สตีเว่น เจอร์ราร์ด คือกัปตันทีมในตำนานของ ลิเวอร์พูล เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีคนคลั่งไคล้มากที่สุดหลังได้สร้างสิ่งที่สุดยอดมากมายตลอด 17 ปีในเครื่องแบบสีแดงเพลิง
แต่การปิดตำนานกับ ลิเวอร์พูล นั้นมันกลับไม่ใช่เรื่องราวดั่งเทพนิยายอย่างที่หลายๆ คนอยากจะให้เป็น หากกลับกลายเป็นฝันร้ายเสียมากกว่า
หลังโดน เบรนแดน ร็อดเจอร์ส จำกัดเวลาการเล่น เจอร์ราร์ด ก็ได้ตัดสินใจที่จะเซ็นสัญญากับ แอลเอ แกแล็กซี่ แบบช็อคโลก แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เดอะ ค็อป เองก็หวังได้เลี้ยงส่งเขาให้ดีที่สุด
แต่ลางร้ายก็เริ่มมาเยือนในเกมแดงเดือดสุดท้ายกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เขาไม่ได้มีชื่อเป็นตัวจริงด้วยซ้ำ
“ผมเจ็บปวดตั้งแต่คืนก่อนหลัง ร็อดเจอร์ส ยืนยันว่าจะไม่ให้ผมเป็นตัวจริง ทั้งๆ ที่มันเป็นเกมสำคัญมากที่ผมต้องการลงสนาม แต่สุดท้ายก็ต้องเคารพการตัดสินใจ” เจอร์ราร์ด กล่าวในภายหลัง
ในเกมนั้น ลิเวอร์พูล ตกเป็นรอง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างชัดเจนและแล้วหลังพักครึ่งสิ่งที่แฟนบอล หงส์แดง ภาวนาไว้ก็เกิดขึ้น
“เริ่มต้นครึ่งหลังผมได้โอกาสลงสนามด้วยความมั่นใจพร้อมเสียงเชียร์ของแฟนบอลทั้ง แอนฟิลด์ เพราะนี่เป็นแดงเดือดสุดท้ายของผม”
การลงสนามไปไม่กี่วินาที เจอร์ราร์ด เองได้แสดงถึงความมุ่งมั่นกว่าน้องๆ ที่อยู่ในสนามมาทั้ง 45 นาทีเสียอีก และเพียงแค่จังหวะแรกเขาก็ไม่ลังเลที่จะเข้าไปแย่งบอลในจังหวะสุ่มเสี่ยงจน ฆวน มาต้า ถึงกับกระเด็น
หากมันจบแค่ตรงนั้นก็คงจะดี แต่ช็อตต่อมาไม่กี่วินาทีหลัง เจอร์ราร์ด จ่ายบอลสั้นออกไปเขาเองก็ไปย่ำใส่ข้อเท้าของ อันเดอร์ เออร์เรรา ที่พยายามเข้ามาแย่งบอล
แม้จะขอโทษแล้วเหมือนจะไม่ตั้งใจแต่ มาร์ติน แอตกินสัน กรรมการที่ทำหน้าที่ในวันนั้นก็วิ่งมาให้ใบแดงเขาอย่างไม่ลังเล และเมื่อดูจากภาพช้ามันก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
“เวย์น รูนีย์ วิ่งเข้ามากดดันและมองที่ผม เขารู้ว่าผมโดนแน่เพราะเคยอยู่ในสถานการณ์เดียวกันตอนฟุตบอลโลกนัดเจอ โปรตุเกส เขาคุยกับ แอทกินสัน ที่ล้วงกระเป๋าบนและผมรู้ว่ามันจะเป็นใบแดง”
“ผมเดินออกจากสนามไป, พึมพัมกับตัวเองและส่ายหัว ‘นี่แกทำอะไรลงไป?’ ผมถามส่วนสัญชาติญานดิบของตัวเอง ‘แกมันงี่เง่าขนาดนี้เลยเหรอ?'”
จบเกมนั้น ปีศาจแดง สามารถเอาชนะ หงส์แดง ได้คา แอนฟิลด์ ที่ 2-1 พร้อมกับการที่ เจอร์ราร์ด กลายเป็นผู้ทำสถิติโดนใบแดงเร็วที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ตอนนั้นที่ 38 วินาที
แต่ฝันร้ายของ เจอร์ราร์ด ก็ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ฤดูกาลนี้ถือว่าเป็นอะไรที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงไล่ตั้งแต่ตกรอบ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ลีกคัพ และ เอฟเอคัพ และที่เจ็บปวดส่งท้ายก็คือการแพ้ สโต๊ก ซิตี้ ถึง 6-1 ในเกมปิดฤดูกาล พรีเมียร์ลีก และทีมจบแค่อันดับ 6 เท่านั้น
แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินรับไหวขนาดยังไม่นับเหตุการณ์จากปีก่อนๆ ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามตำนานก็คือตำนานและต่อให้ เจอร์ราร์ด จะโชคร้ายแค่ไหนเขาก็ยังคงเป็นที่รักเป็นอันดับต้นๆ ของแฟนบอล ลิเวอร์พูล ที่พร้อมอยู่เคียงข้างเขาพร้อมรอร้องเพลง ‘You will never walk alone’ ต้อนรับยามที่กลับมาในถิ่น แอนฟิลด์ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะอะไรก็ตามอยู่ดี