แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลาด 3 คะแนนไปอย่างน่าเจ็บใจเมื่อการตัดสินจาก VAR ปฎิเสธการให้ลูกยิงของ กาเบรียล เชซุส เป็นประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งหลัง ส่งผลให้พวกเขาแบ่งแต้มกับ สเปอร์ส ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม หลังจบเกมด้วยสกอร์ 2-2
เรือใบสีฟ้า ออกสตาร์ทได้แทบจะสมบูรณ์แบบเมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายครองบอลบุกเข้าใส่ ไก่เดือยทอง อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เสียงนกหวีดเริ่มเกม และความพยายามของพวกเขาก็มาสัมฤทธิ์ผลเอาในนาทีที่ 20 จากการขึ้นเกมรุกที่กราบขวา บอลครอสจังหวะแรกของ เควิน เดอ บรอยน์ โค้งไปตกที่จุดนัดพบเสาสองเข้าหัว ราฮีม สเตอร์ลิง โหม่งย้อนศรผ่านมือ อูโก้ ยอริส ตุงตาข่ายเป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ของเจ้าถิ่น
อย่างไรก็ตาม ให้หลังเพียง 3 นาทีหลังจากนั้น ทัพลิลลีไวทส์ ก็ฉวยโอกาสจากการเปิดพื้นที่ในแดนกลางของ ซิตี้ เป็น เอริค ลาเมลา ที่มีเวลาหน้ากรอบเขตโทษก่อนจะตัดสินใจยิงเลียดด้วยเท้าซ้าย บอลพุ่งอ้อมหนี ไอเมอริค ลาปอร์กต์ และสุดเอื้อมที่ เอแดร์ซอน จะพุ่งถึง สกอร์กลับมาเท่ากันที่ 1-1 อย่างรวดเร็ว
ทว่าหลังจากนั้นเกมยังตกเป็นของ แมนฯ ซิตี้ อย่างต่อเนื่องและการขึ้นเกมของ เดอ บรอยน์ ที่กราบขวาก็แผลงฤทธิ์อีกครั้ง คราวนี้เจ้าตัวได้หลุดไปถึงเส้นหลังก่อนเปิดเลียดเข้ามาที่เสาแรกให้ เซร์คิโอ อเกวโร โฉบเข้ามาแท็ปอินเฉือนไปที่เสาสองชนิด ยอริส หมดสิทธิ์เซฟ เป็นประตู 2-1 ของเจ้าบ้านในนาทีที่ 35 ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ดังกล่าว
ครึ่งหลังรูปเกมยังคงไม่ต่างไปจากเดิมและไม่มีทีท่าว่าผู้มาเยือนจะได้ประตูตีเสมอแต่อย่างใดก่อนที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน จะตัดสินใจเปลี่ยนเอา ลูคัส มูรา ลงสนามแทนที่ แฮร์รี วิงค์ส ในนาทีที่ 56 ซึ่งดาวเตะชาว บราซิล ใช้เวลาในสนามเพียง 14 วินาทีก็สามารถโหม่งพังประตูตีเสมอ 2-2 ให้กับทีมได้จากลูกเตะมุมของ ลาเมลา
พลพรรค ซิตีเซนส์ พยายามเร่งเครื่องหมายทำประตูชัยให้ได้ในช่วงเวลาที่เหลือและเป็นจังหวะจากลูกเตะมุมในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ บอลลอยมาเข้าทาง ไอเมอริค ลาปอร์กต์ บริเวณจุดโทษแฉลบไปเข้าทาง กาเบรียล เชซุส วิ่งเข้ามายิงผ่านฝูงนักเตะของ สเปอร์ส ที่กองกันอยู่หน้าปากประตูตุงตาข่ายพร้อมกับเสียงเฮสนั่นท่ามกลางความดีใจของทั้งนักเตะและแฟนบอลของเจ้าบ้าน หากแต่ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นผู้ตัดสินก็ให้สัญญาณว่าไม่เป็นประตูเมื่อภาพจาก VAR แสดงให้เห็นว่าบอลไปแฉลบแขนของ ลาปอร์กต์ ในจังหวะก่อนหน้าที่ เชซุส จะส่งบอลสู่ก้นตาข่าย
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ประเด็นหลังเกม
การตัดสินด้วย VAR กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมอีกครั้งสำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อพวกเขาถูกปฎิเสธประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากจังหวะบอลไปถูกแขนของ ไอเมอริค ลาปอร์กต์ ก่อนที่ กาเบรียล เชซุส จะซัลโวตุงตาข่ายและทำให้ทั้ง เอติฮัด สเตเดี้ยม ต้องเฮเก้อ
นอกจากนี้ช็อตที่ผู้เล่นของ เรือใบสีฟ้า ถูกเหนี่ยวล้มลงในกรอบเขตโทษตั้งแต่ช่วงต้นเกมกลายเป็นจังหวะให้ถกเถียงเมื่อมีช็อตคล้ายๆ กันเกิดขึ้นหลังจากนั้นระหว่าง แฮร์รี วิงค์ส กับ ราฮีม สเตอร์ลิง ในเวลาต่อมาจนทำให้ตัวรุกสปีดจัดของ ซิตี้ ได้รับใบเหลือง
คะแนนนักเตะ
11 ผู้เล่นตัวจริง: เอแดร์ซอน (6); วอล์คเกอร์ (6), ลาปอร์กต์ (7), โอตาเมนดี้ (6), ซินเชนโก้ (7); กุนโดกัน (6), โรดรี (7), เดอ บรอยน์ (9); แบร์นาโด้ (7), อเกวโร (7), สเตอร์ลิง (8)
ตัวสำรอง: เชซุส (6), ซิลบา (6), มาห์เรซ (6)
คีย์แมน – เควิน เดอ บรอยน์
แทบไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้ เควิน เดอ บรอยน์ ที่เป็นคีย์แมนในทีมของ เป๊บ กวาร์ดิโอลา กับฤดูกาลแรกของเขาที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม จะพลาดการลงสนามให้กับ ซิตีเซนส์ เกือบทั้งซีซัน 2018/19 ทว่าพวกเขาก็ยังสามารถโกย 98 คะแนนเถลิงบัลลังก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันได้สำเร็จ
และเมื่อ เดอ บรอยน์ มีสภาพร่างกายสมบูรณ์พร้อมที่จะลงเล่นเจ้าตัวก็แสดงให้เห็นว่าเขายังยอดเยี่ยมอย่างเช่นเคยเมื่อรับบทบาทเป็นคีย์แมนในแผงมิดฟิลด์กับการเคลื่อนที่อย่างชาญฉลาดที่บริเวณฮาล์ฟสเปซฝั่งขวา รวมทั้งวิสัยทัศน์และการผ่านบอลที่แม่นยำราวจับวางอันเป็นที่มาของได้ทั้ง 2 ประตูในเกมนี้
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์
ประเด็นหลังเกม
สเปอร์ส ตกเป็นฝ่ายตั้งรับแทบตลอดทั้งเกมและรูปเกมของพวกเขาดูไม่มีทีท่าว่าจะทำอันตรายใดๆ ต่อแนวรับของ ซิตี้ ได้เลยแม้แต่น้อย ทว่าก็ยังอาศัยทีเด็ดทีขาดจากจังหวะฉาบฉวยของ เอริค ลาเมลา และลูกเซ็ตพีซที่ทำให้พวกเขาบุกมาแบ่งแต้มแชมป์เก่าได้สำเร็จ
อีกทั้งการประสานงานระหว่าง แฮร์รี เคน, คริสเตียน เอริคเซน กระทั่ง ลาเมลา เพื่อการสวนกลับนั้นถูกเจ้าถิ่นเก็บกินทุกกระบวนท่า ก่อนที่เกมของพวกเขาจะกระตือรือล้นขึ้นมาอยู่บ้างเมื่อ ลูคัส มูรา ลงสนาม
คะแนนนักเตะ
11 ผู้เล่นตัวจริง: ยอริส (6); วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ (6), ซานเชซ (6), อัลเดอร์ไวเรลด์ (7), โรส (6); เอ็นดอมเบเล (8), วิงค์ส (6), ซิสโซโก้ (6), ลาเมลา (7), เอริคเซน (7); เคน (6)
ตัวสำรอง: ลูคัส มูรา (7), โล เซลโซ (6) สคิปป์ (N/A)
คีย์แมน – ลูคัส มูรา
ดาวเตะชาว บราซิล กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมเมื่อถูกส่งลงสนามในครึ่งหลังแทนที่ แฮร์รี วิงค์ส ก่อนที่เจ้าตัวจะทำประตูตีเสมอได้สำเร็จเพียงแค่ 14 วินาทีให้หลัง นอกจากนี้เกมรุกของพลพรรค ลิลลีไวทส์ ยังดูจะวูบวาบมากขึ้นจากสปีดที่รวดเร็วของเจ้าตัวที่แผลงฤทธิ์ใส่แนวรับของเจ้าถิ่นยามสวนกลับเร็ว
น่าแปลกใจที่ พอช เลือกจะดร็อป ลูคัส ไว้บนม้านั่งสำรองในเกมที่พวกเขาตกเป็นฝ่ายถูก ซิตี้ แทบจะพับสนามต่อบอลบุกเข้าใส่ตลอดทั้งเกมแบบนี้