4. บอร์นมัธ ดีไม่สุด
แม้เกมรับของ บอร์นมัธ จะไม่เด็ดขาดมากพอที่จะรับมือกับแนวรุกของ ลิเวอร์พูล อย่างที่ แอตเลติโก มาดริด หรือ วัตฟอร์ด เคยทำได้ แต่แนวรุกของพวกเขาก็สร้างความกดดันให้กับ หงส์แดง อย่างเห็นได้ชัด
คัลลัม วิลสัน ที่มักเคลื่อนที่ลงต่ำมีส่วนร่วมกับการช่วยไล่บอลที่แดนกลางก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนทำประตูเบิกร่อง ทว่าความผิดพลาดส่วนบุคคลของ แจ็ค ซิมพ์สัน ที่ดันเสียบอลหน้าปากประตูของตนเองก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมให้ทีมถูกตีเสมอในช่วงกลางครึ่งแรกก่อนที่พวกเขาจะเป๋เสียประตูที่ 2 ในอีกไม่กี่อึดใจให้หลัง
3. คัลลัม วิลสัน ปั่นป่วนแนวรับ เร้ดแมชีน
กองหน้าชาว อังกฤษ วัย 28 ปีสามารถต่อกรกับแนวรับอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ โจ โกเมซ ได้อย่างน่ประทับใจแม้ว่าเพื่อนร่วมทีมของเขาจะไม่สามารเปิดป้อนบอลสร้างสรรค์โอกาสได้บ่อยครั้งนักก็ตาม
วิลสัน กลายเป็นศูนย์กลางของแนวรุก เชอร์รีส์ แทบทุกครั้งที่พวกเขาเดินหน้าล่าประตู และจะเป็นส่วนสำคัญในการดิ้นรนหนีพื้นที่ตกชั้นในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล รวมทั้งการติดทัพ ทรีไลอ้อนส์ ไปลุยศึก ยูโร 2020 ในช่วงซัมเมอร์นี้
2. หงส์แดง คัมแบ็คเปลี่ยนโมเมนตัม
กลายเป็นเกมที่ เจมส์ มิลเนอร์ ที่ออกสตาร์ทในตำแหน่งแบ็คซ้ายแทนที่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือล้นอย่างต่อเนื่อง ต่างจาก โจ โกเมซ ซึ่งถูก คัลลัม วิลสัน ฉวยโอกาสชิงบอลในแนวรับก่อนเป็นเหตุให้เสียประตูแรก
หงส์แดง ยังดูจะออกอาการเป๋ต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงต้นเกมเมื่อเป็นลูกทีมของ เอ็ดดี้ ฮาว ที่สร้างโอกาสได้เด็ดขาดมากกว่า แต่ท้ายที่สุด ความเด็ดขาดของ ซาดิโอ มาเน, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และวิสัยทัศน์ของ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ก็ช่วยเปลี่ยนโมเมนตัมของเกมได้ในที่สุด
1. ฟาน ไดค์ คีย์แมน
แม้ว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ ซาดิโอ มาเน จะมีชื่ออยู่บนพาดหัวในฐานะที่เป็นผู้ยิงประตูให้ทีมเก็บชัยชนะในเกมนี้ แต่เซ็นเตอร์แบ็คอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ กลายเป็นรากฐานสำคัญของเกมที่ทำให้ หงส์แดง สามารถซิว 3 แต้มจาก บอร์นมัธ ได้
ปราการหลังทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ ได้ 1 แอสซิสต์เมื่อเป็นคนผ่านบอลทะลุช่องให้กับ มาเน พังประตูแซงขึ้นนำ 2-1 และกลายเป็นประตูชัยในที่สุด