ลิเวอร์พูล 3-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : ชำแหละ 5 ประเด็นร้อนหลังผลฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ที่ แอนฟิลด์

การแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2019/20 นัดที่ 12

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2019

เวลาแข่งขัน 23.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

ผลการแข่งขัน ลิเวอร์พูล 3-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้

สนามแอนฟิลด์


5. ความเป็นไปของเกม

กลายเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล ยืดความได้เปรียบในการรั้งตำแหน่งจ่าฝูงของศึก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ต่อเนื่องเมื่อมีแต้มมากกว่าอันดับ 2 ที่ 8 คะแนนเข้าไปแล้วหลังอัด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จากประตูของ ฟาบินโญ, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน

พลพรรค เรือใบสีฟ้า เป็นฝั่งที่ครองโมเมนตัมได้ก่อนในช่วงออกสตาร์ททว่ามาถูกการสวนกลับและลูกยิงไกลอย่างเด็ดขาดของ ฟาบินโญ หลังช็อตกังขาเมื่อลูกบอลไปถูกแขนของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่อีกฝั่ง ตามด้วยลูกโหม่งในอีกไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำให้ หงส์แดง แทบจะขึ้นแท่นกับสกอร์ 2-0 เมื่อจบ 45 นาทีแรก

ขณะที่ช่วงเริ่มต้นครึ่งหลังต่างฝ่ายต่างไม่สามารถหาโอกาสเหน่งๆ ได้จะแจ้งนักจากสปีดบอลที่รวดเร็วของทั้ง 2 ฝั่ง กระทั่งช็อตเซอร์ไพรส์ของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่พาบอลไปถึงสุดเส้นหลังกราบขวาก่อนเปิดไปที่เสาสองให้ ซาดิโอ มาเน พุ่งโหม่งตุงตาข่ายเป็นลูก 3-0 ในที่สุดก่อนที่ แบร์นาโด้ ซิลวา จะซัดจุดประกายให้กับทีมเยือนในนาทีที่ 77 และบอลไปถูกแขนของ เทรนท์ ในกรอบเขตโทษเป็นครั้งที่ 2 ช่วงท้ายเกมซึ่งถูกทั้งผู้ตัดสินและ VAR ปฎิเสธการให้ลูกจุดโทษเช่นเคย

4. แฮนด์บอลหรือไม่?

จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมมาจาก 2 ช็อตที่ลูกบอลไปถูกแขนของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทั้งในช่วงต้นเกมและท้ายเกมแต่ฝ่ายผู้ตัดสินในสนามและ VAR ปฎิเสธการให้ลูกจุดโทษกับทั้ง 2 จังหวะดังกล่าว

แม้จะเป็นช็อตที่น่ากังขาเมื่อมองจากในมุมมองของ แมนฯ ซิตี้ แต่การแถลงข่าวของ พรีเมียร์ลีก ร่วมกับ คณะกรรมการผู้ตัดสินฟุตบอลอาชีพ ที่ชี้แจงหลังเกมว่าช็อตดังกล่าวเจ้าหนู เทรนท์ ไม่ได้มีเจตนาทำให้ร่างกาย ‘ใหญ่ขึ้นผิดปกติ’ รวมถึงไม่ได้มีเวลาเพียงพอให้นักเตะชักเขนออกจากวิถีของลูกบอลจึงไม่มีการพิจารณาเป็นลูกจุดโทษ

ใช่ – เทพีแห่งโชค อาจจะอยู่ฝั่งสีแดงในเกมนี้มากกว่า สีฟ้า แต่บรรดาผู้เล่นทัพ ซิตีเซนส์ น่าจะจัดการกับจังหวะต่อเนื่องโดยเฉพาะลูกเสียประตูแรกได้ดีกว่านี้โดยการตั้งตาเล่นตามเกมต่อไปมากกว่าที่จะปักหลักยืนฟ้องผู้ตัดสินโดยเฉพาะผู้เล่นในแดนกลางอย่าง อิลคาย กุนโดกัน และ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ไม่ได้ตาม ฟาบินโญ ลงไปบริเวณหน้าปากประตูของตนเองก่อนที่มิดฟิลด์ บราซิเลียน จะเก็บตกจากแถวสองโล่งๆ เป็นประตูเบิกร่องของ หงส์แดง

3. คู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อ

นับเป็นเกมที่ 8 ซึ่ง เป๊บ กวาร์ดิโอลา คุมทีมปราชัยต่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้าไปแล้วหลังล่าสุดที่ แอนฟิลด์ และ คล็อปป์ ยังเป็นกุนซือที่ เป๊บ แพ้ทางเมื่อนายใหญ่ชาว เยอรมัน เป็นผู้จัดการทีมที่ขงเบ้งจาก คาตาลัน คุมทัพพ่ายแพ้เมื่อต้องมาดวลกันมากที่สุดในเส้นทางเฮดโค้ชของเจ้าตัว

ยิ่งไปกว่านั้น บรรดานักเตะลูกทีมของ เป๊บ กลายเป็นฝั่งที่ออกอาการเล่นไม่เป็นธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด พวกเขายังมีช็อตหัวเสียใส่ซึ่งกันและกันหลายๆ ครั้งซึ่งเป็นภาพที่เราไม่ได้เห็นบ่อยครั้งนักในทีม แมนฯ ซิตี้ เมื่อรวมกับจังหวะเหวอต่อเนื่องของทั้ง จอห์น สโตนส์ – อังเจลิโญ, ฟอร์มที่ไม่โดดเด่นอย่างเช่นเคยของ เควิน เดอ บรอยน์ และความกระตือรือล้นที่มากกว่าของคู่แข่งก็ทำให้เส้นทางการลุ้นแชมป์ของพวกเขาสั่นคลอนสุดๆ หลังผ่าน 12 เกมแรกของศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้

2. ฟาบินโญ กับลูกไฟของเขา

บรรดานักเตะ 3 ประสานในแดนหน้าของ หงส์แดง มีชื่อได้รับการโฟกัสอีกครั้งในเกมนี้เมื่อ 2 ใน 3 คนนั้นมีชื่อบนสกอร์บอร์ด แต่แข้ง เร้ดแมชีน ที่เรามองว่าโดดเด่นที่สุดในเกมนี้เป็นมิดฟิลด์ชาว บราซิล อย่าง ฟาบินโญ ผู้ตะบันประตูเบิกร่องจากนอกกรอบเขตโทษ

จากกองกลางที่เคยใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับทีมอยู่เกือบครึ่งฤดูกาลเมื่อปีก่อน เจ้าตัวกลายเป็นห้องเครื่องที่ตอบแทนมูลค่า 39 ล้านปอนด์ที่ ลิเวอร์พูล จ่ายไปให้กับ โมนาโก อย่างคุ้มค่าทุกเพนนีเมื่อเจ้าตัวสามารถยกรพดับขับเคลื่อนเกมในแดนกลางได้อย่างเนียนตาและกลายเป็นนักเตะที่ทีมจะขาดไปไม่ได้แล้วในเวลานี้

1. ก้าวสุดท้ายยากลำบากเสมอ

แชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชัน 1 เดิม) ครั้งสุดท้ายของ ลิเวอร์พูล เกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีก่อน และนี่เป็นอีกหนึ่งในไม่กี่ฤดูกาลที่ถ้วยแชมป์ลีกจะตกอยู่ในมือของ หงส์แดง เมื่อพวกเขารั้งตำแหน่งจ่าฝูงที่นำห่างทีมอันดับที่ 2 ถึง 8 คะแนนหลังผ่าน 12 เกมและคว่ำแชมป์เก่าได้สำเร็จในเกมนี้

พลพรรค เร้ดแมชีน เคยเจอกับปัญหาอย่างไม่สามารถยืนระยะได้อย่างต่อเนื่อง, สภาพจิตใจที่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับความกดดัน รวมไปถึงการสูญเสียนักเตะคีย์แมนหลังจากโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมให้กับพวกเขา

จุดอ่อนกับปัญหาที่ หงส์แดง เคยมีเมื่อครั้งอดีตถูกขจัดทิ้งไปสิ้นภายใต้กุนซือเฮฟวีเมทัลอย่าง เยอร์เก้น คล็อปป์ พวกเขาทำสถิติไร้พ่ายต่อเนื่องใน พรีเมียร์ลีก, จิตใจเต็มเปี่ยมด้วยความเป็นนักสู้ และแกนหลักของพวกเขายังทำงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการดึงแข้งใหม่เสริมทัพเป็นส่วนหนึ่งของจิ๊กซอว์

12 เกมแรกผ่านไปในฤดูกาล 2019/20 คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของซีซัน โมเมนตัมในการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์ และแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีอยู่ในกำมือของพวกเขา ซึ่ง ณ เวลานี้เราไม่สามารถมองหาเหตุผลที่มันจะไม่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ได้เลย

ใช่ – 30 ปีเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่ความสำเร็จหลังการรอคอยอย่างยาวนานมักหอมหวานและตราตรึงมากกว่าปกติเสมอ

ไม่เชื่อก็รอจนจบซีซันนี้ดูก็ได้