การแข่งขันฟุตบอล คาราบาว คัพ 2019/20 รอบ 16 ทีมสุดท้าย
คืนวันพุธที่ 30 ตุลาคม 2019
เวลาแข่งขัน02.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน ลิเวอร์พูล 5-5 อาร์เซนอล
หงส์แดง เอาชนะในการดวลลูกจุดโทษ 5-4
สนามแอนฟิลด์
5. เกมที่บ้าคลั่ง!
แม้ากความเป็นจริงที่ว่าถ้วย คาราบาว คัพ เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ทั้ง ลิเวอร์พูล และ อาร์เซนอล ต่างไม่ได้ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ จากการพิจาณาด้วยตัวผู้เล่นที่ทั้ง 2 ทีมส่งลงสนาม แต่เกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่ แอนฟิลด์ ก็ได้กลายเป็นเกมสุดมันส์ขึ้นแท่นหนึ่งในแมตช์คลาสสิคไปในทันทีหลังสิ้นเสียงนกหวีดเมื่อมีประเด็นดรามาให้ได้พูดถึงตลอดทั้ง 90 นาที (ซึ่งสิ้นสุดลงที่การดวลลูกจุดโทษ)
หงส์แดง ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เปิดตัว เนโก้ วิลเลียมส์ (18 ปี) ประจำการที่ตำแหน่งแบ็คขวาโดยมี เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก (17 ปี) รับบทบาทเซ็นเตอร์แบ็ค ขณะที่ ฮาร์วีย์ เอลเลียต (16 ปี) โลดแล่นที่ริมเส้นฝั่งขวา และ ริอาน บรูวสเตอร์ (19 ปี) เป็นศูนย์หน้าตัวเป้า
ฝั่ง ไอ้ปืนใหญ่ ของ อูไน เอเมรี ดูจะเหลื่อมกว่าเล็กน้อยเมื่อเข็นเอาบรรดานักเตะในทีมชุดใหญ่ที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกสตาร์ทลงสนามโดยมีไฮไลท์เป็นการกลับสู่ทีมอีกครั้งของ เมซุต เออซิล
เกมออกสตาร์ทด้วยประตูที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 8 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ ชโครดาน มุสตาฟี ก่อนที่จะจบครึ่งแรกด้วยการนำ 3-2 ของ เดอะกันเนอร์ส
ทีมเยือนทิ้งห่างเป็น 4-2 เมื่อเริ่มต้นครึ่งหลังได้ไม่กี่อึดใจก่อนที่โมเมนตัมของเกมจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อเจ้าถิ่นไล่ฮึดตีตื้นเป็น 4-4 ได้เพียงไม่นานหลังจากนั้น
โจ วิลล็อค เกือบจะได้เป็นฮีโร่เมื่อซัลโวประตูสุดสวยในนาทีที่ 70 ให้ลูกทีมของ เอเมรี ขึ้นนำอีกคำรบเป็น 5-4 แต่แล้วก็ถูก ดิว็อค โอริกี ขโมยซีนในช่วงทดเวลาบาดเจ็บวอลเลย์ประตูตีเสมอ 5-5 ก่อนที่พลพรรค เร้ดแมชีน จะพลิกกลับมาเอาชนะได้สำเร็จในการดวลลูกโทษที่จุดโทษ (มีเพียง ดานี เซบาญอส คนเดียวที่พลาดการดวลลูกจุดโทษ)
4. เออซิล คัมแบ็ค
เกมก่อนหน้านี้ที่ เมซุต เออซิล ได้ลงสนามวาดลวดลายให้กับ อาร์เซนอล ต้องย้อนกลับไปถึงเดือนกันยายนในเกม คาราบาว คัพ รอบ 32 ทีมสุดท้ายที่ ไอ้ปืนใหญ่ ถล่มเอาชนะ นอตติงแฮม ฟอเรสต์ 5-0 และเจ้าตัวไม่มีส่วนร่วมแม้กระทั่งการมีชื่อบนม้านั่งสำรองอีกเลยตลอด 6 เกมที่ผ่านมาทั้งในศึก พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า ยูโรปาลีก
แฟนบอล เดอะกันเนอร์ส ได้เห็น เออซิล ลงสนามให้กับทีมอีกครั้งสมใจหลังจากการเรียกร้องอย่างหนักของพวกเขาในช่วงหลังมานี้และเจ้าตัวก็ยังสามารถรักษาคลาสของตนเองได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย เพลย์เมคเกอร์ชาว เยอรมัน ประจำการที่หลัง กาเบรียล มาร์ติเนลลี ในบทบาทแข้งหมายเลข 10 พร้อมกับคอยเคลื่อนที่โจมตียังพื้นที่อันตราย ขณะที่เซนส์ในการผ่านบอลและทัศนคติแบบจอมแอสซิสต์ยังมีให้เห็นอยู่เต็มเปี่ยมอย่างชัดเจน
แน่นอนว่า เออซิล ยังมีจุดแข็งในตัวไม่ต่างจากเดิม แต่ในทางเดียวกัน สไตล์การเล่นซึ่งทำให้ทีมขาดหมากที่จะไล่บีบพื้นที่คู่แข่งไป 1 ตัวคือสิ่งที่ เอเมรี ต้องแลกมา ซึ่งแข้งวัย 31 ปีอาจไม่สามารถเปลี่ยนวิถีการเล่นของตนเองให้เป็นไปตามฟุตบอลในอุดมคติของกุนซือชาว สเปน ได้ ทว่ามิดฟิลด์แชมป์โลกรายนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขายังฉมังในวิถีของตนเองไม่เปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับว่า อูไน จะพิจารณาเลือกใช้ เออซิล ในสถานการณ์ที่เจอกับคู่ต่อสู้อันเหมาะสมหรือไม่เท่านั้น
3. คู่เซ็นเตอร์แบ็ค ปืนใหญ่ น่าเป็นห่วง
นับตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่จนถึงเวลานี้ หากคู่เซ็นเตอร์แบ็คตัวจริงของ อาร์เซนอล อย่าง ดาวิด ลุยซ์ กับ โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส ไม่ป่วยไข้หรือติดโทษแบน รวมทั้งไม่ใช่การลงโม่แข้งในเกม พรีเมียร์ลีก เราจะไม่ได้เห็น ร็อบ โฮลดิ้ง กับ ชโคดราน มุสตาฟี ลงเล่นเลยแม้สักเกมเดียว
ในขณะที่คู่ ลุยซ์-โซคราติส ผลัดกันผีเข้า-ผีออกซึ่งอาจเป็นวันที่พวกเขาดวงแตกสุดๆ หากทั้งสองนัดกันผีออกพร้อมๆ กัน คู่เซ็นเตอร์แบ็คอัพอย่าง โฮลดิ้ง-มุสตาฟี ที่ อูไน เอเมรี ใช้งานในเกมนี้ยิ่งทำให้สาวก เดอะกันเนอร์ส เสียวสันหลังวาบยิ่งขึ้นไปอีก
การเล่นของ โฮลดิ้ง วันนี้อาจพอเอาตัวรอดได้บ้างแม้พื้นที่ช่องว่างระหว่างเขากับ โคลาซินาช จะถูก หงส์แดง เน้นเจาะเข้าทำอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นจนเป็นเหตุให้เสียประตู แต่สำหรับ มุสตาฟี แล้วนั้นเป็นอีกเกมที่เจ้าตัวไม่อาจไว้วางใจได้เลยแม้แต่น้อยเมื่อเซ็นเตอร์แบ็คชาว เยอรมัน มีทีท่าพร้อมที่จะแสดงความผิดพลาดให้เห็นได้ทุกเมื่อทั้งในการป้องกันและการเซ็ตบอลจากแดนหลัง
2. วิลเลียมส์ โดดเด่นกับเกมเดบิวท์, ฟาน เดน เบิร์ก ยังต้องเสริมกระดูก
นับเป็นเกมที่ เนโก้ วิลเลียมส์ แบ็คขวาวัย 18 ปีและ เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก เซ็นเตอร์แบ็คอายุ 17 ปี 2 แข้งแนวรับของ ลิเวอร์พูล เดบิวท์อย่างเป็นทางการต่อหน้า เดอะค็อป ในถิ่น แอนฟิลด์
วิลเลียมส์ ในฐานะแข้งลูกหม้อจากสถาบันลูกหนัง หงส์แดง เจอกับงานยากตั้งแต่ต้นเกมเมื่อต้องรับมือกับ บูกาโย ซาก้า ดาวรุ่งฟอร์มร้อนแรงของ ไอ้ปืนใหญ่ และมีช็อตที่เขาเสียท่าคู่แข่งรายนี้ให้เห็น แต่เจ้าตัวค่อยๆ ยกระดับความมั่นใจของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปก่อนที่จะมีส่วนสำคัญกับเกมในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งหลังเมื่อเป็นคนเติมขึ้นไปสุดเส้นแอสซิสต์ให้กับ ดิว็อค โอริกี พังประตูตีเสมอ 5-5
ขณะที่ปราการหลังคนใหม่ถอดด้ามของ เร้ดแมชีน ที่ย้ายมาร่วมทัพเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาอย่าง ฟาน เดน เบิร์ก ยังคงไม่สามารถตัดสินใจให้เด็ดขาดกับการป้องกันในหลายๆ จังหวะ เช่นเดียวกับการยืนตำแหน่งที่ไม่ดีพออีกหลายครั้ง บวกกับ โจ โกเมซ คู่หูรุ่นพี่ในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางก็ไม่ได้แสดงบทบาทความเป็นผู้นำช่วยเจ้าหนูวัย 17 ปีรายนี้เท่าไหร่นักอีกเช่นกัน
1. โอริกีไทม์!
แม้แดนหน้าชุดที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล จะไม่มีชื่อของ ดิว็อค โอริกี อยู่ในนั้น แต่บทบาทอะไหล่ที่สามารถจุดประกายให้กับทีมก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ต่างกัน
ศูนย์หน้าทีมชาติ เบลเยียม รับบทบาทพี่ใหญ่แบกแนวรุกของ หงส์แดง ในเกมนี้ด้วยการขับเคลื่อนการโจมตีที่กราบซ้ายในช่วงแรกของเกมซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้น่าพอใจกับการพักบอลและใช้ทักษะดวลหนึ่งต่อหนึ่งเอาชนะแนวรับของ อาร์เซนอล เพื่อเปิดบอลไปที่หน้าปากประตู ก่อนที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะจับเขาขยับมาใกล้พื้นที่กรอบเขตโทษมากขึ้นในครึ่งหลัง และนั่นเองที่ทำให้แข้งวัย 24 ปลดปล่อยพิษสงออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
ประตูตีเสมอ 4-4 ของ โอริกี เกิดจากสัญชาตญาณที่เฉียบขาดเมื่อพลิกบอลที่หน้าปากประตูของ ไอ้ปืนใหญ่ หนีกองหลังเพื่อเปิดช่องว่างให้ตัวเองได้ซัลโวเหน่งๆ ชนิดที่ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ สุดปัญญาจะปัดบอลพ้นอันตราย ก่อนที่เจ้าตัวจะพังประตูตีเสมออีกครั้ง 5-5 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากเซนส์ในการยืนตำแหน่งถูกที่ถูกเวลา
โอริกี อาจจะไม่ได้มีช่วงเวลามหัศจรรย์กับ หงส์แดง มากนักตลอด 5 ฤดูกาลในถิ่น แอนฟิลด์ โดยที่หนึ่งในนั้นถูกส่งยืมตัวไปยัง โวล์ฟสบวร์ก ด้วยซ้ำ แต่นี่คือหนึ่งในผลงานอันตราตรึงของเจ้าตัวที่น่าประทับใจพอๆ กับการยิงได้ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศเมื่อซีซันที่ผ่านมาทีเดียว