4. ถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก ที่เบียดแย่งกันอย่างดุเดือดตั้งแต่ต้นซีซัน
ชัยชนะของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหนือ ไบรท์ตัน 4-0 จากการลงเล่นก่อนหน้า ลิวเอร์พูล ทำให้ เรือใบสีฟ้า แซง หงส์แดง ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงชั่วคราว ก่อนที่พลพรรค เร้ดแมชีน จะสามารถเข่น เบิร์นลีย์ ได้อย่างเด็ดขาด 3-0 แซง ซิตี้ กลับขึ้นไปนั่งบัลลังก์หัวตารางอีกครั้งพร้อมสถิติคลีนชีทนัดแรกของฤดูกาลและกลายเป็นทีมเดียวที่เก็บชัยชนะได้ในทั้งหมด 4 นัดแรกของ พรีเมียร์ลีก อีกด้วย
3. บทเรียนของ เบ็น มี
ความผิดพลาดแค่เพียงครั้งเดียวที่กลางสนามของ เบ็น มี ปราการหลังของ เดอะ คลาเร็ตส์ ส่งผลให้พวกเขาเจอกับงานยากลำบากขึ้นไปอีกขั้นเมื่อช็อตดังกล่าวทำให้ทีมเสียประตู 2-0 ก่อนจะจบครึ่งแรก
การจ่ายบอลพลาดของ มี ไปเข้าทาง โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน ก่อนที่ดาวยิง บราซิเลียน จะพาบอลกระชากไปถึงหน้าปากประตูและไหลให้กับ ซาดิโอ มาเน ได้จบสกอร์อย่างเด็ดขาด
แม้เจ้าตัวจะได้รับคำชมจากกูรูลูกหนังหลายสำนักในช่วงก่อนหน้านี้และตกเป็นข่าวกับบรรดาบิ๊กทีมของลีกแต่ปราการหลังวัย 29 ปียังคงต้องยกระดับมาตรฐานของตัวเองให้สูงขึ้นยิ่งกว่านี้หากหวังที่จะก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในเซ็นเตอร์แบ็คชั้นนำ
2. ความกระหายของ มาเน
แม้ ซาดิโอ มาเน จะกรำศึกหนักอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ฤดูกาลที่ผ่านกับ ลิเวอร์พูล ไปจนถึงทัวร์นาเมนต์ แอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์ กับทีมชาติ เซเนกัล ที่พาทีมกรุยทางถึงนัดชิงชนะเลิศแต่สตาร์วัย 27 ปีไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย
มาเน ยังคงทำงานอย่างหนักในแดนหน้าเมื่อพยายามสร้างจังหวะทำทางให้กับเพื่อนร่วมทีมหลายต่อหลายครั้งและ 1 ประตูดูจะไม่เพียงพอสำหรับเขาในเกมนี้กับช็อตหัวเสียยามถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามและโวยใส่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งไม่ยอมส่งบอลให้เขาทำประตู
1. หลักไมล์ที่ 50 ของ ฟิร์มิโน
ทัพเร้ดแมชีน เป็นฝ่ายครองเกมได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดหลังจากนำห่าง 2-0 ตั้งแต่ครึ่งเวลาแรกและมีโอกาสเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาอีกหลายต่อหลายครั้งก่อนที่พวกเขาจะได้ประตูปิดท้ายจาก โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน ในที่สุด
ประตูดังกล่าวทำให้ ฟิร์มิโน กลายเป็นนักเตะ บราซิล คนแรกที่ทำประตูใน พรีเมียร์ลีก แตะหลัก 50 ประตูนอกจากนี้เจ้าตยังมีส่วนสำคัญกับการช่วยเซ็ตเกมให้เพื่อนลุ้นทำประตูซึ่งเป็นที่มาของ 1 แอสซิสต์ก่อนหน้านั้น