การแข่งขัน : ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2020/21
วันแข่งขัน : คืนวันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2020
เวลาแข่งขัน : 00.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่ง : เชลซี 4-1 เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์
เกมนี้แม้ทีมเยือนจะพลิกล็อคขึ้นนำก่อนจากลูกสูตรเตะมุมอันยอดเยี่ยมที่ยากจะรับมือตั้งแต่ 10 นาทีแรก แต่หลังจากโดดนำ พลพรรคสิงโตน้ำเงินคราม ก็ไม่ได้ตื่นตูมที่จะเร่งเกมหวังเอาประตูขึ้นแบบทันควัน แต่พวกเขายังคงเล่นในสไตล์ของตัวเองค่อย ๆ นวด จนมีช่องทางให้เข้าทำได้และสามารถยิงแซงนำได้สำเร็จตั้งแต่ก่อนหมดครึ่งเวลาแรก แน่นอนหลังจากสกอร์เป็นรอง ผู้มาเยือนจำเป็นต้องเปลี่ยนไปเล่นเกมบุกมากขึ้น ซึ่งนั่นทำให้เกมรับของพวกเขาย่อหย่อนลงไป จึงเป็นที่มาของอีก 2 ประตูของเจ้าถิ่นในครึ่งหลัง
อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่พวกเขาก็หยุดสถิติคลีนชีทรวมทุกรายการเอาไว้ที่ 5 นัดติดต่อกัน แถมประตูของ แม็คโกลดริค ในวันนี้ ยังเป็นประตูแรกที่ เอดูอาร์ด เมนดี้ โดยยิงในการลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก ให้กับต้นสังกัดใหม่อีกด้วย
หลายเกมในช่วงเปิดฤดูกาลเราจะเห็นได้ชัดเจนว่าวิธีการเล่นรวมถึงฟอร์มโดยรวมของทีมที่ออกมา แตกต่างจากรูปเกมในปัจจุบันพอสมควร ซึ่งหนึ่งในสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงนั่นก็มาจากการที่ ฮาคิม ซิเยค หายเจ็บกลับมาลงเล่นให้กับทีมได้แล้วนั้นเอง
ปีกขวาฉายาซ้ายชั่งทองรายนี้ ใช้เวลาเพียงไม่นานในการปรับตัวให้เข้ากับแผนการเล่นของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่เน้นเกมรุกจากริมเส้นเป็นหลักมาตั้งแต่ฤดูกาลก่อน ซึ่งการกลับมาลงสนามได้ของของปีกชาวโมร็อกโกรายนี้ทำให้ทีมมีผู้เล่นที่สามารถวางบอลได้ แถมยังมีความเร็วไปกับบอลได้ดี มีทักษะในการเลี้ยงทะลุทะลวงในยามจำเป็นได้ ซึ่งเปรียบเหมือนทีมได้ วิลเลียน ในอีกเวอร์ชั่นเข้ามาทดแทน โดยในเกมนี้เจ้าตัวก็ได้แสดงให้เห็นอีกครั้งด้วยการทำ 2 แอสซิสต์ แถมยังมีจังหวะจ่ายบอลสั้นและวางบอลยาวอีกหลายครั้งที่ดูมีจินตนาการและวิสัยทัศน์พอสมควร น่าสนใจว่าหากเขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับ พรีเมียร์ลีก ได้เมื่อไหร่ อาจไม่ใช่เรื่องยากที่จะสามารถทำได้ฤดูกาลละ 20 แอสซิสต์ เหมือนสมัยที่ค้าแข้งอยู่กับ อาแจ๊กซ์ ก็เป็นได้
3 แต้มในเกมนี้ของ พลพรรคสิงโตน้ำเงินคราม ทำให้พวกเขามี 15 คะแนนจากการลงสนาม 8 เกม ทะยานขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ชั่วคราว เป็นรองเพียง ลิเวอร์พูล ที่ยังแข่งน้อยกว่าพวกเขา 1 นัดและ เซาแธมป์ตัน จ่าฝูงเพียง 1 คะแนนเท่านั้น แถม หงส์แดง ยังมีคิวต้องบุกไปเยือน แมนฯ ซิตี้ ในวันพรุ่งนี้ รวมถึง เลสเตอร์ ทีมอันดับ 4 ยังต้องไปอัดกับ วูล์ฟส์ ที่ฟอร์มกำลังร้อนแรงไม่แพ้กันอีกด้วย
นี่จึงเป็นโอกาสดีที่พวกเขาจะสามารถยึดพื้นที่หัวตารางลุ้นแชมป์เอาไว้ได้ก่อนช่วงฟีฟ่าเดย์ในสัปดาห์ต่อไป แต่ก็หวังว่าหลังจากกลับมาลงเล่นกันใหม่แล้ว ฟอร์มอันร้อนแรงของพวกเขาจะยังงคงต่อเนื่องไม่หยุดพักเหมือนโปรมเกมเกมลีกที่ต้องหยุดยาวไปอีก 2 อาทิตย์เพื่อหลีกทางให้กับโปรแกรมทีมชาตินั่นเอง