เชลซี 1-2 ลิเวอร์พูล : 6 ประเด็นที่เราเรียนรู้หลังศึก พรีเมียร์ลีก ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์

6. รูปเกมที่วูบวาบแต่ไม่ชนะ (อีกแล้ว)

คำนี้คงจะดูเป็นเรื่องปกติสำหรับทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ในซีซั่นนี้ไปซะแล้ว เพราะแทบจะทุกเกม ลูกทีมของเขาจะครองบอลบุกเข้าใส่คู่แข่งได้ตลอด เน้นการครองบอล มีรูปแบบการเข้าทำที่หลากหลาย สวยงาม สร้างสรรค์จังหวะเข้าทำมากมายหลายครั้ง ขาดก็แต่เพียง “สกอร์” ที่ต้องมากกว่าคู่แข่งอยู่เสมอ ๆ ยิ่งวันไหนที่ผู้เล่นในแนวรุกอย่างเช่น อับราฮัม เมานท์ หรือแม้แต่ วิลเลียน พร้อมใจกันฟอร์มตกดังเช่นวันนี้ ทีมก็ต้องจำใจพ่ายแพ้ไปชนิดที่ว่ารูปเกมอาจจะดีกว่า แต่ผลการแข่งขันที่ออกมามันช่างสวนทางกับรูปเกมอีกเช่นเคย

5. เสียประตูในทุกเกมที่ลงทำการแข่งขัน

ตั้งแต่เริ่มฤดูกาลใหม่มานี้ สิงโตน้ำเงินคราม มีสถิติที่ไม่น่ายินดีปรีดาเท่าใดนัก นั่นคือ เสียประตูทุกเกมที่ลงสนาม โดยเฉพาะในลีก 4 เกมหลังเสียไปถึงนัดละ 2 ประตู ซึ่งยังดีที่หลาย ๆ เกมที่ผ่านมาได้อานิสงส์ของเกมรุกที่ดียิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ในวันที่แนวรุกฟอร์มตกไม่สามารถทำประตูได้ เกมรับกลับยังเสียประตูอย่างต่อเนื่องคงเส้นคงวาซะเหลือเกิน ทำให้ทีมต้องจำใจยอมรับความพ่ายแพ้ไปตามระเบียบ เช่นในเกมวันนี้ หรือแม้แต่เกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดกลางสัปดาห์ที่เปิดบ้านถูก บาเลนเซีย บุกมาเชือดถึงถิ่น 0-1

4. รูปแบบการเล่นของ สิงโตน้ำเงินคราม

แม้ผลงานของ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะยังไม่สม่ำเสมอคงเส้นคงวาเท่าใดนัก แต่สิ่งที่เราเห็นได้ชัดอย่างหนึ่งหลังจาก แลมพ์ เข้ามาทำทีมคือ เชลซีมีรูปแบบการเล่นที่เน้นความหลากหลายสวยงามมากขึ้น เล่นเอนเตอร์เทนแฟน ๆ ครองเกม และเปิดบุกเข้าใส่คู่แข่งอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งที่กุนซือเมืองผู้ดีรายนี้ สั่งให้ลูกทีมปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอทุกครั้งที่ลงสนาม แม้จะมีวันที่โชคร้ายหรือผลการแข่งขันไม่เป็นใจบ้าง แต่เขาก็ยังคงทำตามแนวทางของตัวเองอย่างต่อเนื่องเสมอมา

ซึ่งข้อดีตรงนี้ทำให้ อดีตกุนซือดาร์บี้ ยังสามารถเอาชนะใจแฟนบอลสิงห์บลูได้ แม้ผลงานจะขัดกับความคาดหวังของเหล่าสาวกเดอะบลูอยู่บ้างก็ตาม แต่แน่นอนว่าเกมฟุตบอลผลการแข่งขันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเสมอ ตอนนี้แฟน ๆ อาจจะยังสนับสนุนเขาอยู่ แต่ถ้าต่อไปผลงานยังไม่มีการปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซูเปอร์แฟรงค์ ก็คงไม่ต่างกับผู้จัดการทีมเชลซีคนอื่น ๆ ที่คงต้องจากไปก่อนเวลาอันควรอย่างจริงแท้แน่นอน

3. วันที่ฟูลแบ็ค หงส์แดง เป็นพระเอก

แม้ หงส์แดง จะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในเกมนี้แต่จังหวะสุดท้ายของ 2 แข้งริมเส้นที่แดนหน้าอย่าง ซาดิโอ มาเน กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไม่ลงล็อคอย่างเคยแม้ว่าจะมีช็อตกระชากลากเลื้อยสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับของ สิงห์บลู ให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เด็ดขาดกับลูกฟรีคิกที่หน้ากรอบเขตโทษของเจ้าบ้านอันเป็นประตูเบิกร่องของ เร้ดแมชีน ตั้งแต่ช่วงต้นเกม ก่อนที่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน จะเปิดจากริมเส้นไปที่จุดนับพบบนเส้นกรอบ 6 หลาให้ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน ขึ้นโหม่งอย่างเด็ดดวง

ทั้ง เทรนท์ และ ร็อบโบ้ ยังทำหน้าที่ในเกมรับได้น่าพอใจเมื่อสามารถดักเก็บ วิลเลียน และ เมสัน เมานท์ ได้อยู่หมัด

2. ฟาบินโญ ปิดทองหลังพระ

กองกลางชาว บราซิล รับบทบาทโฮลดิ้งมิดฟิลด์และกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการเริ่มต้นเกมรุกของ สิงห์บลู เทคนิคของเจ้าตัวยังทำให้เกมของ หงส์แดง มีความหลากหลายยิ่งขึ้นเมื่อเขาสามารถไปกับบอลในพื้นที่แคบได้ดีและยังเป็นคนเริ่มจังหวะการได้ฟรีคิกในช่วงต้นเกมอันเป็นที่มาของประตูเบิกร่องโดย อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

1. โมเมนตัมในการลุ้นแชมป์อยู่ที่ หงส์แดง

ให้หลังเพียง 1 วันจากที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประกาศศักดาเปิดบ้านถล่ม วัตฟอร์ด เละเทะ 8-0 ก็เป็นคิวของ ลิเวอร์พูล ที่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็สามารถรักษาระยะห่างบนตารางคะแนนกลับไปเป็น 5 แต้มดังเดิมหลังผ่านการแข่งขันแมตช์เดย์ที่ 6 ของฤดูกาลนี้

แน่นอนว่ามันยังคงเป็นซีซันที่อีกยาวไกลกับอีก 32 นัดที่ต้องลงเล่น แต่การเป็นทีมเดียวที่สามารถเก็บชัยชนะได้ 6 นัดติดต่อกันบน พรีเมียร์ลีก ก็ทำให้ความมั่นใจในเวลานี้อยู่กับทีมจาก เมอร์ซีย์ไซด์ อย่างเต็มเปี่ยม

ชัยชนะในเกมนี้ยังทำให้ ลิเวอร์พูล เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของ อังกฤษ ที่สามารถคว้าชัยใน 6 เกมแรกได้ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน รวมทั้งยังเป็นชัยชนะในลีกนัดที่ 15 ติดต่อกันของพวกเขาเข้าไปแล้วจนถึงเวลานี้