เชื่อว่าตอนนี้หลายฝ่ายก็กำลังลุ้นกันอยู่ว่า พรีเมียร์ลีก ในซีซันนี้จะสามารถแข่งขันกันจนจบตามโปรแกรมที่เหลือได้หรือไม่
อย่างไรก็ตามแม้จะยังไม่มีคำตอบอะไรออกมาชัดเจน แต่ The Stats Perform ทีมงานที่ทำงานเกี่ยวกับการใช้ AI ในการคำนวณค่าสถิติต่าง ๆ ในวงการกีฬาก็ได้ลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าหากว่าการแข่งขันสามารถกลับมาแข่งต่อได้จนจบแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
สถิติที่นำมาคิดนั้นเพื่อให้ AI นั้นได้จำลองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็มีทั้ง คุณภาพของเกมรุกและรับของทั้ง 20 ทีมโดยเป็นการเก็บข้อมูลย้อนหลัง 4 ปี, การคำนวณคุณภาพของทีมคู่ฝ่ายตรงข้ามทั้งการทำประตูและการเสียประตูและคิดออกมาเป็นผลการแข่งขัน, การใช้สูตรทางคณิตศาสตร์คำนวณแม็ตช์ที่กำลังจะมาถึงโดยใช้ข้อมูลจากเกมรุกและเกมรับของทั้งสองทีม และการจำลองสถานการณ์ผลการแข่งขันออกมาถึง 10,000 เหตุการณ์ที่แตกต่างกัน เพื่อคำนวณหาโอกาสความเป็นไปได้ที่ใกล้เคียงที่สุดเพื่อหาตำแหน่งสุดท้ายของแต่ละทีมหลังจบนัดที่ 38
อาจจะอ่านแล้วงง ๆ กันหน่อย แต่ก็เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่นำมาคิดนั้นมีพื้นฐานจริง ๆ ไม่ใช่การจับแพะชนแกะแต่อย่างใด ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าเมื่อ AI คำนวณเรียบร้อยแล้วผลที่ออกมานั้นจะเป็นอย่างไร
1. ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ด้วยการทำสถิติใหม่ 101 คะแนน!
ผลที่ออกมานั้นอาจจะถูกใจสาวก ลิเวอร์พูล ทั่วโลก เมื่อคอมพิวเตอร์บอกเราว่า พวกเขาจะกลายเป็นแชมป์ที่ทำแต้มได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก และยังเป็นสถิติตลอดกาลของการแข่งขันฟุตบอลลีกในอังกฤษอีกด้วย
นั่นหมายความว่า หงส์แดง จะไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ทุกนัดในเกมที่เหลือ ซึ่งอาจจะมีเกมที่แพ้บ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะสามารถทำลายสถิติที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยทำไว้เมื่อซีซัน 2017-2018 ที่ 100 คะแนนลงได้โดยเหนือกว่าเพียงแต้มเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อนำสถิตินี้มาเทียบกันใน 5 ลีกใหญ่ในยุโรป พลพรรคหงส์แดงก็ยังแพ้ให้กับ ยูเวนตุส จาก กัลโช เซเรีย อา ที่เคยทำไว้ 102 คะแนนในซีซัน 2013-2014 อยู่ดี
2. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าอันดับ 2 ด้วยสถิติแต้มห่างมากที่สุด!
แน่นอนว่าเมื่อ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ไปแล้ว แมนฯ ซิตี้ ก็ต้องซิวอันดับ 2 ตามระเบียบ ซึ่งเมื่อ AI คำนวณออกมาพวกเขาจะเก็บได้ 80 คะแนนจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน 57 คะแนน ซึ่งทำให้กลายเป็นทีมอันดับ 2 ที่มีคะแนนห่างจากแชมป์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 21 คะแนนเลยทีเดียว
นี่ก็เป็นอีกครั้งที่จะเป็นการทำลายสถิติของทีม เรือใบสีฟ้า ที่เคยทำไว้เมื่อซีซัน 2017-2018 ที่พวกเขาทิ้งห่าทีมอันดับสองในตอนนั้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป 19 คะแนน
นอกจากนั้นแล้ว AI ยังบอกกับเราว่า เบรนแดน ร็อดเจอร์ สามารถพา เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าตั๋วไปลุย ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จด้วยการคว้าอันดับ 3 ไปครอง โดยมีคะแนนเหนือทีมอันดับ 5 อยู่ 6 คะแนน
3. เชลซี คว้าท็อปโฟร์ ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด อันดับ 5!
ตำแหน่งที่กำลังลุ้นกันก่อนหน้าที่จะหยุดการแข่งขันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดนั้นก้คือ ท็อปโฟร์ ซึ่งเมื่อดูจากคะแนนในตอนนี้จะพบว่า เชลซี ยังคงรั้งอันดับ 4 ด้วยการมี 48 คะแนนจาก 29 นัด ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นตามหลังเพียง 3 คะแนนโดยมี 45 คะแนนจาก 29 เกมเท่ากัน
เมื่อ AI ทำการคำนวณออกมาพบว่าอันดับไม่ขยับแต่อย่างใด จบ 38 นัด สิงห์บลู ของ แฟรงค์ แลมพาร์ด สามารถกอดที่ 4 ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นด้วยการมี 63 คะแนนมีแต้มห่างจาก เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับ 3 อยู่ 4 คะแนน
ส่วนทีมอันดับ 5 ก็เหมือนเดิมคือ เร้ดเดวิลส์ ซึ่งจบซีซันตามหลัง เชลซี 2 คะแนน แต่ก็อาจจะได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก เนื่องจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่น่าจะอุทธรณ์กรณีไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์ผ่าน
อันดับ 6-8 ก็ไล่กันลงมาเป็น ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ , วูล์ฟแฮมตัน และ อาร์เซนอล ซึ่งหมายความว่าทีมของ มิเกล อาร์เตต้า อดไปแม้กระทั่ง ยูโรป้าลีก ในซีซันหน้า
4. วัตฟอร์ด รอดตกชั้น บอร์นมัธ ช้ำลงไปเล่น เดอะแชมเปี้ยนชิพ!
3 ทีมที่จะตกชั้นหลังการคำนวณได้แก่ บอร์นมัธ, แอสตัน วิลลา และ นอริช ซิตี้ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ในปัจจุบันเช่นเดียวกัน
ส่วน เวสต์แฮม ของ เดวิด มอยส์ นั้นสามารถรอดพ้นการลงไปเล่น เดอะแชมเปี้ยนชิพ ได้อย่างหวุดหวิด ที่ต้องลุ้นกันชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดก็คือ วัตฟอร์ด ของ ไนเจล เพียร์สัน ที่ทำได้ 36 คะแนนเท่ากับ บอร์นมัธ ของ เอ็ดดี้ ฮาว แต่พวกเขารอดชีวิตด้วยประตูได้เสียที่ดีกว่าเท่านั้น
ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอะไร เดอะเชอร์รีส์ ได้หรือเปล่า แต่การได้ 36 คะแนนนั้นถือเป็นแต้มที่มากสุดที่ทีมตกชั้นทำได้ในรอบ 4 ปีเลยทีเดียว