แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-2 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : เก็บตกทุกประเด็นร้อนหลัง แมนเชสเตอร์ดาร์บี้

6. ซิตี้ ไม่ได้ไร้เทียมทาน

ปีศาจแดง เป็นอีกทีมที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เรือใบสีฟ้า ภายใต้การคุมทีมของ เป๊บ กวาร์ดิโอลา ไม่ใช่ทีมที่ไร้เทียมทานแต่อย่างใด

แม้ แมนฯ ซิตี้ จะเป็นฝ่ายที่สามารถครองบอลมากกว่าอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่เสียงนกหวีดเริ่มต้นเกม แต่วินัยของเกมรับ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็สามารถยันบรรดาแนวรุกมหาประลัยของเจ้าถิ่นได้อย่างแข็งแกร่ง ก่อนใช้จังหวะฉาบฉวยสวนกลับเร็วเมื่อ ซิตี้ เสียบอลกลางทางโดยมีคีย์แมนอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ แดเนียล เจมส์ ถ่างแผงหลังของพลพรรค ซิตีเซนส์ ที่ริมเส้นทั้ง 2 ฝั่งโดยมี อองโตนี มาร์กซิยาล ปักหลักโจมตีคู่เซ็นเตอร์แบ็ค

เกมยิ่งเข้าทาง ผีแดง เมื่อพวกเขาพัง 2 ประตูใส่ ซิตี้ ได้ตั้งแต่ครึ่งแรกก่อนที่จะสามารถยันพวกเขาได้อยู่เกือบตลอดครึ่งหลัง

5. ปัญหาไม่หยุดหย่อนของ เป๊บ

จอห์น สโตนส์ กลายเป็นแข้งคีย์แมนคนล่าสุดที่ตามรอยทั้ง ไอเมอริค ลาปอร์ต และ เซร์คิโอ อเกวโร ถูกโรคเดี้ยงเล่นงาน

โดย สโตนส์ ได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามตั้งแต่นาทีที่ 59 ของเกมแทนที่โดย นิโกลาส์ โอตาเมนดี้ ทำให้ทีมเหลือแค่เพียง โอตาเมนดี้ เท่านั้นที่เป็นเซ็นเตอร์แบ็คอาชีพโดยมี เอริค การ์เซีย ดาวรุ่งวัย 18 ปีเป็นกำลังเสริม และแม้พวกเขาจะมี แฟร์นันดินโญ​ กับ โรดริโก ที่สามารถถอยลงมาประจำการในตำแหน่งดังกล่าวได้แต่ก็น่าเป็นกังวลแทน เป๊บ ไม่น้อยเมื่อทีมต้องเจอกับวิกฤตแข้งเดี้ยงในช่วงที่โปรแกรมชุกที่สุดของฤดูกาล

4. ช่องว่างที่ยากจะกวดทัน

ผลจากความพ่ายแพ้ของ แมนฯ ซิตี้ ในเกมนี้และชัยชนะของ ลิเวอร์พูล เหนือ บอร์นมัธ ในช่วงก่อนหน้าทำให้ เรือใบสีฟ้า ถูกทิ้งห่างไปแล้วถึง 14 คะแนนหลังจบแมตช์เดย์ 16

ในขณะที่ หงส์แดง ดูยิ่งเล่นพวกเขายิ่งมั่นใจแต่ ซิตี้ กลับไม่สามารถรักษาความต่อเนื่องเอาไว้ได้ ส่วนผสมที่ดูใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบบนหน้ากระดาษกลับถูกเล่นงานเกมแล้วเกมเล่า แต้มที่พวกเขาทำหล่นหายยิ่งถูกคู่แข่งในการแย่งลุ้นแชมป์ถ่างช่องว่างออกไปอีกจนตำแหน่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก ไม่ได้อยู่ในกำมือของพวกเขาอีกต่อไป

3. แรชฟอร์ด กับความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม

เห็นได้ชัดผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในสนามโดยเฉพาะในครึ่งแรกไม่ใช่ใครนอกจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด หัวหอกหมายเลข 10 ของทีม ปีศาจแดง ที่ดูฟอร์มดีขึ้นผิดหูผิดตาทีเดียวในหลาย ๆ เกมที่ผ่านมา โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดจากเจ้าตัวนอกจากความเร็ว ความคล่องตัวแล้วนั้น ความมั่นใจดูเหมือนจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้จากสีหน้าแววตาของเจ้าตัว ที่บ่งบอกเป็นนัยว่ามีอยู่เต็มเปี่ยม ณ เวลานี้ สังเกตได้จากวันนี้ จะกล้าเล่น กล้าเลี้ยง และจังหวะจบสกอร์ก็ทำได้ดีเป็นพิเศษ ดูไปก็มีความคล้ายกับ คริสเตียโน โรนัลโด้ ขึ้นทุกวัน ๆ ซึ่งนั่นคงเป็นผลมาจากการฝึกซ้อมอย่างหนัก บวกกับความมั่นใจในช่วงนี้ เลยทำให้อะไร ๆ ก็ออกมาดูดีไปเสียหมด แฟน ๆ ก็คงได้แต่หวังว่า เจ้าตัว จะคงฟอร์มการเล่นแบบนี้เอาไว้ให้ได้ตลอดทั้งปี ไม่ใช่แค่ 3 วันดี 4 วันไข้ เหมือนที่ผ่าน ๆ มา

2. เกมโต้กลับยังคงอันตรายสุด ๆ เสมอ

อย่างที่ทราบกันดีว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มักจะทำได้ดีเมื่อเจอกับทีมใหญ่ ๆ นั่นก็เป็นเพราะ พวกเขาจะได้เล่นเกมที่พวกเขาถนัดที่สุด ซึ่งก็คือ การโต้กลับโดยอาศัยความเร็วของผู้เล่นในแนวรุกนั่นเอง และวันนี้ผลการแข่งขันที่ออกมาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นกันอีกครั้งว่า มันก็คงยังได้ผลยอดเยี่ยม แม้ว่าคู่แข่งตรงหน้าจะเป็นถึง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า ก็สามารถไม่รอดจากความเร็วขั้นสุดของทั้ง แรชฟอร์ด เจมส์ หรือแม้แต่ มาร์กซิยาล ไปได้ แต่ก็ต้องชมเกมรับในวันนี้ ที่ช่วยกันหยุดเกมรุกที่ว่ากันว่าดุดันที่สุดทีมหนึ่งของโลกเอาไว้ได้ เพราะนั่นก็เป็นหัวใจสำคัญของเกมโต้กลับเช่นกัน ถ้าเกมรับไม่แน่น การสวนกลับก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อทั้งสองอย่างลงตัวทั้งรุกและรับ ผลที่ออกมาก็เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นกันในเกมนี้

1. ปีศาจแดง ขยับขึ้นสู่หัวตารางแล้ว

จาก 3 คะแนนเหนือ เรือใบสีฟ้า ในเกมวันนี้ ทำให้ทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ มีเพิ่มเป็น 24 คะแนน ขยับขึ้นมารั้งอันดับที่ 5 เป็นที่ชั่วคราวแล้ว โดยมีแต้มห่างจาก เชลซี ทีมอันดับที่ 4 อยู่เพียง 5 คะแนนเท่านั้น หลังจาก สิงห์บลู สะดุดพ่าย เอฟเวอร์ตัน 3-1 ไปก่อนหน้าเกมนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่แน่นอน ฟอร์มของ ปีศาจแดง ก็ยังคงไว้ใจอะไรไม่ได้ แม้จะชนะ เชลซี สเปอร์ส หรือแม้แต่ แมนฯ ซิตี้ มาแล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าพวกเขาก็แพ้ได้แม้แต่ เวสต์แฮม บอร์นมัธ หรือแม้แต่ นิวคาสเซิล เพราะงั้นยังวางใจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น คงต้องดูกันไปยาว ๆ อย่างที่เขาว่ากันว่า สงครามยังไม่จบ จงอย่าพึ่งนับศพทหาร นั่นเอง