทีมอินทรีเหล็ก ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ ตกรอบแบ่งกลุ่มด้วยการไม่ชนะใครเลย จนทำให้อันดับในตางรางของ ฟีฟ่า หล่นลงไปอยู่ที่ 15 ของโลกแล้วในตอนนี้ ต้องมาดูกันว่าพลังอินทรีย์สายเลือดใหม่ของ เลิฟ จะสามารถเรียกศรัทธาของแฟนบอลที่ดูจะตกฮวบลงไปตั้งแต่ช่วงฟุตบอลโลก 2018 กลับมาได้หรือไม่ในปีนี้

คาดการณ์ 11 ผู้เล่นตัวจริง
ผู้รักษาประตู – เลโน
กองหลัง – เคห์เลอร์, รือดิเกอร์, ซูเล, กูเซนส์
กองกลาง – ซาเน, กุนโดกัน, โครส, ฮาเวิร์ตซ์, บรันท์
กองหน้า – แวร์เนอร์

สเปน
ทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ฟอร์มดูจะเริ่มกลับมาเข้าที่อีกครั้ง หลังจากในฤดูกาลที่ผ่านมาพวกเขาพลาดตกรอบแรกด้วยการรั้งอันดับบ๊วยของกลุ่ม จนทำให้อันดับในตารางของ ฟีฟ่า หล่นลงมาอยู่อันดับที่ 8 ของโลก โดยเกมแรกก็ต้องมาเจองานหนักในทันทีด้วยการบุกไปเยือน เยอรมนี ในคืนวันพฤหัสบดีนี้ ต้องมาดูกันว่า พลพรรคกระทิงดุ จะมีแผนมารับมือกับความแข็งแกร่งของทีมชุดยังบลัดของ ทัพอินทรีเหล็ก ในเกมนี้อย่างไร

คาดการณ์ 11 ผู้เล่นตัวจริง
ผู้รักษาประตู – เด เคอา
กองหลัง – เรกิลอน, รามอส, ตอร์เรส, คาร์บาฆาล
กองกลาง – คิอาโก้, โรดรี, โอลโม
กองหน้า – อดามา, โรดริโก้, ฟาติ

ผลงาน 5 นัดหลังสุดของทั้ง 2 ทีม

เยอรมนี – ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 0
20/11/19 EUR – เยอรมนี 6-1 ไอร์แลนดเหนือ
17/11/19 EUR – เยอรมนี 4-0 เบลารุส
14/10/19 EUR – เอสโตเนีย 0-3 เยอรมนี
10/10/19 FL – เยอรมนี 2-2 อาร์เจนตินา
10/09/19 EUR – ไอร์แลนดเหนือ 0-2 เยอรมนี

สเปน – ชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 0
19/11/19 EUR – สเปน 5-0 โรมาเนีย
16/11/19 EUR – สเปน 7-0 มอลต้า
16/10/19 EUR – สวีเดน 1-1 สเปน
13/10/19 EUR – นอร์เวย์ 1-1 สเปน
09/09/19 EUR – สเปน 4-0 แฟโร

เฮดทูเฮท – เยอรมนี ชนะ 1 เสมอ 1 สเปน ชนะ 3
24/03/18 FL – เยอรมนี 1-1 สเปน
19/11/14 FL – สเปน 0-1 เยอรมนี
08/07/10 WC – เยอรมนี 0-1 สเปน
30/06/08 EUR – เยอรมนี 0-1 สเปน
13/02/03 FL – สเปน 3-1 เยอรมนี

* WC – ฟุตบอลโลก / EUR – ฟุตบอลยูโร / FL – กระชับมิตร

รายชื่อนักเตะที่ติดทีมชาติทั้งหมดในเกมวันนี้ของทั้งสองทีม

เยอรมนี

ผู้รักษาประตู – เบามันน์ (ฮอฟเฟนไฮม์) / เลโน (อาร์เซนอล) / แทรปป์ (แฟรงก์เฟิร์ต)

กองหลัง – กินเทอร์ (กลัดบัค) / กูเซนส์ (อตาลันต้า) / เคห์เลอร์ (ปารีส) / คอช (ไฟร์บวร์ก) / รือดิเกอร์ (เชลซี) / ชูลซ์ (ดอร์ทมุนด์) / ซูเล (บาเยิร์น) / ทาห์ (เลเวอร์คูเซน)

กองกลาง – บรันท์ (เลเวอร์คูเซน) / ชาน (ดอร์ทมุนด์) / ดรักซ์เลอร์ (ปารีส) / กุนโดกัน (แมนฯ ซิตี้) / ฮาเวิร์ตซ์ (เลเวอร์คูเซน) / โครส (เรอัล มาดริด) / นูฮาวส์ (กลัดบัค) / ซาเน (บาเยิร์น) / เซอร์ดาร์ (ชาลเก้)

กองหน้า – แวร์เนอร์ (เชลซี) / วัลด์ชมิดท์ (เบนฟิก้า)

สเปน

ผู้รักษาประตู – เด เคอา (แมนฯ ยูไนเต็ด) / เคปา (เชลซี) / อูไน ไซมอน (บิลเบา)

กองหลัง – นาบาส (เซบีญา) / คาร์บาฆาล (เรอัล มาดริด) / รามอส (เรอัล มาดริด) / เปา ตอร์เรส (บียาร์เรอัล) / ยอเรนเต้ (โซเซียดาด) / กายา (บาเลนเซีย) / เรกิลอน (เซบีญา) / การ์เซีย (แมนฯ ซิตี้)

กองกลาง – รุยซ์ (นาโปลี) / ติอาโก้ (บาเยิร์น) / บุสเกตส์ (บาร์เซโลนา) / โรดรี (แมนฯ ซิตี้) / เมริโน (โซเซียดาด) / โอลโม (ไลป์ซิก) / ออสก้า โรดริเกวซ (เรอัล มาดริด)

กองหน้า – โรดริโก้ (ลีดส์) / โมเรโน (บียาร์เรอัล) / ตราโอเร (วูล์ฟส์) / อเซนซิโอ (เรอัล มาดริด) / ฟาติ (บาร์เซโลนา), เฟร์ราน ตอร์เรส (แมนฯ ซิตี้)

[OPINION] อย่ารอช้า ! เหตุผลที่ ฟาน เดอ บีค จะเป็นดีลสุดปังของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

Donny van de Beek
Ajax v Hertha BSC Berlin – Pre-Season Friendly | DeFodi Images/Getty Images

จากรายงานของหลายๆ สื่อได้ยืนยันว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีโอกาสสูงมากที่จะได้ตัว ดอนนี ฟาน เดอ บีค กองกลางดาวรุ่งคนเก่งของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม

ก่อนหน้านี้ ยูไนเต็ด เองก็ได้ตกเป็นข่าวกับกองกลางหลายต่อหลายคนโดยเฉพาะกับ แจ็ค กรีลิช แต่สุดท้ายแล้วข่าวกับทุกคนก็เงียบไปจนมาถึง ฟาน เดอ บีค

แฟนบอลหลายๆ คนอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักกับนักเตะวัย 23 รายนี้มากนักหากไม่ค่อยได้ติดตาม เอเรดิวิซี ลีก จึงอาจจะเกิดความสงสัยว่าเขามีดียังไง ปีศาจแดง ถึงต้องการตัวทั้งๆ ที่กองกลางแทบล้นทีม

ตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีกองกลางหลายตัวอย่าง บรูโน แฟร์นันเดส, ปอล ป็อกบา, เนมันยา มาติช, เฟร็ด รวมถึงคนที่แฟนบอลไม่อยากพูดถึงอย่าง เจสเซ ลินการ์ด และ อันเดรียส เปเรร่า ด้วย

ในรายของ บรูโน่ แฟร์นันเดส ก็น่าจะอยู่เป็นกำลังหลักของ ปีศาจแดง อีกหลายปี หลังจากสามารถพาทีมทำผลงานได้อย่างสุดยอดตั้งแต่เข้าทีมจนจบอันดับ 3 ใน พรีเมียร์ลีก อย่างเซอร์ไพรส์

แต่กับ ป็อกบา ถึงแม้เชาจะดูมีความสุขในการได้เล่นกับ บรูโน่ ที่เซนส์บอลทันกัน แต่ก็อย่าลืมว่าเขามีสัญญาจนถึงปี 2021 เท่านั้นและไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่าเขาจะอยู่ต่อ

ส่วน มาติช กับ เฟร็ด แม้ทั้งคู่จะมีฟอร์มที่คงเส้นคงว่าอย่างมากในช่วงหลังแต่พวกเขาก็ไม่ใช่ตัวประเภทคีย์แมนที่จะเปลี่ยนผลการแข่งขันให้ทีมได้ โดยเฉพาะกับรายแรกที่ย่างเข้าสู่ปลายอาชีพแล้ว

ลินการ์ด กับ เปเรร่า เอ่อ ขอไม่พูดถึงก็แล้วกัน……

จากที่กล่าวไปหาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะได้ใครซักคนที่มีแววว่าจะสามารถยกระดับเกมให้พวกเขาได้มันจะไม่เป็นอะไรที่น่าลองเหรอ?

มาถึงสไตล์การเล่นนักเตะทีมชาติฮอลแลนด์เองก็เป็นกองกลางที่จัดได้ว่าครบเครื่องเพราะสามารถเล่นได้ทั้งตัวรับ, บ็อกซ์ทูบ็อกซ์, มิดฟิลด์ตัวกลางและกองกลางตัวรุก

ส่วนสถิติก็ใช่ว่าจะธรรมดาที่ไหนเมื่อ ฟาน เดอ บีค สามารถทำไปได้ถึง 41 ประตูกับ 34 แอสซิสต์จากการลงสนาม 175 เกมให้กับ อาแจ็กซ์ จนได้ติดอันดับที่ 28 ในการประกาศผลบัลลงดอร์เมื่อปีก่อนด้วย

พูดถึงประสบการณ์ ฟาน เดอ บีค ก็ผ่านมาหมดแล้วทั้งใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และกับทีมชาติฮอลแลนด์รวมถึงยังมีประสบการณ์เป็นแชมป์กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม แล้ว

แม้จะต้องใช้เวลาปรับตัวกับ พรีเมียร์ลีก ต่ด้วยอายุเพียง 23 ปีเขาเองก็จะมีอนาคตที่น่าสนใจรออยู่อย่างแน่นอน

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงไม่ควรจะลังเลทำทุกอย่างเพื่อคว้าตัวเจ้าหนูรายนี้มา ดีกว่ามานั่งเสียใจภายหลังเมื่อเห็นเขาไปประสบความสำเร็จกับทีมอย่าง บาร์เซโลนา หรือทีมอื่นๆ ใน พรีเมียร์ลีก

[ข่าวซื้อขาย] รีบไปหน่อย ! สื่อแฉ แมนฯ ยูไนเต็ด เกือบได้ตัว แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ ตัดหน้า สเปอร์ส

Lucas Ocampos, Matt Doherty
Wolverhampton Wanderers v Sevilla – UEFA Europa League Quarter Final | Pool/Getty Images

มีการเปิดเผยว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พยายามยื่นข้อเสนอให้แก่ วูล์ฟแฮมป์ตัน คู่แข่งใน พรีเมียร์ลีก เพื่อขอซื้อตัว แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ มาร่วมทีมเมื่อซีซันที่แล้ว ก่อนที่นักเตะจะย้ายไปเล่นให้ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ในซัมเมอร์นี้

เดลีเอ็กซ์เพรส เปิดเผยว่าเมื่อช่วงตลาดซื้อขายซัมเมอร์ที่ผ่านมาทีม ปีศาจแดง ได้สอบถามไปยังทีมหมาป่าเกี่ยวกับการย้ายทีมของแบ็คขวาทีมชาติไอร์แลนด์ เพราะพวกเขาให้ความสนใจจะดึงตัวนักเตะไปเสริมทัพเนื่องจากตอนนั้นยังขาดผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คขวา

อย่างไรก็ตาม นูโน เอสปิริโต้ ซานโต้ กุนซือใหญ่ของ วูล์ฟ ได้ขอให้กองหลังวัย 28 ปีอยู่ช่วยทีมต่ออีกหนึ่งฤดูกาล ทำให้ โอเล กุนนาร์ โซลชา ต้องหันไปทุ่มเงินจำนวน 50 ล้านปอนด์ให้กับ คริสตัน พาเลซ เพื่อเป็นค่าตัวของ อารอน วาน-บิสซาก้า มาร่วมทีม

โดเฮอร์ตี้ ถือเป็นผู้เล่นที่มีความสำคัญของ กุนซ์อชาวโปรตุกีสโดยย้ายมาจาก โบฮีเมียนส์ ทีมในไอร์แลนด์ด้วยค่าตัวเพียง 7.5 หมื่นปอนด์เมื่อปี 2010 โดยล่าสุดเจ้าตัวได้ย้ายไปร่วมทีม ไก่เดือยทอง เป็นที่เรียบร้อยด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์พร้อมสัญญาอีก 4 ปีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

[NOSTALGIA] ไม่เนียนอย่างแรง ! เมื่อ มูรินโญ สั่งให้ รามอส และ อลอนโซ โดนใบแดงในปี 2010

Craig Thomson, Sergio Ramos
AFC Ajax v Real Madrid – UEFA Champions League | Laurence Griffiths/Getty Images

เกมนัดสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โดยธรรมดาแล้วจะเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากเพราะมันคือนัดชิงดำที่ทำให้รู้ว่าใครจะเข้ารอบต่อไปและทีมไหนจะเป็นแชมป์กลุ่ม

แต่หลายๆ ครั้งสำหรับบางทีมพวกเขาเองก็อาจจะลอยตัวด้วยการทำแต้มหนีทีมอื่นขาดและเป็นแชมป์กลุ่มไปแล้วจนทำให้นัดสุดท้ายแทบไม่มีความหมายอะไร

่ถึงอย่างนั้น โชเซ มูรินโญ หนึ่งในสุดยอดกุนซือแห่งยุคก็เคยแสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่าเกมนัดสุดท้ายที่แทบไม่มีความหมายนี้นั้นยังมีประโยชน์ซ่อนอยู่

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2010 เกมรองสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่มถ้วยบิ๊กเอียร์ เรอัล มาดริด ได้บุกไปนำ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ถึง 4-0

เกมนี้ทั้ง เซร์คิโอ รามอส และ ชาบี อลอนโซ ต่างพากันได้ใบเหลืองไปแล้วซึ่งปกติพวกเขาต้องเล่นระวังเพื่อไม่ให้ได้เหลืองที่สองเพื่อเป็นใบแดง

ทันใดนั้น มูรินโญ ก็ได้เรียก อลอนโซ มากระซิบข้างสนาม ไม่หนำซ้ำยังได้ส่งข้อความให้ เจอร์ซี ดูเด็ค นายทวารสำรองที่กำลังวอร์มอัพร่างกายอยู่ให้ไปบอก อิเคร์ กาซิยาส เพื่อบอก รามอส อีกทอดนึง

จากนั้นทั้ง อลอนโซ และ รามอส เองก็ได้ทำการถ่วงเวลาอย่างน่าเกลียดในช่วงต่อเวลาทั้งๆ ที่นำถึง 4-0 จนทำให้ได้ใบเหลืองที่สองเป็นใบแดงถูกไล่ออกไปทั้งคู่

แน่นอนว่าเรื่องนี้มันมีความหมายจากการที่ รามอส และ อลอนโซ สะสมใบเหลือง 2 ใบแล้วตั้งแต่เริ่มทัวร์นาเมนท์ ซึ่งหากไปพลาดได้มันอีกหนึ่งใบก็จะโดนแบนตามกฏ 1 นัดทันที

มูรินโญ จึงได้สั่งให้นักเตะไปทำในสิ่งที่เรียกว่าล้างใบเหลืองคือการสะสมมันให้ครบ 3 ใบเพื่อจะได้โดนแบนในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มกับ โอแซร์ ที่แทบจะไม่มีความหมายแล้วแทน จากนั้นในรอบน็อคเอาท์ทั้ง อลอนโซ และ รามอส เองก็จะใสสะอาดและไม่ต้องเล่นแบบกังวลแล้ว

มันอาจจะฟังแล้วเป็นอะไรที่ดูฉลาดและไม่ได้รุนแรงเพราะเป็นการฟาวล์จากการถ่วงเวลา แต่หากมองอีกนัยหนึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรจากการโกงด้วยช่องโหว่ของกฏ

เรื่องนี้จบลงด้วยการที่ อลอนโซ และ รามอส โดนแบนคนละหนึ่งนัดและก็โดนปรับอีกเล็กน้อยข้อหาไม่มีน้ำใจนักกีฬาแต่พวกเขาก็สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบน็อคเอาท์แบบใสๆ ไร้ใบเหลืองติดตัว

จากเรื่องนี้ทั้ง มูรินโญ และตัวนักเตะเองก็โดนวิจารณ์อย่างหนักซึ่งถ้าเป็นหลายๆ คนก็อาจจะเข็ด แต่กลับไม่ใช่กับ รามอส เพราะเขาเองก็ได้ทำแบบนี้ซ้ำในอีก 9 ปีต่อมา

ปี 2019 รอบ 16 ทีมสุดท้ายกับ อาแจ็กซ์ คู่กรณีเดิม รามอส ตั้งใจที่จะโดนใบเหลืองช่วงท้ายเกมในนัดแรกที่บุกไปเอาชนะ 2-1 เพื่อจะทำการล้างใบเหลืองรอรอบต่อไปซึ่งเขาเองก็ยอมรับมันในภายหลัง

แต่ครั้งนี้ ยูฟ่า เองก็ได้ประกาศแบนเขาสองนัดทันทีนั่นเท่ากับว่าหากผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ เขาจะไม่ได้เล่นในเกมแรกอีกหนึ่งเกม

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาประเมินไว้มันก็ผิดถนัด เมื่อทีมดังจากแดนกังหันเป็นฝายบุกมายัดเยียดความปราชัยให้ ราชันชุดขาว ถึงบ้าน 1-4 ซึ่งนอกจะเป็นการถีบแชมป์เก่าตกรอบไปแล้วยังเป็นการเอาคืน รามอส ได้อย่างเจ็บแสบถึงพริกถึงขิงเลยทีเดียว

Sergio Ramos

[FEATURES] ตัวจริงเสียงจริง ! 6 ตำนาน พรีเมียร์ลีก ที่มีอนุสาวรีย์เป็นของตัวเอง

Arsenal v Watford - The Emirates FA Cup Sixth Round
Arsenal v Watford – The Emirates FA Cup Sixth Round | Richard Heathcote/Getty Images

‘ตำนานนักเตะ’ คำๆ นี้อาจจะเป็นตำแหน่งที่ยกย่องให้นักเตะมากมายจนบางครั้งก็ดูเหมือนจะถูกใช้จนเกร่อเกินไปเพราะหลายคนก็อาจจะยังไม่ถึงขั้นนั้น

แต่ตัวชี้วัดหนึ่งที่อาจการันตีว่าเขาคนนั้นคือตำนานตัวจริงเสียจริงก็อาจจะเป็นรูปปั้นหรืออนุสาวรีย์ที่มีไม่กี่คนจะได้สิทธิ์นั้น อย่างเช่นอดีตสตาร์ พรีเมียร์ลีก ทั้ง 6 คนนี้

แม้จะไม่ได้อยู่หน้าสนาม โอลด์แทร็ฟฟอร์ด แต่การมีรูปปั้นของตัวเองที่หน้าสนามเหย้าของ แอลเอ แกแล็กซี ก็คือหนึ่งในสิ่งที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน

เบ็คแฮม ประสบความสำเร็จในทุกที่ที่ค้าแข้งทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และ ปารีส แซงค์ แชร์กแมง และที่สำคัญเขาก็คือคนที่ยกระดับ แอลเอ แกแล็กซี และ เมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ ขึ้นอีกระดับนั่นเอง

เชียร์เรอร์ ลงเล่นให้กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ถึง 10 ปีและนอกจากเขาจะเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสรแล้วยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดของ พรีเมียร์ลีก ที่ไม่น่าจะมีใครทำลายลงได้ในเร็ววันด้วย

โดยอนุสาวรีย์ของเขาถูกให้ชื่อว่า ‘Local Hero’ หรือแปลตรงตัวว่า ‘ฮีโร่ชาวท้องถิ่น’ เนื่องจากเขาเป็นคน นิวคาสเซิล โดยกำเนิดซึ่งรูปปั้นนี้ได้ถูกตั้งให้แฟนบอลชื่นชมมาแล้วตั้งแต่ปี 2016

เดนิส เบิร์กแคมป์ ถือเป็นหนึ่งในตำนานที่ยอดเยี่ยมของ อาร์เซนอล หลังจากเล่นให้กับทีม 11 ฤดูกาลพร้อมฝากประตูสุดคลาสสิคไว้หลายลูกและพาทีมประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

โดยรูปปั้นของ เบิร์กแคมป์ ได้ตั้งอยู่หน้า เอมิเรตส์ สเตียม ตั้วแต่ปี 2014 ซึ่งเขาก็เป็นนักเตะรายที่ 3 ของ อาร์เซนอล ที่ได้รับเกียรตินี้

อดีตสุดยอดสตาร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีรูปปั้นของตัวเองที่สนามบินมาเดย์รา ในบ้านเกิดที่เคยสร้างเสียงฮือฮาช่วงแรกๆ เนื่องจากรูปปั้นมันไม่เหมือนตัวจริงเลยก่อนจะมีการมาแก้ไขใหม่ในภายหลัง

แต่ไม่รู้เจ้าตัวจะดีใจหรือเสียใจกันแน่กับการที่มีอนุสาวรีย์ของตัวเองหลังนักท่องเที่ยวมักจะไปถูเป้ารูปปั้นเขาตลอดจนถึงขั้นถลอกปอกเปิกเปลี่ยนสีไปจากส่วนอื่นแล้วนั่นเอง

รูปปั้นของ อองรี ถูกเปิดตัวเมื่อปี 2011 หน้าสนามเอมิเรตส์เสตเดียม เพื่อเป็นเกียรติให้กับดาวยิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรและเพื่อฉลองครบรอบ 125 ปีหลังก่อตั้งด้วย

อองรี ครองสถิติทำประตูสูงสุดตลอดกาลของ อาร์เซนอล ด้วยจำนวน 226 ประตูจนทำให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพได้อย่างละสองสมัย

อาร์เซนอล ได้เปิดตัวรูปปั้นของ โทนี อดัมส์ พร้อมกับ เธียร์รี อองรี และอีกหนึ่งคนอย่าง เฮอเบิร์ท แชปแมน ตำนานกุนซือของทีมในปี 2011

อดัมส์ คือสุดยอดกัปตันของทีมผู้ลงเล่นให้สโมสรเดียวตลอดการค้าแข้งจนได้ฉายาว่า ‘มิสเตอร์ อาร์เซนอล’ โดยรูปปั้นของเขานั้นนำมาจากท่าดีใจหลังเจ้าตัวยิงให้ทีมชนะ เอฟเวอร์ตัน ไป 4-0 ในเกมฉลองแชมป์ พรีเมียร์ลีก ปี 1998

บาร์เซโลนา เมื่อ “ทีมต่างดาว” กลายเป็นเพียง “คนธรรมดา”

Barcelona's Argentinian forward Lionel M
Barcelona’s Argentinian forward Lionel M | LLUIS GENE/Getty Images

จนถึงตอนนี้หลายคนคงจะทราบข่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า “ซุเปอร์สตาร์อันดับหนึ่ง” อย่าง ลิโอเนล เมสซี เตรียมจะแยกทางกับ บาร์เซโลนา สโมสรที่เจ้าตัวใช้เวลาเกือบ 2 ทศวรรษในการแจ้งเกิดและเติบโตจนยิ่งใหญ่เหมือนทุกวันนี้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวถือเป็นข่าวการย้ายทีมที่ช็อควงการฟุตบอลมากที่สุดข่าวหนึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้

ย้อนกลับไปในตุลาคมปี 2004 ในเกมที่พบกับ เอสปันญอล กุนซือของ บาร์เซโลนา ในขณะนั้นอย่าง แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ได้ส่งดาวรุ่งหมายเลข 30 ลงสนามไปแทนที่ เดโก้ ในนาทีที่ 82 และนั่นเป็นเกมแรกที่ เมสซี ลงสนามในแมทช์เป็นทางการให้กับ เจ้าบุญทุ่ม ในอาชีพการค้าแข้งของเขา..

แน่นอนว่าหลังจากนั้นเจ้าตัวก็พัฒนาฝีเท้าเรื่อยมา กระทั่งการจากไปของนายใหญ่ชาวฮอลแลนด์ และสตาร์อันดับหนึ่งของทีมชาวบราซิลอย่าง โรนัลดินโญ ในปี 2008 กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ทำให้ เมสซี ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของทีมแบบเต็มตัว พร้อมทั้งเปลี่ยนไปสวมเสื้อหมายเลข 10 ให้กับทีมนับตั้งแต่นั้น

ฤดูกาล 2008/09 ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือหนุ่มรายนี้พาทีมคว้า 3 แชมป์มาครองได้สำเร็จ อีกทั้งยังเป็นปีแรกที่ เมสซี สามารถประกาศตัวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของโลก ด้วยการคว้ารางวัล บัลลงดอร์ มาครองได้เป็นสมัยแรก และยังคงทำได้ต่อเนื่องอีก 3 ปีต่อจากนั้น จนทำสถิติเป็นผู้ถือครองรางวัล บัลลงดอร์ ต่อเนื่องถึง 4 สมัยติดต่อกันเป็นคนแรกบนโลกใบนี้ ซึ่งไม่เพียงแค่ เมสซี เท่านั้นที่ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้สำเร็จ นายใหญ่จอมปรัชญารายนี้ ยังสามารถพาทีม บาร์เซโลนา ก้าวขึ้นไปเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยุคนั้น จนถึงขั้นถูกเรียกขานว่าเป็น “ทีมที่มาจากต่างดาว” เลยทีเดียว

แต่แล้วการอำลาทีมไปของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ในปี 2012 จัดว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นการเข้าสู่ขาลงของ บาร์เซโลนา ก็ว่าได้ เพราะทั้ง ติโต้ และ เอล ตาต้า ต่างไม่สามารถทำได้ดีเทียบเท่ากับมาตรฐานที่ เป๊ป เคยทำไว้ จะมีก็แต่เพียง หลุยส์ เอ็นริเก้ ที่ดูจะใกล้เคียงมากที่สุดด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นคนสุดท้ายในยุคของ “MSN” ซึ่งหลังจากแยกทางกันไปในปี 2017 ยาวมาถึงยุคของ บัลบาร์เด้ ทีมเริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงสไตล์การทำทีม จนถึงจุดแตกหักในยุคของ กิเก้ เซเตียน ที่ผ่านมา

อะไร ? ที่ทำให้ บาร์เซโลนา ที่เคยรุ่งเรื่องสุดขีด กลับกลายเป็นแค่อดีตอันหอมหวานไปได้กันแน่ ผู้จัดการทีม ? นักเตะ ? หรือ บอร์ดบริหาร ?

คำตอบของคำถามนี้ก็คือ ทุกอย่างที่กล่าวมา ! ช่วงหลายปีที่ผ่านมา บาร์ซ่า มีการปรับเปลี่ยนทีมไปมากจากยุค 2000 จนมาถึงยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่เน้นสร้างทีมขึ้นมาโดยใช้แกนหลักจากดาวรุ่งภายในทีม และให้ความสำคัญกับการพัฒนาเยาวชนตั้งแต่ศูนย์ฝึก ขัดเกลาให้กลายมาเป็นเพชรเม็ดงามไม่ว่าจะเป็น ปูโยล ปิเก้ ชาบี อิเนียสต้า รวมไปถึง เมสซี และอีกมากมายที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักให้กับสโมสร จนทำให้ “ลามาเซีย” โด่งดังมีชื่อเสียงขึ้นมา

แต่หลังหลังจากการเข้ามาของ โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสรคนล่าสุดที่รับตำแหน่งในปี 2014 และพึ่งประกาศลาออกไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น นโยบายของทีมได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากการเน้นดันเด็กในสโมรขึ้นมาใช้งาน เป็นการทุ่มเม็ดเงินมหาศาลดึงตัวนักเตะดัง ๆ เข้าสู่แทน ซึ่งแน่นอนมันไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ที่แย่คือด้านการตลาดและทีมสรรหานักเตะ เพราะบรรดาแข้งดังเกือบทั้งหมดที่ดึงเข้ามาต้องบอกว่าแทบไม่สามารถใช้งานได้จริงตั้งแต่ อาร์ด้า ตูราน อเล็กซ์ วิดัล อังเดร โกเมส ปาโก้ อัลกาเซร์ ซามูเอล อุมติตี้ ฟิลิปเป้ คูตินโญ อุสมาน เดมเบเล เปาลินโญ มัลคอม และอีกมากมายที่ดูจะเป็นการลงทุนที่ “ผิดพลาด” รวมถึงการที่ไม่สามารถสรรหาผู้จัดการทีมที่มีทั้งฝีมือและบารมีมากพอที่จะทั้งบริหารทีมให้ทำผลงานได้ดีและควบคุมเหล่าสตาร์ในทีมให้อยู่กับร่องกับรอยได้

ซึ่งเมื่อประเด็นเหล่านี้หมักหมมจนได้ที่ ปัญหาทุกอย่างจึงระเบิดออกมาพร้อมกันและส่งผลให้ บาร์เซโลนา เดินทางมาถึงจุดกลียุคอย่างเต็มตัวในที่สุด…

ส่วนประเด็นที่คาดว่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายสู่จุดแตกหักของ เมสซี กับทีม ว่ากันว่ามาจากการที่ทั้งบอร์ดและผู้จัดการทีมปฏิบัติกับนักเตะอย่างไม่ให้เกียรติเท่าทีควร ทั้งกรณีของ อาร์ตู ที่ถูกบีบบังคับให้ย้ายไปร่วมทีม ยูเวนตุส อย่างไม่เต็มใจเพื่อแลกกับ มิราเลม เปียนิช รวมถึงกรณีของนักเตะตัวเก๋าหลายคนที่ถูกตัดหางลอยแพหลังจบซีซั่นนี้อย่าง หลุยส์ ซัวเรซ อิวาน ราคิติช เคราร์ด ปิเก้ ที่เตรียมถูกขึ้นบัญชีขายลับหลังชนิดที่นักเตะไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวไปนี้เองบวกกับฟอร์มการเล่นที่มีแต่ถอยหลังลง นั่นจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้สตาร์ดังอย่าง ลิโอเนล เมสซี ที่ตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาเขาคือ “ไอคอน” ของ บาร์เซโลนา ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่านี่เป็นจุดอิ่มตัวของเขากับทีม และถึงเวลาออกผจญภัยอย่างเป็นทางการครั้งแรกแม้จะอยู่ในวัย 33 ปี หยุดเส้นทางอันยาวนานกับ “ทีมต่างดาว” ที่ปัจจุบันต้องบอกว่ากลับกลายเป็นแค่ “คนธรรมดา” ไปอย่างไม่น่าจดจำเท่าใดนัก…

เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก 2-2 ลิเวอร์พูล : สำรวจทุกประเด็นหลังเกมอุ่นเครื่อง หงส์แดง

FC Red Bull Salzburg v FC Liverpool - Friendly Match
FC Red Bull Salzburg v FC Liverpool – Friendly Match | Michael Molzar/Getty Images

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอลกระชับมิตร พรีซีซัน 2020
วันแข่งขัน : วันอังคารที่ 26 สิงหาคม
ผลการแข่งขัน : เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก 2-2 ลิเวอร์พูล
สนาม : เร้ดบูลล์ อารีนา ซัลซ์บวร์ก

ลิเวอร์พูล อุ่นเครื่องเป็นนัดสุดท้ายกับ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ก่อนดวลกับ อาร์เซนอล ในศึก คอมมูนิตี้ ชิลด์ โดยส่งผู้เล่น 11 ตัวจริงได้แก่ อลิสซอน เบ็คเกอร์; เนโก้ วิลเลียมส์, โจ โกเมซ, เวอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน; จินี ไวนัลดุม, ฟาบินโญ, นาบี เกอิต้า; โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน และ ซาดิโอ มาเน

เกมออสตาร์ทด้วยการต่อบอลที่ไม่ปะติดปะต่อนักของ หงส์แดง เมื่อบรรดา 11 ผู้เล่นตัวจริงผ่านบอลได้อย่างน่าผิดหวังและกลายเป็นเจ้าบ้านที่สามารถทำเกมได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผ่านไปเพียง 3 นาทีหลังเริ่มเกม ซัลซ์บวร์ก ก็เป็นฝ่ายพังประตูเบิกร่อง 1-0 ได้ก่อนจาก แพทสัน ดาก้า กองหน้าวัย 21 ปีทีมชาติ แซมเบีย หลุดเดี่ยวเข้าไปล่อเป้า อลิสซอน ซัดด้วยขวาไม่พลาด

ให้หลังจากนั้นเพียง 10 นาที เจ้าถิ่นทิ้งห่างเป็น 2-0 เมื่อ วาลอน เบริชา หลุดขึ้นไปทางกราบซ้ายก่อนปาดเข้ากลางให้ แพทสัน คนเดิมเข้าแท็ปอินในกรอบเขตโทษแฉลบศีรษะของ อลิสซอน บอลไปซุกที่ก้นตาข่ายและจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ดังกล่าว

เริ่มต้นครึ่งหลัง เยอร์เก้น คล็อปป์ จัดการเปลี่ยนตัวเอา ฟิร์มิโน, เกอิต้า, ฟาน ไดค์, อลิสซอน และ ซาลาห์ ออกจากสนามแทนที่โดย ทาคูมิ มินามิโนะ, เคอร์ติส โจนส์, นาธาเนียล ฟิลลิปส์, อาเดรียน และ คี-จานา โฮเวอร์ ตามด้วยการส่ง คอสตาส ซิมิคาส, ฮาร์วีย์ เอลเลียต, บิลลี คูเมติโอ, ริอาน บรูวส์เตอร์ และ มาร์โก้ กรูยิช แทรที่ โรเบิร์ตสัน, วิลเลียมส์, โกเมซ, มาเน และ ไวนัลดุม ตามลำดับ

พลพรรค เร้ดแมชีน มาติดเครื่องเอาในช่วงท้ายเกมหลังจากเปลี่ยนตัวสำรองทั้ง 2 เซ็ต โดย ริอาน บรูวส์เตอร์ พังประตูตีไข่แตกได้ในนาทีที่ 73 เมื่อ มิลเนอร์ ประสานงานทำชิ่งกับ มินามิโนะ หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายก่อนไหลให้ บรูวส์เตอร์ ล้มตัวยิงบนเสยเพดานตาข่ายชนิดที่ อเล็กซานเดอร์ วัลเค้ นายทวารเจ้าถิ่นหมดสิทธิ์เซฟ

ความพยายามในการตีเสมอ 2-2 ของ ลิเวอร์พูล มาสำเร็จเอาในที่สุดนาทีที่ 81 จาก บรูวส์เตอร์ คนเดิมเมื่อเก็บตกบอลจากแถวสอง ตักข้ามหัวของกองหลังตุงตาข่าย

คะแนนนักเตะ ลิเวอร์พูล

11 ผู้เล่นตัวจริง
อลิสซอน เบ็คเกอร์ – ไม่สามารถโทษเจ้าตัวได้กับทั้ง 2 ประตูที่เสียไป เกือบพลาดท่าเสียประตูที่ 3 ในช็อตที่เตะเคลียร์จากปากประตูไปถูก เวอร์จิล ฟาน ไดค์

เนโก้ วิลเลียมส์ – หลุดจากตำแหน่งกับประตูที่ 2 มีจังหวะแสดงให้เห็นถึงการไม่สามารถรับมือกับแนวรุกของ ซัลซ์บวร์ก ได้อยู่ พยายามเติมเกมรุกแต่จังหวะสุดท้ายน่าผิดหวัง

โจ โกเมซ – ผ่านบอลผิดพลาดเป็นสาเหตุของการเสียประตูที่ 2 ดูจะลังเลกับทุกจังหวะของการเข้าสกัดในครึ่งแรกแต่สามารถยกระดับของตนเองได้ในครึ่งหลัง

เวอร์จิล ฟาน ไดค์ – การหลุดฟอร์มของเพื่อนร่วมทีมทำให้ปราการหลังชาว ดัตช์ ออกอาการเป๋ไปอยู่บ้างก่อนที่จะถูกศอกของฝ่ายตรงข้ามจนคิ้วแตกและถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม

แอนดี้ โรเบิร์ตสัน – พยายามเติมขึ้นไปมีส่วนร่วมกับเกมรุกบ่อยครั้ง

ฟาบินโญ – มีส่วนผิดพลาดกับการเสียประตูแรกของเกม

จินี ไวนัลดุม – รับบทบาทห้องเครื่องในแผงมิดฟิลด์ของ ลิเวอร์พูล

นาบี เกอิต้า – พยายามปั้นเกมรุกให้กับทีมแต่บอลจากเท้าของเจ้าตัวไม่เข้าเป้านัก

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ – ตัดสินใจไม่ยอมยิงประตูเมื่อสบโอกาสตั้งแต่ต้นเกมรวมทั้งมีช็อตที่แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตามยังสามารถสร้างจังหวะให้กับเพื่อนร่วมทีม รวมทั้งเกือบจะยิงประตูสำเร็จหลังพักครึ่ง

โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน – ดูจะต้องใช้เวลาเรียกจังหวะอยู่อีกพักใหญ่ ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเกมมากนักก่อนที่จะถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม

ซาดิโอ มาเน – ไม่สามารถจบสกอร์ได้จากโอกาสเหน่งๆ และเกือบจะได้รับใบแดงไล่ออกจากสนาม

ตัวสำรอง
เคอร์ติส โจนส์​ (แทนที่ เกอิต้า นาทีที่ 46) – มีจังหวะสวยๆ ให้เห็นและเร่งจังหวะของเกมในแดนกลาง มีส่วนช่วยให้ทีมได้ประตูตีเสมอ

เจมส์ มิลเนอร์ (แทนที่ ฟาบินโญ นาทีที่ 46) – มีทั้งช็อตที่ทำได้ดีและน่าผิดหวัง ได้แอสซิสต์จากการผ่านให้ บรูวส์เตอร์ พังประตูตีไข่แตก

ทาคูมิ มินามิโนะ (แทนที่ ฟิร์มิโน นาทีที่ 46) – ไม่สามารถจบสกอร์ได้จากการถวายพานของ มาเน แต่มีส่วนร่วมกับประตูของ บรูวส์เตอร์ ในเวลาต่อมา

นาธาเนียล ฟิลลิปส์ (แทนที่ ฟาน ไดค์ นาทีที่ 56) – ทำได้น่าพอใจเมื่อรับมือกังความแข็งแกร่งและความเร็วสูงของ ดาก้า

อาเดรียน (แทนที่ อลิสซอน นาทีที่ 63) – ไม่มีจังหวะผิดพลาดให้เห็น

คี-จานา โฮเวอร์ (แทนที่ วิลเลียมส์ นาทีที่ 63) – ยังต้องปรับปรุงพื้นฐานการสัมผัสบอลและผ่านบอล ได้รับบททดสอบในเกมรับ

บิลลี คูเมติโอ (แทนที่ โกเมซ นาทีที่ 63) – เติมขึ้นไปเล่นลูกเซ็ตพีซได้เปรียบจากส่วนสูง มีความมั่นใจในการเล่นเกมรับ

คอสตาส ซิมิคาส (แทนที่ โรเบิร์ตสัน นาทีที่ 63) – ถูก ดาก้า เผาเครื่องหลังจากลงสนามได้ไม่นาน แต่พยายามมีส่วนร่วมกับการเติมเกมรุกอย่างต่อเนื่อง

มาร์โก้ กรูยิช (แทนที่ ไวนัลดุม นาทีที่ 63) – ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะปรับจังหวะให้เข้ากับเกมได้ ยืนตำแหน่งในเกมรับได้น่าพอใจ

ฮาร์วีย์ เอลเลียต (แทนที่ ซาลาห์ นาทีที่ 63) – ทำได้น่าผิดหวังโดยเฉพาะกับจบสกอร์จากโอกาสที่สร้างสรรค์โดย กรูยิช ในช่วงท้ายเกม

ริอาน บรูวส์เตอร์ (แทนที่ มาเน นาทีที่ 63) – เด็ดขาดกับจังหวะจบสกอร์ทั้ง 2 ประตู

[FEATURE] รวบรวมทุกสถิติที่น่าสนใจ ผลงานของสโมสร-นักเตะ ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2019/20

Paris Saint-Germain v Bayern Munich - UEFA Champions League Final
Paris Saint-Germain v Bayern Munich – UEFA Champions League Final | Pool/Getty Images

จบสิ้นลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2019/20 อันยืดเยื้อ และก็อย่างที่ทราบกันว่าสุดท้ายแล้วเป็นเต็งหนึ่งอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ที่เฉือนชนะ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในรอบชิงชนะเลิศ 1-0 จากประตูชัยของ คิงส์ลีย์ โกม็อง ในช่วงครึ่งเวลาหลัง คว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งนั่นทำให้ ทัพเสือใต้ คว้าแชมป์ในรายการนี้เป็นสมัยที่ 6 เทียบเท่ากับ ลิเวอร์พูล มากที่สุดเป็นอันดับ 3 เป็นรองเพียง เอซี มิลาน และ เรอัล มาดริด เท่านั้น

วันนี้เราจะพาผู้อ่านทุกท่านไปชมทุกบทสรุปของรายการนี้ รวมถึงสถิติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยจะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลย…

แน่นอนว่าอันดับหนึ่งย่อมเป็นทีมแชมป์อย่าง เสือใต้ ที่แม้จะลงเล่นไปเพียงแค่ 11 นัดในปีนี้ แต่พวกเขาก็ทำสถิติ ยิงประตูได้มากที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถึง 43 ประตู เป็นรองเพียง บาร์เซโลนา ที่ทำเอาไว้ในปี 1999/00 เท่านั้น (45 ประตู)

1. บาเยิร์น มิวนิค – 43 ประตู
2. ปารีส แซงต์ แชร์กแมง – 25 ประตู
3. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – 21 ประตู
4. ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ – 18 ประตู
5. อตาลันต้า – 17 ประตู

2 ทีมจากเยอรมัน กลายเป็นทีมที่สรา้งสรรค์โอกาสเข้าทำได้มากที่สุด ตามมาด้วย 2 ทีมดังจากอังกฤษ…

1. บาเยิร์น มิวนิค – ยิงทั้งหมด 241 ครั้ง เข้ากรอบ 102 ครั้ง
2. แอร์เบ ไลป์ซิก – ยิงทั้งหมด 158 ครั้ง เข้ากรอบ 52 ครั้ง
3. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – ยิงทั้งหมด 146 ครั้ง เข้ากรอบ 61 ครั้ง
4. ลิเวอร์พูล – ยิงทั้งหมด 146 ครั้ง เข้ากรอบ 47 ครั้ง
5. เรอัล มาดริด – ยิงทั้งหมด 139 ครั้ง เข้ากรอบ 54 ครั้ง

กลับกลายเป็นทีมที่ตกรอบแรกอย่าง ดินาโม ซาเกร็บ ที่คว้าอันดับหนึ่งในสติถิทีมที่มีอัตราการยิงเข้ากรอบไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ…

1. ดินาโม ซาเกร็บ – 20% จากการยิงทั้งหมด 50 ครั้ง
2. ปารีส แซงต์ แชร์กแมง – 18.66% จากการยิงทั้งหมด 134 ครั้ง
3. ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ – 18.37% จากการยิงทั้งหมด 98 ครั้ง
4. บาเยิร์น มิวนิค – 17.84% จากการยิงทั้งหมด 241 ครั้ง
5. เร้ดบูล ซัลซ์บวร์ก – 16.84% จากการยิงทั้งหมด 95 ครั้ง

ยังคงเป็นเจ้าแห่งการจ่ายบอลจริง ๆ สำหรับ เรือใบสีฟ้า ซึ่งการส่งบอลอันแม่นยำนั้นเป็นจุดขายของนายใหญ่อย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา มาตั้งแต่ไหนแต่ไร…

1. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – 89.2% จากการส่งบอลทั้งหมด 5,927 ครั้ง
2. บาเยิร์น มิวนิค – 88.0% จากการส่งบอลทั้งหมด 6,959 ครั้ง
3. ยูเวนตุส – 87.7% จากการส่งบอลทั้งหมด 4,876 ครั้ง
4. เรอัล มาดริด – 87.6% จากการส่งบอลทั้งหมด 4,869 ครั้ง
5. บาร์เซโลนา – 87.4% จากการส่งบอลทั้งหมด 5,747 ครั้ง

เรื่องการครองบอลต้องยกให้เขาจริง ๆ สำหรับแชมป์เก่าอย่าง หงส์แดง ที่พร้อมจะเปิดเกมบุกใส่คู่แข่งแทบทุกทีมตลอด 90 นาทีของการแข่งขัน…

1. ลิเวอร์พูล – 67.6%
2. บาเยิร์น มิวนิค – 64.2%
3. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – 62.6%
4. ยูเวนตุส – 59.1%
5. ไปเออร์ เลเวอร์คูเซน – 58.9%

เป็นทีมรองแชมป์ในปีนี้อย่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ที่สามารถรักษาคลีนชีทเอาไว้ได้มากที่สุดในฤดูกาลที่ผ่านมา…

1. ปารีส แซงต์ แชร์กแมง – 7 ครั้ง (เสียทั้งหมด 6 ประตู)
2. บาเยิร์น มิวนิค – 6 ครั้ง (เสียทั้งหมด 8 ประตู)
3. แอตเลติโก มาดริด – 6 ครั้ง (เสียทั้งหมด 9 ประตู)
4. อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม – 3 ครั้ง (เสียทั้งหมด 6 ประตู)
5. ยูเวนตุส – 3 ครั้ง (เสียทั้งหมด 6 ประตู)

รางวัลนี้อันดับหนึ่งเป็นของ เปแอสเช ที่ดูจะใส่หนักจัดเต็มคู่แข่งสุด ๆ จนได้รับใบเหลืองมากที่สุดในฤดูกาลนี้ไป

1. ปารีส แซงต์ แชร์กแมง – ใบเหลือง 29 ใบแดง 0 รวม 29 ใบ
2. อตาลันต้า – ใบเหลือง 25 ใบแดง 0 รวม 25 ใบ
3. บาร์เซโลนา – ใบเหลือง 23 ใบแดง 1 รวม 24 ใบ
4. โอลิมปิก ลียง – ใบเหลือง 22 ใบแดง 0 รวม 22 ใบ
5. กาลาตาซาราย – ใบเหลือง 21 ใบแดง 0 รวม 21 ใบ

1. เกงค์ (เบลเยี่ยม) – 23 ปี 310 วัน
2. ลีลล์ (ฝรั่งเศส) – 24 ปี 38 วัน
3. เร้ดบูล ซัลซ์บวร์ก – 24 ปี 163 วัน
4. แอร์เบ ไลป์ซิก (เยอรมัน) – 24 ปี 246 วัน
5. เบนฟิก้า (โปรตุเกส) – 24 ปี 343 วัน

1. กาลาตาซาราย (เตุรกี) – 29 ปี 347 วัน
2. ยูเวนตุส (อิตาลี) – 29 ปี 86 วัน
3. โลโคโมทีฟ มอสโคว (รัสเซีย) – 28 ปี 320 วัน
4. ซัคตาร์ โดเน็ตสก์ (ยูเครน) – 28 ปี 244 วัน
5. เซนิต เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (รัสเซีย) – 28 ปี 515 วัน

แน่นอนรางวัลดาวซัลโวคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “เทพเลวาน” ที่ยิงกระจายพา เสือใต้ คว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ…

1. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (บาเยิร์น) – 15 ประตู
2. เออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ (ซัลซ์บวร์ก/ดอร์ทมุนด์) – 10 ประตู
3. แซร์จ กนาบรี้ (บาเยิร์น) – 9 ประตู
4. ดรีส์ เมอร์เทน (นาโปลี) / กาเบรียล เชซุส (แมนฯ ซิตี้) / แฮร์รี เคน (สเปอร์ส) / เมมฟิส เดปาย (ลียง) / ราฮีม สเตอร์ลิง (แมนฯ ซิตี้) – 6 ประตู
5. โจซิป อิลิซิช (อตาลันต้า) / คาริม เบนเซมา (มาดริด) / คิเลียน เอ็มบัปเป้ (ปารีส) / เลาตาโร มาร์ติเนซ (อินเตอร์) / หลุยส์ ซัวเรซ (บาร์เซโลนา) / เมาโร อิคาร์ดี้ (อินเตอร์) / ซน เฮือง-มิน (สเปอร์ส) – 5 ประตู

เจ้าแห่งการแอสซิสต์ในปีนี้ตกเป็นของ อังเคล ดิ มาเรีย ปีกตัวเก๋าของ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ที่ทำไปมากถึง 6 แอสซิสต์ในฤดูกาลนี้…

1. อังเคล ดิ มาเรีย – 6 ครั้ง
2. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ / คิเลียน เอ็มบัปเป้ – 5 ครั้ง
3. ฮูสเซม อาอูอาร์ / ฮาคิม ซิเย็ค / ริยาด มาห์เรซ / เนย์มาร์ / โจชัว คิมมิช – 4 ครั้ง

ปีนี้นักเตะที่สร้างโอกาสให้เพื่อนได้มากที่สุดเป็นกองหลังจาก บาเยิร์น มิวนิค อย่าง โจชั คิมมิช ที่การวางบอลเป็นอีกหนึ่งทีเด็ดของเจ้าตัวจนสามารถพาทีมคว้าแชมป์มาครองในที่สุด..

1. โจชัว คิมมิช – 28 ครั้ง
2. เควิน เดอ บรอยน์ – 27 ครั้ง
3. โธมัส มุลเลอร์ – 25 ครั้ง
4. โทนี โครส – 24 ครั้ง
5. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ – 21 ครั้ง

ยังคงเป็นนักเตะ ทีมเสือใต้ ที่ทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเป็น ติอาโก้ อัลคันทารา ที่ทำสถิติจ่ายบอลมากที่สุดในทัวนาเมนต์ปีนี้ถึง 832 ครั้งเลยทีเดียว

1. ติอาโก้ อัลคันทารา – ส่งบอลไปทั้งหมด 832 ครั้ง (ความแม่นยำ 90.9%)
2. โจชัว คิมมิช – ส่งบอลไปทั้งหมด 745 ครั้ง (ความแม่นยำ 88.1%)
3. เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค – ส่งบอลไปทั้งหมด 736 ครั้ง (ความแม่นยำ 88.8%)
4. อิลคาย กุนโดกัน – ส่งบอลไปทั้งหมด 705 ครั้ง (ความแม่นยำ 93.6%)
5. โรดรี – ส่งบอลไปทั้งหมด 678 ครั้ง (ความแม่นยำ 93.2%)

ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากคนที่มีโอกาสได้จบมากที่ในปีนี้จะเป็นดาวซัลโวอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ หัวหอกตัวเก่งของ บาเยิร์น มิวนิค ที่ได้ลองส่องไปถึง 52 ครั้งตลอดทัวร์นาเมนต์..

1. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ – ยิง 52 ครั้ง ตรงกรอบ 33 ครั้ง
2. คริสเตียโน โรนัลโด – ยิง 40 ครั้ง ตรงกรอบ 15 ครั้ง
3. โมฮาเหม็ด ซาลาห์ – ยิง 36 ครั้ง ตรงกรอบ 11 ครั้ง
4. ฟิลิปเป้ คูตินโญ – ยิง 34 ครั้ง ตรงกรอบ 11 ครั้ง
5. ลิโอเนล เมสซี – ยิง 31 ครั้ง ตรงกรอบ 15 ครั้ง

กองกลางของ แอร์เบ ไลป์ซิก อย่าง คอนราด ไลเมอร์ เป็นนักเตะที่ทำสถิติเข้าปะทะคู่แข่งมากที่สุดในปีนี้..

1. คอนราด ไลเมอร์ (ไลป์ซิก) – 38 ครั้ง
2. ติอาโก้ อัลคันทารา (บาเยิร์น) – 34 ครั้ง
3. โธมัส ปาร์เตย์ (แอตฯ มาดริด) – 28 ครั้ง
4. นิโกลาส ทาเกลียฟิโก้ (อาแจ็กซ์) – 27 ครั้ง
5. นอร์ดี้ มูกิเล (ไลป์ซิก) – 26 ครั้ง

สถิติการเข้าตัดบอลในฤดูกาลนี้เป็นนักเตะจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ อย่าง แมตส์ ฮุมเมลส์ ที่สามารถตัดบอลคู่แข่งได้มากที่สุดถึง 30 ครั้งแม้ว่าต้นสังกัดจะจอดป้ายไปตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายก็ตาม…

1. แมตส์ ฮุมเมลส์ – 30 ครั้ง
2. วิลมาร์ บาร์ริออส / ติอาโก้ อัลคันทารา – 23 ครั้ง
3. สเวน เบนเดอร์ / ฟาเบียน รุยซ์ – 19 ครั้ง
4. นิโกลาส ทาเกียฟิโก้ / แม็กซ์ โวเบอร์ – 18 ครั้ง
5. มาร์ควินญอส / มาร์เทน เดอ รูน / มิราเลม เปียนิช / โจเซ ลูอิส – 17 ครั้ง

ผู้รักษาประตูที่ทำสถิติเซฟลูกยิงได้มากที่สุดในปีนี้ ตกเป็นของ ปีเตอร์ กูลาคซี นายทวารจาก แอร์เบ ไลป์ซิก ด้วยสถิติอัตราการป้องกันถึง 33 ครั้ง ตลอด 10 เกมที่ลงสนาม

1. ปีเตอร์ กูลาคซี (ไลป์ซิก)- เซฟ 33 ครั้ง อัตราการเซฟ 72.7%
2. เฟอร์นันโด มุสเลรา (กาลาตาซาราย) – เซฟ 33 ครั้ง อัตราการเซฟ 70.2%
3. มิลาน บอร์ยาน (เร้ดสตาร์) – เซฟ 33 ครั้ง อัตราการเซฟ 62.2%
4. กิลเฮอร์เม (โลโคโมทีฟ) – เซฟ 29 ครั้ง อัตราการเซฟ 76.3%
5. มานูเอล นอยเออร์ (บาเยิร์น) – เซฟ 28 ครั้ง อัตราการเซฟ 77.1%

1. ฮาคิม ซิเย็ค (อาแจ็กซ์) – 1 นาที 34 วินาที
2. เออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ (ซัลซ์บวร์ก) – 1 นาที 41 วินาที
3. แทมมี อับราฮัม (เชลซี) – 1 นาที 47 วินาที
4. อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด แชมเบอร์เลน (ลิเวอร์พูล) – 1 นาที 50 วินาที
5. เลาตาโร มาร์ติเนซ (อินเตอร์) – 1 นาที 59 วินาที

1. เตเต้ (ชัคตาร์) – 97 นาที 39 วินาที
2. มาร์กอส ยอเรนเต้ (แอตฯ มาดริด) – 96 นาที 5 วินาที
3. เอมิล ฟอร์สเบิร์ก (ไลป์ซิก) – 95 นาที 0 วินาที
4. ฟิล โฟเด้น (แมนฯ ซิตี้) – 94 นาที 36 วินาที
5. เมเนอร์ โซโลมอน (ชัคตาร์) – 94 นาที 20 วินาที

เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ เมื่อคืนวาน

David Alaba
Paris Saint-Germain v Bayern Munich – UEFA Champions League Final | Pool/Getty Images

ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019/20 รอบชิงชนะเลิศ
วันแข่งขัน : คืนวันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม
เวลาแข่งขัน : 02:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 0-1 บาเยิร์น มิวนิค
สนาม : เอสตาดิโอน ดา ลุซ

เกมนี้มีสิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนตลอด 90 นาที นั่นก็คือระบบการเล่นของทั้งสองทีมที่มีจุดเด่นคนละรูปแบบแต่ก็สามารถสู้กันได้อย่างสมศักดิ์ศรี โดยฝั่ง บาเยิร์น แม้จะมีนักเตะชื่อชั้นระดับโลกอยู่ในทีมมากมาย แต่พวกเขาเน้นการเล่นแบบเป็นระบบ ไม่มีใครเป็นศูนย์กลางของทีม ทุกคนช่วยกันเล่นตามแผนที่วางเอาไว้ ส่วนทางด้าน ปารีส พวกเขามี 2 สตาร์ดังแห่งยุคอย่าง เนย์มาร์ และ คิเลียน เอ็มบัปเป้ เป็น 2 แกนหลังของทีม แน่นอนว่าเรื่องฝีเท้าคงไม่มีใครตั้งคำถามกับทั้งคู่อีกแล้ว แต่สิ่งที่แตกต่างในเกมนี้คือ เมื่อทั้งสองคนไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ตามที่คาดหวัง ทีมก็แทบไม่มีทีเด็ดอื่น ๆ ในการจะมาพลิกสถานการณ์ ต่างกับ เสือใต้ ที่ไม่ว่าจะส่งใครลงมาเล่นในระบบที่ ฮันส์ ดีเทอร์ ฟลิค วางเอาไว้ ความน่ากลัวของพวกเขาก็แทบจะไม่ลดน้อยลงกว่าเดิมเลยตลอด 90 นาที

11 นัดรวด คือจำนวนเกมที่ พลพรรคเสือใต้ ถล่มอัดคู่แข่งคว้าชัยมาได้ตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ในฤดูกาลนี้ ซึ่งกลายเป็นสถิติใหม่ของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่มีทีมที่สามารถเอาชนะได้ถึง 11 นัดติดต่อกันตั้งแต่เริ่มนัดแรกจนคว้าแชมป์มาครองได้ แถมทุกเกมพวกเขายังถล่มคู่แข่งชนิดที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน นกจากนั้นยังยิงประตูได้ถล่มทลาย โดยเฉพาะในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ บาร์เซโลนา ที่อัดไปเละเทะยับเยินถึง 8-2 จนทำให้ บาร์ซ่า ต้องทำการสังคายนาเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่เลยทีเดียว

หนึ่งในไฮไลท์ก่อนเกมในวันนี้คือการที่หลายคนจับตามองมาที่ เนย์มาร์ จูเนียร์ ซุเปอร์สตาร์ค่าตัวแพงที่สุดในโลก ว่าจะสามารถพิสูจน์ตัวเองว่าเขาจะสามารถแบกทีมและก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับหัวแถวของโลกเหมือนที่ เมสซี และ โรนัลโด้ แสดงให้เห็นจนเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่

ซึ่งต้องบอกว่าผลงานในเกมนี้ของเขาอาจจะน่าผิดหวังเล็ก ๆ สำหรับยอดแข้งชาวบราซิล ที่ไม่สามารถงัดฟอร์มเทพพาทีมขึ้นสู่จุดสูงสุดตามที่หลายคนคาดหวังได้ แน่นอนว่าเรื่องฝีเท้ามันค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วว่าเจ้าตัวไม่ธรรมดา แต่การย้ายมาเล่นให้กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง นั่นก็เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาก็สามารถขึ้นเป็นเบอร์ 1 ได้ น่าเสียดายที่ในข้อนี้เจ้าตัวยังคงต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป…

บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นสมัยที่ 6 มากที่สุดเป็นอันดับ 3 เทียบเท่ากับ ลิเวอร์พูล โดยเป็นรองเพียง เอซี มิลาน (7 สมัย) และ เรอัล มาดริด (13 สมัย) เท่านั้น

เกมนี้เป็นนัดแรกจาก 35 เกมหลังสุดในฟุตบอลยุโรปที่ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยิ่งประตูคู่แข่งไม่ได้ ซึ่งนัดล่าสุดที่พวกเขาจบด้วยเกมศูนย์ต้องย้อนกลับไปในปี 2016 ที่พ่ายให้กับ แมนฯ ซิตี้ 0-1

บาเยิร์น เป็นทีมแรกที่ทำสถิติเอาชนะคู่แข่งใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ทุกเกมตั้งแต่นัดแรกจนสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ นอกจากนี้พวกเขายังทำสถิติชนะติดต่อกันถึง 11 นัดเป็นทีมแรกในประประวัติศาสตร์ถ้วยใบนี้อีกด้วย

7 ครั้งหลังสุดที่มีสโมสรที่เคยเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในรายการนี้เป็นครั้งแรกนั้น ไม่มีทีมที่เคยเข้ามาปีแรกคว้าแชมป์ได้เลยนับตั้งแต่ปี 1997 ที่ ดอร์ทมุนด์ ทำได้เป็นทีมล่าสุด

ฮันส์ ดีเทอร์ ฟลิค เป็นกุนซือที่อายุมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ที่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้ รองจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน 66 ปี (แมนฯ ยูไนเต็ด) จุ๊ปป์ ไฮย์เกส 68 ปี (บาเยิร์น มิวนิค) และ เรย์มอนด์ โกธัลส์ 71 (มาร์กเซย)

เสือใต้ เป็นทีมที่ 3 ในประวัติศาสตร์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ยิงประตูในรายการนี้ได้ถึง 500 ลูก ต่อจาก บาร์เซโลนา (517 ประตู) และ เรอัล มาดริด (567 ประตู)

คิงสลีย์ โกม็อง เป็นนักเตะฝรั่งเศสคนที่ 5 ที่สามารถทำประตูในรอบชิงชนะเลิศรายการนี้ได้ต่อจาก เบนเซมา (2018) ซีดาน (2002) เดอไซญี (1994) และ โบลี (1993)

เคย์เลอร์ นาบาส เป็นผู้รักษาประตูคนที่ 3 ที่เคยลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศรายการนี้ให้กับ 2 สโมสร ต่อจาก ฮัน จอร์ก บุตต์ (บาเยิร์น-เลเวอร์คูเซน) และ เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ (อาร์แจ็กซ์-แมนฯ ยูไนเต็ด)

ติอาโก้ ซิลวา เป็นนักเตะบราซิลคนแรกที่ลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฐานะกัปตันทีม