นอริช ซิตี้ 0-1 ลิเวอร์พูล : ชำแหละ 5 ประเด็นร้อนหลังศึก พรีเมียร์ลีก คืนวันเสาร์

5. ความเป็นไปของเกม

หลังเสียงนกหวีดเริ่มต้นเกมที่ แคร์โรว์ โร้ด รูปเกมเป็นไปตามคาดเมื่อ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายครอบครองบอลไล่ขโยกเข้าใส่ นอริช ซิตี้ อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการประสานงานที่แดนกลางจากการขับเคลื่อนของ นาบี เกอิต้า- โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดยมี เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เติมขึ้นไปสนับสนุนที่กราบชวาคอยครอสบอลเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่ทัพ นกขมิ้น อาศัยการตั้งรับอย่างมีวินัยเพื่อรอจังหวะสวนกลับเร็วโดยมี ท็อดด์ คานท์เวลล์ เป็นตัวพลิกบอลและ ตีมู ปุ๊กกี้ เป็นทีเด็ดที่แดนหน้า

เกมรับของ เดอะคานารีส์ ทำได้อย่างยอดเยี่ยมจนสามารถรักษาสกอร์ 0-0 ได้อยู่ในครึ่งแรก จบโมเมนตัมของเกมช่วงกลางครึ่งหลังมาอยู่กับพวกเขาเมื่อ อเล็กซานเดอร์ เท็ตเทย์ ตะบันไกลจากนอกกรอบไปชนโคนเสาอย่างจัง แต่เสียงปลุกเร้าของกองเชียร์เจ้าถิ่นก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อ ซาดิโอ มาเน ลุกจากม้านั่งสำรองลงไปสร้างความวูบวาบที่ริมเส้นฝั่งซ้ายก่อนจะพังประตูชัยให้กับ หงส์แดง ในที่สุด

4. ยกนิ้วให้แนวรับ นอริช

แม้ทีมของ แดเนียล ฟาร์เค จะจมอยู่ในอันดับบ๊วยบนตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก แต่นับว่าแนวรับของ เดอะคานารีส์ เล่นได้อย่างมีระเบียบวินัยตลอดทั้ง 78 นาทีก่อนที่จะเสียประตู

เซ็นเตอร์แบ็คเจ้าของปลอกแขนกัปตันทีมอย่าง แกรนท์ ฮานลีย์ ทำหน้าที่ผู้นำในแดนหลังของเจ้าถิ่นแทบจะสมบูรณ์แบบเมื่อดักเก็บพายุเกมรุกของทีมเยือนไว้ได้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าทำนบจะมาแตกเอาในช่วงท้ายเกมก็ตาม

สถิติของ แกรนท์ ฮานลีย์:

  • แย่งบอลจากคู่ต่อสู้สำเร็จมากที่สุดในสนาม 5 ครั้ง (ร่วมกับ อเล็กซานเดอร์ เท็ตเทย์)
  • เคลียร์บอลพ้นอันตราย 5 ครั้ง (มากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 จากนักเตะทั้งหมด)

3. เฮนโด้ แผลงฤทธิ์เมื่อมี ฟาบินโญ คัดท้าย

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ออกสตาร์ทด้วยการรับบทบาทยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวต่ำคอยเก็บกวาดบอลก่อนที่จะไปถึงแนวรับรวมทั้งการขับเคลื่อนเกมรุกจากกลางไปหน้า เจ้าตัวทำได้น่าพอใจในระดับหนึ่งทว่าเขายิ่งโดดเด่นมากขึ้นกว่าดิมในครึ่งเวลาหลังและกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมนี้

ฟาบินโญ ถูกส่งลงสนามแทนที่ จินี ไวนัลดุม ในนาทีที่ 60 ซึ่งกองกลาง บราซิเลียน ลงไปยืนต่ำแทนที่ เฮนโด้ ขณะที่กองกลางชาว อังกฤษ ขยับสูงขึ้นมากกว่าเดิมโดยที่แนวรับของ นอริช ถอยร่นไปแพ็คเกมอย่างแน่นหนา

ผลพวงจากการปรับแท็คติกของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ทำให้กัปตันทีม หงส์แดง มีส่วนร่วมกับเกมรุก รวมทั้งยังมีพื้นที่ให้เล่นมากขึ้นกว่าเดิมจนเจ้าตัวกลายเป็นคนแอสซิสต์วางบอลยาวให้ มาเน หลุดเข้าไปพังประตูให้ทีมคว้าชัยในท้ายที่สุด

2. มาเน สวมบทพระเอก

แม้ว่า ซาดิโอ มาเน เพิ่งจะจากอาการบาดเจ็บและมีชื่อเป็นเพียงตัวสำรองในเกมนี้แต่ท้ายที่สุดเจ้าตัวก็ถูก เยอร์เก้น คล็อปป์ เข็นลงสนามแทนที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน ในครึ่งเวลาหลัง ก่อนจะนำไปสู่จุดเปลี่ยนของเกมในท้ายที่สุด

เห็นได้ชัดว่าดาวเตะทีมชาติ เซเนกัล สามารถยกระดับเกมรุกของ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะที่กราบซ้ายได้ลงตัวยิ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อมีการประสานงานที่ลงตัวกับเพื่อนร่วมทีมก่อนที่เจ้าตัวจะได้จังหวะสมบูรณ์แบบเมื่อรับบอลวางยาวจาก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หลุดเข้าไปยิงประตูชัยให้กับทีมสำเร็จ

1. สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ

  • ลิเวอร์พูล ทำสถิติเก็บชัยชนะใน พรีเมียร์ลีก ติดต่อกัน 17 เกมเข้าไปแล้ว เหลือการคว้าชัยอีกเพียงแค่เกมเดียวก็จะเทียบเท่าสถิติสูงสุดตลอดกาลของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ทำได้ 18 เกมระหว่างเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2017
  • หงส์แดง เป็นฝ่ายทำประตูได้ก่อน นอริช ในการพบกันบนเวที พรีเมียร์ลีก 14 เกมหลังสุด ทำให้พวกเขาทำสถิติการเป็นฝ่ายยิงประตูได้ก่อนเทียบเท่าสถิติสูงสุดของ เชลซี ที่ยิงใส่ พอร์ทสมัธ 14 เกมเท่ากัน
  • ทักนกขมิ้น สามารถเก็บชัยชนะได้เพียง 1 นัดจาก 13 เกมหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก (เสมอ 5 แพ้ 7) และไม่สามารถยิงประตูติดต่อกันในลีก 2 นัดได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2019
  • ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถรักษาคลีนชีทในลีกสูงสุด 10 นัดจาก 11 เกมหลังสุดโดยก่อนหน้านี้ 11 เกมพวกเขาไม่เสียประตูเพียง 1 แมตช์เท่านั้น
  • ซาดิโอ มาเน พังประตูที่ 100 ในสำหรับการลงเล่นที่ อังกฤษ เมื่อรวมทุกรายการ (25 ประตูให้กับ เซาปธมป์ตัน และ 75 ประตูสำหรับ ลิเวอร์พูล)
  • นอกจากนี้ยังนับเป็นประตูที่ 57 ของ มาเน ในยูนิฟอร์ม หงส์แดง บนเวที พรีเมียร์ลีก แต่เป็นประตูแรกของเขากับทีมในฐานะตัวสำรอง
  • จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้แอสซิสต์เป็นครั้งที่ 5 ใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ มีเพียงซีซํน 2014/15 และ 2013/14 เท่านั้นที่เจ้าตัวทำแอสซิสต์ได้มากกว่านี้ (9 และ 7 ครั้งตามลำดับ)
  • เร้ดแมชีน จบครึ่งแรกใน 2 เกมล่าสุดด้วยผลไร้สกอร์ นับเป็นเพียง 2 นัดจากทั้งหมด 24 เกมในลีกเท่านั้นในซีซันนี้ที่จบลงด้วยสกอร์ 0-0
  • นอริช ไม่สามารถยิงตรงกรอบในครึ่งแรกเป็นครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของ แดเนียล ฟาร์เค นอกจากนี้ยังนับเป็นครั้งแรกเมื่อรวมเกมลีกทุกระดับของพวกเขานับตั้งแต่การพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนเมษายน 2014