หนึ่งในแนวทางที่มีการนำเสนอเพื่อปลุก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้กลับมาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ใน พรีเมียร์ลีก เหมือนเมื่อวันวานนั้นก็คือ การแต่งตั้ง ‘ผู้อำนวยการฟุตบอล’ หรือ Director of Football
สโมสรในลีกสูงสุดของอังกฤษยุคใหม่นั้นมีการแบ่งโครงสร้างการทำงานคล้ายกับทางฝั่งยุโรปมากขึ้น เมื่อก่อนพวกเขามีแค่ ‘ผู้จัดการทีม’ หรือ Manager ที่ทำหน้าที่ทุกอย่าง ทั้งการเจรจาเรื่องการซื้อขายนักเตะ การคุมการฝึกซ้อม การวางแผนการแข่งขัน รวมทั้งวางแผนการปรับปรุงทีมหลังจบซีซัน ซึ่งเมื่อก่อนนั้นโครงสร้างในการบริหารทีม ๆ หนึ่งยังไม่ซับซ้อนมากเหมือนทุกวันนี้
เมื่อเข้าสู่ยุคที่มีการเทคโอเวอร์จากกลุ่มทุนหรือมหาเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลกทุกอย่างก็ดูจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แน่นอนว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มาตัวเปล่าเล่าเปลือย พวกเขาต้องการใครซักคนที่เป็นคนประสานการทำงานระหว่างผู้จัดการทีมและเจ้าของสโมสรซึ่งหนึ่งในทีมงานนั้นก็คือ ผู้อำนวยการฟุตบอล
ณ ปัจจุบันนี้เกือบทุกสโมสรใน พรีเมียร์ลีก ต่างมีผู้อำนวยการฟุตบอลเป็นของตัวเองทั้งนั้น หน้าที่โดยทั่วไปก็คือ การวางแนวทางของสโมสร การวางเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และที่เรามักเห็นกันอยู่บ่อย ๆ นั่นคือการเจรจาซื้อขายนักเตะ
ดังนั้นความสำคัญของตำแหน่งผอ.ฟุตบอลนั้นจึงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีหลังมานี้เมื่อวัดจากความสำเร็จของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล
ทั้งสองทีมนั้นมีผอ.ฟุตบอลมือดีทั้งคู่ ซิตี้ ดึง ซิกิ เบกิริสไตน์ มาจาก บาร์เซโลนา มาตั้งแต่ปี 2012 เขามีส่วนในการดึงนักเตะดัง ๆ มากมายมาเล่นในถิ่น เอติฮัด และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ย้ายมาร่วมงานที่นี่และสร้างความยิ่งใหญ่ในยุคสมัยของตน
ด้าน หงส์แดง นั้นแต่งตั้ง ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ มารับตำแหน่งนี้เมื่อปี 2016 และหลังจากนั้นทีมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผอ.หนุ่มรายนี้ทำงานร่วมกับ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้อย่างเข้าขารู้ใจ โดยว่ากันว่าดีล โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็เป็น เอ็ด เวิร์ดส์ ที่ยืนยันให้นายใหญ่ชาวเยอรมันดึงตัวมาร่วมทีมหลังจากที่พลาดตัว ยูเลียน ดรักซ์เลอร์ ไปไม่นาน และบรรดาแข้งหน้าใหม่ที่เข้ามาในยุคของ คล็อปป์ นั้นก็กลายเป็นกำลังสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนสืลีก เมื่อซีซันที่แล้วอย่างยิ่งใหญ่
2 ทีมนี้จึงเป็นตัวอย่างที่สำคัญในการมีผอ.ฟุตบอลฝีมือดี ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังไม่มี!
ทีมปีศาจแดงตกเป็นข่าวกับการดึงอดีตผู้เล่นเก่าของทีมหรือแม้กระทั่งผู้อำนวยการฟุตบอลของสโมสรยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ก็ยังเป็นเป้าหมายของพวกเขา
หากจำกันได้แคนดิเดตที่จะเข้ามารับงานนี้มีทั้งชื่อของ ริโอ เฟอร์ดินานด์ กูรูและนักวิเคราะห์เกมอดีตศิษย์เก้ารั้ว โอลด์ แทรฟฟอร์ด, เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ อดีตนายทวารปีศาจแดงที่ตอนนี้ทำหน้าที่ ผอ.ฟุตบอลให้กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ทีมที่ปลุกปั้นเขามาแต่อ้อนแต่ออก และ หลุยส์ คัมโปส คนนี้เป็น ผอ.ฟุตบอลของ ลีลล์ ทีมใน ลีกเอิง เพื่อนซี้ โชเซ มูรินโญ ผู้ค้นพบ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ เมื่อครั้งทำงานให้กับ โมนาโก
แต่จนถึงตอนนี้ ยูไนเต็ด ก็ยังไม่มีคนที่เข้ามาทำหน้าที่นี้อยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ดิแอตเลติก สื่อที่น่าเชื่อถือจากเมืองผู้ดีก็ได้ออกมาวิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจว่า เอ็ด วู้ดเวิร์ด รองประธานฝ่ายบริหารของสโมสรนั้นอาจจะไม่ต้องการผู้อำนวยการฟุตบอลจริง ๆ ก็ได้
ในบทวิเคราะหืระบุว่า เสี่ยเอ็ดลุกขึ้นมาจัดโครงสร้างการทำงานภายในทีมเสียใหม่โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตำแหน่ง ผอ.ฟุตบอลอย่างที่หลายสโมสรทำกัน เพราะเขามองว่าการทำงานด้านนี้ควรเป็นหน้าที่ของผู้จัดการทีมมากกว่า
การแบ่งหน้าที่การทำงานคร่าว ๆ ก็คือ ตัวเขาและ แม็ตต์ จัดจ์ หัวหน้าฝ่ายเจรจาจะทำหน้าที่ในการเจรจาเรื่องการซื้อขายและค่าเหนื่อยของนักเตะที่ทีมต้องการด้วยตัวเอง ส่วน โอเล กุนนาร์ โซลชา นั้นก็จะทำการติดต่อโดยตรงกับ วู้ดเวิร์ด ในการระบุเป้าหมายนักเตะใหม่ที่เขาต้องการดึงเข้ามาร่วมทีม หรือหากมีสิ่งใดที่ต้องการในการพัฒนาทีม
หมายความว่าหาก โซลชา ต้องการใคร เขาจะไปแจ้งความประสงค์กับเสี่ยเอ็ดก่อนที่ทีมงานจะไปดำเนินการเจรจาต่อรองราคาและค่าเหนื่อยในขั้นตอนต่อไป
จะว่าไปแล้วคล้าย ๆ สมัยที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งตอนนั้นป๋าเป็นคนที่มีอำนาจในการทำทีมเต็ม 100% และเขาสามารถเข้าไปคุยกับบอร์ดบริหารได้โดยตรงว่าต้องการอะไรบ้าง
ต่างจากที่พวกเขาทำในตอนนี้คือการมี วู้ดเวิร์ด ที่เป็นตัวแทนบอร์ดบริหารในการติดต่อกับ โซลชา โดยตรง
ที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่าที่ผ่านมานั้นผลงานการดึงนักเตะใหม่เข้ามาร่วมทีมของกุนซือชาวนอร์วีเจี้ยนเข้าตาแฟนบอลเป็นอย่างมาก ทุกคนสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้ง แฮร์รี แม็คไกวร์, อารอน วาน บิสซาก้า, แดเนียล เจมส์, บรูโน แฟร์นันเดส และ โอเดียน อิกาโล
4 ใน 5 คนนี้สามารถลงสนามเป็นตัวจริงได้กับทีมได้เลย อาจจะยกเว้นหนูเจมส์ที่ต้องเข้า ๆ ออก ๆ 11 ตัวจริงบ่อยครั้ง แต่นั่นเป็นเพราะเขาคือนักเตะที่เป็นอนาคตของทีม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
จริงอยู่ที่ในช่วงต้นฤดูกาลนั้น ยูไนเต็ด ทำผลงานได้ยังไม่สม่ำเสมอ แต่พวกเขาก็มีเกมรับที่แข็งแกร่งพอตัว เพียงแต่ว่าในแดนกลางและเกมรุกนั้นยังขาดตัวสร้างสรรค์เกม ซึ่งเมื่อ แฟร์นันเดส เข้ามาเติมเต็มส่วนนี้ก็ทำให้ทีมกลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างที่เห็น
วู้ดเวิร์ด จึงเชื่อมั่นว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่จำเป็นต้องมี ‘ผู้อำนวยการฟุตบอล’ ที่เข้ามาทำหน้าที่คั่นระหว่างตัวเขาและ โซลชา เพราะหากมีอะไรที่ผู้จัดการทีมต้องการก็สามารถยิงตรงหาเขาได้เลยทันที ซึ่งตนก็พร้อมที่จะจัดการให้อย่างเต็มที่
ด้วยการทำงานแบบนี้ทำให้นับตั้งแต่ช่วงปีใหม่เป็นต้นมาพวกเขามองเห็นทิศทางของทีมที่ดีขึ้นซึ่งสะท้อนออกมาเป็นผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยการก้าวขึ้นมารั้งอันดับ 5 ของตารางกลับมามีลุ้นในการไปเล่น ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้า ก่อนที่ต้องหยุดการแข่งขันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด
ดังนั้น นี่จึงเป็นทิศทางของ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการและต้องรอพิสูจน์กันต่อไปว่าสิ่งที่ เอ็ด วู้ดเวิร์ด คิดนั้นจะถูกหรือไม่