ชำแหละทุกประเด็นร้อนหลังศึก พรีเมียร์ลีก ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์

Sadio Mane, Roberto Firminho, Trent Alexander-Arnold
Chelsea v Liverpool – Premier League | Michael Regan/Getty Images

การแข่งขัน : ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2020/21
วันแข่งขัน : วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2020
ผลการแข่งขัน : เชลซี 0-2 ลิเวอร์พูล
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

ติอาโก้ อัลคันทารา ประเดิมมีชื่อบนม้านั่งสำรองในทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในเกมที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทันทีแม้จะเพิ่งย้ายมาจาก บาเยิร์น มิวนิค ได้เพียงไม่กี่วัน ก่อนที่เจ้าตัวจะถูกส่งลงสนามเมื่อจบพักครึ่งแทนที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมที่มีอาการบาดเจ็บ

แม้จำนวนตัวผู้เล่นของ หงส์แดง ที่มากกว่าอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ขับจุดเด่นของ ติอาโก้ ในแดนกลางให้เห็นได้เด่นชัดยิ่งขึ้นแต่ไม่อาจปฎิเสธได้เลยว่าคลาสของมิดฟิลด์ทีมชาติ สเปน ได้สร้างความแตกต่างให้กับทีมทันตา บอลจากเท้าของ ติอาโก้ ในแนวลึกทำให้ผู้เล่นในแดนบนสบโอกาสวิ่งหาพื้นที่เข้าทำได้อย่างต่อเนื่อง

โดยสถิติเมื่อจบเกม ติอาโก้ ยังกลายเป็นนักเตะที่ผ่านบอลสำเร็จได้เหนือกว่าแข้ง เดอะบลูส์ คนใดๆ รวมทั้งยังเป็นแข้งที่ผ่านบอลสำเร็จสูงสุดตลอดกาลจากการลงเล่นเพียง 45 นาที นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกสถิติในซีซัน 2003/04 เป็นต้นมา

ต่อเนื่องจากประเด็นข้างต้น การเปลี่ยนตัวตำแหน่งต่อตำแหน่งระหว่าง เฮนเดอร์สัน กับ ติอาโก้ ในบทบาทเดียวกันจึงทำให้เราอดคาดการณ์ไม่ได้ว่าบทบาทของกัปตัน เฮนโด้ จะถูกลดลงไปหลังจากนี้เมื่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีอีกหนึ่งทรัพยากรที่มีศักยภาพมากกว่า

ชั้นเชิงและวิสัยทัศน์ของ ติอาโก้ เข้าคู่ได้เป็นอย่างดีเมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่แพ็คเกมรับลึกอย่างที่ เร้ดแมชีน ดวลกับ สิงห์บลู 10 คนในครึ่งเวลาหลัง นั่นทำให้พื้นที่แดนกลางมีช่องว่างมากพอให้กองกลาง กระทิงดุ จัดการงัดจุดเด่นของตนเองออกมาเล่นงานเกมรับของฝ่ายตรงข้าม

แต่หากพิจารณาลึกลงไป การมีอยู่ของ เฮนเดอร์สัน กับจุดเด่นในการไล่บดบี้คู่แข่งและการเล่นเกมรับอาจเหมาะสมมากกว่าเมื่อทีมต้องดวลกับคู่ต่อสู้ที่พร้อมจะเปิดเกมรุกแลก

แม้ก่อนหน้านี้จะมีคำถามถึงทางเลือกและชั้นเชิงของนักเตะในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางหลังจากที่ เดยัน ลอฟเรน ย้ายออกจากทีมจนทำให้ ลิเวอร์พูล เหลือแค่เพียง โจ โกเมซ และ โจเอล มาติป เป็นทางเลือกในการจับคู่กับ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ แต่เกมนี้ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่จำเป็นต้องซื้อแข้งใหม่ในตำแหน่งดังกล่าวเสริมทัพแต่อย่างใดเมื่อมีแข้งสารพัดประโยชน์อย่าง ฟาบินโญ พร้อมที่จะรับบทบาทคู่หู VvD

ดาวเตะทีมชาติ บราซิล รับบทบาทสต็อปเปอร์เข้าชนแนวรุกเป็นหน่วยแรกโดยมี ฟาน ไดค์ ประคองสถิติหลังเกมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาทำได้ดีกับบทบาทดังกล่าวด้วยตัวเลขเป็นแข้ง หงส์แดง ที่เอาชนะในการเข้าปะทะได้มากกที่สุด 4 ครั้งจากความพยายามทั้งหมด 7 ครั้ง รวมทั้งยังสามารถตัดบอลได้มากที่สุดในสนามที่จำนวน 4 ครั้ง

วันนี้เป็นอีกหนึ่งนัดสำหรับเกมรุกริมเส้นที่เคยเป็นทีเด็ดของ สิงโตน้ำเงินคราม มาตลอดในช่วงซีซั่นที่ผ่านมา กลับเงียบสนิทตลอด 90 นาที นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แม้ในครึ่งแรกตัวผู้เล่นจะยังเท่าเทียมกัน แต่พวกเขาแทบจะหาโอกาสเข้าทำและจบสกอร์ไม่ได้เลย ซึ่ง 2 นัดที่ผ่านมา แฟรงค์ แลมพาร์ด เลือกใช้ ไค ฮาเวิร์ตซ์ เมสัน เมานท์ และ ติโม แวร์เนอร์ เป็น 3 ประสานในเกมรุกและผลัดกันไปเล่นเป็นตัวริมริมเส้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายังไม่สามารถตอบโจทย์เหมือนสมัยที่ยังเป็น พูลิซิช และ วิลเลียน ยืนประจำการได้

ตั้งแต่ที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด เข้ามาคุมทีม นายใหญ่ตำนานสโมสรรายนี้ยังคงยืนยันว่าจะใช้งาน เอ็นโกโล ก็องเต้ ในฐานะ Box to Box มิดฟิลด์ ซึ่งนั่นหมายความว่า ก็องเต้ จะต้องมีส่วนร่วมกับการเล่นเกมรุก และจนถึงตอนนี้เขาก็พิสูจน์ให้เห็นไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า ความขยันและพละกำลังการวิ่งไล่ไม่มีหมดของเขานั้น มันไม่สามารถตอบโจทย์ในการสร้างสรรค์เกมบุกให้กับทีมได้ บ่อยครั้งที่วันนี้เขามีโอกาสที่ดีในการทำเกมในแดนหน้า แต่ก็ติด ๆ ขัด ๆ ทำพลาดไปเสียหมด ในขณะที่เกมรับเจ้าตัวกลับโดดเด่นในการไล่กวดสร้างความปั่นป่วนให้แนวรุกของ ลิเวอร์พูล ได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยตลอด 90 นาทีในเกมวันนี้

เป็นอีกหนึ่งเกมที่จุดอ่อนของนายทวารเลือดกระทิงดุรายนี้ ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทีม นั่นคือ “การเล่นบอลด้วยเท้า” ที่ตลอด 2 ฤดูกาลที่ผ่านมาเรามักจะเห็นได้ถึงความผิดพลาดบ่อย ๆ เมื่อเจ้าตัวต้องใช้ขาเล่นกับบอล ซึ่งมันขัดกับแนวทางการเล่นของทีมอย่างชัดเจน ที่ต้องการเซ็ตเกมบุกจากหน้าปากประตู แต่กลับมีผู้รักษาประตูที่ไม่สามารถเอาแน่เอานอนในการออกบอลแบบนี้ นี่ยังไม่นับฟอร์มการเซฟที่ดร็อปลงไปจนถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าสวนทางกับค่าตัว

ดังนั้นหาก แลมพาร์ด ยังต้องคงยืนยันที่จะใช้การเซ็ตเกมจากแดนตัวเองขึ้นมา อาจจะถึงเวลาที่ต้องมองหาผู้รักษาประตูที่ถนัดเล่นบอลกับพื้นมากกว่านี้ เหมือนที่ แมนฯ ซิตี้ จัดการคว้าตัว เอแดร์ซอน มาเล่นเป็นนายทวารแบบ “สวีปเปอร์” นั่นเอง