การแข่งขัน : ยูฟ่า เนชันส์ลีก ลีกเอ
วันแข่งขัน : คืนวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน 2020
เวลาแข่งขัน : 02.45 น.
ผลการแข่งขัน : ทีมชาติสเปน 6-0 ทีมชาติเยอรมนี
สนาม : เอสตาดิโอ เดอ ลา คาร์ตูฆา
เฟร์ราน ตอร์เรส ดาวเตะสังกัด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซัดแฮตทริคแรกในเส้นทางค้าแข้งของเจ้าตัวพา ทีมชาติสเปน เปิดบ้านไล่อัด ทีมชาติเยอรมนี ยับเยิน 6-0 กรุยทางสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายของศึก ยูฟ่า เนชันส์ลีก ในฐานะแชมป์กลุ่ม
ประตูเบิกร่อง 1-0 ของพลพรรค กระทิงดุ ได้จาก อัลบาโร โมราต้า ขึ้นโหม่งลูกเตะมุมของ ฟาเบียน รุยซ์ ตุงตาข่ายตั้งแต่นาทีที่ 17 ก่อน ตอร์เรส จะวอลเลย์เป็นประตู 2-0 ในนาทีที่ 33 ตามด้วยลูกโหม่งเตะมุมอีกครั้งของ โรดรี ในนาที 38 ทำให้จบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 3-0
ดาวเตะค่าย เรือใบสีฟ้า จบจังหวะสวนกลับในระยะเผาขนเป็นประตู 4-0 ในนาทีที่ 55 ก่อนแข้งปรอทแตกวัย 20 ปีจะปั่นโค้งจากนอกกรอบเขตโทษ ผ่านมือ มานูเอล นอยเออร์ ใส่สกอร์ 5-0 นาที 71 และปิดท้ายด้วยลูกแท็ปอินของตัวสำรอง มิเคล โอยาร์ซาบาล นาทีที่ 89
ผลจากการแข่งขันในเกมนี้ทำให้ทัพ ลา โรฆา ตามรอย ฝรั่งเศส ผ่านเข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายโดยที่ เบลเยียม กับ เดนมาร์ก ขับเคี่ยวกันในกลุ่ม เอ2 และ อิตาลี, เนเธอร์แลนด์ และ โปแลนด์ ยังคงเบียดกันจนถึงเกมสุดท้ายของกลุ่ม เอ1
สเปน : ซิมอน (6); โรแบร์โต้ (7), รามอส (6), เปา ตอร์เรส (7), กายา (8); โรดรี (9), กานาเลส (6), โกเก้ (8); เฟร์ราน ตอร์เรส (10), โมราต้า (8), โอลโม (8)
ตัวสำรอง : รุยซ์ (8), การ์เซีย (6), อเซนซิโอ (N/A), โมเรโน (N/A)
เยอรมนี : นอยเออร์ (4); กินเทอร์ (4), ซือเล (3), ค็อค (4), แม็กซ์ (3); กุนโดกัน (3), โกเร็ทซ์ก้า (4), โครส (6); ซาเน (3), กนาบรี (5), แวร์เนอร์ (3)
ตัวสำรอง : ทาห์ (5), นอยเฮาส์ (6), เฮนริคส์ (N/A), วัลด์ชมิดท์ (N/A)
เฟร์ราน ตอร์เรส กลายเป็นทีเด็ดของ หลุยส์ เอ็นริเก้ เมื่อเจ้าตัวเข้าฝักจนแทบเรียกได้ว่าเป็นการงัดฟอร์มที่ดีที่สุดในการค้าแข้งของดาวเตะวัย 20 ปีโดยนอกจากการจบสกอร์ที่โดดเด่น เต็มไปด้วยความมั่นใจรวมถึงเซนส์ล่าประตู ซึ่งสตาร์จากค่าย ซิตีเซนส์ ยังเคลื่อนตัวหาพื้นที่โจมตีอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่อยู่ในสนาม สร้างทางเลือกในการผ่านบอลให้กับเพื่อนร่วมทีมอันเป็นผลให้ ตอร์เรส ตะบัน แฮตทริคในเกมนี้
ขณะที่ฝั่ง ดิ มานชาฟท์ ซึ่งถูกจำกัดการสร้างสรรค์เกมรุกด้วยสัดส่วนการครองบอลอันน้อยนิดเพียง 32 เปอร์เซ็นต์ไม่สามารถสร้างจังหวะเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย มีเพียง โทนี โครส มิดฟิลด์จาก เรอัล มาดริด เท่านั้นที่ดูจะยังคงรักษามาตรฐานการผ่านบอลเอาไว้ได้ยามสบโอกาส แต่บอลในแดนสุดท้ายของ อินทรีเหล็ก ไม่สามารถผ่านเข้าไปทำอันตรายใดๆ เจ้าถิ่นเมื่อทีมขาดการประสานงานที่ดีในแนวรุก
ความพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ 6-0 ของ เยอรมนี นับเป็นการปราชัยด้วยสกอร์ยันเยินที่สุดของพวกเขาในรอบ 89 ปีโดยเป็นการหมดรูปอย่างสิ้นเชิงทั้งด้านแท็คติก การสอดประสานระหว่างผู้เล่น และความกระตือรือล้นของพลพรรค ดิ มานชาฟท์
4-3-3 ของ โยอาคิม เลิฟ โดยมี อิลคาย กุนโดกัน, โทนี โครส และ ลีออน โกเร็ทซ์ก้า ไม่อาจเอาตัวรอดจากการไล่บีบพื้นที่ของ สเปน ได้เลย ขณะที่แนวรุกของ อินทรีเหล็ก ไม่ได้มีการเคลื่อนที่ทำอันตรายแนวรับเจ้าบ้านได้แต่อย่าง รวมไปถึงเกมริมเส้นที่บอดสนิทจาก มัทเธียส กินเทอร์ และ ฟิลิปป์ แม็กซ์ ในตำแหน่งฟูลแบ็คทั้ง 2 ข้าง
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ โยกี้ เลิฟ ต้องรอจนถึงเวลาผ่าน 60 นาทีกว่าขงเบ้งวัย 60 ปีจะขยับเปลี่ยนแท็คติก ซึ่งถึงเวลานั้นลูกทีมของเขาก็ตามหลังแบบกู่ไม่กลับที่สกอร์ 4-0 เข้าไปแล้ว
ฝั่ง ลา โรฆา เจ้าถิ่นที่นอกจาก เฟร์ราน ตอร์เรส จะสำแดงความยอดเยี่ยมชนิด 10/10 คะแนนในเกมนี้ พวกเขายังมี ฟาเบียน รุยซ์ มิดฟิลด์ตัวสำรองซึ่งถูกส่งลงสนามแทน เซร์คิโอ กานาเลส ที่ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่นาทีที่ 12 ยังเป็นคนปิดทองหลังพระ ขับเคลื่อนเกมของ กระทิงดุ ทั้งยามมีบอลในครอบครองและไล่บีบพื้นที่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยยามไม่มีบอล
แข้งวัย 24 ปีจาก นาโปลี ยังมีลูกล่อลูกชนที่แพรวพราว การเล่นอันลื่นไหล และวิสัยทัศน์ในการผ่านบอลยอดเยี่ยม