1. เจ้าหนูเทรนท์ ยังฉมัง
แอสซิสต์จากลูกเตะมุมของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เปิดให้กับ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ โขกพังประตูเบิกร่องนับเป็นการผ่านบอลจากลูกตั้งเตะให้เพื่อนร่วมทีมพังประตูครั้งที่ 5 ในเกมลีกซีซันนี้เข้าไปแล้วสำหรับเจ้าหนูแบ็คขวาชาว อังกฤษ วัย 21 ปี ทำให้เจ้าตัวนับเป็นผู้เล่นที่ทำแอสซิสต์จากลูกตั้งเตะได้มากที่สุดในบรรดา 5 ลีกใหญ่ของยุโรป
2. ไวนัลดุม คีย์แมนขับเคลื่อนแดนกลาง หงส์แดง
เลี้ยงผ่านคู่แข่งสำเร็จ 3 ครั้ง
เอาชนะในการเข้าปะทะ 2 ครั้ง
เอาชนะลูกกลางอากาศสำเร็จ 2 ครั้ง
ด้านบนคือสถิติของ ไวนัลดุม ในเกมนี้และเจ้าตัวเกือบจะมีชื่อบนสกอร์บอร์ดให้กับ เร้ดแมชีน หากไม่ถูกจับล้ำหน้าไปเสียก่อนในครึ่งแรก
จินี ไวนัลดุม ในบทบาทบ็อกซ์ทูบ็อกซ์มีส่วนช่วยทีมทั้งในเกมรับและเกมรุก คอยไล่บี้การขึ้นเกมของ ปีศาจแดง ที่กลางสนามรวมไปถึงทะยานเข้าไปในกรอบเขตโทษเมื่อสบโอกาสเพื่อสร้างจังหะให้กับตนเองและเพื่อนร่วมทีม
3. ซาลาห์ ยังไว้วางใจได้
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดูจะไม่ค่อยมีบทบาทกับเกมรุกของ เร้ดแมชีน เท่าไหร่นักในเกมนี้เมื่อถูกบรรดาแนวรับของทีมเยือนปิดตายไม่ให้มีพื้นที่ได้ลากเลื้อยเท่าใดนัก เว้นแต่ช็อตเข้าตาเมื่อแตะหนี ลุค ชอว์ สำเร็จก่อนถูกตัดฟาวล์
เจ้าตัวเลี้ยงผ่านคู่แข่งสำเร็จเพียง 1 ครั้งตลอดทั้งเกม
มีโอกาสยิง 3 ครั้ง
ตรงกรอบ 1 ครั้งและเป็น 1 ประตู
สตาร์ทีมชาติ อียิปต์ ฉวยโอกาสที่บรรดาแข้ง ปีศาจแดง เทกันเติมขึ้นไปเล่นลูกเตะมุมในช่วงทดเวลาบาดเจ็บรับบอลของ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่วางให้อย่างแม่นยำก่อนทะยานเบียดเอาชนะ แดเนียล เจมส์ หลุดเข้าไปสังหารผ่านมือ ดาบิด เด เคอา เป็นประตูตอกฝาโลง นับเป็นการซัลโวใส่ 23 ทีมใน พรีเมียร์ลีก จากทั้งหมด 24 ทีมที่เขาเคยดวลด้วย โดยมีเพียง สวอนซี ซิตี้ เท่านั้นที่เขาไม่เคยยิงใส่ได้ในรายการนี้
นอกจากนั้นแอสซิสต์ของ อลิสซอน ยังทำให้เขากลายเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล คนแรกที่ผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูได้นับตั้ง เปเป้ เรนา แอสซิสต์ให้กับ เฟร์นานโด ตอร์เรส ยิงใส่ ซันเดอร์แลนด์ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2010
4. การจัดตัวที่แปลกแหวกแนว
วันนี้หากดูจากรายชื่อก่อนเกมจะเริ่มนั้น หลาย ๆ คนคงแปลกใจถึงการส่งผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คซ้ายธรรมชาติลงมาพร้อมกันถึง 2 คนด้วยกันทั้ง ลุค ชอว์ และ แบรนเดน วิลเลียม
แม้ว่าเมื่อเกมเริ่มแล้วนั้น เหมือนว่า ชอว์ จะไปยืนเป็น เซนเตอร์แบ็คฝั่งซ้าย และขยับ วิลเลียม ขึ้นไปเป็นวิงแบ็ค แต่ก็ยังน่าแปลกอยู่ดีทั้งที่ก่อนหน้านี้เล่นระบบ 4-2-3-1 และก็ดูเหมือนจะเริ่มทำผลงานได้ดีขึ้นโดยเฉพาะใน 2 เกมที่ผ่านมาที่สามารถเอาชนะคู่แข่งมาได้ทั้งสองนัดติดต่อกันแล้วแท้ ๆ
แถมสิ่งที่น่าแปลกใจอีกอย่างหนึ่งคือการส่ง อันเดรียส เปเรย์รา ลงมาเป็นตัวจริง แทนที่ ฆวน มาต้า ที่ในช่วงหลังทำผลงานได้โดดเด่นขึ้นมา แต่เกมวันนี้ เพลย์เมกเกอร์เลือดกระทิงดุ กลับถูกดรอปอยู่ข้างสนาม และให้ลูกหม้อชาวบราซิลเลียน ลงมาวาดลวดลายในสนามแทนจนกระทั่งนาทีที่ 73 จึงจะเริ่มมีการแก้เกม ตามสไตล์ น้าโอเล สายชิล
5. ปีศาจแดง ไร้ซึ่งความเฉียบคม
เกมวันนี้ใช่ว่าพวกเขาจะสู้ไม่ได้เลยซะทีเดียว โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่สามารถทำเกมบุกสู้กับเจ้าบ้านได้อย่างสูสีในช่วง 20 นาทีสุดท้าย
ซึ่งพวกเขาก็พอจะสร้างสรรค์โอกาสเข้าทำที่ได้ลุ้นอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเปลี่ยนจังหวะเหล่านั้นให้เป็นประตูตีเสมอได้ ทั้งลูกทำชิ่งเข้ากรอบเขตโทษของ มาร์กซิยาล จนได้หลุดเข้าไปยิงโล่ง ๆ แต่กลับซัดบอลข้ามคานออกไปหน้าตาเฉย และโอกาสของ เฟร็ด ที่ได้เลี้ยงจี้เข้ากรอบเขตโทษ แต่ปั่นด้วยซ้ายออกนอกกรอบไปอย่างน่าเสียดาย ยังมีอีกหลาย ๆ จังหวะนอกเหนือจากนี้ที่ลูกทีมของ โซลชาร์ ควรจะทำได้ดีกว่านี้ในจังหวะจบสกอร์ มิฉนั้นรูปเกมคงสนุกและตื่นเต้นได้มากกว่านี้อีกหลายเท่าอย่างแน่นอน
6. ถ้ามี แรชฟอร์ด เกมอาจไม่จบลงแบบนี้
หนึ่งคนที่แฟน ๆ ปีศาจแดงคิดถึงมากที่สุดในวันนี้ก็คงจะเป็น มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ดันมาโชคร้ายได้รับบาดเจ็บในเกมเมื่อสัปดาห์ก่อน จนทำให้ไม่สามารถลงสนามในเกมนี้ได้
ซึ่งดาวซัลโวของทีมรายนี้เป็นคนที่มีทีเด็ดทีขาด แถมยังถนัดการเล่นบอลชายเดี่ยวในเกมสวนกลับอยู่แล้ว เพราะจากรูปเกมในวันนี้ต้องบอกเลยว่า แดเนียล เจมส์ ไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้แทนได้เลยแม้แต่น้อย แถม แรชฟอร์ด เอง ก็ขึ้นชื่อเรื่องการถล่มประตูใส่ ลิเวอร์พูล เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
ดังนั้นหากวันนี้ พลพรรคเร้ดเดวิลส์ มีแข้งหมายเลข 10 อยู่ในสนามละก็ แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะไม่ได้ลงเอยด้วยความปราชัยเช่นนี้ก็เป็นได้