แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 ลิเวอร์พูล : 6 ประเด็นร้อนหลังศึกแดงเดือดที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด

6. แรชฟอร์ด ถูกโฉลกกับการเจอทีมใหญ่

เกมวันนี้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น แถมเป็นผู้ยิงประตูขึ้นนำให้กับ ปีศาจแดง ตั้งแต่ในช่วงครึ่งแรกอีกด้วย ซึ่งแฟน ๆ หลายคนที่ติดตามรับชม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซีซั่นนี้มานั่น จะทราบดีเลยว่าวันนี้ แรชฟอร์ด เล่นได้ดีผิดหูผิดตาเอามาก ๆ และมักจะเป็นแบบนี้ประจำเวลาพบกับทีมใหญ่

แน่นอนมันมีคำอธิบายปรากฏการณ์เหล่านี้ได้ นั่นคือ แรชฟอร์ด เป็นผู้เล่นที่มีความเร็วสูง มีความคล่องตัว ไปกับบอลได้ดี การเจอกับทีมใหญ่ที่มาเล่นเกมบุกใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด มักจะเปิดพื้นที่ในแนวหลังค่อนข้างเยอะ สิ่งนั้นเองที่เป็นการสร้างโอกาสให้ แรชฟอร์ด ได้ใช้จุดเด่นของตัวเองเล่นงานคู่แข่ง โดยมันจะแตกต่างอย่างยิ่งกับการเล่นกับทีมเล็กที่มาตั้งรับลึกอยู่ในแดนตัวเอง จนแทบไม่เหลือพื้นที่หลังแนวรับให้ได้เล่นกับบอล ซึ่งเห็นได้จากหลาย ๆ เกมที่ผ่านมา หากเจอทีมใดที่มาอุดใส่แล้วละก็ จุดเด่นของเขาก็จะหมดไป แรชฟอร์ด จึงแทบจะไร้ตัวตนไปโดยปริยาย

5. การแก้เกมที่ดูขัดหูขัดตาแฟนบอล

เห็นได้ชัดเลยว่าช่วงต้นเกม หรือในครึ่งเวลาแรก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายที่ทำได้ดีกว่า สร้างสรรค์โอกาสได้ชัดเจนกว่าทีมเยือนด้วยซ้ำ มีโอกาสบุกกดดัน รวมถึงสร้างโอกาสเข้าทำให้แฟนบอลได้หวาดเสียวอยู่หลายครั้ง แต่หลังจากที่ทีมได้ประตูขึ้นนำ พวกเขากลับปรับเปลี่ยนแท็คติก ลงมาตั้งรับต่ำ กลายเป็นเปิดโอกาสให้ทีมเยือนครองเกมบุกเข้าใส่อยู่ฝ่ายเดียว โดยเฉพาะตลอดช่วงครึ่งหลัง ที่ลงมาอุดในแดนตัวเองกันทั้ง 11 คน ทำให้ไม่มีโอกาสต่อเกมและแทบจะหาโอกาสสวนกลับแบบในครึ่งแรกไม่ได้เลย จนสุดท้ายก็มาพลาดเสียประตูในช่วงท้ายเกม จึงเกิดคำถามตามมาว่า เกมมันก็ดูดีอยู่แล้ว จะเปลี่ยนให้แย่ลงทำไม แฟนบอลบางคนถึงกับบ่นเลยว่าแบบนี้มัน “เล่นรอโดน” ชัด ๆ

4. หมดห่วงเรื่อง เด เคอา

ก่อนเกมมีข่าวลือออกมาหนาหูอย่างยิ่งว่า ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีม ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นให้ทีมชาติสเปน และมีโอกาสจะพลาดการลงสนามในเกมนี้ค่อนข้างจะแน่นอนแล้ว ซึ่งแฟน ๆ ปีศาจแดงหลายคนก็กังวลว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าตัวจะร้ายแรงขนาดไหน ต้องพักนานเท่าไหร่ จนกระทั่งรายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงก่อนเกมออกมา กลับปรากฏชื่อของ ประตูจอมแบก ลงเล่นเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงแบบค่อนข้างเซอร์ไพรส์พอสมควร เช่นเดียวกับการกลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงของ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ของทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่คาดกันว่าจะยังไม่ได้ลงสนามในตอนแรกกลับได้ลงเล่นเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงเช่นกัน

จนถึงตอนนี้คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วสำหรับอาการบาดเจ็บของยอดนายทวารมือหนึ่งอย่าง เด เคอา เพราะดูจากเกมวันนี้ก็แทบจะเล่นได้เป็นปกติ ไม่มีการแสดงออกถึงการบาดเจ็บออกมาแต่อย่างใด และที่สำคัญคือสามารถกลับมายืนเฝ้าเสาให้แฟนบอลได้อุ่นใจเหมือนเดิมอีกครั้ง

3. วันที่ไร้ ซาลาห์

เยอร์เก้น คล็อปป์ วางหมากออกสตาร์ทโดยใช้ ดิว็อค โอริกี ประจำการที่ตำแหน่งริมเส้นฝั่งซ้ายโดยขยับเอา ซาดิโอ มาเน ไปเล่นที่กราบขวาเมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มีปัญหาอาการบาดเจ็บไม่สามารถลงเล่นในเกมนี้ได้ ขณะที่ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน เคลื่อนที่อิสระในบทบาทฟอลส์ไนน์

แม้ โอริกี จะทำได้ดีในระดับหนึ่งเมื่อสามารถสร้างปัญหาให้กับแนวรับของ ปีศาแดง ให้เห็นอยู่บ้างในช่วงต้นเกมทว่าเจ้าตัวก็ไม่สามารถรักษาโมเมนตัมดังกล่าวเอาไว้ตลอดรอดฝั่งได้เมื่อเจอการแพ็คเกมรับแน่นของเจ้าถิ่นกระทั่งถูกเปลี่ยนตัวออกหลังเล่นครึ่งหลังได้เพียง 15 นาที

ขณะที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน ที่ลงมาแทนก็ไม่ได้มีจังหวะดวลตัวต่อตัวกับแนวรับ ผีแดง ให้เห็นนักแม้ว่าเกือบจะทำประตูได้จากการตัดเข้าในมายิงหน้ากรอบเขตโทษก็ตาม

2. ไวนัลดุม ขับเคลื่อนแดนกลาง

นับเป็นเกมที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ ไม่สามารถงัดจุดเด่นในการผ่านบอลอันตรายไปยังแดนหน้าได้ดีนักเมื่อแนวรับของเจ้าถิ่นถูกปิดล้อมด้วยกองหลังถึง 5 คน

ในทางกลับกัน กลายเป็น จินี ไวนัลดุม ที่โดดเด่นโดยเฉพาะในครึ่งเวลาแรกเมื่อใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการลากเลื้อยไปกับบอล รวมถึงแก้ไขจังหวะคับขันจวนตัวพลิกบอลให้ทีมเป็นฝ่ายได้เปรียบให้เห็น แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวไม่สามารถรักษาระดับดังกล่าวให้อยู่ตลอดรอดฝั่งได่สำเร็จ

1. หงส์แดง ยังกุมความได้เปรียบในเส้นทางลุ้นแชมป์

การจบเกมด้วยผลเสมอที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ทำให้ ลิเวอร์พูล อดทาบสถิติชนะติดต่อกันในลีก 18 นัดของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รวมทั้งชัยชนะ 9 เกมลีกแรกติดต่อกันของ เชลซี นอกจากนั้นยังเป็นการชี้โพรงให้บรรดาคู่แข่งของ หงส์แดง เห็นว่าแบบแผน 3-5-2 สามารถปิดอันตรายจากฟูลแบ็คของ เร้ดแมชีน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ท้ายที่สุดบนตารางคะแนนจนถึงเวลานี้ หงส์แดง ก็มีแต้มนำโด่ง เรือใบสีฟ้า อยู่ 6 คะแนนก่อนหน้าโปรแกรมนัดต่อไปกับ สเปอร์ส, แอสตัน วิลลา และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้