[OPINION] สำรวจสถานการณ์ ‘บิ๊กซิก’ กับ 6 ประเด็นหลัง พรีเมียร์ลีก รีสตาร์ท

The Top Six Club Badges on Football Shirts
The Top Six Club Badges on Football Shirts | Visionhaus/Getty Images

ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก กลับมาลงสนามกันอย่างทางการอีกครั้งหลังจากที่ต้องหลบให้กับมหันตภัยร้ายของชาวโลกในศตวรรษที่ 20 อย่างเชื้อโควิด-19 ซึ่งประเดิมด้วยคู่ตกค้างอย่าง แอสตัน วิลลา ที่เปิดบ้านเสมอกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด แบบไร้สกอร์ ตามด้วย ‘แชมป์เก่า’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ยังไว้ลายเปิด เอติฮัด ถล่ม อาร์เซนอล ไป 3-0 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

นอกจากผลการแข่งขันแล้วสิ่งที่หลายคนสนใจก็คือสถานการณ์ของบรรดา ‘บิ๊กซิก’ หลังการกลับมา ‘รีสตาร์ท’ อีกครั้งว่าแต่ละทีมนั้นมีประเด็นอะไรที่น่าจับตามองบ้างและอีก 9 นัดที่เหลือพวกเขามีเป้าหมายกันอย่างไร

และนี่คือ 6 ประเด็นของทีมใหญ่หลัง พรีเมียร์ลีก รีสตาร์ท

ลิเวอร์พูล : ถึงเวลาทดลองทีม

ลิเวอร์พูล เข้าใกล้แชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกของพวกเขาในรอบ 30 ปีเข้าไปทุกขณะ ซึ่งเหลืออีกเพียง 6 คะแนนเท่านั้น โดยเกมแรกที่จะลงสนามคือการเดินข้ามสวนสาธารณะสแตนลีย์ ปาร์ค ไปเยือน เอฟเวอร์ตัน ที่ กูดิสัน ปาร์ค

คาดกันว่าแม้ผลการแข่งขันกับคู่อริร่วมเมืองจะไม่ได้ออกมาอย่างที่คิด แต่การคว้าแชมป์ของพวกเขาก็คงไม่พังทลายจากการนำโด่งถึง 22 คะแนน ดังนั้นคำถามที่ตามมาก็คือ สิ่งที่จะต้องทำต่อไปคืออะไร

เอฟเอคัพ และ แชมเปี้ยนส์ลีก ก็ตกรอบไปหมดแล้วไม่เหลืออะไรให้ลุ้นกันอีกต่อไป สิ่งที่คนเป็นโค้ชจะทำได้ในช่วงที่เหลือก็คือการ ‘ทดลองทีม’ เพื่อตรียมตัวป้องกันแชมป์ในซีซันหน้า

นักเตะที่ไม่ค่อยได้ใช้งานหรือพวกที่กำลังเรียกหาความฟิตหลังจากได้รับบาดเจ็บจะได้รับโอกาสในการลงสนามเพื่อให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ ดูตัว ดูฝีเท้าว่าซีซันหน้าเขาจะต้องทำอะไรกับขุนพลชุดนี้บ้าง โดยมีทั้ง นาบี เกอิต้า มิดฟิลด์ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บจะได้โอกาสลงสนามเคาะสนิมเรียกความฟิต ทาคุมิ มินามิโนะ ตัวรุกที่เข้ามาตอนกลางซีซันก็จะได้โอกาสในการลงเล่นเพื่อปรับตัวกับฟุตบอลอังกฤษและ เซอร์ดาน ชากีรี ที่มีข่าวจะย้ายทีมนั่นก็ยังมีเวลาพิสูจน์ตัวเองเช่นกัน

ในรายของพวกดาวรุ่งก็เชื่อว่าอยากให้พี่ ๆ รีบคว้าแชมป์ให้มันจบ ๆ เกมที่เหลือพวกเขาจะได้มีโอกาสบ้าง แต่ที่คาดว่าจะได้รับโอกาสมากกว่าใครเพื่อนน่าจะเป็น เคอร์ติส โจนส์ ที่ คล็อปป์ วางเอาไว้ให้เป็นตัวแทนของ อดัม ลัลลานา ที่จะหมดสัญญาหลังจบฤดูกาลนี้

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : คว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ส่งท้าย?

ในทางทฤษฎีนั้นก็ยังถือว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยังพอมีลุ้นป้องกันแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของตัวเองอยู่บ้าง แค่รอให้ ลิเวอร์พูล พลาดท่าพ่าย 8 จาก 9 เกมเท่านั้น!

เอาเถอะ แม้หลายคนจะเคยบอกว่าบนโลกใบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่เชื่อว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ คงไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ ๆ ดังนั้นการคว้ารักษาพื้นที่ ‘รองแชมป์’ จึงถือเป็นภารกิจสำคัญในการลงเล่นเกมในประเทศของขุนพล ซิตี้

เมื่อลีกกำลังอยู่ตัวรายการอย่าง ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ก็กลายเป็นเป้าหมายหลักขึ้นมาทันที แม้จะมีถ้วย เอฟเอคัพ อีกใบที่ต้องลงป้องกันแชมป์ แต่ถ้าลองไปถามแฟนบอล เรือใบสีฟ้า พวกเขาก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ขอแชมป์ยุโรปแล้วกัน’

พร้อมกับที่มีข่าวลือว่าทาง ยูฟา อาจจะเปลี่ยนแปลงระบบการแข่งขันฟุตบอลถ้วยยุโรปใหม่ โดยให้เป็นการเล่นแบบ ‘มินิทัวร์นาเม้น’ ซึ่งเป็นการเตะแบบนัดเดียวตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้ายที่สนามเป็นกลาง โดยจะจัดกันที่เมือง ลิสบอน โปรตุเกส นั่นอาจจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการคว้าแชมป์มากยิ่งขึ้นก็เป็นได้

สถานภาพปัจจุบันของ ซิตี้ ในตอนนี้พวกเขาลงเล่นเลกแรกในรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปแล้วโดยเอาชนะ เรอัล มาดริด ไป 2-1 ซึ่งหากดูจากฟอร์มการเล่นและความมุ่งมั่นลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ถือว่ามีสิทธิที่จะเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศอย่างแน่นอนและด้วยการที่พวกเขาอาจไม่รอดมาเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าเนื่องจากปัญหาการปลอมแปลงบัญชี บอลยุโรปในปีนี้คงป็นเหมือน ‘เฮือกสุดท้าย’ ที่ต้องฝากชื่อไว้ในฐานะแชมป์ด้วย

เชลซี : แฟรงค์ แลมพาร์ด กับการคว้าพื้นที่ท็อปโฟร์

ในช่วงหยดพักการแข่งขันไปกว่า 3 เดือน เชลซี กลายเป็นทีมที่มีความเคลื่อนไหวในตลาดซื้อขายมากที่สุดในบรรดาท็อปซิก จากการคว้าตัว ฮาคิม ซิเย็ค ล่วงหน้ามาจาก อาแจ็กซ์ และข่าวล่าสุดเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมากับการเตรียมตัวกระชาก ติโม แวร์เนอร์ ตัดหน้า ลิเวอร์พูล

อย่างไรก็ตามท่ามกลางการเซ็นสัญญาอันน่าตื่นเต้นนี้ยังมีคำถามที่น่าสนใจว่า แลมพาร์ด จะพา สิงห์บลู คว้าโควต้าไปเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าได้หรือไม่

การทำงานของกุนซือหนุ่มในฤดูกาลนี้ได้รับคำชมอย่างมากจากบรรดากูรูและผู้คร่ำหวดในวงการ ด้วยสถานการณ์ที่โดนแบนในตลาดซื้อขาย ทำให้เขาต้องให้โอกาสดาวรุ่งได้ก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดและเป็นกำลังสำคัญของทีม แน่นอนว่าฟอร์มการเล่นอาจจะยังไม่สม่ำเสมอเท่าที่ควร แต่การที่ยังรั้งอันดับ 4 เอาไว้ได้จนถึงช่วงโค้งสุดท้ายทำให้หลายคนมองว่า แลมพาร์ด มีอนาคตที่สดใสบนเส้นทางผู้จัดการทีมรออยู่

กระนั้นก็ดีแม้จะเกาะเกี่ยวพื้นที่สำคัญอย่างเหนียวแน่น แต่จากสถิติเสียประตูมากที่สุดในบรรดา 7 ทีมหัวตาราง นั่นเป็นสัญญาณว่า 9 นัดต่อจากนี้ของพวกเขาต้องรวบรวมสมาธิเพื่อไม่ให้หลุดจากตำแหน่งปัจจุบัน เพราะมิเช่นนั้นการลงทุนล่วงหน้าที่เกิดขึ้นอาจจะกลายเป็น ‘ภาระ’ มหาศาลของทีมในอนาคตได้

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ปอล ป็อกบา vs บรูโน แฟร์นันเดส

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำผลงานสุดหรูก่อนปิดลีกหนีโควิดด้วยการไม่แพ้ใคร 11 เกมหลังสุดทำให้พวกเขาขยับขึ้นมารั้งอันดับ 5 ของตารางเป็นที่เรียบร้อย พร้อมอยู่ห่างจาก เชลซี ทีมอันดับ 4 เพียง 3 คะแนนเท่านั้น

การมาของ บรูโน แฟร์นันเดส เมื่อเดือนมกราคมถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทีม เขากลายเป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้ หลังจากที่ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมในแดนกลาง เป็นตัวขับเคลื่อนเกมรุกของทีมและช่วยจุดประกายความหวังในการกลับไปเล่นในเวทีใหญ่ระดับยุโรปของสาวก ปีศาจแดง อีกครั้ง

อย่างไรก็ตามคำถามที่สำคัญก็คือ เมื่อ ปอล ป็อกบา กลับมาทั้ง 2 คนจะเล่นด้วยกันได้หรือไม่ เพราะก่อนหน้านั้นมีกระแสข่าวว่ากองกลางทีมชาติฝรั่งเศสเตรียมที่จะย้ายทีมหลังจบฤดูกาล แต่เมื่อ บรูโน ทำผลงานได้ดีกระแสก็เปลี่ยนไปเป็นการอยากเห็นทั้งสองคนจับคู่กันในแดนกลางเพื่อช่วยพาทีมกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง

แม้ในเกมอุ่นเครื่องที่ผ่านมาดูท่าว่าจะยังไม่เข้าที่เข้าทางซักเท่าไหร่ เมื่อ ป็อกบา จับคู่กับกองกลางโปรตุกีสกลับพาทีมพ่ายให้กับทีมรองบ่อน แต่นั่นเป็นเพียงครั้งแรกของทั้งคู่ซึ่งยังพอมีเวลาปรับจูนก่อนกลับมาลงสนามในสุดสัปดาห์นี้

นี่คือการบ้านสำคัญของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ในการงัดเอาศักยภาพของทั้งคู่ออกมาประสานงานช่วยทีม ซึ่งแฟนบอลเร้ดเดวิลส์ต่างรอคอยที่อยากจะเห็นคู่กองกลางที่มีค่าตัวรวมกันกว่า 150 ล้านปอนด์ขับเคลื่อนสโมสรให้กลับไปอยู่ในจุดที่ควรอีกครั้ง

ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ : แฮร์รี เคน และ ซน-เฮือง มิน คัมแบ็ค

สภาพของ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ นั้นดูไม่ได้เลยในช่วง 3 เดือนก่อน แต่หลังจากที่หยุดแข่งไปทำให้พวกเขาจะได้นักเตะที่เป็นกำลังสำคัญอย่าง แฮร์รี เคน และ ซน-เฮือง มิน กลับมาล่าตาข่ายอีกครั้ง

เดอะสเปเชียลวัน ทำทีมไม่ชนะใครมา 6 เกมหลังสุดก่อนจะหยุดโควิด รวมทั้งการตกรอบฟุตบอลถ้วยอย่าง เอฟเอคัพ และ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก แบบหมดรูปไม่เหลือลายรองแชมป์เก่า นั่นหมายความว่าหลังจากนี้พวกเขาจะกลับมาลุ้นทำอันดับท็อปโฟร์อย่างเต็มตัว

ฟังดูเหมือนจะเป็นงานง่าย แต่ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะด้วยช่องว่างที่ห่างจากอันดับ 4 อยู่ 7 คะแนนกับเกมที่เหลืออีก 9 นัดและต้องโคจรพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด คู่แข่งแย่งท็อปโฟร์กันโดยตรงตั้งแต่ 3 นัดแรกจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถพลาดได้เลย

ดังนั้นการได้ เคน และ ซน กลับมาจึงถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะมีเครื่องจักรล่าตาข่ายในช่วงสถานการณ์แบบนี้ ด้วยสถิติรวมกันยิงไป 33 ประตูในทุกรายการในซีซันนี้ เชื่อได้ว่า มูรินโญ จะต้องแอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจก่อนเกมเจอกับ ยูไนเต็ด เป็นแน่แท้

อาร์เซนอล : อาร์เตต้า กับการรั้ง โอบาเมยอง

หลังจากที่ได้ มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาทำหน้าที่หัวเรือใหญ่แทน อูไน เอเมรี เมื่อเดือนธันวาคม ทิศทางของทีมก็ค่อย ๆ ดีขึ้นโดยพวกเขายังไม่แพ้ใครในเกมลีกมาตั้งแต่ช่วงปีใหม่ จนกระทั่งมาเสียสถิติให้กับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

แง่บวกของทีมเช่นนี้อาจทำให้ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ตัดสินใจอนาคตของตัวเองง่ายขึ้นหลังจากที่ดูอึมครึมมาตั้งแต่ซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่หาก ปืนโต จะดำเนินการอะไรบางอย่างพวกเขาต้องรีบลงมือทำให้เร็วที่สุดเพราะนักเตะเหลือสัญญาเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น

การทำผลงานในอีก 9 เกมที่เหลือให้กระเตื้องขึ้นก็นับเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่จะโน้มน้าวให้ศูนย์หน้าทีมชาติกาบองยอมต่อสัญญากับทีม มิเช่นนั้นในซัมเมอร์นี้ฝ่ายบริหารของสโมสรจะต้องขึ้นป้ายขายดาวยิงวัย 30 ปีทิ้งเพื่อเอาเงินสดเข้าทีม ซึ่งจะมากจะน้อยก็ต้องว่ากันไป ดีกว่าปล่อยให้ย้ายแบบฟรี ๆ เหมือนในหลาย ๆ เคสที่ผ่านมา

ถามว่ากับนักเตะที่เข้าเลข 3 นั้นจะมีประโยชน์กับทีมได้นานขนาดไหน เอาเป็นว่าตอนนี้ โอบา กำลังรั้งอันดับบนตารางดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก โดยซัดไปแล้ว 17 ประตูจาก 29 นัดเป็นรองแค่ เจมี วาร์ดี้ ที่ยิงได้ 19 ประตูคนเดียวเท่านั้น

ดังนั้นสรุปให้ตรงนี้เลยว่าการเก็บ โอบาเมยอง เอาไว้กับทีมต่อไปนั้นจะทำให้ อาร์เซนอล มีลุ้นกลับไปเล่น ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้า แม้ว่าความคิดนี้มีแฟนบอลส่วนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยก็ตาม