ประเด็นร้อนหลังเกม
อาเดรียน ยังไว้ใจไม่ได้
เกมนี้แม้ อาเดรียน จะแทบไม่เจองานหนักเลยในเวลา 90 นาที แต่ก็พอจะสังเกตุเห็นได้ว่า นายทวารเลือดกระทิงดุ รายนี้ ดูจะยังไม่นิ่งพอในเกมใหญ่ที่มีความกดดันสูงแบบนี้ เพราะในหลาย ๆ จังหวะไม่ว่าจะเป็นลูกยิงของ ชูเอา ฟิลิกซ์ ที่ดูเหมือนน่าจะรับติดมือง่าย ๆ เจ้าก็ดูเหมือนจะไม่มั่นใจ จึงเลือกปัดออกไป ซึ่งดันไปเข้าทางของ อังเคล คอร์เรอา แต่ยังดีที่ยังตามไปบล็อคลูกยิงซ้ำเอาไว้ได้ทัน
และจังหวะที่ไม่น่าให้อภัยมากที่สุด คือจังหวะเปิดเกมที่ควรจะต้องทำได้ดีกว่านั้น แต่กลับเตะไปเข้าทาง ชูเอา ฟิลิกซ์ ดื้อ ๆ แถมลูกยิงของ ยอเรนเต้ ลูกนั้นก็ไม่ได้หนีจากมือเขาเท่าใดนัก ถ้าหากพุ่งสุดตัวไปปัด น่าจะเซฟลูกนั้นได้ไม่ยาก แต่เจ้าตัวกลับแค่ทิ้งตัวล้มลงไปเฉย ๆ ซึ่งก็ไม่รูเหมือนกันว่าลื้น หรือในเสี้ยววินาทีนั้นคิดว่ายังไงรับไม่ทันแล้วจึงไม่ได้พุ่งทะยานออกไป แต่สิ่งที่บอกได้อย่างหนึ่งคือ ถ้าเป็น อลิสซอน ละก็ ลูกนี้ปัดได้สบาย ๆ อย่างแน่นอน
โอบลัค ต่างหากของจริง
หากเทียบกันระหว่างผู้รักษาประตูของทั้งสองทีมในเกมนี้ คงจะเห็นความแตกต่างค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว ซึ่งมันดันเป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาชี้ผลการแข่งขันในเกมนี้ได้ เพราะถ้า โอบลัค ไม่เซฟอุตลุดขนาดนี้ ทีมตราหมี คงโดนอย่างน้อย 4-5 ประตูไปแล้ว ในทางกลับกัน อาเดรียน ที่งานเบากว่าอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเซฟลูกยิงของ แอตฯ มาดริด ได้ดีกว่านี้ ผลการแข่งขันคงไม่ออกมาในลักษณะนี้แน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม ต้องชื่นชมความสุดยอดของ แยน โอบลัค นายด่านชาวสโลวิเนีย วัย 27 ปี ที่วันนี้เซฟจนมือเป็นระวิง โดยเฉพาะลูกยิงของ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน ที่อย่างน้อยควรจะต้องเป็นประตูสักลูก แต่มือกาวรายนี้กลับป้องกันเอาไว้ได้ทั้งหมดจนจบด้วยการเข้ารอบไปแบบหล่อ ๆ ในค่ำคืนวันนี้
หงส์แดง ไร้ทีเด็ดบนม้านั่งสำรอง
คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า 11 ผู้เล่นตัวจริงของ ลิเวอร์พูล ชุดนี้ สุดยอดขนาดไหน แต่เมื่อทีมต้องการความเปลี่ยนแปลงหรือใครสักคนที่จะลงมาสร้างความแตกต่างจากบนม้านั่งสำรอง กลับไม่มีใครที่สามารถทดแทน หรือทำได้ดีกว่า 11 ตัวจริงเลยแม้แต่คนเดียว
หลายครั้งที่เรามักจะเห็น โอริกี้ ลัลลานา มินามิโนะ มิลเนอร์ ลงมาในยามที่ทีมต้องการประตู ซึ่งต้องบอกเลยว่าทั้งสี่คนยังไม่อยู่ในจุดที่จะคาดหวังอะไรได้ขนาดนั้น ซึ่งแตกต่างกับ แอตฯ มาดริด ที่บนม้านั่งมีทั้ง อัลบาโร โมราต้า ยานนิค คาร์ราสโก้ โทมัส เลอมาร์ หรือแม้แต่ มาร์กอส ยอเรนเต้ ที่แม้จะฟอร์มไม่ดีมากมาย แต่ก็พร้อมจะลงมาสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้ เหมือนในวันนี้ที่ทั้ง 3 ประตูล้วนมาจากผู้เล่นตัวสำรองทั้งหมด จนเรียกได้ว่าเข้ารอบมาได้เพราะ “ซุเปอร์ซับ” อย่างแท้จริง
สถิติหลังเกมที่น่าสนใจ
- จากความปราชัยในครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ ลิเวอร์พูล ในยุคของ เยอร์เกน คล็อปป์ แพ้ในฟุตบอลยุโรปให้กับคู่แข่งทั้งสองเกม เหย้าและเยือน (รอบน็อคเอาท์)
- หงส์แดง แพ้ในฟุตบอลยุโรปที่ แอนฟิลด์ เป็นครั้งแรกในยุคของ เยอร์เกน คล็อปป์ โดยครั้งล่าสุดที่พวกเขาแพ้ในบ้านรายการยุโรปคือเมื่อเดือน ตุลาคมปี 2014
- ความพ่ายแพ้ในวันนี้ เป็นการตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกนับจากปี 2006 ซึ่งก่อนหน้านั้น (ปี 2005) พวกเขาก็พึ่งจะคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จเช่นเดียวกัน
- แอตเลติโก มาดริด ชนะในรายการนี้รอบน็อคเอาท์ได้ 5 จากทั้งหมด 6 เกม ที่พวกเขาเป็นฝ่ายเอาชนะคู่แข่งได้ก่อนในเกมแรก
- เกมนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่มีการยิงกันถึง 4 ประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษ
- เกมนี้เป็นการเล่นในช่วงต่อเวลาเป็นครั้งแรกในรายการนี้ของ พลพรรคเร้ดแมทชีน นับจากปี 2008 ที่พ่ายให้กับ เชลซี ในรอบรองชนะเลิศ
- หากนับตั้งแต่ปี 2017/18 เป็นต้นมา ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ ผู้รักษาประตูทำพลาดจนเสียประตูมากที่สุดในรายการนี้ (4 ครั้ง – อาเดรียน 1 / คาริอุส 3)
- มาร์กอส ยอเรนเต้ เป็นนักเตะคนที่สองในประวัติศาสตร์ของทีม แอตฯ มาดริด ที่สามารถลงมาทำ 2 ประตู จากการเป็นตัวสำรองในถ้วยใบนี้ได้ ต่อจาก กุน อเกวโร ในปี 2009
- เกมนี้ประตูของ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน เป็นการยิงประตูแรกที่ แอนฟิลด์ ในรอบ 20 เกมรวมทุกรายการ นับตั้งแต่ยิงได้ครั้งล่าสุดคือเมื่อเดือน เมษายน ปี 2019
- 4 จาก 5 ประตูของ จินี ไวจ์นัลดุม ใน แชมเปี้ยนส์ลีก เกิดขึ้นในรอบน็อคเอาท์ และเป็นการโหม่งทำประตูถึง 3 ลูกด้วยกัน
- ซีซั่นนี้ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน มีส่วนกับการทำประตูใน แชมเปี้ยส์ลีก ไปแล้ว 4 ครั้ง (ยิง 3 แอสซิสต์ 1) ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่มากที่สุดของเจ้าตัวเท่ากับปี 2014/15