เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลังเกม คาราบาว คัพ รอบที่ 3 ฮาเวิร์ตซ์ แฮททริกพา สิงห์บลู คืนฟอร์มเก่ง

Kai Havertz, Tammy Abraham
Chelsea v Barnsley – Carabao Cup Third Round | Pool/Getty Images

การแข่งขัน : ฟุตบอล คาราบาว คัพ รอบที่ 3
วันแข่งขัน : คืนวันพุธที่ 23 กันยายน 2020
เวลาแข่งขัน : 01.45 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : เชลซี 6-0 บาร์นสลีย์
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

เชลซี คืนฟอร์มเก่งอัด บาร์นสลีย์ ยับ 6-0 โดยได้ประตูจาก แทมมี อับราฮัม นาทีที่ 19 แฮททริกของ ไค ฮาเวิร์ตซ์ นาทีที่ 28, 55, 65 รอสส์ บาร์คลีย์ นาทีที่ 49 และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ นาทีที่ 83 ทำให้จบเกม สิงโตน้ำเงินคราม ผ่านเข้าสู่รอบที่ 4 ในศึก คาราบาว คัพ ต่อไป

เริ่มเกมในครึ่งเวลาแรก ช่วงต้นเกมเป็นเจ้าบ้านที่ครองบอลได้เหนือกว่า และได้โอกาสทักทายก่อนตั้งแต่นาทีแรกจากลูกยิงจ่อ ๆ ของ โอดอย แต่ยังไปติดเซฟของผู้รักษาประตู

หลังจากผ่าน 10 นาทีแรก ทีมเยือนเริ่มครองเกมบุกได้มากขึ้นและมีโอกาสลุ้นจบสกอร์อยู่บ้าง ซึ่งทำให้ กาบาเยโร ต้องออกแรงเซฟไปหลายครั้ง

แต่แล้วนาทีที่ 19 เชลซี มาได้ประตูออกนำจากจังหวะที่ผู้มาเยือนจ่ายคืนหลังพลาดโดน อับราฮัม ฉกบอลไปได้ก่อนจะยิงเข้าไป

จากนั้นเจ้าถิ่นเกือบมาได้ประตูที่สองในช่วงนาทีที่ 25 จากจังหวะหลุดเข้าเขตโทษของ เมานท์ แต่เจ้าตัวกลับยิงหลุดเสาออกไปอย่างน่าเสียดาย

กระทั่งนาทีที่ 29 สิงห์บลู นำห่าง 2-0 จากจังหวะ เมสัน เมานท์ จ่ายเข้าเขตโทษให้ อับราฮัม ข้ามหลอก บอลหลุดไปถึง ฮาเวิร์ตซ์ ยิงจ่อ ๆ เข้าไป

นาทีที่ 32 ผู้มาเยือนได้โอกาสลุ้นตีไข่แตก 2 ครั้งติดแต่ยังคงไปติดเซฟของ กาบาเยโร ทั้งหมด

ท้ายครึ่งแรก ทีมเยือนได้โอกาสยิงจ่อ ๆ ในกรอบเขตโทษ และก็เป็นอีกครั้งที่ กาบาเยโร ยังเซฟช่วยทีมไว้ได้

จนทำให้จบ 45 นาทีแรก เชลซี ออกนำ บาร์นสลีย์ 2-0

เริ่มเกมในครึ่งเวลาหลังได้เพียง 4 นาที เจ้าถิ่นมาได้ประตูที่ 3 จากจังหวะตัดบอลหน้ากรอบเขตโทษและเป็น บาร์คลีย์ ที่ซัดโล่ง ๆ เข้าไป

นาทีที่ 55 เจ้าบ้านออกนำ 4-0 จากจังหวะที่ เมานท์ ไปแย่งบอลมาได้ก่อนตบเข้าเขตโทษให้ อับราฮัม จ่ายต่อให้ ฮาเวิร์ตซ์ ยิงเข้าไป

นาทีที่ 65 เชลซี มาได้ลูกที่ 5 จากจังหวะหลุดเดี่ยวของ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ที่เเตะหลบผู้รักษาประตูก่อนยิงโล่ง ๆ เข้าไปเป็นแฮททริกของเขาในเกมวันนี้

จากนั้นเจ้าบ้านเกือบได้ประตูที่หกอีกหลายครั้งจากลูกยิงโล่ง ๆ ของ บาร์คลีย์ ที่พลาดหลุดเสาออกไป และจังหวะใช้ความสามารถเฉพาะตัวของ เมานท์ ก่อนปั่นด้วยซ้ายแต่ยังไปติดเซฟของผู้รักษาประตูทีมเยือน

นาทีที่ 83 เจ้าถิ่นออกนำ 6-0 ได้สำเร็จจากจังหวะเปิดของ เบน ชิลเวลล์ มาให้ ชิรูด์ โขกจ่อ ๆ เข้าไป

ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีฝ่ายใดยิงประตูเพิ่มได้ จบเกม เชลซี ถล่ม บาร์นสลีย์ ยับ 6-0 ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ

คะแนนนักเตะ เชลซี

เชลซี: กาบาเยโร(7.5), อัซปิลิกวยต้า(7), โทโมรี(7), ซิลวา(7), เอเมอร์สัน(7.5), บาร์คลีย์(8), เมานท์(7.5), โควาชิช(7), โอดอย(6.5), ฮาแวร์ตซ์(8.5), อับราฮัม(8)

ตัวสำรอง: ซูมา(7), ชิลเวลล์(7.5), ชิรูด์(7.5)

คีย์แมน – ไค ฮาเวิร์ตซ์

วันนี้ตัวรุกชาวเยอรมันค่าตัวสถิติสโมสรรายนี้ ถูกจับลงไปเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก ซึ่งแตกต่างกับ 2 นัดแรกที่ถูกจับไปเล่นเป็นปีกและกองหน้าตัวเป้า โดยตลอดเวลา 65 นาทีที่อยู่ในสนามอันที่จริงบทบาทในการสร้างสรรค์เกมของเขาก็ยังคงทำได้ไม่โดดเด่นนัก แต่สิ่งหนึ่งที่แสดงออกมาให้เห็นในเกมนี้ก็คือความเฉียบขาดในการจบสกอร์รวมถึงการเคลื่อนที่ในยามที่ไม่มีบอล จนที่เป็นที่มาของ 3 ประตูในนัดนี้และเป็นนับเป็นแฮททริกแรกในการค้าแข้งของเจ้าตัวอีกด้วย

ประเด็นหลังเกม

ประเดิมสนาม 2 นักเตะใหม่
เกมนี้แข้งใหม่อีก 2 รายของ สิงโตน้ำเงินคราม ได้รับโอกาสให้ลงสนามกับทีมเป็นนัดแรกเรียบร้อยทั้ง ติอาโก ซิลวา ที่ถูกส่งลงเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงและถูกเปลี่ยนตัวออกไปในนาทีที่ 60 โดยฟอร์มของอดีตแข้ง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง รายนี้ ดูจะยังไม่เข้าที่นัก ยังมีจังหวะสะกัดพลาด จ่ายบอลพลาดให้เห็นอยู่ คาดว่าคงจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกสักพัก ส่วนอีกรายหนึ่งคือ เบน ชิลเวลล์ แบ็คซ็ายค่าตัวแพงที่ถูกส่งลงมาในช่วงนาทีที่ 65 ซึ่งอาจจะยังบอกอะไรได้ไม่มากนักแต่เจ้าตัวก็สามารถทำได้ 1 แอสซิสต์จากการเปิดแบบเออร์ลีครอสส์จากริมเส้นฝั่งซ้ายเข้าหัว ชิรูด์ แบบพอดีเป๊ะเป็นประตูปิดท้ายให้กับทีมเอาชนะไปได้อย่างขาดลอย 6-0 นั่นเอง

Ben Chilwell

เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลัง ผีแดง ลิ่ว คาราบาว คัพ

Marcus Rashford
Luton Town v Manchester United – Carabao Cup Third Round | Pool/Getty Images

การแข่งขัน : ฟุตบอล คาราบาว คัพ รอบที่ 3
วันแข่งขัน : คืนวันอังคารที่ 22 กันยายน 2020
ผลการแข่งขัน : ลูตัน ทาวน์ 0-3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สนาม : เคนิลเวิร์ธ โร้ด

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กรุยทางผ่าน คาราบาว คัพ รอบที่ 3 กับชัยชนะเหนือ ลูตัน ทาวน์ 3-0 จากลูกจุดโทษของ ฆวน มาต้า ในครึ่งเวลาแรกและประตูจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ เมสัน กรีนวูด ในช่วงท้ายเกม

ปีศาจแดง กับทีมชุดผสมเบิกร่องได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 44 เมื่อ แบรนดอน วิลเลียมส์ เก็บตกจังหวะ 2 ได้ในกรอบเขตโทษก่อนถูกผู้เล่นของเจ้าถิ่นเบียดล้มลงจากด้านหลัง ผู้ตัดสินชี้ให้เป็นลูกจุดโทษทันทีและ มาต้า รับหน้าที่สังหารไม่พลาด

แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องรอจนกระทั่งนาทีที่ 88 จึงมาได้ประตู 2-0 จากจังหวะสวนกลับเร็วโดยการประสานงานกันของ 3 ตัวสำรอง บรูโน แฟร์นันด์ส กระดกให้ กรีนวูด ก่อนแตะให้ แรชฟอร์ด รับช่วงต่อกระชากไปล่อเป้า เจมส์ เชีย เหน่งๆ ก่อนที่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 2 กรีนวูด จะได้กระชากจากริมเส้นฝั่งขวาเลี้ยงจี้เข้าไปในกรอบเขตโทษ สับขาหลอกหนึ่งจังหวะและซัดเลียดด้วยซ้ายบอลไปซุกที่ก้นตาข่ายเสาไกลเป็นประตู 3-0

ทั้งนี้ ผลจากชัยชนะดังกล่าวของ ผีแดง ทำให้พวกเขาเข้าไปรอในรอบที่ 4 โดยจะบุกไปเยือนผู้ชนะในคู่ระหว่าง เปรสตัน นอร์ธ เอ็นด์ กับ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน

11 ผู้เล่นตัวจริง : เฮนเดอร์สัน (8); วาน-บิสซาก้า (5), ไบยี (7), แม็คไกวร์ (6), วิลเลียมส์ (6); เฟร็ด (6), มาติช (7), ฟาน เดอ เบค (6); มาต้า (6), อิกาโล (5), ลินการ์ด (7)

ตัวสำรอง : บรูโน (7), แรชฟอร์ด (7), กรีนวูด (7)

นายทวารชาว อังกฤษ​วัย 23 ปีลงสนามเป็นเกมเดบิวท์ให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ให้หลัง 9 ปีนับตั้งแต่เซ็นสัญญาร่วมฝึกวิชาลูกหนังกับอคาเดมีของ ปีศาจแดง สามารถรักษาคลีนชีทให้กับทีมสำเร็จรวมทั้งยังงัดเซฟมหัศจรรย์ป้องกันโอกาสของเจ้าถิ่นในระยะเผาขนปฎิเสธประตูตีเสมอเอาไว้ได้ในช่วงท้ายเกม

เจ้าตัวแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตลอดทั้ง 90 นาทีและเชื่อเหลือเกินว่าจะได้รับโอกาสเบียด ดาบิด เด เคอา ก้าวขึ้นมาเป็นมือหนึ่งให้กับ เร้ดเดวิลส์ ในอนาคตหากเขายังสามารถรักษามาตรฐานเอาไว้ได้

โอเล กุนนาร์ โซลชา จัดทัพในชุดผสมโดยมี ดอนนี ฟาน เดอ เบค ปักหลักเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกขับเคลื่อนเกมที่แดนกลาง ขณะที่ เฟร็ด กับ เนมานยา มาติช คอยคัดท้าย

บทบาทดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของมิดฟิลด์ชาว ดัตช์ ได้อีกครั้งด้วยการสร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมจากวิสัยทัศน์และการตัดสินใจชั่วเสี้ยววินาที หลายครั้งที่การสะกิดบอลเปลี่ยนทางตั้งแต่จังหวะแรกทำให้เพื่อนร่วมทีมได้เปรียบจนเกือบจะได้แอสซิสต์โดยเฉพาะการผ่านให้ ฆวน มาต้า พยายามยิงประตู

อย่างไรก็ตาม ความเด็ดขาดในแดนหน้าเมื่อมี ลินการ์ด และ โอเดียน อิกาโล ยืนอยู่ด้านหน้า DvB ทำให้ทีมไม่เฉียบคมมากพอที่จะทำให้เกมขาดตั้งแต่ช่วงต้นจนต้องมาลุ้นเหนื่อยในช่วงท้ายเกม ขณะที่ตัวสำรองที่ถูกเปลี่ยนลงมาอย่าง บรูโน แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เมสัน กรีนวูด ก็แสดงให้เห็นถึงคลาสของพวกเขาโดยทั้ง 3 คนมีส่วนกับประตู 2-0 ที่จบสกอร์โดย แรชฟอร์ด ขณะที่ กรีนวูด เองก็เป็นคนยิงตอกฝาโลงในช่วงท้ายเกม

OFFICIAL ! อาร์เซนอล เปิดตัว รูนาร์ อเล็กซ์ รูนาร์สสัน นายทวารจาก ดีฌง อย่างเป็นทางการ

Runar Alex Runarsson
Paris Saint-Germain v Dijon FCO – Ligue 1 | Jean Catuffe/Getty Images

สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล แห่งศึก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ บรรลุข้อตกลงคว้าตัว รูนาร์ อเล็กซ์ รูนาร์สสัน ผู้รักษาประตูทีมชาติ ไอซ์แลนด์ วัย 25 ปีจาก ดีฌง ใน ลีกเอิง ฝรั่งเศส อย่างเป็นทางการด้วยมูลค่าราว 1.5 ล้านปอนด์ภายใต้สัญญายาว 4 ปี

มือกาววัย 25 ปีเดินเข้าสู่ชายคา เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ในฐานะนายทวารรองของทีมเมื่อ ปืนใหญ่ มี แบร์นด์ เลโน รั้งตำแหน่งผู้รักษาประตูหมายเลข 1 หลังจากพวกเขาเพิ่งปล่อยตัว เอมิเลียโน มาร์ติเนซ ซบตัก แอสตัน วิลลา ไปเรียบร้อยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

“ผมมีความสุขและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นวันที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมและครอบครัว” รูนาร์สสัน กล่าวในการให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการผ่านเว็บไซต์ของสโมสร “ผมเข้าใจดีว่ามีงานหนักรออยู่ข้างหน้าแต่ผมก็พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อโอกาสในการลงสนามให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

ขณะที่ มิเคล อาร์เตต้า กุนซือ เดอะ กันเนอร์ส กล่าวว่า “พวกเราต้องการที่จะสร้างบรรยากาศในการแย่งตำแหน่งตัวจริงและเราหวังว่าการคว้าตัว อเล็กซ์ มาร่วมทัพจะทำให้เรามีทรัพยากรที่แข็งแกร่งในตำแหน่งผู้รักษาประตู”

ชำแหละทุกประเด็นร้อนหลังศึก พรีเมียร์ลีก ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์

Sadio Mane, Roberto Firminho, Trent Alexander-Arnold
Chelsea v Liverpool – Premier League | Michael Regan/Getty Images

การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2020/21
วันแข่งขัน : วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2020
ผลการแข่งขัน : เชลซี 0-2 ลิเวอร์พูล
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

ติอาโก้ อัลคันทารา ประเดิมมีชื่อบนม้านั่งสำรองในทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในเกมที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทันทีแม้จะเพิ่งย้ายมาจาก บาเยิร์น มิวนิค ได้เพียงไม่กี่วัน ก่อนที่เจ้าตัวจะถูกส่งลงสนามเมื่อจบพักครึ่งแทนที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมที่มีอาการบาดเจ็บ

แม้จำนวนตัวผู้เล่นของ หงส์แดง ที่มากกว่าอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ขับจุดเด่นของ ติอาโก้ ในแดนกลางให้เห็นได้เด่นชัดยิ่งขึ้นแต่ไม่อาจปฎิเสธได้เลยว่าคลาสของมิดฟิลด์ทีมชาติ สเปน ได้สร้างความแตกต่างให้กับทีมทันตา บอลจากเท้าของ ติอาโก้ ในแนวลึกทำให้ผู้เล่นในแดนบนสบโอกาสวิ่งหาพื้นที่เข้าทำได้อย่างต่อเนื่อง

โดยสถิติเมื่อจบเกม ติอาโก้ ยังกลายเป็นนักเตะที่ผ่านบอลสำเร็จได้เหนือกว่าแข้ง เดอะบลูส์ คนใดๆ รวมทั้งยังเป็นแข้งที่ผ่านบอลสำเร็จสูงสุดตลอดกาลจากการลงเล่นเพียง 45 นาที นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกสถิติในซีซัน 2003/04 เป็นต้นมา

ต่อเนื่องจากประเด็นข้างต้น การเปลี่ยนตัวตำแหน่งต่อตำแหน่งระหว่าง เฮนเดอร์สัน กับ ติอาโก้ ในบทบาทเดียวกันจึงทำให้เราอดคาดการณ์ไม่ได้ว่าบทบาทของกัปตัน เฮนโด้ จะถูกลดลงไปหลังจากนี้เมื่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีอีกหนึ่งทรัพยากรที่มีศักยภาพมากกว่า

ชั้นเชิงและวิสัยทัศน์ของ ติอาโก้ เข้าคู่ได้เป็นอย่างดีเมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่แพ็คเกมรับลึกอย่างที่ เร้ดแมชีน ดวลกับ สิงห์บลู 10 คนในครึ่งเวลาหลัง นั่นทำให้พื้นที่แดนกลางมีช่องว่างมากพอให้กองกลาง กระทิงดุ จัดการงัดจุดเด่นของตนเองออกมาเล่นงานเกมรับของฝ่ายตรงข้าม

แต่หากพิจารณาลึกลงไป การมีอยู่ของ เฮนเดอร์สัน กับจุดเด่นในการไล่บดบี้คู่แข่งและการเล่นเกมรับอาจเหมาะสมมากกว่าเมื่อทีมต้องดวลกับคู่ต่อสู้ที่พร้อมจะเปิดเกมรุกแลก

แม้ก่อนหน้านี้จะมีคำถามถึงทางเลือกและชั้นเชิงของนักเตะในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางหลังจากที่ เดยัน ลอฟเรน ย้ายออกจากทีมจนทำให้ ลิเวอร์พูล เหลือแค่เพียง โจ โกเมซ และ โจเอล มาติป เป็นทางเลือกในการจับคู่กับ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ แต่เกมนี้ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่จำเป็นต้องซื้อแข้งใหม่ในตำแหน่งดังกล่าวเสริมทัพแต่อย่างใดเมื่อมีแข้งสารพัดประโยชน์อย่าง ฟาบินโญ พร้อมที่จะรับบทบาทคู่หู VvD

ดาวเตะทีมชาติ บราซิล รับบทบาทสต็อปเปอร์เข้าชนแนวรุกเป็นหน่วยแรกโดยมี ฟาน ไดค์ ประคองสถิติหลังเกมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาทำได้ดีกับบทบาทดังกล่าวด้วยตัวเลขเป็นแข้ง หงส์แดง ที่เอาชนะในการเข้าปะทะได้มากกที่สุด 4 ครั้งจากความพยายามทั้งหมด 7 ครั้ง รวมทั้งยังสามารถตัดบอลได้มากที่สุดในสนามที่จำนวน 4 ครั้ง

วันนี้เป็นอีกหนึ่งนัดสำหรับเกมรุกริมเส้นที่เคยเป็นทีเด็ดของ สิงโตน้ำเงินคราม มาตลอดในช่วงซีซั่นที่ผ่านมา กลับเงียบสนิทตลอด 90 นาที นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แม้ในครึ่งแรกตัวผู้เล่นจะยังเท่าเทียมกัน แต่พวกเขาแทบจะหาโอกาสเข้าทำและจบสกอร์ไม่ได้เลย ซึ่ง 2 นัดที่ผ่านมา แฟรงค์ แลมพาร์ด เลือกใช้ ไค ฮาเวิร์ตซ์ เมสัน เมานท์ และ ติโม แวร์เนอร์ เป็น 3 ประสานในเกมรุกและผลัดกันไปเล่นเป็นตัวริมริมเส้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายังไม่สามารถตอบโจทย์เหมือนสมัยที่ยังเป็น พูลิซิช และ วิลเลียน ยืนประจำการได้

ตั้งแต่ที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด เข้ามาคุมทีม นายใหญ่ตำนานสโมสรรายนี้ยังคงยืนยันว่าจะใช้งาน เอ็นโกโล ก็องเต้ ในฐานะ Box to Box มิดฟิลด์ ซึ่งนั่นหมายความว่า ก็องเต้ จะต้องมีส่วนร่วมกับการเล่นเกมรุก และจนถึงตอนนี้เขาก็พิสูจน์ให้เห็นไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า ความขยันและพละกำลังการวิ่งไล่ไม่มีหมดของเขานั้น มันไม่สามารถตอบโจทย์ในการสร้างสรรค์เกมบุกให้กับทีมได้ บ่อยครั้งที่วันนี้เขามีโอกาสที่ดีในการทำเกมในแดนหน้า แต่ก็ติด ๆ ขัด ๆ ทำพลาดไปเสียหมด ในขณะที่เกมรับเจ้าตัวกลับโดดเด่นในการไล่กวดสร้างความปั่นป่วนให้แนวรุกของ ลิเวอร์พูล ได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยตลอด 90 นาทีในเกมวันนี้

เป็นอีกหนึ่งเกมที่จุดอ่อนของนายทวารเลือดกระทิงดุรายนี้ ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทีม นั่นคือ “การเล่นบอลด้วยเท้า” ที่ตลอด 2 ฤดูกาลที่ผ่านมาเรามักจะเห็นได้ถึงความผิดพลาดบ่อย ๆ เมื่อเจ้าตัวต้องใช้ขาเล่นกับบอล ซึ่งมันขัดกับแนวทางการเล่นของทีมอย่างชัดเจน ที่ต้องการเซ็ตเกมบุกจากหน้าปากประตู แต่กลับมีผู้รักษาประตูที่ไม่สามารถเอาแน่เอานอนในการออกบอลแบบนี้ นี่ยังไม่นับฟอร์มการเซฟที่ดร็อปลงไปจนถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าสวนทางกับค่าตัว

ดังนั้นหาก แลมพาร์ด ยังต้องคงยืนยันที่จะใช้การเซ็ตเกมจากแดนตัวเองขึ้นมา อาจจะถึงเวลาที่ต้องมองหาผู้รักษาประตูที่ถนัดเล่นบอลกับพื้นมากกว่านี้ เหมือนที่ แมนฯ ซิตี้ จัดการคว้าตัว เอแดร์ซอน มาเล่นเป็นนายทวารแบบ “สวีปเปอร์” นั่นเอง

เก็บตก ประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก ปีศาจแดง พ่ายคาบ้านเมื่อคืนที่ผ่านมา

Paul Pogba, Ole Gunnar Solskjaer, Donny Van De Beek
Manchester United v Crystal Palace – Premier League | Richard Heathcote/Getty Images

การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2020/21
วันแข่งขัน : วันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2020
เวลาแข่งขัน : 23.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-3 คริสตัล พาเลซ
สนาม : โอลด์ แทรฟฟอร์ด

เกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายครองบอลได้มากถึง 76% แต่ความอันตรายในเกมรุกต้องบอกตรง ๆ เลยว่าเทียบไม่ติดกับทางด้านผู้มาเยือนเลยแม้แต่น้อย เพราะพลพรรคปีศาจแดงในเกมนี้ แทบไม่มีโอกาสเจาะเข้าถึงพื้นที่อันตรายของของ คริสตัล พาเลซ ได้ ส่วนใหญ่โอกาสยิงจะมาจากลูกยิงไกลนอกกรอบเสียมากกว่า ในขณะที่ทีมเยือนบุกขึ้นมาแต่ละทีได้เสียวแทบทุกรอบ แถมบรรดาแข้งเกมรุกของ พาเลซ กลับทำผลงานได้โดดเด่นสามารถเล่นงานแนวรับของเจ้าบ้านจนวิ่งวุ่นกันไปหมด

ซึ่งข้อแตกต่างตรงนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่นำมาสู่ความพ่ายแพ้ในค่ำคืนอันเจ็บปวดตั้งแต่สัปดาห์แรกของ พรีเมียร์ลีก สำหรับแฟน ๆ เร้ด เดวิลส์ นั่นเอง

ไม่เพียงแต่เกมรุกที่ทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานในเกมนี้ แต่เกมรับก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน ตั้งแต่แผงกองกลางที่ไม่สามารถช่วยสกรีนไปยันแบ็คโฟร์ที่ถูก 4 ประสานเกมรุกริมเส้นทั้ง เจฟฟรีย์ ชลุปป์ ที่ฟอร์มโดดเด่นมาก ๆ บริเวณริมเส้นฝั่งซ้าย จอร์แดน อายิว และ วิลฟรีด ซาฮา ที่ค่อยเลี้ยงจี้ปั่นป่วนได้ดีในกรอบเขตโทษ รวมถึง อันดรอส ทาวน์เซนด์ ที่สอดหาพื้นที่ได้เหมาะเจาะรวมถึงมีความเฉียบขาดในการจบสกอร์ ที่สำคัญจุดเด่นของทั้ง 4 คนนี้คือมีทั้งความเร็วและไปกับบอลได้ดี จนทั้ง โฟซู เมนซาห์ ลุค ชอว์ แม็คไกวร์ และที่สำคัญ วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ โดนเล่นงานอย่างหนัก จังหวะดวล 1-1 เป็นหลุด ๆ แทบจะตลอด 90 นาทีในเกมวันนี้เลยทีเดียว

อีกหนึ่งจุดที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ แผนการเล่นของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ที่เหมือนจะวางหมากมาผิดพลาดและเห็นได้ชัดตั้งแต่ 10 นาทีแรกที่ทีมเสียประตู แม้หลังจากนั้นพวกเขาจะสามารถพับสนามบุกได้ แต่ก็แทบจะเจาะเข้าพื้นที่อันตรายของ พาเลซ ไม่ได้เลย ซึ่งแทนที่ช่วงครึ่งหลังจะมีแผนการหรือแทคติกใหม่ ๆ เข้ามาสร้างสรรค์เกม แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าพวกเขายังคงเล่นแบบเดิม เคาะบอลวนไปวนมารอบเขตโทษและก็จบด้วยการเสียบอล ส่วนการเปลี่ยนตัวก็เป็นการเปลี่ยนตามตำแหน่งและอาศัยความสามารถเฉพาะตัวในการเข้าทำ ซึ่งกว่าจะส่งหัวหอกอีกคงลงมาก็ปาเข้าไปนาทีที่ 80 และก็เป็นอย่างที่เห็นว่าขณะนั้นอะไร ๆ มันสายเกินแก้เสียแล้ว…

ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมเป็นต้นมา เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ แฟน ๆ ปีศาจแดง ได้ลืมตาอ้าปากกันขึ้นมาบ้างจากผลงานที่ดีขึ้นผิดหูผิดตาหลังจากการมาของ บรูโน เฟอร์นันเดส กระทั่งช่วงท้ายฤดูกาลที่ฟอร์มของทีมค่อย ๆ แผ่วลง ๆ กระทั่่งทยอยตกรอบในฟุตบอลถ้วยทีละรายการ ๆ แต่สุดท้ายพวกเขาก็คว้าอันดับ 3 มาครองในลีกได้สำเร็จ

แต่หากนับฟอร์ม 3 เกมล่าสุด ทัพเร้ดเดวิลส์ แพ้คู่แข่งรวด 3 นัดติด ตั้งแต่เกมกับ เซบีญา แอสตัน วิลลา และ เกมกับ พาเลซ เมื่อคืนนี้ โดยเฉพาะ 2 เกมหลังที่ฟอร์มค่อนข้างออกทะเลเหมือนช่วงต้นฤดูกาลก่อนไม่มีผิด มันจึงอดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่า หรือว่าทีมจะผ่านจุดพีคที่สุดมาแล้วและเตรียมจะดำดิ่งสู่ยุคมึดอย่างที่เคยเป็นมาอีกครั้ง ?

เอามาก็ไม่ใช้ ! อดีตดาวยิงไนจีเรียเคือง โซลชา ดอง อิกาโล ข้างสนาม

Odion Ighalo
Manchester United v LASK – UEFA Europa League Round of 16: Second Leg | Michael Regan/Getty Images

อดีตกองหน้าทีมชาติไนจีเรีย วิคเตอร์ อีเซจี กล่าวว่าเขาไม่ค่อยพอใจ โอเล กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรในศึก พรีเมียร์ลีก ซักเท่าไหร่นักหลังจากที่ไม่ค่อยใช้งาน โอเดียน อิกาโล เท่าที่ควรในช่วงหลัง ตามรายงานจาก goal.com

ทีม ปีศาจแดง จัดการยืมตัว อิกาโล มาจากทีมใน ไชนีส ซุเปอร์ลีก เมื่อช่วงเดือนมกราคม และเจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม แต่กลับไม่ได้รับโอกาสในการลงสนามเหมือนเดิมหลังจากที่ฟุตบอลอังกฤษกลับมารีสตาร์ทกันอีกครั้งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

อีเซจี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “โค้ชทุกคนเชื่อในนักเตะ 11 ตัวจริงของพวกเขา ซึ่งเรื่องนี้มันก็แฟร์มาก ๆ กับ อิกาโล สถานการณ์โรคโควิดไม่ได้ช่วยเขาเลย เพราะหากไม่มีโรคระบาดนี้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็จะไม่ได้ลงสนามจนจบฤดูกาลเนื่องด้วยอาการบาดเจ็บ”

“และเมื่อ แรชฟอร์ด หายเจ็บกลับมา และเป็นเพราะ โซลชา เชื่อในตัวของเขา เขาจึงได้กลับคืนสู่ทีม จากนั้นคุณก็ได้เห็น มาร์กซิยาล ยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ กรีนวู้ด ซึ่งไม่มีทางเลยที่ โอเล จะดร็อปใครซักคนเพื่อ อิกาโล”

“มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนักที่เมื่อนักเตะได้รับการขยายสัญญาไปแล้วแต่คุณกลับไม่ส่งเขาลงเล่นให้มากกว่า 20 นาทีต่อเกม มันไม่ได้เป็นการช่วยทำให้มีกำลังใจเลย แต่กลับทำให้ผู้เล่นสูญเสียความมั่นใจทั้งหมดที่เขาอุตส่าห์สร้างมา”

เชลซี พบ ลิเวอร์พูล : พรีวิวพรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด

Chelsea vs Liverpool : Premier League 2020/21
Chelsea vs Liverpool : Premier League 2020/21

ข้อมูลการแข่งขัน

การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2020/21
วันแข่งขัน : วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2020
เวลาแข่งขัน : 22.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่ง : เชลซี พบ ลิเวอร์พูล
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์
ถ่ายทอดสด : True Premier Football HD 1, True ID, PPTV

ความพร้อมของทั้งสองทีม

เชลซี

สิงโตน้ำเงินคราม เปิดฤดูกาลด้วย 3 คะแนนจากการบุกไปเยือน ไบรท์ตัน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่ต้องบอกว่าฟอร์มของพวกเขายังดูไม่ดีเอาเสียเลย เหมือนกับว่าเหล่าบรรดานักเตะใหม่อาจยังต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกสักพักใหญ่เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามสุดสัปดาห์นี้พวกเขาต้องพบศึกหนักด้วยการเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของแชมป์เก่า ลิเวอร์พูล ที่คว้า 3 คะแนนมาได้อย่างหืดจับเช่นเดียวกัน ต้องมาลุ้นกันว่า แฟรงค์ แลมพาร์ด จะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องในเกมรุกที่เดิมทีเคยเป็นจุดเด่นของพวกเขาในฤดูกาลก่อนให้กลับมาดุดันได้เหมือนเดิมหรือไม่ในเกมวันอาทิตย์นี้

สภาพทีมก่อนลงทำการแข่งขัน จะยังคงไม่สามารถเรียกใช้นักเตะตัวหลักอย่าง บิลลี กิลมอร์ และ ฮาคิม ซิเยค ในเกมนี้ได้อย่างแน่นอนแล้ว ส่วน เบน ชิลเวลล์ ติอาโก้ ซิลวา และ จอร์จินโญ ยังต้องรอดูความพร้อมก่อนเกมอีกครั้ง

คาดการณ์ 11 ผู้เล่นตัวจริง
ผู้รักษาประตู – เคปา
กองกลัง – เจมส์, รือดิเกอร์, ซูมา, อัซปิลิกวยต้า
กองกลาง – ก็องเต้, โควาซิช, บาร์คลีย์
กองหน้า – เมานท์, แวร์เนอร์, พูลิซิช

ลิเวอร์พูล

คว้า 3 คะแนนมาได้ในนัดแรกที่พบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ทีมน้องใหม่ซีซั่นนี้ แต่ต้องบอกเลยว่าเป็นอะไรที่หืดจับแบบสุด ๆ ด้วยสกอร์ 4-3 ชนิดที่มาได้จุดโทษช่วยชีวิตตอนท้ายเกมเลยทีเดียว โดยสุดสัปดาห์นี้ทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ มีคิวต้องบุกไปเยือนยักษ์ใหญ่อย่าง เชลซี ที่ปีนี้เสริมทัพมาได้ค่อนข้างน่ากลัว แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนสภาพทีมของเจ้าบ้านดูจะยังไม่ลงตัวนัก หาก ทัพหงส์แดง มีความเด็ดขาดมากพอ และสามารถแก้ปัญหาในเรื่องแผงหลังที่ยังไม่เข้าทีเข้าทางได้ ก็มีโอกาสคว้า 3 คะแนนกลับออกมาได้ในเกมนี้เช่นกัน

ความพร้อมก่อนเกมจะยังไม่สามารถใช้งาน อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด เชมเบอร์เลน ในเกมวันนี้ได้ เช่นเดียวกับ เซอร์ดาน ชากิรี ที่ยังต้องรอดูความฟิตก่อนเกมอีกครั้ง ส่วนในรายของ คอสตาส ซิมิคาส ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเจ้าตัวติดเชื้อ โควิด-19 และอยู่ในช่วงกักตัวนั้นคาดว่าจะเป็นอีกรายที่จะไม่มีชื่อในเกมวันนี้

คาดการณ์ 11 ผู้เล่นตัวจริง
ผู้รักษาประตู : อลิสซอน
กองหลัง : อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โกเมซ, ฟาน ไดค์, โรเบิร์ตสัน
กองกลาง : ไวนัลดุม, ฟาบินโญ, เกอิต้า
กองหน้า : ซาลาห์, ฟิร์มิโน, มาเน

ผลงาน 5 นัดหลังสุดของทั้ง 2 ทีม

เชลซี – ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 2
15/09/20 พรีเมียร์ลีก – ไบรท์ตัน 1-3 เชลซี
29/08/20 กระชับมิตร – ไบรท์ตัน 1-1 เชลซี
09/08/20 แชมเปี้ยนส์ลีก – บาเยิร์น 4-1 เชลซี
01/08/20 เอฟเอ คัพ – อาร์เซนอล 2-1 เชลซี
26/07/20 พรีเมียร์ลีก – เชลซี 2-0 วูล์ฟส์

ลิเวอร์พูล – ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 1
13/09/20 พรีเมียร์ลีก – ลิเวอร์พูล 4-3 ลีดส์
05/09/20 กระชับมิตร – ลิเวอร์พูล 7-2 แบล็คพูล
29/08/20 คอมมูนิตี้ ชิลด์ – อาร์เซนอล 1-1 (5-4) ลิเวอร์พูล
25/08/20 กระชับมิตร – ซัลซ์บวร์ก 2-2 ลิเวอร์พูล
22/08/20 กระชับมิตร – ลิเวอร์พูล 3-0 สตุ๊ตการ์ท

เฮดทูเฮท – ลิเวอร์พูล ชนะ 4 เสมอ 0 เชลซี ชนะ 1
23/07/20 พรีเมียร์ลีก – ลิเวอร์พูล 5-3 เชลซี
04/03/20 เอฟเอ คัพ – เชลซี 2-0 ลิเวอร์พูล
22/09/19 พรีเมียร์ลีก – เชลซี 1-2 ลิเวอร์พูล
15/08/19 ยูฟ่า ซุเปอร์คัพ – ลิเวอร์พูล 3-2 เชลซี
14/04/19 พรีเมียร์ลีก – ลิเวอร์พูล 2-0 เชลซี

อาร์เซนอล พบ เวสต์แฮม : พรีวิว พรีเมียร์ลีก, วัน+เวลาการแข่งขัน, ถ่ายทอดสด

Arsenal vs West Ham United : Premier League 2020/21
Arsenal vs West Ham United : Premier League 2020/21

ข้อมูลการแข่งขัน

การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2020/21
วันแข่งขัน : คืนวันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2020
เวลาแข่งขัน : 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่ง : อาร์เซนอล พบ เวสต์แฮม
สนาม : เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
ถ่ายทอดสด : True Premier Football HD 1

ความพร้อมของทั้งสองทีม

อาร์เซนอล
เปิดหัวฤดูกาลใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยมสำหรับทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ที่สามารถบุกอัดน้องใหม่อย่าง ฟูแลม ไปได้ขาดลอยถึง 0-3 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเกมนัดต่อไปของ พลพรรคปืนใหญ่ ยังคงเป็นการทำศึกลอนดอนดาร์บี้ ด้วยการเปิดรัง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ต้อนรับการมาเยือนของ เวสต์แฮม ที่ในนัดแรกพวกเขาแพ้ค้าบ้านต่อ นิวคาสเซิล ไปถึง 0-2 แต่อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อเกมดาร์บี้แมทช์ย่อมดุเดือดเป็นธรรมดา เพราะงั้นต้องมาลุนกันว่าเหล่าแข้ง เดอะกันเนอร์ส จะยังสามารถรักษาฟอร์มเก่งเหมือนนัดก่อนเอาไว้ได้หรือไม่ในเกมนี้

ความพร้อมก่อนลงแข่ง อาร์เซนอล จะยังมีปัญหานักเตะบาดเจ็บอยู่หลายรายโดยเฉพาะกองหลังทั้ง ปาโบล มารี คัลลัม แชมเบอร์ส ชโคดราน มุสตาฟี ดาวิด ลุยซ์ และ โซคราติส เช่นเดียวกับหัวหอกดาวรุ่งอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี ที่จะลงสนามช่วยทีมในนัดนี้ไม่ได้แน่นอนแล้วเช่นกัน

คาดการณ์ 11 ผู้เล่นตัวจริง

ผู้รักษาประตู – เลโน

กองหลัง – โฮลดิง, กาเบรียล, เทียร์นีย์

กองกลาง – เมตแลนด์-ไนล์ส, เอลเนนี, เซบายอส, เบเยริน

กองหน้า – วิลเลียน, ลากาเซ็ตต์, โอบาเมยอง

เวสต์แฮม
ทีมของ เดวิด มอยส์ ทำผลงานได้ไม่ดีนักในเกมนัดเปิดสนามที่พ่ายคาบ้านให้กับ นิวคาสเซิล ไป 0-2 แต่อย่างไรก็ตามนัดล่าสุดพวกเขาสามารถเอาชนะ ชาร์ลตัน มาได้ 0-3 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาในศึก คาราบาวคัพ รอบที่สอง นั่นจึงอาจจะช่วยเรียกความมั่นใจของพวกเขากลับมาได้บ้าง เพราะวันเสาร์นี้ ทัพขุนค้อน มีคิวทำศึกหนักด้วยการบุกไปเยือน อาร์เซนอล ที่ฟอร์มกำลังร้อนแรงสุด ๆ คาดว่า มอยส์ จะเน้นมาตั้งรับลึกเพื่อไม่ให้เสียประตูเอาไว้ก่อนและอาศัยความเร็วของ อันโตนิโอ ในการโต้กลับในเกมนัดนี้

สภาพทีมก่อนลงทำการแข่งขัน ทีมเยือนแทบไม่มีผู้เล่นคนใดที่บาดเจ็บหรือลงสนามในเกมนี้ไม่ได้เลย โดยตัวหลักอย่าง ดีแคลน ไรซ์ จาร์รอด โบเวน อิสซา ดิยอป พร้อมลงเป็นตัวเลือกในนัดนี้ทั้งหมด

คาดการณ์ 11 ผู้เล่นตัวจริง

ผู้รักษาประตู – ฟาเบียนสกี้

กองหลัง – เฟรเดอริคส์, อ็อกบอนนา, ดิออป, เครสส์เวลล์

กองกลาง – ซูเช็ค, โนเบิล, ไรซ์, ฟอร์นัลส์, โบเวน

กองหน้า – อันโตนิโอ

ผลงาน 5 นัดหลังสุดของทั้ง 2 ทีม

อาร์เซนอล – ชนะ 5 เสมอ 0 แพ้ 0

12/09/20 พรีเมียร์ลีก – ฟูแลม 0-3 อาร์เซนอล

05/09/20 กระชับมิตร – อาร์เซนอล 4-3 คิวพีอาร์

29/08/20 คอมมูนิตี้ ชิลด์ – อาร์เซนอล 1-1(5-4) ลิเวอร์พูล

26/08/20 กระชับมิตร – เอ็มเค ดอนส์ 1-4 อาร์เซนอล

01/08/20 เอฟเอ คัพ – อาร์เซนอล 2-1 เชลซี

เวสต์แฮม – ชนะ 3 เสมอ 0 แพ้ 2

16/09/20 คาราบาวคัพ – เวสต์แฮม 3-0 ชาร์ลตัน

13/09/20 พรีเมียร์ลีก – เวสต์แฮม 0-2 นิวคาสเซิล

05/09/20 กระชับมิตร – เวสต์แฮม 1-1 บอร์นมัธ

29/08/20 กระชับมิตร – เวสต์แฮม 2-1 เบรนท์ฟอร์ด

25/08/20 กระชับมิตร – วีคอมบ์ 1-5 เวสต์แฮม

เฮดทูเฮท – อาร์เซนอล ชนะ 4 เสมอ 0 เวสต์แฮม ชนะ 1

07/03/20 พรีเมียร์ลีก – อาร์เซนอล 1-0 เวสต์แฮม

10/12/19 พรีเมียร์ลีก – เวสต์แฮม 1-3 อาร์เซนอล

12/01/19 พรีเมียร์ลีก – เวสต์แฮม 1-0 อาร์เซนอล

25/08/18 พรีเมียร์ลีก – อาร์เซนอล 3-1 เวสต์แฮม

22/04/18 พรีเมียร์ลีก – อาร์เซนอล 4-1 เวสต์แฮม

[OPINION] แข้งดาวเด่นประจำสัปดาห์ ในศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020/21

จบสิ้นลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับการแข่งขันในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2020/21 ในสัปดาห์แรกฤดูกาล ซึ่งผลการแข่งขันก็มีทั้งเป็นไปตามคาดและผิดจากความคาดหมาย เช่นเดียวเหล่าบรรดานักเตะที่มีทั้งโชว์ฟอร์มได้ดีหรือบางคนก็เล่นไม่ออก

วันนี้เราจึงอยากพาผู้อ่านทุกท่าน ย้อนกลับไปชมกันว่ามีใครกันบ้างที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นรวมถึงใครบ้างที่เล่นได้อย่างน่าผิดหวังในเกมสัปดาห์ที่ผ่านมา…

แข้งฟอร์มเด่นประจำสัปดาห์

1. วิลเลียน – อาร์เซนอล

อดีตปีกตัวเก๋าของ เชลซี ที่สัปดาห์นี้ได้ประเดิมสนามเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงให้กับต้นสังกัดใหม่ในเกมที่ อาร์เซนอล บุกอัด ฟูแลม 0-3 ซึ่งต้องบอกว่า วิลเลียน ทำได้ดีเกินคาดกับการมีส่วนร่วมกับทั้ง 3 ประตูที่ทีมทำได้ อีกทั้งสไตล์การเล่นของเจ้าตัวยังสามารถปรับให้เข้ากับแผนการเล่นของ มิเกล อาร์เตต้า ได้อย่างเนียนตา จนทำให้เกมรุกทางกราบขวาที่มีปัญหามาตลอดฤดูกาลก่อน ดูจะไหลลื่นและอันตรายขึ้นกว่าเดิมพอสมควรเลยทีเดียว

2. โมฮาเหม็ด ซาลาห์ – ลิเวอร์พูล

ดาวเตะชาวอิยิปต์ ทำแฮททริกได้ในเกมนัดเปิดสนามที่เฉือนเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 4-3 เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา แม้ว่า 2 จาก 3 ประตูที่ทำได้จะมาจากลูกจุดโทษ แต่ตลอด 90 นาทีต้องบอกเลยว่าแผงเกมรุกของ หงส์แดง วันนั้น ก็มีแต่เขานี่แหละที่ดูจะฝากฝังความหวังเอาไว้ได้ ทั้งการสร้างสรรค์โอกาสรวมถึงการขยับหาพื้นที่จบสกอร์อันยอดเยี่ยม ทำให้ ซาลาห์ ดูมีฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาแนวรุกของทีมในเกมดังกล่าว

3. รีซ เจมส์ – เชลซี

แบ็คขวาดาวรุ่งของ สิงโตน้ำเงินคราม ที่เกมกับ ไบรท์ตัน เจ้าตัวได้รับโอกาสลงเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงแทนที่ตัวหลักอย่าง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่ยังไม่ฟิตเต็มร้อย ซึ่งหนุ่มน้อยรายนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการ ยิง 1 ประตูจากลูกยิงไกลสุดสวยช่วยให้ทีมปลดล็อคเล่นได้ง่ายขึ้นหลังจากโดน ไบรท์ตัน บุกกดดันอย่างหนักตลอดช่วงต้นครึ่งหลัง แถมไม่กี่นาทีต่อจากนั้นเจ้าตัวยังทำได้อีก 1 แอสซิสต์จากลูกเตะมุมที่เปิดไปให้ ซูมา ซัดเข้าไป จนในที่สุดก็พาทีมคว้า 3 คะแนนกลับบ้านไปได้สำเร็จ

แข้งฟอร์มน่าผิดหวังประจำสัปดาห์

1. อิสซา ดิยอป – เวสต์แฮม

กองหลังชาวฝรั่งเศสของ เวสต์แฮม ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าทีมดังหลายสโมสร ต่างต้องการจะเซ็นสัญญากับเขา แต่ด้วยค่าตัวที่ทางต้นสังกัดตั้งเอาไว้สูงกว่า 50 ล้านปอนด์ จึงทำให้เจ้าตัวต้องค้าแข้งกับ ทีมขุนค้อน ต่อไป ซึ่งในเกมเปิดสนามที่แพ้ นิวคาสเซิล ไป 0-2 สโมสรที่เคยสนใจในตัวเขาอาจต้องคิดพิจารณาใหม่อีกครั้ง เนื่องจากผลงานของเขาในนัดนี้ต้องบอกว่าต่ำกว่ามาตรฐาน ทั้งการป้องกันที่แทบไม่มีจังหวะสะกัดบอลสวย ๆ หรือเอาชนะการดวลตัวต่อตัวได้เลย แถมยังมีจังหวะผิดพลาดให้เห็นหลายครั้งจนเกือบทำทีมเสียประตูในช่วงท้ายเกมอีกด้วย

2. แฮร์รี เคน – ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์

ศูนย์หน้าตัวความหวังอันดับหนึ่งของ ไก่เดือยทอง ที่ต้องบอกว่าเจ้าตัวแผลงฤทธิ์ไม่ออกเลยจริง ๆ ในเกมที่เปิดบ้านพ่ายให้กับ เอฟเวอร์ตัน 0-1 เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะโอกาสในการเล่นกับบอลที่น้อยมาก ๆ บางช่วงถึงกับหายไปจากเกมพักใหญ่ ๆ กระทั่งตลอด 90 นาทีเจ้าตัวมีโอกาสสับไกยิงแค่ 2 ครั้งและเข้ากรอบไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

3. ไค ฮาเวิร์ตซ์ – เชลซี

ดาวเตะค่าตัวร่วม 70 ล้านที่ เชลซี ยอมควักกระเป๋ากระชากตัวมาร่วมทีมจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่ง แฟรงค์ แลมพาร์ด ตัดสินใจส่งเขาลงเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงมาประจำการในตำแหน่งริมเส้นฝั่งขวา ซึ่งต้องบอกว่าแม้ทีมจะเอาชนะ ไบรท์ตัน ไปได้ 1-3 แต่ผลงานส่วนตัวของ ฮาเวิร์ตซ์ จัดว่าย่ำแย่สุด ๆ เลยก็ว่าได้ ทั้งการที่แทบจะไม่มีส่วนร่วมกับเกมเลยตลอด 80 นาที แถมลักษณะการเล่นที่ดูจะ เชื่องช้า เยาะแยะ ยิ่งไปกว่านั้นคือเจ้าตัวแทบไม่มีอะไรพิเศษเลยยามมีบอลอยู่กับตัว จนแฟน ๆ สิงห์บลู หลายคนถึงกับออกปากว่า “ผิดหวัง” กับดาวรุ่งรายนี้ แต่อย่างไรก็ตามนี่พึ่งจะเป็นเกมนัดแรกของเขากับทีม จึงอาจต้องให้เวลาในการปรับตัวกันต่อไปอีกพอสมควร

[OPINION] คืนชีพเจ้าชายอียิปต์ ความหวังใหม่หน้าเก่าของ อาร์เซนอล : โมฮาเหม็ด เอลเนนี

Mohamed Elneny, Mikel Arteta
Fulham v Arsenal – Premier League | Pool/Getty Images

ย้อนกลับไปในช่วงฤดูกาลก่อน หากเอ่ยถึงชื่อของ โมฮาเหม็ด เอลเนนี แฟน ๆ ปืนใหญ่ หรือแม้แต่แฟนฟุตบอลอังกฤษ อาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขายังคงมีชื่อในสังกัดของ อาร์เซนอล เพราะตั้งแต่ อาร์แซน เวงเกอร์ ดึงตัวกองกลางชาว อิยิปต์ รายนี้มาร่วมทีมจากสโมสร บาเซิล ทีมดังในลีกสวิตเซอร์แลนด์เมื่อเดือนมกราคมปี 2016 ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ บทบาทของเขาจากที่ได้เป็นกำลังหลักในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ก็ดูจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ กระทั่งแทบจะหมดอนาคตกับทีมในยุคของ อูไน เอเมรี จนต้องยอมย้ายออกจากทีมด้วยสัญญายืมตัวไปเล่นกับ เบซิกตัส ทีมดังแดนไก่งวงในฤดูกาลที่ผ่านมา

กระทั้งหลังจากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงย้ายในการย้ายไปเล่นในลีกสูงสุดของตุรกีอย่างถาวรได้ ทำให้เจ้าตัวต้องจำใจกลับสู่อ้อมอกต้นสังกัดเดิมในเมืองผู้ดี แต่การกลับมาในครั้งนี้หลายอย่างดูจะเปลี่ยนแปลงไปมากนับจากตอนที่เขาจากมา โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมจาก อูไน เอเมรี ที่แทบไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตามาเป็น มิเกล อาร์เตต้า กุนซือหนุ่มไฟแรงที่ผลงานดูดีพอมีลุ้นกันแบบยาว ๆ โดยเฉพาะในช่วงท้ายฤดูกาลที่ผ่านมา

ไม่เพียงแค่นั้น หลายสิ่งในสโมสรเหมือนจะเริ่มเป็นใจให้เข้าได้มีโอกาสชุบชีวิตตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งการที่ทีมกำลังประสบปัญหาในตำแหน่งกองกลาง ที่ทั้ง เมซุต เออซิล และ มัตเตโอ เกนดูซี ดูจะมีปัญหาผิดใจกับนายใหญ่เลือดกระทิงดุรายนี้ อีกทั้ง ลูคัส ตอร์เรย์รา ก็ไม่อยู่ในฟอร์มที่ดีจนมีข่าวว่าต้องการจะย้ายกลับอิตาลี ดานี เซบาญอส ก็พึ่งจะเก็บกระเป๋ากลับมาด้วยสัญญายืมตัวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แถมกองกลางที่ตกเป็นข่าวกับทีมอย่าง โธมัส ปาร์เตย์ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้ย้ายมาร่วมทีมตามที่เป็นข่าว นั่นจึงเป็นเหตุให้ อาร์เตต้า มีทางเลือกในตำแหน่งมิดฟิลด์ไม่มากนักในช่วงต้นฤดูกาล รวมถึงการปรับมาใช้แผน 3-4-3 ที่กองกลาง 2 คนจำเป็นต้องเล่นเกมรับได้ค่อนข้างดี จึงทำให้โอกาสของ เอลเนนี ในการที่จะเรียกความเชื่อมั่นจากทุกคนกลับมาได้เปิดขึ้นอีกครั้ง

จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปแล้ว 2 เกมอย่างเป็นทางการที่ เอลเนนี ได้ลงสนามในฐานะตัวจริงทั้งในศึก คอมมูนิตี้ ชิลด์ ที่เอา อาร์เซนอล เฉือนเอาชนะแชมป์ลีกอย่าง ลิเวอร์พูล ในการดวลจุดโทษไปได้ รวมถึงเกม พรีเมียร์ลีก ที่พวกเขาถล่ม ฟูแลม น้องใหม่ขาดลอย 0-3 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะพอพิสูจน์อะไรบางอย่างเห็นได้แล้ว ทั้งเรื่องความไว้วางใจ ที่ดูเหมือน อาร์เตต้า จะเชื่อใจให้เขารับหน้าที่คุมเกมในแดนกลางอยู่พอสมควร ถึงขนาดยอมให้ลงเล่นเต็มเกมครบ 90 นาทีทั้งสองนัด ในขณะที่คู่ขาอย่าง กรานิท ชาก้า กลับเป็นฝ่ายที่ถูกเปลี่ยนตัวออกไปแทนในยามที่ทีมต้องการปรับเปลี่ยนแผนการเล่น

ที่สำคัญ เรื่องฝีเท้าดูจะเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์พอสมควร เพราะ 2 นัดที่ผ่านมาที่ได้รับโอกาสลงสนาม ต้องบอกเลยว่าฟอร์มของเขาจัดว่าโดดเด่นไม่น้อยเลยทีเดียวทั้งเกมรุกและรับ ที่สำคัญคือความนิ่ง ความแน่นอน ที่กองกลางประเภท Box to Box จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี ซึ่งเจ้าตัวก็กลับทำได้ดีเสียจนผิดจากที่หลายคนคาดเอาไว้ อีกทั้งในเรื่องเทคนิค การออกบอล วิสัยทัศน์ และความสามารถเฉพาะตัว ก็ทำได้อย่างเนียนตา เข้ากับเพื่อนร่วมทีมได้ดีจนแทบไม่ต่างกับการที่ใช้ ดานี เซบาญอส ยืนประจำการในตำแหน่งนี้เมื่อปลายฤดูกาลกาลก่อนเลยแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จึงน่าจะมีโอกาสสูงที่จะทำให้ โมฮาเหม็ด เอลเนนี อาจแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับ อาร์เซนอล ได้เสียทีหลังจากย้ายมาค้าแข้งกับทีมแล้วเกือบ 5 ปีด้วยกัน ซึ่งก็ต้องมาดูกันว่าเจ้าตัวจะสามารถรักษาฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมแบบนี้เอาไว้ได้หรือไม่ เพราะหากดูจากสองนัดที่ผ่านมาบอกได้เลยว่า แฟน ๆ ปืนใหญ่ คงอยากเห็นใจจะขาดแล้วว่าเกมแดนกลางของพวกเขา จะดุดันสักขนาดไหนเมื่อมีจอมเทคนิคเลือดกระทิงดุอย่าง ดานี เซบาญอส ลงสนามเคียงข้างกับ “เจ้าชายอิยิปต์” แข้งตัวความหวังคนใหม่แต่หน้าเก่าแห่ง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ตลอดฤดูกาล 2020/21 ที่พึ่งจะเริ่มปะทุขึ้นนับจากนี้…