การแข่งขัน | ฟุตบอล เอฟเอ คัพ 2019/20 |
วันแข่งขัน | คืนวันอังคารที่ 4 มีนาคม 2020 |
เวลาแข่งขัน | 02.45 น. ตามเวลาประเทศไทย |
ผลการแข่งขัน | เชลซี 2-0 ลิเวอร์พูล |
สนาม | สแตมฟอร์ด บริดจ์ |
ประเด็นร้อนหลังเกม
ความเป็นไปของเกม
เกมนี้ทั้งสองทีมต่างส่งผู้เล่นชุดผสมระหว่างตัวหลักและดาวรุ่งลงสนาม ซึ่งเริ่มเกมเป็น หงส์แดง ที่ดูเหมือนจะทำได้ดีกว่าเล็กน้อย แต่หลังจาก สิงห์บลู ตั้งเกมบุกของตัวเองได้ทั้งคู่ก็แลกหมัดกันได้อย่างสนุกสูสี จนเป็นเจ้าบ้านเชลซี ที่ได้ประตูออกนำก่อนจากความผิดพลาดของนักเตะ ลิเวอร์พูล ซึ่งจากนั้นทีมเยือนเองก็พยายามบุกหนักเพื่อหวังเอาประตูคืน แต่ยังไม่เฉียบขาดกันมากพอ ทำให้จบ 45 นาทีแรก สิงโตน้ำเงินครามออกนำก่อน 1-0
เริ่มเกมในครึ่งหลัง เชลซี ปรับหมากโดยการถอยลงมาตั้งรับ และปล่อยให้ผู้มาเยือนโหมบุกเข้าใส่ และมันก็ได้ผลแทบจะในทันที เมื่อพวกเขาได้ประตูที่ 2 จากการสวนกลับเร็วตั้งแต่ช่วงต้น ซึ่งหลังจากนั้นเกมก็ดูเหมือนจะอยู่ในความควบคุมของ สิงโตน้ำเงินคราม ทั้งหมด โดย ลิเวอร์พูล เองก็พยายามบุกแต่ทำยังไงก็ไม่สามารถเจาะแนวรับอันแข็งแกร่งของ เชลซี ได้เลย แถมยังโดนลูกโต้กลับเล่นงานอยู่เรื่อย ๆ จนจบ 90 นาที ไปด้วยชัยชนะของ สิงห์บลู แบบเอกฉันท์ ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายต่อไป
หงส์แดง เล่นต่ำกว่ามาตรฐาน
ต้องบอกเลยว่ารูปเกมของ ลิเวอร์พูล ในวันนี้นั้นเรียกได้ว่า “แพ้ราบคาบ” แม้ว่าจะครองบอลบุกได้ แต่ไม่สามารถทำอันตรายแนวรับของ เชลซี ได้เลย โดยเฉพาะครึ่งเวลาหลัง เพราะถ้าพวกเขาคม ๆ กันกว่านี้สักหน่อย ผลการแข่งขันคงไม่ออกมาขาดเช่นนี้ แถมแนวรับในวันนี้ทั้ง ฟาน ไดจ์ค โกเมซ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟาบินโญ ต่างโชว์ฟอร์มได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่พวกเขาทำเอาไว้อยู่พอสมควร เมื่อหน้าไม่ยิง แล้วหลังก็ดันไม่เหนี่ยวอีก สภาพก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น ๆ กันนั่นแหละ
ทีเด็ดเกมโต้กลับของ สิงห์บลู
อย่างที่กล่าวไป เกมนี้โอกาสส่วนใหญ่ของ เชลซี มาจากจังหวะสวนกลับ โดยเฉพาะในครึ่งเวลาหลัง ที่ หงส์แดง โหมบุกเข้าใส่ ทำให่แผงหลังลอยสูงเปิดพื้นที่ด้านหลังไว้ค่อนข้างเยอะ จึงเป็นจุดที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด เลือกใช้ในการโจมตีแนวรับอันแข็งแกร่งของ ลิเวอร์พูล ในเกมเมื่อคืนนี้
เหล่าบรรดาแข้งสิงโตน้ำเงินคราม ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี เพราะสามารถตั้งรับได้อย่างเหนี่ยวแน่น และในขณะเดียวกันก็สามารถเล่นงานคู่แข่งโดยอาศัยความเร็ว ความแข็งแกร่งในการสวนกลับ ขาดแต่เพียงอย่างเดียวนั่นคือความเฉียบขาด มิฉนั้นพวกเขาอาจจะชนะได้มากถึง 4-5 ประตูไปแล้วก็เป็นได้
สองดาวรุ่งจากทั้งสองทีม ฉายแววโดดเด่น
เกมนี้อาจจะเป็นเกมแจ้งเกิดของ 2 ดาวรุ่งอย่าง บิลลี กิลมอร์ ของ เชลซี และ เนโก วิลเลียมส์ ของ ลิเวอร์พูล อย่างเป็นทางการก็ว่าได้
โดยรายของ วิลเลียมส์ แบ็คขวาทีมชาติเวลส์ วัย 18 ปี หากใครได้ติดตามดู หงส์แดง ในรายการฟุตบอลถ้วย ก็คงจะเคยเห็นหนุ่มน้อยรายนี้ ลงมาวาดลวดลายในสนามอยู่บ่อย ๆ ซึ่งในระยะหลังรวมถึงเกมวันนี้ต้องบอกเลยว่า ฟอร์มเจ้าตัวค่อนข้างจะโดดเด่นมาก ๆ ด้วยทักษะเบสิก ความเร็ว และเซนต์บอลที่ดูจะเก่งเกินวัย คาดว่าเร็ว ๆ นี้ ลิเวอร์พูล คงจะมี “นิว เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์” แจ้งเกิดอีกรายอย่างแน่นอน
ส่วนฟาก เชลซี ก็มี บิลลี กิลมอร์ กองกลางดาวรุ่งชาวสกอตแลนด์วัย 18 ปี เช่นกัน ที่เกมนี้ดูแล้วนึกว่ามี เอ็นโกโล ก็องเต้ มายืนเป็นตัวรับ เพราะเจ้าตัวมีทั้งพละกำลังและความขยัน วิ่งขึ้น-ลง เติมเกมรุก ช่วยเกมรับ ตลอด 90 นาที แถมเบสิกของหนุ่มน้อยรายนี้ก็ไม่ธรรมดา นิ่งและเยือกเย็นเกินอายุ จนสามารถคุมเกมในแดนกลางเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัดในนัดนี้
เกปา กลับมาแล้ว !
ช่วงหลังหากใครได้มีโอกาสติดตามดู เชลซี จะทราบดีว่าปัจจุบัน เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ได้เสียตำแหน่งผู้รักษาประตูมือ 1 ในทีมให้กับ วิลลี กาบาเยโร ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะฟอร์มในช่วงหลังของนายทวารดีกรีทีมชาติสเปนรายนี้ นับว่าออกทะเลไปไกลขึ้นทุกวัน ๆ แถมมักจะมีความผิดพลาดที่ไม่น่าเกิดขึ้นให้เห็นกันบ่อย ๆ จนถึงกับมีข่าวว่า แลมพาร์ด พร้อมจะโละเขาออกจากทีมหน้าร้อนนี้
แต่ดูจากฟอร์มเมื่อคืน อาจจะถึงกับทำให้ ป๋าแลมพ์ ต้องกลับมาทบทวนครุ่นคิดกันเลยทีเดียวว่า จะใช้ใครเป็นมือ 1 ของทีมดี เพราะอย่างทีเห็น เกมนี้ เกปา มีจังหวะเซฟสวย ๆ อย่างน้อย 5 ครั้งรวมทั้งจังหวะมหัศจรรย์ที่เจ้าตัวโชว์เซฟ 3 ดอกติดต่อกันแบบหล่อ ๆ และพาทีมเขารอบแบบสวย ๆ
ต้องมาลุ้นกันว่าจากผลงานในนัดนี้จะสามารถเปลี่ยนใจ กุนซือซูเปอร์แฟรงค์ ได้หรือไม่ และเจ้าตัวจะรักษาฟอร์มแบบนี้เอาไว้ได้อีกนานไหม รวมถึงอนาคตในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ จะเป็นอย่างไร ซัมเมอร์นี้คงได้รู้กัน